ประกันภัยมีสิทธิ์เหมาซ่อมรถลูกค้าไหม?

คำตอบคือ “มี” แต่ไม่มีสิทธิ์ทำให้ลูกค้าเสียหายได้

เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลายคนที่มีประกันภัยรถยนต์ก็มักจะรู้สึกอุ่นใจว่า “ยังไงก็ซ่อมได้” เพราะมีบริษัทประกันคอยรับผิดชอบ แต่สิ่งที่ผู้เอาประกันจำนวนมากอาจไม่รู้ คือ บริษัทประกันภัยมีวิธีการจัดการซ่อมรถหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ “การเหมาซ่อม” หรือ “การตีเหมาซ่อม” ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้ลูกค้าหลายคนรู้สึกว่า “รถที่ได้กลับมาไม่เหมือนเดิม” หรือบางครั้ง “ซ่อมไม่ดี ซ่อมไม่ครบ”

คำถามที่ตามมาคือ แล้วประกันภัยมีสิทธิ์เหมาซ่อมรถของลูกค้าหรือไม่?
คำตอบตามกฎหมายคือ “มีสิทธิ์”
 แต่! สิทธินั้นต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของความชอบธรรม และไม่ทำให้ผู้เอาประกันหรือผู้เสียหาย “เสียหายเพิ่มเติม” เพราะการซ่อมรถของลูกค้าคือการ “คืนสู่สภาพเดิม” ไม่ใช่การซ่อมเพื่อลดต้นทุนของบริษัทประกันภัยเอง

ทำความเข้าใจคำว่า “เหมาซ่อม” ของบริษัทประกันภัย

“การเหมาซ่อม” หมายถึง การที่บริษัทประกันภัยประเมินค่าเสียหายทั้งหมดเป็นก้อนเดียว แล้วตกลงราคากับอู่ซ่อมหรือศูนย์บริการ เพื่อให้ซ่อมรถของลูกค้าในราคาที่กำหนดไว้ เช่น รถเสียหายจากการเฉี่ยวชน บริษัทประกันประเมินว่าความเสียหายอยู่ที่ 40,000 บาท แล้วเหมาซ่อมกับอู่ในราคาเท่านี้ โดยไม่ได้ให้ลูกค้าร่วมตัดสินใจในรายละเอียดการซ่อม

ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องปกติในเชิงธุรกิจ บริษัทประกันภัยย่อมต้องบริหารต้นทุนเพื่อไม่ให้ขาดทุน
แต่ปัญหาคือ การเหมาซ่อมมักกลายเป็นช่องทางที่บริษัทประกันภัยเลือกซ่อมแบบ “ประหยัดต้นทุน” มากกว่าการซ่อมให้ลูกค้าได้คุณภาพเดิมจริง ๆ

ลูกค้าหลายคนเจอปัญหา เช่น

  • ซ่อมไม่ครบตามจุดที่เสียหาย
  • ใช้อะไหล่เทียมหรืออะไหล่มือสอง
  • งานสีไม่เนียน ไม่ตรงกับของเดิม
  • หรือแย่ที่สุดคือ “ซ่อมไม่จบ” ต้องเข้าซ่อมซ้ำหลายรอบ

สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า แม้บริษัทประกันภัยจะมีสิทธิ์เหมาซ่อมจริง แต่ไม่ใช่สิทธิ์ที่จะ “ละเมิดสิทธิของลูกค้า”

สิทธิของลูกค้าตามกฎหมายคือ “ต้องได้รถคืนในสภาพเดิม”


ตามหลักของประกันภัยรถยนต์ การซ่อมรถหลังเกิดอุบัติเหตุ คือการ “คืนสู่สภาพก่อนเกิดเหตุ” นั่นหมายความว่า รถของคุณต้องกลับมาอยู่ในสภาพใกล้เคียงเดิมที่สุด ทั้งในด้านโครงสร้าง สี ความปลอดภัย และการใช้งาน

ดังนั้น หากบริษัทประกันเลือกซ่อมแบบเหมาที่ทำให้รถคุณเสียหายมากขึ้น หรือคุณภาพลดลง การกระทำนั้นอาจถือเป็น “การละเมิด” (Tort)
 เพราะบริษัทประกันภัยใช้อำนาจตามสัญญาโดยไม่สุจริตและทำให้ผู้เอาประกันได้รับความเสียหาย

ในทางกฎหมาย แม้บริษัทประกันจะเป็นคู่สัญญา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรก็ได้กับรถของลูกค้า สิทธิของลูกค้าคือการได้รับการซ่อมแซมอย่างเป็นธรรม และได้ผลลัพธ์ที่เทียบเท่ากับสภาพเดิม การคำนึงเพียงผลประโยชน์ของบริษัทเอง ไม่ใช่เหตุผลที่กฎหมายจะยอมรับได้

มุมมองจากทนายอาร์ม : เหมาซ่อมได้ แต่ต้อง “ไม่ทำให้คนอื่นเสียหาย”

ทนายอาร์มอธิบายว่า
“คำถามว่าประกันภัยมีสิทธิ์เหมาซ่อมไหม คำตอบคือมี แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำให้ลูกค้าเดือดร้อน”

สิทธิในการบริหารงานของบริษัทประกันภัยเป็นสิ่งที่กฎหมายรับรอง แต่สิทธินั้นต้องอยู่ภายใต้กรอบของความสุจริตและความรับผิดชอบ เช่นเดียวกับหลักในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ที่ว่า

“ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน”

นั่นหมายความว่า ถ้าการเหมาซ่อมของบริษัทประกันเป็นเหตุให้ลูกค้าได้รับความเสียหายเพิ่มเติม เช่น รถมีปัญหาหลังซ่อม สีไม่ตรง หรือประสิทธิภาพการใช้งานลดลง ก็เข้าข่าย “ละเมิด” ได้ทันที

และอย่าลืมว่า ในทางกฎหมาย “รถยนต์” ไม่ใช่แค่ทรัพย์สินที่มีมูลค่า แต่ยังเกี่ยวข้องกับ “ความปลอดภัยในการใช้งาน” หากซ่อมไม่ดีแล้วเกิดอุบัติเหตุซ้ำในอนาคต บริษัทประกันภัยอาจต้องรับผิดในทางแพ่งหรืออาญาได้ด้วย

ทำไมควรปรึกษาทนายตั้งแต่เริ่มเรียกร้องค่าเสียหาย?

เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วต้องมีการซ่อมรถ สิ่งที่เจ้าของรถควรทำทันทีคือ “ถามให้ชัดตั้งแต่ต้น” ว่า
บริษัทประกันจะซ่อมที่ไหน ซ่อมอย่างไร และมีสิทธิ์เลือกอู่หรือศูนย์บริการเองได้หรือไม่

เพราะหากคุณปล่อยให้บริษัทประกัน “เหมาซ่อมเองทั้งหมด” โดยไม่ตรวจสอบสัญญาหรือเงื่อนไข
ผลลัพธ์อาจคือการได้รถคืนในสภาพที่ไม่เหมือนเดิม แต่ต้องมานั่งเสียเวลาเรียกร้องภายหลัง ซึ่งทั้งเสียเวลา เสียเงิน และเสียความรู้สึก

การปรึกษาทนายความตั้งแต่แรกจะสามารถให้คุณ

  • เข้าใจสิทธิของตัวเองตามกรมธรรม์
  • รู้ว่าการซ่อมแบบใดที่คุณมีสิทธิ์เลือก
  • และหากบริษัทประกันทำผิดเงื่อนไข ทนายสามารถดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนหรือฟ้องร้องได้อย่างถูกวิธี

สิทธิ์ของประกันมีได้ แต่ต้องอยู่บนความเป็นธรรมของลูกค้า

สุดท้ายนี้ สิทธิของบริษัทประกันภัยในการเหมาซ่อมรถลูกค้าถือว่า “มีอยู่จริง”
แต่สิทธิ์นั้นต้องไม่ละเมิดสิทธิของผู้เอาประกันภัย
การซ่อมต้องคืนสภาพรถให้ใกล้เคียงเดิมที่สุด ไม่ใช่ซ่อมเพื่อลดต้นทุนจนลูกค้าเดือดร้อน

หากคุณเกิดอุบัติเหตุแล้วต้องซ่อมรถ อย่ารอให้เรื่องซับซ้อนหรือเสียหายหนักก่อนถึงจะมาหาทนาย
 ปรึกษาทนายตั้งแต่เริ่มต้น คือทางออกที่ดีที่สุดในการคุ้มครองสิทธิ์ของคุณ

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามีทีมทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยและการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการเรียกร้องกับบริษัทประกันภัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้คุณได้รับสิทธิ์เต็มจำนวน และรถของคุณกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยไม่เสียเปรียบ

ให้เรา “ซ่อมสิทธิ์ของคุณ” ให้กลับมาครบ เหมือนรถที่ซ่อมดีตั้งแต่แรก

รถชนเรียกค่าเสียหาย ทำไมไปร้อง คปภ. เอง แล้วถึงไม่มีผล?

รู้ทันบริษัทประกันภัย และรู้เท่าทันกระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ย ก่อนจะเสียสิทธิ์โดยไม่รู้ตัว

เมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หลายคนคิดว่าแค่มีประกันภัยก็คงพอแล้ว แต่ในความจริง การ “รถชนเรียกค่าเสียหาย” ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป โดยเฉพาะกรณีที่คุณต้องเรียกร้อง “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ” ซึ่งมักกลายเป็นประเด็นปะทะกันระหว่างผู้เสียหายกับบริษัทประกันภัยอย่างไม่รู้จบ และในหลายๆ เคส การเดินเรื่องด้วยตัวเอง แม้แต่การไปร้องเรียนที่ คปภ. ก็อาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดี หากคุณไม่มีความรู้หรือไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำ

ตัวอย่างเคสจริง: คุณ A เดินเรื่องเอง แต่สุดท้ายกลับเสียเปรียบ

หนึ่งในกรณีที่สะท้อนปัญหานี้อย่างชัดเจนคือ เคสของ คุณ A ผู้เสียหายจากอุบัติเหตุรถชนที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 รถของคุณ A ได้รับความเสียหายอย่างหนักจนต้องส่งซ่อมนานถึง 240 วัน แต่เมื่อถึงเวลายื่นเรียก ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ บริษัทประกันภัยกลับเสนอให้เพียงแค่ 60 วัน ๆ ละ 500 บาท เท่านั้น รวมเป็นเงินเพียง 30,000 บาท

เมื่อคุณ A เห็นว่าตัวเลขที่ได้รับไม่เป็นธรรม จึงตัดสินใจไปร้องเรียนกับ คปภ. ด้วยตัวเอง หวังว่าหน่วยงานกลางจะช่วยเจรจาเพื่อความยุติธรรม แต่ผลที่ได้คือ คปภ.นัดไกล่เกลี่ยและบริษัทประกันภัยก็เพียง “เพิ่มให้เป็น 70 วัน” เท่านั้น ยอดรวมเป็น 35,000 บาท ซึ่งยังห่างไกลจากความเสียหายจริง

ไกล่เกลี่ย…หรือถูกเกลี้ยกล่อม?

หลังจากที่คุณ A เห็นว่ายังไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงตัดสินใจติดต่อ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เพื่อขอคำปรึกษาจาก ทนายอาร์ม ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคดีประกันภัยโดยเฉพาะ แต่ทว่าก็พบว่า… ช้าไปแล้ว เพราะการที่คุณ A ไปร้องเอง และเข้าสู่กระบวนการเจรจากับบริษัทประกันภัยก่อน โดยไม่มีทนายหรือผู้รู้กฎหมายอยู่ด้วย ทำให้เสียเปรียบตั้งแต่ต้น

ทนายอาร์ม อธิบายว่า

“การไกล่เกลี่ย ถ้าไม่มีความรู้ = ไปถูกเกลี้ยกล่อม”
เพราะบริษัทประกันภัยมีความพร้อมด้านกฎหมาย ทีมเจรจา และกลยุทธ์เชิงจิตวิทยา พอผู้เสียหายไม่มีความรู้ ก็อาจหลงเชื่อหรือยอมตกลงโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเสียสิทธิ์ไปแล้ว

รู้หรือไม่? ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ “เรียกได้มากกว่าวันละ 500 บาท!”

คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ” เรียกได้เพียงวันละ 300–500 บาท แต่ในความเป็นจริง หากผู้เสียหายสามารถพิสูจน์ได้ว่าการไม่ได้ใช้รถทำให้สูญเสียรายได้ เช่น ใช้รถทำธุรกิจ ส่งของ หรือมีความจำเป็นใช้รถจริงๆ ก็สามารถเรียกค่าขาดประโยชน์ได้มากกว่านั้น และอาจมากถึงวันละ 800–1,500 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและหลักฐานประกอบแต่สิ่งที่สำคัญคือ…
คุณต้องมีความรู้ และต้องรู้เท่าทันบริษัทประกันภัย
เพราะบริษัทมักเสนอจ่ายต่ำ ๆ ก่อน หากคุณไม่ท้วง ไม่ขอเจรจา หรือไม่มีผู้ช่วยที่เข้าใจสิทธิของคุณ เงินที่ควรได้รับก็อาจหลุดลอยไป

คำแนะนำจากทนายอาร์ม: อย่าไปร้อง คปภ. เอง ถ้าไม่มั่นใจ

หลายคนคิดว่า คปภ. คือที่พึ่งสุดท้าย ซึ่งในทางทฤษฎีใช่ แต่ในทางปฏิบัติ หากคุณเข้าไปโดยไม่มีแผน ไม่มีผู้เชี่ยวชาญ หรือไม่เข้าใจสิทธิของตนเอง คุณอาจเจอสิ่งที่เรียกว่า “ไกล่เกลี่ยแบบลดสิทธิ” เพราะบริษัทประกันภัยมักใช้เวทีนี้เป็นพื้นที่เจรจาให้จ่ายน้อยลง โดยหวังว่าผู้เสียหายจะ “ยอมรับ” ข้อเสนอเพื่อให้เรื่องจบเร็ว

ดังนั้น ทนายอาร์มจึงแนะนำว่า

“หากจะไป คปภ. ควรให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการตั้งแต่ต้น หรืออย่างน้อยก็ขอคำปรึกษาก่อน”

เพราะหากคุณเสียเปรียบในชั้น คปภ. แล้ว จะย้อนกลับมาแก้ไขในภายหลังได้ยากมาก หรืออาจเสียสิทธิ์โดยสมบูรณ์

อย่าเสียเปรียบโดยไม่จำเป็น! ดูคลิปเทคนิคเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจากทนายอาร์มก่อน

หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน อย่าปล่อยให้ตัวเองถูกตีราคาชีวิตหรือทรัพย์สินต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะทุกสิทธิของคุณสามารถเรียกร้องได้อย่างถูกต้อง หากคุณรู้วิธี

ติดตามคลิปเทคนิคดี ๆ จากทนายอาร์ม
สอนวิธีเรียก ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ อย่างละเอียด ทั้งหลักฐาน วิธีเจรจา และกลยุทธ์ป้องกันการเสียเปรียบ
📌 เทคนิคกลยุทธ์ในการเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่ถูกต้อง EP.1

📌 เทคนิคกลยุทธ์ในการเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่ถูกต้อง EP.2

📌 เทคนิคกลยุทธ์ในการเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่ถูกต้อง EP.3

รถชนเรียกค่าเสียหาย อย่าประมาทเรื่องความรู้

  • บริษัทประกันภัยมักมีทีมเจรจาและกลยุทธ์
  • ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ เรียกได้มากกว่าที่คิด
  • การไปร้อง คปภ. เอง หากไม่มีข้อมูล อาจกลายเป็นการเสียสิทธิ
  • ปรึกษาทนายตั้งแต่แรก คือวิธีป้องกันที่ดีที่สุด

อย่ารอให้รถชนแล้วเสียสิทธิแบบคุณ A
เพราะการรู้เท่าทันบริษัทประกันภัย คืออาวุธที่ดีที่สุดของผู้เสียหาย

อย่าลืมว่า บริษัทประกันภัยมีทนายความเตรียมพร้อมตั้งแต่รถยังไม่ชน พร้อมใช้ทุกเทคนิคและกลยุทธ์ทางกฎหมายเพื่อลดภาระความรับผิดของตนเองให้มากที่สุด ดังนั้น ผู้เสียหายอย่างเราก็มีสิทธิ์ในการปกป้องตนเองเช่นกัน โดยสามารถปรึกษาทนายความได้ตั้งแต่เกิดเหตุ เพื่อวางแผนให้รอบคอบ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการเจรจาแบบเอาเปรียบ เพราะ “เดินเรื่องเอง = เสียเปรียบ” อย่างแน่นอน หากคุณไม่อยากให้เรื่องซับซ้อนกลายเป็นเรื่องเสียเปรียบ ติดต่อ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ได้ทันที หรือคลิก >>ติดต่อเรา<<

จากความเชื่อใจ สู่ความผิดหวัง เมื่อประกันเอาเปรียบลูกค้าตัวเอง 

การมีประกันภัยที่ดีควรให้ความคุ้มครองครบถ้วนและตรงไปตรงมา แต่น่าเสียดายที่หลายครั้งผู้เสียหายที่ทำประกันกลับต้องเผชิญกับภาระเพิ่มจากการขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม โดยเฉพาะเมื่ออุบัติเหตุเกิดกับรถยนต์ไฟฟ้า ที่ทั้งค่าซ่อมแพงและใช้เวลานานหลายเดือน ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างไร และเราจะสามารถปกป้องสิทธิ์ของเราได้อย่างไร? มาทำความเข้าใจกันให้ชัดเจน

เคสตัวอย่าง : ขาดประโยชน์จากการใช้รถ แต่การจ่ายค่าชดเชยแตกต่างอย่างชัดเจน

ในกรณีนี้ ผู้เสียหายประสบอุบัติเหตุรถยนต์ไฟฟ้าได้รับความเสียหายหนัก มีมูลค่าการซ่อมสูงถึงหลักแสนบาท ทำให้ต้องใช้เวลาซ่อมแซมนานกว่า 90 วัน เป็นระยะเวลาที่ผู้เสียหายต้องขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ไป ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตอย่างรุนแรง

สิ่งที่ทำให้ผู้เสียหายเสียความรู้สึกอย่างมากคือ การที่บริษัทประกันของตนเสนอค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถเพียง 500 บาทต่อวัน ขณะที่ประกันของคู่กรณีกลับเสนอค่าขาดประโยชน์ฯ ให้สูงถึง 1,000 บาทต่อวัน แม้ว่าทั้งสองบริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในรถยนต์คันเดียวกันในระยะเวลา 30 วันเท่ากัน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับแตกต่างอย่างชัดเจน ทำให้เกิดความสงสัยว่าบริษัทประกันของผู้เสียหายกำลังเอาเปรียบลูกค้าของตนเองหรือไม่ 

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรถยนต์เสียหายเพิ่มขึ้นหลังจากการซ่อมแซม ทำให้ต้องมีการซ่อมเพิ่มเติมอีก 30 วัน ทำให้ระยะเวลาขาดประโยชน์จากการใช้รถเพิ่มเป็น 90 วัน แต่กลับไม่มีความชัดเจนจากบริษัทประกันว่าจะชดเชยค่าขาดประโยชน์ฯ ในส่วนนี้อย่างไร 

ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถคืออะไร?

สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ” คือ ค่าชดเชยที่ผู้ประกันภัยมีสิทธิ์เรียกร้องได้เมื่อไม่สามารถใช้รถยนต์ของตนได้เนื่องจากอุบัติเหตุ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีค่าเฉลี่ยการจ่ายค่าขาดประโยชน์ที่ 500-1,000 บาทต่อวัน ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของบริษัทประกัน แต่ในความเป็นจริง จำนวนค่าขาดประโยชน์นี้สามารถเสนอให้มากกว่านี้ได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของรถยนต์และมูลค่าความเสียหาย เช่น รถยนต์ไฟฟ้าที่มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมสูงและใช้เวลานาน ควรได้รับค่าขาดประโยชน์ที่เหมาะสมกับความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น

เมื่อรถเสียหายสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากใครได้บ้าง?

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถสามารถเรียกได้เฉพาะจากบริษัทประกันของคู่กรณีเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริง ผู้เสียหายสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากบริษัทประกันของตนเองได้ด้วยเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม การเรียกค่าชดเชยในกรณีนี้ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมธรรม์และจำเป็นต้องมีทนายความผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยดูแลสิทธิ์ทางกฎหมาย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะได้รับค่าชดเชยอย่างเหมาะสม และไม่ถูกเอาเปรียบจากบริษัทประกันภัย การมีทนายเป็นตัวแทนเจรจาย่อมเพิ่มความได้เปรียบและลดโอกาสถูกบริษัทประกันกดขี่ 

เคล็ดลับในการรับมือกับบริษัทประกันภัยกรณีขาดประโยชน์จากการใช้รถ


หากคุณเคยพบเหตุการณ์ที่บริษัทประกันภัยพยายามลดค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คุณสามารถรับมือได้ตามคำแนะนำดังนี้ :

1. ทบทวนเงื่อนไขกรมธรรม์ : ควรอ่านเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยอย่างละเอียด โดยเฉพาะเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับค่าขาดประโยชน์ฯ เพราะแต่ละกรมธรรม์อาจมีข้อกำหนดต่างกันไป

2. ตรวจสอบความคุ้มครองให้ชัดเจน : หากไม่แน่ใจว่าค่าขาดประโยชน์ที่ได้รับนั้นเป็นธรรม คุณควรปรึกษาทนายเพื่อพิจารณาว่าความคุ้มครองในกรมธรรม์ครอบคลุมค่าใช้จ่ายนี้หรือไม่ และมีสิทธิ์เรียกร้องเพิ่มได้หรือไม่

3. รวบรวมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ค่าเสียหาย : หลักฐานสำคัญ เช่น เอกสารการประเมินมูลค่าความเสียหาย ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการหารถเช่าใช้ทดแทน และบันทึกเวลาการซ่อมที่ใช้จริง จะช่วยให้ทนายมีข้อมูลที่เพียงพอในการต่อรองค่าขาดประโยชน์กับบริษัทประกัน

4. ใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย : หากบริษัทประกันภัยไม่ยอมจ่ายค่าขาดประโยชน์ตามที่ควร การดำเนินคดีทางกฎหมายเป็นอีกทางเลือกที่ผู้เสียหายสามารถใช้ในการเรียกร้องสิทธิ์ของตนเอง

เมื่อประกันเอาเปรียบเรื่องค่าขาดประโยชน์ฯ ปรึกษาทนายคือทางออก

สำนักงานกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญในคดีประกันภัยจะสามารถช่วยประเมินสถานการณ์ พร้อมทั้งเจรจาให้คุณได้รับค่าชดเชยที่เป็นธรรม การที่มีทนายความเป็นผู้ดำเนินการเจรจากับบริษัทประกันไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเวลา แต่ยังเพิ่มโอกาสในการได้รับค่าชดเชยที่เหมาะสม และป้องกันการถูกบริษัทประกันเอาเปรียบจากการเสนอค่าขาดประโยชน์ที่ต่ำกว่าความเป็นจริง 

การขาดประโยชน์จากการใช้รถเป็นความเดือดร้อนที่ควรได้รับการชดเชยอย่างเหมาะสม การมีประกันภัยไม่ควรเป็นภาระที่เพิ่มขึ้น และบริษัทประกันควรจ่ายค่าชดเชยที่เหมาะสมตามความเสียหายที่เกิดขึ้น ดังนั้น เมื่อประสบปัญหานี้ คุณควรปรึกษาทนายความที่เข้าใจการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถดีที่สุด เพื่อปกป้องสิทธิ์และรับประกันว่าคุณจะได้รับค่าชดเชยที่เหมาะสมกับความเสียหายที่แท้จริง

อุทาหรณ์ ! ประกันภัย “หัวหมอ” ปฏิเสธจ่ายค่าสินไหมฯ ด้วยกระดาษแผ่นเดียว

ในปัจจุบัน หลายคนเลือกที่จะทำประกันภัยแบบ “เปิด-ปิด” เพราะคิดว่าคุ้มค่าและสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ตามความต้องการ แต่เคสที่เรานำมาวันนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการทำประกันในรูปแบบนี้อาจมีข้อเสียที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบริษัทประกันภัยพยายามจะ “ตีความเข้าข้างตัวเอง” จนทำให้ผู้เอาประกันเสียสิทธิ์และเกิดความเดือดร้อนมากกว่าที่คิด

จากความเชื่อใจสู่ความผิดหวัง

เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้เสียหายในเคสนี้ได้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะเดียวกันก็ได้ทำประกันภัยรถยนต์แบบเปิด-ปิดไว้กับบริษัทประกันภัยชื่อดัง ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปตามขั้นตอนปกติ แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อผู้เสียหายยื่นขอค่าสินไหมทดแทน บริษัทประกันภัยกลับปฏิเสธการชดใช้ค่าสินไหมด้วยกระดาษเพียงแผ่นเดียว?? โดยให้เหตุผลว่า “ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้เปิดแอปพลิเคชันประกันภัย” ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการคุ้มครองตามกรมธรรม์แบบเปิด-ปิด

ทั้ง ๆ ที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นจริง เกิดเหตุขณะเปิดแอปพลิเคชันจริง และผู้เสียหายได้ทำการติดต่อบริษัทประกันภัยในทันทีหลังเกิดเหตุ แต่บริษัทประกันกลับบอกว่า ขณะเกิดเหตุไม่ได้เปิดแอปพลิเคชันซะอย่างนั้น

สุดท้ายศาลพิพากษา : ประกันภัยต้องชดใช้เกือบ 4 แสนบาท

เมื่อเรื่องนี้ถูกฟ้องไปยังชั้นศาล ศาลจึงมีคำพิพากษาที่ชัดเจนว่า บริษัทประกันภัยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกือบ 400,000 บาทให้กับผู้เสียหาย เนื่องจากการปฏิเสธการชดใช้ของบริษัทประกันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลได้วิเคราะห์ว่าบริษัทประกันไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอที่จะพิสูจน์ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นขณะไม่ได้เปิดแอปพลิเคชัน หรือหลักฐานที่เพียงพอที่จะอ้างสิทธิ์ในการปฏิเสธความรับผิดชอบ

นอกจากนี้ ศาลยังมีการพิจารณาเพิ่มเติมให้บริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษเป็นจำนวน 150,000 บาท เนื่องจากบริษัทมีการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม โดยไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม และมีเพียงแค่หนังสือปฏิเสธเพียงแผ่นเดียวมาอ้างปฏิเสธเท่านั้น

ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะความไม่รอบคอบของบริษัทประกันภัย ซึ่งอาจมีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนด้วยการตีความสัญญาในทางที่เอาเปรียบผู้เอาประกัน สิ่งนี้ทำให้ผู้เสียหายต้องประสบปัญหาทางการเงินและการขาดความเชื่อมั่นในระบบการประกันภัย

จากเหตุการณ์นี้ เราสามารถเห็นได้ว่าบริษัทประกันภัยบางแห่งอาจใช้เงื่อนไขที่ซับซ้อนและตีความเข้าข้างตัวเองเพื่อลดความรับผิดชอบต่อผู้เอาประกัน หากไม่มีการทบทวนสัญญาและเงื่อนไขที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น ผู้เสียหายอาจต้องรับผิดชอบต่อผลเสียหายทางการเงินเองอย่างไม่เป็นธรรม

อย่านิ่งนอนใจ ประกันภัยหัวหมอมีอยู่จริง

เรื่องราวนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าผู้ที่ทำประกันภัยแบบ “เปิด-ปิด” ต้องระมัดระวังและศึกษารายละเอียดสัญญาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำประกัน อย่าไว้ใจเฉพาะคำโฆษณาหรือข้อเสนอที่ดูน่าดึงดูด แต่ต้องอ่านข้อกำหนดต่าง ๆ ของกรมธรรม์อย่างละเอียด เพราะหากเกิดปัญหา บริษัทประกันบางแห่งอาจใช้เงื่อนไขที่ซับซ้อนเพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบ และผู้เอาประกันอาจต้องเสียสิทธิ์ในการได้รับค่าสินไหมอย่างไม่เป็นธรรม

ในเคสนี้ การที่ผู้เสียหายต้องประสบกับความเดือดร้อนมากมายเพราะการปฏิเสธของบริษัทประกันภัย แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทำประกันภัยจำเป็นต้องระมัดระวังและเตรียมพร้อมเสมอ อย่าปล่อยให้ถูกบริษัทประกันเอาเปรียบ

อย่ารอจนสาย ปรึกษาทนายความคือทางออก

เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดไม่ว่าจะรถชนได้รับบาดเจ็บสาหัส เสียชีวิต หรือทรัพย์สินเสียหาย ฯลฯ ควรดำเนินการอย่างรวดเร็วในการติดต่อประกันภัยเพื่อรายงานเหตุการณ์ แต่อย่าเพิ่งไว้วางใจจนเกินไป หากรู้สึกว่ามีการปฏิเสธความรับผิดชอบหรือการใช้เงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม อาทิ กรณีบาดเจ็บสาหัส แล้วถูกประกันบอกว่าให้ไป รักษาตัวให้หายดีก่อน หรือกรณีทรัพย์สินเสียหาย ถูกประกันงัดมุกเด็ด นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ฯลฯ แบบนี้ควรปรึกษาทนายความทันที

การมีทนายความอยู่เคียงข้างจะช่วยให้คุณได้รับการดูแลและคำปรึกษาที่ถูกต้องในการดำเนินคดีหรือเจรจากับบริษัทประกัน เพื่อปกป้องสิทธิ์ของคุณอย่างเต็มที่ เพราะในหลายกรณี การต่อสู้ทางกฎหมายอาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คุณได้รับความยุติธรรมและการชดใช้ที่เป็นธรรม

จากกรณีดังกล่าว เราควรตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสอบรายละเอียดสัญญาประกันภัยอย่างรอบคอบและไม่ละเลยการปรึกษาทนายความเมื่อเกิดปัญหา แม้ว่าการทำประกันภัยจะเป็นการป้องกันความเสี่ยง แต่หากเกิดการปฏิเสธการชดใช้จากบริษัทประกัน การมีทนายความผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณสามารถรักษาสิทธิ์ของตนเองและได้รับการชดใช้ที่ถูกต้องและเป็นธรรม

ขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนกับการปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญหลังเกิดเหตุ

ขั้นตอน การฟ้องคดีรถชน รู้ไว้ไม่เสียหาย…เมื่อเกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุรถชน ไม่ว่าจะเป็นการชนที่มีผู้บาดเจ็บหรือเพียงแค่ความเสียหายทางทรัพย์สิน เช่น รถยนต์ ผู้ประสบอุบัติเหตุหลายท่านคงตั้งตัวกันไม่ถูกว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ แต่วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพามาทำความเข้าใจในขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนกันว่าเมื่อเรื่องมาถึงมือทนายแล้วมีขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและสิทธิที่ตนพึงมีอย่างไร ในบทความนี้เราจะกล่าวถึงขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนอย่างละเอียด เพื่อให้ผู้ที่ประสบภัยหรือประสบเหตุการณ์รถชนสามารถดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องและสามารถเป็นประโยชน์สูงสุดให้กับท่านอื่น ๆ ที่ต้องการรู้เรื่องนี้อีกด้วย

ขั้นตอนการฟ้องคดีรถชน

1. รวบรวมหลักฐาน

หลังจากเกิดเหตุการณ์รถชน สิ่งแรกที่ควรทำ คือ การรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น

– ถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุ ภาพรถที่ชนกัน , ภาพความเสียหาย , และภาพบาดแผลความเจ็บปวด (ถ้ามี)

– เก็บข้อมูลของผู้ขับขี่ทุกฝ่าย รวมถึงพยานที่เห็นเหตุการณ์

– บันทึกเวลาที่เกิดเหตุและสภาพอากาศในขณะนั้น

– รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทประกันภัยของทุกฝ่าย

2. แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

หลังจากรวบรวมหลักฐานเรียบร้อยแล้ว ควรแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สถานีตำรวจที่ใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ เพื่อให้ตำรวจทำการบันทึกเหตุการณ์และหรือทำบันทึกรายงานประจำวัน ซึ่งเอกสารดังกล่าวที่ออกโดยเจ้าหน้าที่จะสามารถเป็นเอกสารสำคัญในการฟ้องคดีได้

3. ติดต่อบริษัทประกันภัย

หากผู้ประสบภัยมีการประกันภัย ควรติดต่อบริษัทประกันภัยของตนเองและของคู่กรณี เพื่อแจ้งเหตุการณ์และเริ่มกระบวนการเคลมประกัน ทั้งนี้ควรเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องเช่น บันทึกประจำวัน ใบขับขี่ และบัตรประชาชนของผู้ประสบภัย

4. การประเมินค่าเสียหาย

ประเมินค่าซ่อมแซมรถยนต์ , ค่ารักษาพยาบาล (ในกรณีมีผู้ได้รับบาดเจ็บ) และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ควรได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญหรืออู่ซ่อมรถที่ได้รับการรับรองที่สามารถเชื่อถือได้

5. ติดต่อทนายความ

ขั้นตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นขั้นตอนสำคัญขั้นตอนหนึ่ง เพราะสำหรับผู้ประสบภัยที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อจากเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น การมีทนายความหลังเกิดอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด เพื่อจะได้ลดความเสี่ยงที่จะถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบ หรือพลาดไปเจอ ทะแนะก่อนเจอทนาย ดังนั้นจึงต้องรีบปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในคดีอุบัติเหตุรถยนต์ เพื่อให้คำปรึกษาและคำแนะนำขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนเพื่อเตรียมเอกสารการฟ้องคดี นอกจากนี้ทนายความจะสามารถประเมินคดีของคุณ รวมไปถึงดำเนินการรวบรวมหลักฐาน และเตรียมเอกสารที่จำเป็นให้กับคดีของคุณได้

6. การฟ้องคดีในศาล

ทนายความจะดำเนินการตามขั้นตอน การฟ้องคดีรถชน เพื่อยื่นฟ้องคดีในศาลที่มีเขตอำนาจ โดยการฟ้องคดีสามารถเป็นการฟ้องคดีทางแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย หรือการฟ้องคดีทางอาญาหากมีความผิดทางอาญาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและความเชี่ยวชาญของทนายความด้วย

7. กระบวนการพิจารณาคดี

เมื่อยื่นฟ้องคดีแล้ว ศาลจะมีการพิจารณาคดี ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ เช่น

– การสอบพยานฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลย

– การนำเสนอหลักฐานต่าง ๆ

– การไต่สวนข้อเท็จจริง

ทั้งนี้การพิจารณาคดีอาจใช้เวลานานขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดี และการตอบโต้จากฝ่ายจำเลย

8. การตัดสินคดี

หลังจากกระบวนการพิจารณาคดีเสร็จสิ้น ศาลจะมีการตัดสินคดี โดยศาลจะพิจารณาข้อเท็จจริงและหลักฐานที่นำเสนอ แล้วออกคำพิพากษาตามข้อกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นการสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย หรือสั่งลงโทษทางอาญา

9. การปฏิบัติตามคำพิพากษา

หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว ผู้ชนะคดีสามารถดำเนินการตามคำพิพากษาได้ เช่น การเรียกเก็บเงินชดใช้ค่าเสียหายจากฝ่ายที่แพ้คดี หรือการนำคำพิพากษาไปใช้ในการเรียกร้องเงินประกัน

10. การอุทธรณ์ (ถ้ามี)

หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พอใจกับคำพิพากษาของศาล ในขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนก็สามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาได้ตามกฎหมาย ซึ่งจะต้องทำภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยการอุทธรณ์จะต้องมีเหตุผลที่สมควรและมีหลักฐานเพิ่มเติม

ข้อควรระวัง

ในขั้นตอน การฟ้องคดีรถชน สำหรับทนายความมือใหม่ควรระมัดระวังเรื่องระยะเวลาฟ้องคดีและการจัดเตรียมหลักฐานที่ครบถ้วนและถูกต้อง เพื่อให้การฟ้องคดีเป็นไปอย่างราบรื่นและเพื่อให้ผู้ประสบภัยหรือลูกความได้รับความยุติธรรมที่สมควร นอกจากนี้ก็ยังมีข้อควรระวังอีกมาก หากไม่มีความเชี่ยวชาญก็อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของผู้เสียหายหรือลูกความได้เช่นเดียวกัน

ปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญ

สุดท้ายแล้วขั้นตอน การฟ้องคดีรถชน เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องการความรู้และความเข้าใจในกฎหมาย การปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณได้รับความยุติธรรมและสิทธิที่พึงมี แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด ควรปรึกษาทนายตั้งแต่เกิดเรื่อง เพื่อให้ได้คำแนะนำที่ถูกต้องและมีการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างเหมาะสมและรวดเร็ว ทนายจะช่วยในการเจรจาและดำเนินการฟ้องคดีอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คุณได้รับสิทธิและความยุติธรรมที่สมควรและการปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินคดีอย่างราบรื่นและประสบผลสำเร็จ หากต้องการปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์ต้องปรึกษาทนายสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ >> ติดต่อเรา << 

เดินเรื่องเองได้เท่าไหร่ไม่รู้ แต่มีทนายศาลพิพากษาให้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถกว่า 520,000 บาท

เดินเรื่องเองได้เท่าไหร่ไม่รู้ แต่มีทนายศาลพิพากษาให้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถกว่า 520,000 บาท

          ว่าด้วยเรื่องการเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่ารถยนต์หรือยานพาหนะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต การที่รถเกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหายและต้องเข้าศูนย์จัดซ่อมเป็นระยะเวลานานเกินควร ผลที่ตามมาย่อมสร้างความไม่สะดวก ความเสียหาย และความเดือดร้อนเป็นอย่างมากต่อผู้เอาประกันภัยและหรือเจ้าของรถ แต่จะทำอย่างไรเมื่อบริษัทประกันภัยไม่รับผิดชอบตามหน้าที่ที่ควรพึงกระทำ?

          วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพาคุณไปรู้จักกับกรณีศึกษากรณีหนึ่งที่จะชี้ให้คุณเห็นถึงความสำคัญของการมีทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์ในการเรียกร้องสิทธิ์ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถมาฝากกัน

เคสตัวอย่าง : เดินเรื่องเองถูกประกันภัยปัดซ่อมปัดรับผิดชอบ แต่มีทนายสุดท้ายได้รับความเป็นธรรม !

เคสตัวอย่าง : เดินเรื่องเองถูกประกันภัยปัดซ่อมปัดรับผิดชอบ

          อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่าวันนี้เราจะพาคุณมาดูกรณีตัวอย่างว่าด้วยเรื่องของการเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจากบริษัทประกันภัยจอมเจ้าเล่ห์ ในเคสนี้รถเบนซ์ของผู้เสียหายถูกชนได้รับความเสียหายหนัก แต่ดันถูกบริษัทประกันภัย นิ่งใส่เป็นเหตุให้รถของผู้เสียหายถูกจอดเฝ้าอู่นานร่วม 2 เดือน โดยที่ไม่ได้จัดซ่อมใด ๆ ทั้งที่บริษัทประกันภัยควรจะเร่งรัดประเมินค่าซ่อมตั้งแต่เกิดเหตุ ผู้เสียหายทนไม่ไหวด้วยความรอนานที่บริษัทประกันภัยไม่ตอบรับไม่เห็นความคืบหน้าใด ๆ จึงตัดสินใจปรึกษาทนายความจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ของเรา เพื่อเดินเรื่องเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถทันที เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก

          แต่เรื่องราวก็ยังคงไม่จบกับพฤติกรรมจอมเจ้าเล่ห์และหัวแพทย์ของบริษัทประกันภัย นอกจากบริษัทประกันภัยจะใช้ความหัวแพทย์โดยการนิ่งใส่ไม่รับผิดชอบใด ๆ ต่อผู้เสียหายแล้วหลังจากที่มีทนายความเดินเรื่องให้ ในชั้น คปภ. บริษัทประกันภัยก็ยังไม่วายที่จะหากลยุทธ์มาเอาเปรียบ ยังอ้างว่ารถของผู้เสียหายเป็นรถนำเข้าจากต่างประเทศ หาอะไหล่ยาก ต้องใช้เวลาหาอะไหล่นาน ส่งผลให้ผู้เสียหายจากที่ได้รับความเดือดร้อนมากพอตัว ก็ยิ่งได้รับความเดือดร้อนมากไปอีกเมื่อได้ยินข้ออ้างดังกล่าวจากบริษัทประกันภัย

          ในเมื่อถูกบริษัทประกันภัยทำกันถึงขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่บริษัทฯ ก็เป็นถึงบริษัทประกันวินาศภัยที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค แต่กลับสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภคอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อผู้เสียหายได้รับความเดือดร้อนขนาดนี้ ทนายอาร์ม ผู้จัดการสำนักงานฯ และทนายความประจำสำนักงานฯ จึงเดินเรื่องนี้เองทันที โดยตัดสินใจดำเนินการฟ้องบริษัทประกันภัยทันทีไม่รอช้า เพื่อเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถและความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่าหลังจากที่มีทนายความดำเนินการเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถและความเสียหายทั้งหมดจากบริษัทประกันภัยจอมเจ้าเล่ห์ และหลังจากที่ผู้เสียหายต้องได้รับความเดือดร้อนเป็นเวลานาน ในวันนี้เรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นได้จบลงแล้ว โดยศาลได้มีการพิพากษาให้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ วันละ 2,000 บาท เป็นระยะเวลา 261 วัน รวมเฉพาะค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถเป็นเงินกว่า 520,000 บาท ด้วยกัน

          จากกรณีดังกล่าวข้างต้น การเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการที่ผู้เสียหายและหรือผู้ประสบภัยควรมีทนายความผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินคดีทางด้านประกันภัย ตั้งแต่ขั้นตอนแรกหลังเกิดอุบัติเหตุทันที เพราะบริษัทประกันภัยหลายแห่งก็มักใช้เล่ห์เหลี่ยม กลยุทธ์และการประวิงเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงหรือชะลอการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ผู้เสียหายควรจะได้รับ และแน่นอนว่าการที่ผู้เสียหายต้องเดินเรื่องเองอาจทำให้ไม่สามารถรับมือกับกลยุทธ์ต่าง ๆ เหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ชี้สาเหตุ !! เดินเรื่องเองอาจได้น้อยกว่าความเสียหายที่แท้จริง มีทนายความเดินเรื่องดีอย่างไร ?

          ในการเดินเรื่องเองอาจดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ง่ายและรวดเร็ว แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด การต่อสู้กับบริษัทประกันภัยที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ เพื่อลดหรือหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และต้องใช้ความรู้ความเข้าใจทางกฎหมายอย่างลึกซึ้ง ดังนั้น การมีทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดีเกี่ยวกับการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง

          การมีทนายความที่มีความรู้และประสบการณ์ในการต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของผู้เสียหายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะทนายความจะช่วยให้กระบวนการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นไปอย่างราบรื่นและได้รับผลที่ยุติธรรมตามที่ควรจะเป็น ดังนั้น การมีทนายความตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุจึงเป็นการป้องกันตัวผู้เสียหายเอง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของบริษัทประกันภัย และเป็นการรักษาสิทธิ์ของตัวผู้เสียหายได้อย่างเต็มที่ หากเกิดอุบัติเหตุสามารถปรึกษาทนายได้ตั้งแต่เกิดเรื่อง ไม่ต้องรอให้ถูกเอาเปรียบ ปรึกษาทนาย >>ติดต่อเรา<<<

รถชนดันเจอทะแนะก่อนเจอทนาย สุดท้ายไม่รอดจะให้ทนายฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ให้ ทนายยันไม่ทำให้เด็ดขาด !

รถชนดันเจอทะแนะก่อนเจอทนาย

          สำหรับเรื่องฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ หลายท่านที่ได้ติดตามสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ของเราคงจะทราบกันแล้วว่าค่าขาดประโยชน์คืออะไร ? สำคัญอย่างไร ? และทำไมเราถึงต้องฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ รวมไปถึงคงจะทราบถึงวิธีเรียกร้องค่าขาดประโยชน์กันแล้วว่าเมื่อรถชนเกิดอุบัติเหตุ ผู้เสียหายและหรือผู้เอาประกันภัยจะต้องฟ้องเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถอย่างไร ? วันนี้ทนายอาร์มจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ของเราก็ได้นำเรื่องราวอีกมุมหนึ่งของเรื่องการฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ที่ได้เกิดขึ้นกับผู้เสียหายท่านหนึ่งที่ได้มาปรึกษาทนายความ แต่สุดท้ายทนายยืนยันว่าไม่ทำคดีให้เด็ดขาด เรื่องราวและเหตุผลที่ไม่ทำคดีให้ผู้เสียหายท่านนี้จะเพราะอะไรมาดูกัน 

ทะแนะ ! แนะจนได้เรื่องผู้เสียหายช้ำหนัก โร่มาปรึกษาทนาย

ทะแนะ ! แนะจนได้เรื่องผู้เสียหายช้ำหนัก โร่มาปรึกษาทนาย

          อย่างที่กล่าวไปข้างต้นนั้นสืบเนื่องมาจากมีผู้เสียหายท่านหนึ่งในที่นี้ขอเรียกว่าคุณ A คุณ A ได้ทักมาปรึกษาทนายอาร์มผ่านช่องทาง Line Official ของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เมื่อไม่นานมานี้ในเรื่องที่ว่าจะให้ทนายฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ให้ และได้ปรึกษามาว่า คุณ A ได้เกิดอุบัติเหตุรถชนและรถได้รับความเสียหายหนักต้องจัดซ่อมรถเป็นระยะเวลาเกือบ 100 วัน ซึ่งคุณ A เองก็ได้รับความเดือนร้อนจากเหตุการณ์นี้เป้นอย่างมาก เนื่องจากต้องใช้รถเป็นพาหนะในการทำงาน

          ต่อมาก็ได้มี “ทะแนะ” ผู้รู้ที่รู้ทุกเรื่อง แต่รู้ไม่จริงสักเรื่องได้มาแนะนำข้อมูลผิด ๆ กับคุณ A บอกว่าให้คุณ A ไปเดินเรื่องร้องเรียนได้เลยที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งเป็นสำนักงานที่คอยควบคุมและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยอยู่ในขณะเดียวกัน ซึ่งในมุมมองของทนายอาร์มมองว่า การทำงานของธุรกิจประกันภัยกับหน่วยงานของรัฐนั้นจะมีสมาคมประกันวินาศภัย ซึ่งสมาคมประกันวินาศภัยจะการส่งรายชื่อ โดยบริษัทประกันภัยจะส่งรายชื่อเข้ามาเป็นกรรมการสมาคมฯ ดังกล่าว ซึ่งการมาเป็นกรรมการสมาคมฯ หน้าที่หลักก็คือคอยถ่วงดุลระหว่างหน่วยงานของรัฐหรือคปภ.กับภาคธุรกิจนั่นเอง

          แต่ถ้าสมมติว่าภาคธุรกิจมาขัดแย้งกับหน่วยงานของรัฐ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ต่อมาจึงได้มีการสร้างสมาคมขึ้นมา ชื่อสมาคมว่า สมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมนี้ก็ได้มีการออกกฎกติกาในเรื่องของการกำหนดอัตราการจ่ายค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถมาว่า กำหนดให้ค่าขาประโยชน์ฯ วันละ 500 บาท แต่ไม่ได้ระบุว่า เพราะเหตุใดจึงกำหนดให้วันละ 500 บาท นอกจากนี้ก็ยังไม่ได้ระบุชัดเจนอีกว่าที่กำหนดมาวันละ 500 บาทนั้น กำหนดจ่ายให้ทุกวันหรือไม่อย่างไร

ทนายยืนยันหากไปหาทะแนะมาแล้ว ไม่ต้องมาหาทนาย ร้องคปภ.แล้ว ไม่รับทำคดีเด็ดขาด !

ทนายยืนยันหากไปหาทะแนะมาแล้ว

          สำหรับเรื่องราวของคุณ A ที่จะให้ทนายฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ โดยรถของคุณ A ได้จัดซ่อมไปประมาณ 90 วัน หรือเกือบ 100 วัน ซึ่งตามที่กล่าวไปคือคุณ A ดันโชคร้ายไปเจอทะแนะแล้วก็ดันหลงเชื่อทะแนะ หลังจากไปเดินเรื่องร้องคปภ. ปรากฏว่าคปภ. ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือหรือจะบังคับให้บริษัทประกันภัยจ่ายได้ตามระยะเวลาจัดซ่อมหรือ 100 วัน แต่สามารถบังคับให้บริษัทประกันจ่ายได้วันละ 500 บาท เท่านั้น ซึ่งก็ขัดแย้งกันโดยชัดเจนว่า เพราะเหตุใดจึงสามารถบังคับให้บริษัทฯ จ่ายได้วันละ 500 บาทเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ความเสียหายรถของคุณ A เสียหายเกินกว่านั้นกลับไม่สามารถบังคับให้บริษัทฯ จ่ายให้ผู้เสียหายได้

          ต่อมาเมื่อคุณ A เห็นท่าไม่ดี เพราะได้รับความเสียหายเดือนร้อนมากกว่าเดิมหลังจากหลงเชื่อทะแนะ และคปภ.ก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้ คุณ A จึงตัดสินใจเข้าปรึกษาทนายให้ช่วยฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ให้ในเวลาต่อมา และหลังจากที่คุณ A ได้มาปรึกษาทนาย ทนายจึงต้องตอบอย่างจริงใจและตรงไปตรงมายืนยันทันทีว่า “ไม่สามารถดำเนินคดีให้ได้” เนื่องจากคุณ A ได้นำข้อมูลทั้งหมดที่มีไปบอกให้กับบริษัทประกันภัย และหรือนำไปบอกกับคปภ.จนหมดแล้ว และการที่คุณ A ได้ทำอย่างนั้นไม่ว่าจะข้อมูลที่ถูกบ้าง และหรือผิดบ้าง แต่หากได้นำไปบอกคปภ.จนหมดแล้ว และเมื่อเรื่องได้มาถึงมือทนายความ ก็กลับกลายเป็นว่าทนายความจะไปรวบรวมข้อมูลและหรือลำดับเหตุการรณ์ที่คุณ A เคยไปเดินเรื่องก็ไม่ส่ามารถทำได้แล้ว และหากทำได้ก็เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร

เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ จากทนายอาร์ม รู้ทันประกันภัยเรื่องการจัดซ่อมรถ

          สำหรับกรณีของคุณ A ทำให้ได้เห็นว่าประชาชนยังขาดความรู้เกี่ยวกับเรื่องของประกันภัยพอสมควร เมื่อเกิดเหตุก็มักจะถูกเอาเปรียบได้ง่าย เพราะความ “ไม่รู้” กว่าเรื่องจะถึงมือทนายมาให้ทนายฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ให้ ก็ถูกเอาเปรียบไปมากแล้ว วันนี้ทนายอาร์มจึงได้นำเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องการเรียกค่าขาดประโยชน์ฯ มาฝากกัน

          ยกตัวอย่าง พอรถซ่อมเสร็จประกันบอกอู่ที่ไปซ่อมซ่อมล่าช้า ทำไมถึงไม่ไปซ่อมอีกอู่หนึ่ง สมมติว่าอู่ที่คุณไปซ่อมคือเอการาจ ซ่อมล่าช้า แต่ไปซ่อมอู่บี ซึ่งเป็นอู่ในเครือของบริษัทประกัน ซ่อม 10 วันก็เสร็จแล้ว ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นำมาฝากให้คิดกันเพื่อรู้ทันประกันภัย

เพราะเหตุใดจึงควรมีทนายตั้งแต่เกิดเรื่อง ?

          เหตุผลที่ผู้เสียหายและหรือผู้ประสบภัยไปฟังทะแนะก่อนที่จะมาหาทนาย เพราะผู้เสียหายอาจกลัวเสียค่าทนาย แต่ถ้าหากผู้เสียหายเลือกที่จะมาปรึกษาทนายตั้งแต่เกิดเรื่อง ยืนยันเลยว่าบริษัทประกันภัยไหนที่สามารถจ่ายได้มากกว่าวันละ 500 บาท ได้ ยืนยันเลยว่าไม่มี และจริง ๆ แล้วค่าเสียหายค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือต้องได้เท่ากับค่าเสียหายที่รถเสียหายจริง ถ้ารถเสียหายมากกว่าวันละ 500 บาท ก็จะได้มากกว่าวันละ 500 บาท ถ้าเราซ่อมรถ 100 วัน บริษัทฯ ก็ต้องจ่าย 100 วัน ดังนั้น หากไม่อยากเสียรู้ทะแนะจนนำไปสู่การเสียรู้บริษัทประกันภัยหัวแพทย์เหมือนอย่างกรณีคุณ A ที่เสียรู้ทะแนะไปแล้ว และค่อยมาหาทนายให้ฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ กว่าเรื่องจะถึงมือทนายก็เสียเรื่องและเสียรู้ไปแล้ว จึงเป็นที่มาที่ว่าเพราะเหตุใดจึงควรมีทนายตั้งแต่เกิดเรื่อง ย้ำ ! เมื่อรถชนปรึกษาทนายทันทีดีที่สุด >>ติดต่อเรา<<

เปิดเทคนิคกลยุทธ์จอมเจ้าเล่ห์บ.ประกันภัย และวิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่ถูกต้อง

เปิดเทคนิคกลยุทธ์จอมเจ้าเล่ห์บ.ประกันภัย

          ก่อนที่จะไปดูวิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่ถูกต้อง วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ก็มีความรู้ดี ๆ ที่จะทำให้ผู้ติดตามของเราทุกท่านได้รู้ทันเทคนิคและกลยุทธ์จอมเจ้าเล่ห์ของบริษัทประกันภัยก่อนที่จะถูกบริษัทประกันภัยมาเอาเปรียบในอนาคต นอกจากนี้ยังนำเทคนิคเด็ดรู้ทันบริษัทประกันภัยที่คนมีรถต้องรู้หากรถยนต์ได้รับความเสียหายกับการรู้ทันกลโกงบริษัทประกันภัยประวิงการซ่อมอีกด้วย เรียกได้ว่าหากใครไม่อยากเสียรู้บริษัทประกันภัยต้องห้ามพลาดความรู้ดี ๆ ที่เรานำมาเสนอในวันนี้เลย

รถชนแล้วอย่าเสียสิทธิประโยชน์ ค่าเสียหายจากอุบัติเหตุรถชนมีอะไรบ้าง ?

รถชนแล้วอย่าเสียสิทธิประโยชน์

          รถชนแล้วอย่าเสียสิทธิประโยชน์ให้กับบริษัทประกันภัยจอมเจ้าเล่ห์ที่หมกเม็ดไม่ยอมบอกว่าจ่ายค่าอะไรบ้าง และผู้เสียหายสามารถเรียกร้องอะไรบ้าง วันนี้เราจะพาทุกท่านมาดูกัน

1.ค่ารักษาพยาบาล ผู้เสียหายสามารถเรียกอะไรได้บ้าง ?

          1.1 ค่ารักษาพยาบาล ณ ปัจจุบัน เช่น สิทธิเฉพาะตัวของผู้เสียหายในกรณีที่ผู้เสียหายมีประกันชีวิต และบริษัทประกันชีวิตเป็นคนจ่ายเงินให้ผู้เสียหายโดยตรง ในส่วนตรงนี้ผู้เสียหายสามารถนำมาเบิกค่ารักษาพยาบาลเอากับบริษัทประกันภัยได้

          1.2 ค่ารักษาพยาบาลในอนาคต เช่น ผู้เสียหายถูกรถชนขาหักต้องผ่าตัดใส่เหล็กดาม และในอนาคตต้องมีการผ่าตัดเอาเหล็กออก หรือผู้เสียหายถูกรถชนขนใบหน้าได้รับความเสียหายอย่างหนักและในอนาคตต้องเลเซอร์ใบหน้าให้กลับมาเป็นเสมือนก่อนเกิดอุบัติเหตุ ผู้เสียหายสามารถเรียกค่าเสียหายในส่วนค่ารักษาพยาบาลในอนาคตจากการประเมินได้

2.ค่าขาดประโยชน์จากการทำมาหาได้ มี 2 กรณี ได้แก่

          2.1 ในปัจจุบัน ในระหว่างที่รถชนจนหายดี

          2.2 ในอนาคต (หากมี) เช่น ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่นิ้ว และผู้เสียหายมีอาชีพที่ต้องใช้งานนิ้วในการทำงาน แล้วนิ้วใช้งานไม่ได้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้อย่างเช่นก่อนเกิดเหตุ สิ่งนี้คือค่าขาดประโชน์จากการทำมาหาได้ต่อไปในอนาคต ผู้เสียหายสามารถเรียกร้องได้ แต่ต้องมีหลักฐาน อาทิ รูปถ่าย หรือพยานมายืนยัน

3.ค่าเสียหายที่มิใช่ตัวเงิน/ค่าทุกขเวทนา

          ในกรณีนี้จะดูจากอาการบาดเจ็บ แต่สิ่งสำคัญผู้เสียหายต้องอย่าลืมถ่ายรูปขณะที่บาดเจ็บไว้ ซึ่งเราเข้าใจดีว่าเป็นภาพที่ไม่มีใครอยากมีความทรงจำ แต่จำเป็นต้องจำ เพราะถ้าไม่จำไม่มีรูปถ่ายผู้เสียหายอาจจะไม่ได้ค่าเสียหายในส่วนนี้นั่นเอง

4.ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ

          สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้มีวิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ โดยกำหนดค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถขั้นต่ำไว้ ดังนี้

– รถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง สามารถเรียกค่าชดเชยไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท

– รถยนต์รับจ้างสาธารณะ สามารถเรียกค่าชดเชยไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท

– รถยนต์ขนาดเกิน 7 ที่นั่ง สามารถเรียกค่าชดเชยไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท

รู้ทันกลโกงบริษัทประกันภัยในการประวิงการซ่อม

1.ประวิงการประเมินการซ่อม

          สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดไว้ว่ากรณีที่ถือว่าเป็นการประวิงค่าสินไหมทดแทนก็คือ ไม่ยอมประเมินการจัดซ่อมภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด คือ 15 วัน หมายความว่าวันเกิดวินาศภัยวันใด วันนั้นบริษัทประกันภัยต้องทำการประเมินค่าเสียหายของทรัพย์สิน เพื่อแจ้งให้กับผู้เอาประกันภัยทราบ เช่น รถถูกไฟไหม้วันนี้ ภายใน 15 วันบริษัทประกันภัยต้องประเมินแจ้งผู้เอาประกัน เพราะการประเมินแจ้ง ผู้เอาประกันจะได้ตัดสินใจว่ารถคันนี้ต้องคืนทุนหรือไม่คืนทุน และหรือจะซ่อมต่อไปไม่ได้

2.บริษัทประกันภัยออกหลักฐานให้ แต่ไม่ซ่อมให้ โดยอาศัยเหตุสงสัย

          ประวิงที่ 2 บริษัทประกันภัยออกหลักฐานให้ผู้เอาประกันภัย แล้วบริษัทประกันภัยไม่ซ่อม โดยอาศัยเหตุสงสัย ในความเป็นจริงตามข้อเท็จจริงผู้เสียหายถูกชนบริษัทประกันภัยจะต้องเร่งรัดการจัดซ่อม เพราะกฎหมายต้องการให้คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์ได้มีโอกาสได้ใช้สอยทรัพย์นั้นด้วยความรวดเร็ว ไม่เสียหาย และไม่ขาดประโยชน์ ไม่เกิดกระบวนการที่ล่าช้าหรือบั่นทอน เพราะฉะนั้นถ้าคุณเกิดเหตุคุณควรที่จะปรึกษาทนายเป็นอันดับแรกดีที่สุด  

วิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ เรียกอย่างไรให้ถูกต้องและได้จริง

           วิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่ใครหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าหากเมื่อรถเกิดความวินาศภัยและรถยนต์ได้รับความเสียหาย เจ้าของรถและหรือผู้เอาประกันภัยสามารถเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจากบริษัทประกันภัยได้ ซึ่งวิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถก็มีด้วยกันหลายวิธี เช่น ผู้เอาประกันภัยหรือเจ้าของรถสามารถไปเดินเรื่องเรียกร้องได้เอง ซึ่งในกรณีไปเดินเรื่องเรียกร้อง อาจใช้ระยะเวลาที่นานและหรือต้องเสียเวลาในการเดินทางเพื่อไปเดินเรื่องบ่อยครั้ง แต่วิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่จะสามารถทำให้ผู้เสียหายหรือผู้เอาประกันภัยได้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถอย่างถูกต้องและเหมาะสมนั่นคือ การให้ทนายความดำเนินการเรียกร้องให้ เพราะทนายความจะมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้มากกว่า อีกทั้งทนายความยังมีวิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่เป็นเทคนิคกลยุทธ์เฉพาะตัวของทนายเองในดำเนินคดีเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ฯ ให้กับผู้เสียหายได้ และที่สำคัญคือผู้เสียหายไม่ต้องเสียเวลาในการไปเดินเรื่องเอง เพราะทนายความจะเป็นผู้ที่ดำเนินการแทนทุกขั้นตอนจนสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์ฯ ให้กับผู้เสียหายได้ในระยะเวลาไม่นานนั่นเอง ดังนั้น เมื่อรถเกิดความวินาศภัยสามารถมีทนายความได้ทันทีไม่ต้องคิดนาน และหรือไม่ต้องรอให้บริษัทประกันภัยมาเอาเปรียบ ปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์ได้ที่เพจกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์

ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ ? เรื่องที่คนมีรถต้อง “รู้” ก่อนเสียรู้ประกันภัย

ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ ? เรื่องที่คนมีรถต้อง “รู้” ก่อนเสียรู้ประกันภัย

          ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คืออะไร ?? หากใครที่ได้ติดตามสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ของเรา คงจะทราบกันแล้วว่าค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คืออะไร เพราะเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้มีรถยนต์หลาย ๆ ท่านต้องทราบไว้ เนื่องจากเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าในวันหนึ่งหรือวันไหนจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดกับรถของคุณได้บ้าง การมีความรู้เกี่ยวกับประกันภัย และหรือค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คืออะไร มีความเกี่ยวข้องกับรถของคุณอย่างไรนั้นเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องรู้ เพื่อวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นมาจะได้ไม่เสียรู้บริษัทประกันภัย รวมไปถึงทะแนะผู้ที่ให้ความรู้ผิด ๆ กับผู้ที่ไม่มีความรู้ด้วย  

คนมีรถต้องรู้ “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ ?”

คนมีรถต้องรู้ “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ

          ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ ค่าสินไหมทดแทนหรือที่เรียกว่าเงินชดเชยที่เจ้าของรถฝ่ายถูกสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากคู่กรณีได้ ค่าขาดประโยชน์ฯ ถือเป็นค่าใช้จ่าย อาทิ ค่าเดินทาง , ค่าเช่ารถระหว่างที่รถจัดซ่อมอยู่ที่อู่ ตามหลักแล้วผู้ที่ต้องจ่ายค่าชดเชยหรือค่าขาดประโยชน์ฯ จากการที่ทำให้เจ้าของรถฝ่ายถูกไม่มีรถใช้ก็คือ “บริษัทประกันภัย” ของรถคู่กรณีฝ่ายผิด แต่ถ้ารถของคู่กรณีไม่มีประกันเจ้าของรถฝ่ายถูกก็สามารถเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ฯ กับตัวคู่กรณีได้โดยตรงนั่นเอง

ไม่อยากเสียเปรียบบริษัทประกันภัยหัวแพทย์อย่าหลงเชื่อทะแนะ ! หลังเกิดอุบัติเหตุปรึกษาทนายได้ทันที

          สำหรับใครที่ไม่อยากตกเป็นเหยื่อหรือไม่อยากเสียเปรียบบริษัทประกันภัยหัวแพทย์เหมือนอย่างผู้เสียหายท่านอื่น ๆ หลังเกิดอุบัติเหตุสามารถปรึกษาทนายและหรือมีทนายได้ทันที ไม่ต้องรอคำแนะนำจากทะแนะ หรือผู้รู้/ผู้มีประสบการณ์ท่านอื่น ๆ เพราะเหตุการณ์หรือกรณีที่แต่ละคนได้ประสบพอเจอมาไม่เหมือนกัน ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือสิ่งที่จำเป็นต้องรู้อย่างยิ่ง และวันนี้เราก็ได้ยกตัวอย่างกรณีผู้เสียหายได้เกิดอุบัติเหตุรถชน แล้วรถ/ทรัพย์สินได้รับความเสียหนักมาฝากให้ทุกท่านได้ดูเป็นอุทาหรณ์กัน

เดินเรื่องเรียกร้องเอง ประกันปฏิเสธค่าซ่อม

          เคสนี้รถของผู้เสียหายถูกชนท้ายยับเรียกได้ว่าได้รับความเสียหายไม่น้อยเลยทีเดียว จากอุบัติเหตุนี้ส่งผลทำให้ผู้เสียหายไม่มีรถใช้นานเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน เนื่องจากรถต้องจอดซ่อมอยู่ที่อู่ และแม้ว่าคู่กรณีจะรับผิดว่าประมาทแล้ว แต่บริษัทประกันภัยตัวดีของคู่กรณีก็ยังไม่สนใจใยดี จนผู้เสียหายทนไม่ไหวตัดสินใจเดินเรื่องเรียกร้อง #ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ เอง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แต่ผลที่ออกมาหลังจากที่ผู้เสียหายได้ดำเนินการเรียกร้องไปนั้นกลับถูกบริษัทประกันภัยใช้ข้ออ้างสาระพัดมาปัดความรับผิดชอบ อาทิ “บริษัทไม่ได้เป็นผู้สั่งซ่อม” บ้างล่ะ , “ตามความเสียหายใช้เวลาซ่อมไม่เกิน 64 วัน” บ้างล่ะ และหากพูดถึงเรื่องค่าเสื่อมสภาพบริษัทประกันภัยยังอ้างอีกว่า “ไม่สามารถพิสูจน์ได้เนื่องจากไม่มีเอกสารประเมินของหน่วยงานที่เชื่อถือได้” เจอแบบนี้ผู้เสียหายก็ถึงกับไปไม่เป็น เพราะถูกบริษัทจ้องจะเอาเปรียบในทุกทางและในเมื่อเดินเรื่องเองแล้วไม่เป็นผลจึงต้องให้ #ทนายอาร์ม เข้าดำเนินคดีจัดการให้ทันที จากกรณีดังกล่าวเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าการที่ไปเดินเรื่องเรียกร้องเองนั้น นอกจากจะทำให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ยังถูกบริษัทประกันภัยนำข้ออ้างต่าง ๆ นานา มาปัดความรับผิดชอบอีก และยิ่งบริษัทฯ เห็นว่าคุณไม่มีความรู้ใด ๆ ก็ยิ่งหาเรื่องมาปฏิเสธความรับผิดชอบที่มากกว่าเดิม จนสุดท้ายคุณแทบจะไม่ได้อะไร และหรือเท่ากับศูนย์เลยก็ว่าได้ การมีทนายความในการดำเนินการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือสิ่งที่ควรทำ เพราะจะสามารถช่วยคุณเรียกร้องค่าของความเสียหายได้อย่างเป็นรูปธรรม

ปรึกษาทนายตัวจริงไม่ใช่ทะแนะ ต้องที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

          เกิดอุบัติเหตุรถชนทรัพย์สินเสียหายแล้วถูกบริษัทประกันภัยจอมเจ้าเล่ห์ “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ปฏิเสธการรับผิดชอบค่าเสียหายใด ๆ อย่ายอมหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อข้ออ้าง 108 ของบริษัทประกันภัยหัวแพทย์เด็ดขาด เพราะนอกจากคุณจะถูกอ้างว่า “คุณเมาแล้วขับ” ไม่ว่าจะเมาแล้วขับจริงหรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้คุณยังจะไม่ได้รับการแสดงความรับผิดชอบใด ๆ จากบริษัทประกันภัยเลยก็ว่าได้ ดังนั้น หากเกิดอุบัติเหตุรถชน รถได้รับความเสียหาย อย่าหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ และข้อสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามอย่าลืมเรียก ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ และความรู้เรื่องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คืออะไรเป็นสิ่งที่ทุกท่านควรรู้เพื่อในอนาคตจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อเสียรู้ถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบจนไม่ได้รับค่าเสียหายใด ๆ เลย และที่สำคัญหากเกิดอุบัติเหตุไม่ต้องรอช้าหลังเกิดเหตุสามารถปรึกษาทนายตัวจริงได้ทันทีที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

ทำความรู้จักค่าขาดประโยชน์ คืออะไรให้มากขึ้น พร้อมวิธีการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ฯ ที่ถูกต้อง

ทำความรู้จักค่าขาดประโยชน์ คืออะไรให้มากขึ้น พร้อมวิธีการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ฯ ที่ถูกต้อง

          ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ หรือที่คนส่วนใหญ่มักจะเรียกสั้น ๆ ว่า ค่าขาดประโยชน์ฯ สำหรับค่าขาดประโยชน์นี้หลายท่านอาจจะไม่รู้จักว่า ค่าขาดประโยชน์ คืออะไร สามารถเรียกร้องได้เมื่อไร และหรือวิธีการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ต้องทำอย่างไร วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ จะมานำเสนอในเรื่องของค่าขาดประโยชน์กันอีกสักครั้ง เพื่อเน้นย้ำว่าค่าขาดประโยชน์ คืออะไร และผู้มีรถสมควรเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถอย่างไร

ค่าขาดประโยชน์คืออะไร?  ทำไมคนมีรถไม่ควรเสียสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์ ?

ค่าขาดประโยชน์คืออะไร ทำไมคนมีรถไม่ควรเสียสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์

          ค่าขาดประโยชน์ คือ ค่าสินไหมทดแทนและหรือเงินชดเชยที่บริษัทประกันภัยจะต้องรับผิดชอบแทนผู้ขับขี่ กรณีที่รถคันเอาประกันภัยภาคสมัครใจ เป็นฝ่ายผิด กรณีเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก และมีการเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากการขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามจริง  ดังนั้น ผู้มีรถสามารถเรียกร้องจากบริษัทประกันภัยได้หากรถยนต์ของคุณเกิดอุบัติเหตุ และรถยนต์ต้องเข้าศูนย์ซ่อมไม่สามารถใช้สอยรถของตนเองในการทำงานหรือการดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ  ในช่วงที่รถของคุณซ่อมอยู่ที่อู่หรือศูนย์ซ่อมและคุณไม่มีรถใช้ในการทำงาน และหรือในการดำเนินชีวิตประจำวัน ระหว่างที่คุณไม่สามารถใช้งานรถได้นั้น ในส่วนตรงนี้คือคุณสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้นั่นเอง

          เมื่อทราบถึงตรงนี้แล้วหลายท่านคงเข้าใจกันแล้วว่า ค่าขาดประโยชน์ คืออะไร ต่อมาเราจะพาทุกท่านมาดูกันว่าหลักเกณฑ์การจ่ายค่าสินไหมทดแทนในส่วนของค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถกันว่ามีรายละเอียดอย่างไรบ้าง

         สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ ดังนี้
1. รถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกผู้โดยสารรวมทั้งผู้ขับขี่ไม่เกิน 7 คน ในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท
2. รถยนต์รับจ้างสาธารณะที่มีที่นั่งไม่เกิน 7 คน ในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท
3. รถยนต์ที่มีที่นั่งเกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกผู้โดยสารรวมทั้งผู้ขับขี่เกิน 7 คน ในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท
ทั้งนี้ กรณีรถยนต์ประเภทอื่นที่ไม่ได้ถูกกำหนดอัตราไว้ข้างต้น สามารถเรียกร้องได้ตามความเสียหายที่แท้จริง

วิธีการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่ถูกต้อง

วิธีการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่ถูกต้อง

          ค่าขาดประโยชน์ คืออะไรทุกคนครงทราบกันแล้ว และสำหรับวิธีการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ที่ถูกต้องให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนที่เหมาะสมและได้รับความเป็นธรรมอย่างถึงที่สุด คือ การปรึกษาทนายความนั่นเอง ใรความเป็นจริงแล้วก็จริงอยู่ที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถเดินเรื่องเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้เอง แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าการเดินเรื่องเรียกร้องเองนั้นต้องใช้เวลาและต้องเสียเวลาในการเดินเรื่อง เพราะมีขั้นตอนค่อนข้างมาก แต่ถ้าหากคุณใช้บริการทนายความในการดำเนินคดีเดินเรื่องค่าขาดประโยชน์ คือ เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในส่วนของค่าขาดประโยชน์นี้ คุณไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง เสียเวลาจัดการเดินเรื่อง รวมไปถึงไม่ต้องเสียเวลาในการทำงานของคุณอีกด้วย เพราะทนายความจะช่วยสร้างความสะดวกสบายให้กับคุณและเดินเรื่องของคุณอย่างต่อเนื่องในเวลาอันรวดเร็ว และได้รับค่าสินไหมทดแทนในส่วนของค่าขาดประโยชน์ในการใช้รถที่เป็นธรรมและเหมาะสมอีกด้วย ดังนั้น ค่าขาดประโยชน์ คือคนมีรถหากรถเกิดอุบัติเหตุต้องจัดซ่อมนานไม่ควรเสียสิทธิ สามารถติดต่อทนายเพื่อดำเนินการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้ทันที

ย้ำอีกครั้ง ! รถพัง เข้าอู่ซ่อม อย่าลืมเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ

          ค่าขาดประโยชน์ คืออะไร สำคัญและจำเป็นที่จะต้องเรียกร้องในส่วนนี้หรือไม่เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหาย ทุกคนก็คงทราบและเห็นความสำคัญของค่าขาดประโยชน์กันแล้ว ค่าขาดประโยชน์ คือ หากรถพัง เข้าอู่ซ่อมนาน อย่าลืม ! เรียกค่าขาดประโยชน์ และหากพบบริษัทประกันภัยทำเล่นลิ้นลีลาปฏิเสธการจ่ายหรือปฏิเสธการจ่ายชดเชยค่าเสียหาย สามารถปรึกษาทนายความให้ช่วยดำเนินการได้ เพราะ ค่าขาดประโยชน์ คือ ค่าสินไหมทดแทนที่คนมีรถห้ามพลาดที่จะเรียกร้อง ปรึกษาทนายความเพื่อเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้ที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์