โนตารี คืออะไร? ทำไมเอกสารสำคัญถึงต้องมี “โนตารีพับลิค” รับรองไว้?

ในยุคที่เอกสารทางกฎหมายมีบทบาทสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจ การทำธุรกรรมระหว่างประเทศ หรือแม้แต่การยื่นเอกสารราชการบางประเภท คำว่า “โนตารี” (Notary Public) หรือ “โนตารีพับลิค” กลายเป็นสิ่งที่หลายคนต้องรู้จักและหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย

แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่า…
โนตารีคืออะไร? จำเป็นแค่ไหน? แล้วทำไมต้องให้ “ทนายความ” ที่มีคุณสมบัติเป็นโนตารีพับลิคเป็นผู้รับรอง?

วันนี้ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะมาอธิบายให้เข้าใจ พร้อมแนะนำบริการโนตารีพับลิคครบวงจร ที่สะดวก รวดเร็ว และถูกต้องตามกฎหมาย ดำเนินการเสร็จภายใน 1 วันเท่านั้น

 “โนตารี” คือใคร และมีหน้าที่อะไร?

โนตารี (Notary Public) คือ ทนายความที่ได้รับอนุญาตจากสภาทนายความให้ทำหน้าที่รับรองเอกสาร หรือการลงลายมือชื่อของบุคคลในเอกสารต่าง ๆ เพื่อยืนยันว่าเอกสารนั้นเป็นของจริง และผู้ลงชื่อมีตัวตนจริง

โนตารีพับลิคในประเทศไทยจะต้องเป็น ทนายความที่ผ่านการอบรมและได้รับใบอนุญาตอย่างเป็นทางการจากสภาทนายความ ซึ่งเป็นการรับรองตามมาตรฐานเดียวกับต่างประเทศ

หน้าที่หลักของโนตารีพับลิค เช่น

  • รับรองลายมือชื่อในเอกสารทางกฎหมาย
  • รับรองสำเนาเอกสารสำคัญ
  • รับรองคำแปลของเอกสาร
  • รับรองเอกสารสำหรับใช้ในต่างประเทศ (เช่น ใช้ยื่นวีซ่า หรือเอกสารธุรกิจระหว่างประเทศ)
  • รับรองคำให้การหรือหนังสือมอบอำนาจ

เอกสารแบบไหนที่ “ต้อง” ใช้โนตารีพับลิค?

เอกสารบางประเภทจะ ไม่มีผลทางกฎหมายต่างประเทศ หากไม่มีการรับรองจากโนตารีพับลิค เช่น

1.     เอกสารสำหรับใช้ต่างประเทศ

o    หนังสือมอบอำนาจให้บุคคลในต่างประเทศ

o    เอกสารสมัครเรียน หรือเอกสารประกอบการทำงานในต่างประเทศ

o    สัญญาระหว่างประเทศ หรือเอกสารธุรกิจข้ามชาติ

2.     เอกสารที่ต้องใช้ยื่นต่อสถานทูต / สถานกงสุล
เช่น ใบรับรองการทำงาน ใบรับรองความประพฤติ ใบเกิด ใบสมรส ฯลฯ

3.     เอกสารทางธุรกิจและการลงทุน
เช่น ข้อตกลงทางการค้า สัญญาซื้อขายหุ้น หนังสือมอบอำนาจผู้ถือหุ้น หรือเอกสารจดทะเบียนบริษัทต่างประเทศ

4.     เอกสารทางการเงิน
เช่น หนังสือรับรองรายได้ เอกสารแสดงฐานะทางการเงิน เพื่อยื่นประกอบการขอสินเชื่อหรือขอวีซ่า

ทำไมต้องให้ “ทนายความโนตารีพับลิค” เป็นผู้รับรอง?

เพราะในประเทศไทย บุคคลทั่วไปไม่มีสิทธิ์ทำหน้าที่โนตารีได้ มีเพียง ทนายความที่ได้รับการแต่งตั้งจากสภาทนายความ เท่านั้นที่สามารถลงนามในฐานะโนตารีพับลิคได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ข้อดีของการให้ทนายความเป็นผู้รับรองเอกสาร ได้แก่

มั่นใจได้ว่าเอกสารถูกต้องตามกฎหมาย
ทนายความเข้าใจกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศอย่างลึกซึ้ง ทำให้การรับรองเอกสารมีความถูกต้องตามหลักกฎหมายทุกประการ

เพิ่มความน่าเชื่อถือในระดับสากล
เอกสารที่รับรองโดยโนตารีพับลิคสามารถนำไปใช้ต่างประเทศได้ โดยเฉพาะเมื่อผ่านการรับรองจากกรมการกงสุล (Legalization) ต่อ

ลดความเสี่ยงเอกสารปลอม / ลายเซ็นปลอม
เพราะโนตารีจะต้องตรวจสอบตัวตนของผู้ลงนามอย่างเข้มงวดก่อนรับรองเอกสาร

ใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้
หากเกิดข้อพิพาท เอกสารที่ผ่านการรับรองจากโนตารีพับลิคมีน้ำหนักในทางกฎหมายมากกว่าเอกสารทั่วไป

โนตารีพับลิคกับชีวิตจริง จำเป็นกว่าที่คิด!

ไม่ว่าจะเป็น

  • เจ้าของกิจการที่ต้องทำสัญญากับคู่ค้าต่างประเทศ
  • คนที่กำลังสมัครเรียนหรือขอวีซ่าไปต่างประเทศ
  • หรือแม้แต่คนที่ต้องมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปดำเนินการแทนในต่างประเทศ

เอกสารทั้งหมดนี้ “ต้องมีโนตารีพับลิค” เพื่อรับรองความถูกต้องและตัวตนของผู้ลงนามเสมอ

ดังนั้น อย่าคิดว่า “เอกสารทั่วไปไม่จำเป็นต้องมีโนตารี” เพราะแม้แต่หนังสือมอบอำนาจธรรมดา หากจะใช้ในต่างประเทศ ก็ต้องผ่านการรับรองโนตารีก่อนเสมอ

บริการโนตารีพับลิคโดย “สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์” ดำเนินการภายใน 1 วันเท่านั้น

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ให้บริการ โนตารีพับลิคครบวงจร โดยทนายความที่ได้รับอนุญาตจากสภาทนายความอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

บริการของเราโดดเด่นด้วยความ รวดเร็ว ถูกต้อง และสะดวกสูงสุด

·  ดำเนินการภายใน 1 วันเท่านั้น
เอกสารคุณจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมรับรองภายในวันเดียว ไม่ต้องรอหลายวันให้ยุ่งยาก

·  ไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงาน
เพียงส่งเอกสารผ่านช่องทางออนไลน์ ทีมทนายความจะตรวจสอบความถูกต้องและดำเนินการรับรองให้ทันที

·  จัดส่งเอกสารตัวจริงถึงมือคุณ

  • สำหรับพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล — จัดส่งเอกสารฉบับจริงโดย แมสเซ็นเจอร์มืออาชีพ ถึงที่
  • สำหรับ ต่างจังหวัด — จัดส่งแบบด่วนพิเศษ ได้รับไวภายใน 1–2 วันทำการ

·  รับรองเอกสารทุกประเภท
ไม่ว่าจะเป็นหนังสือมอบอำนาจ สัญญา ใบรับรอง หรือคำแปลเอกสาร ทีมทนายความของเราพร้อมดำเนินการให้ครบถ้วนตามขั้นตอน

ทำไมต้องเลือกใช้บริการที่ “สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์”?

เพราะเราคือสำนักงานกฎหมายที่ให้บริการโดยทีมทนายความมืออาชีพ เชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมายภายในประเทศและเอกสารระหว่างประเทศ โดยเฉพาะด้านโนตารีพับลิค

✔ ทีมทนายได้รับใบอนุญาตโนตารีพับลิคจากสภาทนายความ
✔ ตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดก่อนรับรองทุกฉบับ
✔ ให้คำปรึกษาก่อนและหลังการรับรองเอกสาร
✔ ส่งงานรวดเร็ว เสร็จภายใน 1 วัน
✔ มีบริการจัดส่งเอกสารถึงบ้านทั่วประเทศ

“โนตารีพับลิค” ไม่ใช่แค่เรื่องของความถูกต้องทางเอกสาร แต่คือการยืนยันความน่าเชื่อถือและความถูกต้องทางกฎหมายในทุกการทำธุรกรรม

การมี “โนตารีพับลิค” รับรองเอกสาร ไม่ใช่แค่เรื่องของความถูกต้องทางเอกสาร แต่คือการ ยืนยันความน่าเชื่อถือและความถูกต้องทางกฎหมาย ของคุณในทุกการทำธุรกรรม

หากคุณต้องการความมั่นใจในเอกสารสำคัญ ไม่ว่าจะใช้ในประเทศหรือต่างประเทศ ให้ “สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ โนตารีพับลิค” ดูแลแทนคุณ

ดำเนินการง่าย ✔
ไม่ต้องเดินทาง ✔
รับรองโดยทนายความมืออาชีพ ✔
พร้อมจัดส่งฉบับจริงถึงบ้านภายใน 1 วัน ✔

เพราะเอกสารของคุณมีคุณค่าให้โนตารีพับลิคจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เป็นผู้รับรองความถูกต้องให้ทุกขั้นตอน

ต้องการใช้บริการโนตารีพับลิคภายใน 1 วัน
📞 ติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ หรือทักมาทางช่องทางออนไลน์ได้ทันทีสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบจบในที่เดียว!

ผ่อนประกันภัยรถยนต์ ได้จริงไหม? แล้วถ้าเกิดเหตุแต่ยังผ่อนไม่หมด ประกันจะคุ้มครองหรือไม่?

ทุกวันนี้การ ผ่อนประกันภัยรถยนต์ กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับคนมีรถเกือบทุกกลุ่ม โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจตึงตัว การจ่ายค่าเบี้ยทีเดียวทั้งก้อนอาจทำให้หลายคนรู้สึกหนักใจ การผ่อนจ่ายรายเดือนจึงเป็นทางออกที่ดี ที่ทำให้คนมีรถสามารถมี “หลักประกันความอุ่นใจ” ได้โดยไม่ต้องกระทบเงินหมุนในชีวิตประจำวันมากนักแต่คำถามที่คนจำนวนไม่น้อยยังสงสัยก็คือ…

 “ถ้าเกิดอุบัติเหตุ แต่ผ่อนค่าเบี้ยประกันภัยยังไม่หมด ประกันภัยจะคุ้มครองไหม?”

คำถามนี้สำคัญมาก และเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิทธิของผู้เอาประกันภัย เพราะหลายกรณีเกิดข้อโต้แย้งกับบริษัทหรือกับตัวแทนจนกลายเป็นคดีความได้เลย

ทำความเข้าใจ การผ่อนประกันภัยรถยนต์คืออะไร?  

การ “ผ่อนประกันภัยรถยนต์” หมายถึงการที่ผู้เอาประกันภัยไม่ได้ชำระค่าเบี้ยทั้งหมดในคราวเดียว แต่แบ่งจ่ายเป็นงวด ๆ ตามข้อตกลง เช่น รายเดือน หรือรายไตรมาส

ในทางปฏิบัติ การผ่อนประกันภัยอาจเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่น

  • ผ่อนผ่าน บัตรเครดิต (ธนาคารเป็นผู้ให้สินเชื่อ)
  • ผ่อนกับ ตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยโดยตรง
  • ผ่อนกับผู้ให้บริการสินเชื่อภายนอก ที่ร่วมมือกับบริษัทประกันภัย

ไม่ว่าคุณจะผ่อนรูปแบบไหน สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ “สัญญาประกันภัย” ถือว่าเกิดขึ้น ทันทีที่มีการตกลงกันถูกต้องและมีการชำระค่าเบี้ยงวดแรกแล้ว

แล้วถ้ายังผ่อนไม่หมด แต่เกิดอุบัติเหตุขึ้น ประกันต้องคุ้มครองไหม?

ตามหลักกฎหมายต้องคุ้มครองแน่นอน

เพราะในทางกฎหมาย “สัญญาประกันภัย” ถือว่าเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่มี คำเสนอ – คำสนองตรงกัน และมี การชำระค่าเบี้ย (แม้เพียงงวดแรก) เสร็จสมบูรณ์

การที่คุณ “ผ่อนค่าเบี้ย” ไม่ได้แปลว่าบริษัทประกันภัยเป็นคนให้ผ่อนนะคะ แต่เป็น “ตัวแทน” หรือ “ธนาคาร” ที่ให้เครดิตแก่คุณ เพราะฉะนั้น บริษัทประกันภัยได้รับเงินค่าเบี้ยครบถ้วนแล้วจากผู้ให้เครดิตตั้งแต่ต้น

กล่าวอีกอย่างคือ

  • บริษัทประกันภัยรับเงินเต็มแล้ว
  • ตัวแทนหรือธนาคารเป็นผู้ให้คุณ “ผ่อนใช้คืน” ภายหลัง

ดังนั้น หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น แม้ว่าคุณยังผ่อนไม่หมด บริษัทประกันภัยต้องคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ ส่วนเรื่องการผ่อนไม่ครบเป็นเรื่องระหว่างคุณกับผู้ให้สินเชื่อ ไม่เกี่ยวกับการรับผิดของบริษัทประกันภัยโดยตรงเลย

ตัวอย่างสถานการณ์จริง

สมมติว่าคุณซื้อ ประกันภัยชั้น 1 ผ่านตัวแทน โดยผ่อน 10 งวด

  • ตัวแทนนำเงินค่าเบี้ยทั้งหมดไปชำระให้บริษัทประกันภัยทันที
  • บริษัทประกันภัยออก กรมธรรม์ละใบเคลม ให้คุณเรียบร้อย

แต่ต่อมาคุณค้างผ่อนไป 3 งวด แล้วเกิดอุบัติเหตุ บริษัทประกันภัยบางแห่งอาจอ้างว่า “ไม่คุ้มครองเพราะยังผ่อนไม่หมด”

ซึ่งตามกฎหมายแล้วถือว่าไม่ถูกต้อง! เพราะบริษัทได้ค่าเบี้ยครบแล้วตั้งแต่ตอนตัวแทนนำส่ง ดังนั้นความคุ้มครองยังคงอยู่

อย่างไรก็ตาม ตัวแทนหรือนายหน้าก็มีสิทธิ์เรียกเก็บเงินผ่อนค้างชำระจากคุณภายหลังได้ตามสัญญา

ความเห็นจาก “ทนายอาร์ม” อย่าคิดจะหยุดผ่อนเพราะคิดว่าบริษัทต้องคุ้มครองอยู่ดี

“สัญญาประกันภัยคือสัญญาที่เกิดขึ้นเมื่อมีคำเสนอคำสนองตรงกัน และมีการชำระค่าเบี้ยประกันภัย ไม่ว่าจะจ่ายเต็มหรือผ่อน ถ้าได้เริ่มชำระแล้ว ประกันภัยต้องคุ้มครองแน่นอนครับ”

“แต่สิ่งสำคัญคือคุณต้องมีความรับผิดชอบในสัญญาด้วย อย่าคิดจะหยุดผ่อนเพราะคิดว่าบริษัทต้องคุ้มครองอยู่ดี นั่นจะกลายเป็นปัญหาทางจริยธรรม และอาจกระทบเครดิตของคุณภายหลังได้”

ทนายอาร์มยังแนะนำเพิ่มเติมว่า หากเกิดเหตุแล้วบริษัทประกันภัยปฏิเสธความคุ้มครองโดยอ้างเรื่อง “ผ่อนไม่หมด” ผู้เอาประกันภัยสามารถยื่นฟ้องศาลในฐานะ “ผู้บริโภค” ได้เลย ซึ่งคดีประเภทนี้อยู่ในหมวดคดีคุ้มครองผู้บริโภค ศาลมักพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับผู้เอาประกันภัย หากมีหลักฐานชัดเจนว่าได้เริ่มชำระเบี้ยแล้วจริง

ผ่อนประกันภัยรถยนต์มีข้อดีอย่างไร?

1.เข้าถึงความคุ้มครองง่ายขึ้น — คนที่มีงบน้อยไม่ต้องรอเก็บเงินก้อนใหญ่ก็สามารถมีประกันได้

2.ช่วยบริหารสภาพคล่องทางการเงิน — ไม่กระทบเงินหมุน ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ต่อเนื่อง

3.ได้รับสิทธิความคุ้มครองทันที — หลังชำระงวดแรก บริษัทจะออกกรมธรรม์และคุ้มครองทันที

4.มีหลักฐานชัดเจนทางกฎหมาย — ทุกการผ่อนจะมีเอกสารยืนยัน สามารถใช้เป็นหลักฐานได้หากเกิดข้อพิพาท

อย่าปล่อยให้รถไม่มีประกันภัย แม้งบน้อยก็เริ่มได้!

หลายคนคิดว่า “ยังไม่พร้อม” เพราะเงินไม่พอจ่ายเบี้ยเต็ม แต่จริง ๆ แล้วทุกคนสามารถเริ่มได้ด้วย ประกันภัยรถยนต์แบบผ่อน โดยเฉพาะกับ “ทนายอาร์ม” ซึ่งนอกจากจะเป็นตัวแทนจำหน่ายประกันภัยแล้ว ยังเป็นทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านคดีประกันภัยโดยตรง

ซื้อประกันภัยกับสำนักงานประกันวินาศภัย ศุภสิทธิ์ ศิริ (โปรเด็ดประกันภัย by ทนายอาร์ม)
คุณจะได้ทั้ง
✅ ความคุ้มครองจากบริษัทประกันภัยชั้นนำ
✅ ตัวเลือกการผ่อนสบาย ดอกเบี้ยต่ำ
✅ และที่ปรึกษาทางกฎหมายส่วนตัว เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือข้อพิพาท

ผ่อนประกันภัยรถยนต์” ไม่เพียงช่วยให้คนมีรถทุกระดับเข้าถึงความคุ้มครองได้ง่ายขึ้นเท่านั้น แต่ในทางกฎหมาย ยังถือว่าสัญญาประกันภัยเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่วันแรกที่เริ่มชำระค่าเบี้ย ดังนั้น หากเกิดอุบัติเหตุระหว่างผ่อน บริษัทประกันภัย ต้องคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์

เพียงแค่คุณมีวินัยผ่อนให้ครบ และเลือกทำประกันภัยกับตัวแทนที่น่าเชื่อถือ มีที่ปรึกษากฎหมายคอยดูแล อย่าง “ทนายอาร์ม

หากต้องการปรึกษาเรื่องการทำประกันภัย ติดต่อ สำนักงานประกันวินาศภัย ศุภสิทธิ์ ศิริ ได้เลยวันนี้ หรือต้องการปรึกษากฎหมาย คลิก >>ติดต่อเรา<<

เพราะ “ซื้อประกันภัยกับทนายอาร์ม” คุณไม่ได้แค่ซื้อความคุ้มครอง แต่ซื้อ “ความมั่นใจทางกฎหมาย” ไปพร้อมกันด้วย     

มีรถแต่มีเงินน้อย ซื้อประกันภัยแบบไหนดี? โปรเด็ดประกันภัย by ทนายอาร์ม มีคำตอบ พร้อมทางเลือกเริ่มต้นเพียง 1,900 บาท/ปี

การมี “รถยนต์” ไม่ใช่เรื่องเล็กในยุคนี้ เพราะไม่ว่าจะใช้ขับไปทำงาน รับส่งลูก หรือทำธุรกิจ รถคือทรัพย์สินสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น แต่สิ่งที่หลายคนมักมองข้ามคือ “ความเสี่ยง” บนท้องถนนที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทั้งอุบัติเหตุ การเฉี่ยวชน หรือความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น
คำถามคือ ถ้ามี “รถ” แต่ “มีเงินไม่มาก” จะซื้อประกันภัยแบบไหนดีให้คุ้มค่าและยังอุ่นใจเมื่อเกิดเหตุ?

วันนี้โปรเด็ดประกันภัย by ทนายอาร์ม จะมาแนะนำทางเลือก “ประกันภัยประเภท 3” สำหรับคนมีงบน้อยแต่ยังอยากมีหลักประกันไว้คุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของทั้งตนเองและผู้อื่นในกรณีเกิดอุบัติเหตุ

ทำความเข้าใจก่อนเลือก “ซื้อประกันภัย”

ก่อนตัดสินใจซื้อประกันภัยรถยนต์ ควรรู้ก่อนว่า ประกันภัยแต่ละประเภทมีความคุ้มครองต่างกันอย่างไร?

1.ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 – คุ้มครองสูงสุด ทั้งรถเราและรถคู่กรณี รวมถึงกรณีรถหาย ไฟไหม้ หรือภัยธรรมชาติ

2.ประกันภัยชั้น 2+ และ 3+ – คุ้มครองเฉพาะกรณีชนกับยานพาหนะทางบก มีข้อจำกัดบางส่วน

3.ประกันภัยชั้น 3 – คุ้มครอง “คู่กรณี” และ “บุคคลภายนอก” ในกรณีที่เราขับรถไปชนผู้อื่นจนเกิดความเสียหายทางชีวิตหรือทรัพย์สิน

ซึ่ง “ประกันภัยประเภท 3” ถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุดสำหรับคนที่ต้องการ ซื้อประกันภัยในราคาถูก แต่ยังได้ความคุ้มครองพื้นฐานตามกฎหมาย

ทำไมคนมีงบน้อยควรเลือก “ประกันภัยประเภท 3” ดีกว่าปล่อยให้รถไม่มีประกันภัยเลย?

หลายคนเข้าใจว่า “ประกันภัยราคาถูก” แปลว่า “ไม่คุ้มครองอะไรเลย” แต่ความจริงไม่ใช่แบบนั้น เพราะ ประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 มีจุดเด่นคือ

คุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของคู่กรณี
หากขับรถชนคนหรือทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายตามวงเงินที่กำหนด

จ่ายเบี้ยประกันภัยเพียงหลักพันต่อปี
โดยเฉพาะกับโปรพิเศษของโปรเด็ดประกันภัย by ทนายอาร์มที่เริ่มต้นเพียง 1,900 บาท/ปีเท่านั้น! ถือเป็นราคาที่จับต้องได้ แม้สำหรับคนที่มีรายได้ไม่สูง

ทำไมต้องซื้อประกันภัย โปรเด็ดประกันภัย by ทนายอาร์ม?

สิ่งที่ทำให้ “โปรเด็ดประกันภัย by ทนายอาร์ม” แตกต่างจากที่อื่น คือการที่คุณไม่ได้แค่ซื้อประกันภัย แต่คุณจะได้ที่ปรึกษากฎหมายมืออาชีพไปพร้อมกัน

ทนายอาร์ม คือทนายความผู้เชี่ยวชาญคดีประกันภัย ที่มีประสบการณ์จริงในการต่อสู้คดีให้ผู้เอาประกันภัยมาหลายร้อยคดี รู้เท่าทันกลยุทธ์ของบริษัทประกันภัย และเข้าใจสิทธิของผู้เอาประกันอย่างแท้จริง

ดังนั้น เมื่อคุณ ซื้อประกันภัยกับทนายอาร์ม นั่นหมายถึง

“คุณไม่ได้มีแค่ประกัน แต่มีทนายความคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ ตั้งแต่วันแรก”

เพราะเวลาบริษัทประกันภัยไม่ซัพพอร์ทลูกค้า หรือปัดความรับผิดชอบ คุณจะไม่ต้องเผชิญเหตุการณ์นั้นลำพังอีกต่อไป

คุ้มครองมากกว่าที่คิด แม้ราคาเพียง 1,900 บาท

หลายคนสงสัยว่า “แค่ 1,900 บาทต่อปี จะคุ้มครองอะไรได้บ้าง?”
คำตอบคือ “มากกว่าที่คุณคิด” เพราะ ประกันภัยประเภท 3 ครอบคลุมถึง

  • ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของคู่กรณี
  • ค่ารักษาพยาบาลของคู่กรณีตามวงเงินกรมธรรม์
  • ค่าชดเชยความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้อื่น
  • ค่าทนายความเมื่อมีคดีทางแพ่งหรือต้องต่อสู้ในชั้นศาล

โดยเฉพาะเมื่อคุณทำประกันภัยผ่าน “โปรเด็ดประกันภัย by ทนายอาร์ม” คุณจะได้รับคำปรึกษาทางกฎหมาย! เมื่อเกิดเหตุอุบัติเหตุหรือข้อพิพาทกับบริษัทประกันภัย

เพราะ “กลัวชนคนอื่น” คือเหตุผลที่ควรทำประกันภัย

หลายคนอาจคิดว่า ขับรถระวังอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำประกันภัย แต่ในความเป็นจริง “อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้แม้เราจะไม่ผิด”
หลักการของการทำประกันภัยจึงไม่ใช่แค่ “ป้องกันความเสียหายของรถเรา” แต่คือ “ป้องกันไม่ให้เราทำให้คนอื่นเดือดร้อน”

การมีประกันภัยจึงไม่ต่างจากการ “ซื้อความสบายใจ” และ “ความรับผิดชอบต่อสังคม” เพราะเมื่อเกิดเหตุ บริษัทประกันจะเข้ามาชดใช้ค่าเสียหายแทนเรา ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายเองทั้งหมด

ดังนั้น แม้จะมีเงินน้อย ก็ไม่ควรละเลยการมีประกันภัย เพราะเพียง 1,900 บาทต่อปี ก็สามารถลดความเสี่ยงได้

หากคุณกำลังหาที่ซื้อประกันภัยราคาถูกและไว้ใจได้จริง โปรเด็ดประกันภัย by ทนายอาร์ม คือคำตอบ

ที่นี่มีทีมงานมืออาชีพและทนายผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายประกันภัย คอยให้คำปรึกษาและดูแลคุณตั้งแต่ก่อนซื้อ ระหว่างทำสัญญา ไปจนถึงหลังเกิดเหตุ
เพราะเราเข้าใจดีว่า สิ่งที่ลูกค้าต้องการไม่ใช่แค่ “กรมธรรม์ราคาถูก” แต่คือ “ความมั่นใจว่าคุณจะไม่เสียเปรียบบริษัทประกันภัย”

ซื้อประกันภัยกับทนายอาร์ม คุ้มค่าแน่นอน

ในยุคที่ทุกคนต้องรัดเข็มขัด ประกันภัยที่ดีไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป
ขอเพียงเลือกซื้อประกันภัยกับผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้
คุณก็สามารถปกป้องตัวเองและคนอื่นได้ โดยไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่

✅ เริ่มต้นเพียง 1,900 บาท/ปี
✅ มีทนายอาร์มที่ปรึกษาคดีประกันภัยมืออาชีพคอยดูแล
✅ คุ้มครองครบ เข้าใจง่าย

เพราะการ “ซื้อประกันภัยกับทนายอาร์ม” ไม่ใช่แค่การซื้อกรมธรรม์ แต่คือการซื้อความสบายใจและความยุติธรรมให้กับตัวคุณเอง

 สนใจซื้อประกันภัยรถยนต์ ติดต่อ Line Official โปรเด็ดประกันภัย by ทนายอาร์ม

ที่ปรึกษากฎหมายด้านประกันภัยอันดับหนึ่งของไทย

ซื้อประกันภัยกับเรา = ได้ทนายความที่ปรึกษาไปพร้อมกัน

ปรึกษาทนายความ คลิก >>ติดต่อเรา<<

ทำไม “ร่างสัญญา” ต้องให้ทนายความเป็นผู้จัดทำ แม้เอกสารธรรมดาก็สำคัญกว่าที่คิด?

ในยุคที่ทุกองค์กรตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ต้องทำเอกสารทางธุรกิจอยู่เป็นประจำ เช่น เอกสารเลิกจ้างพนักงาน, สัญญาจ้างงาน, สัญญาเช่าพื้นที่, สัญญาร่วมลงทุน หรือแม้แต่ หนังสือข้อตกลงทั่วไป หลายคนอาจมองว่าเอกสารเหล่านี้สามารถ “ร่างเองได้” หรือ “คัดลอกจากอินเทอร์เน็ต” ก็เพียงพอแล้ว

แต่ในความเป็นจริง เอกสารที่เกี่ยวข้องกับ “สัญญา” ทุกประเภท ล้วนมีผลทางกฎหมายโดยตรง หากร่างไม่รอบคอบหรือขาดข้อความสำคัญบางส่วน อาจนำไปสู่ความเสียหายทางธุรกิจ มูลค่าหลักหมื่นถึงหลักล้านบาทได้เลยทีเดียว

ดังนั้น การให้ “ทนายความ” เป็นผู้ร่างสัญญา จึงไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลือง แต่เป็น “การลงทุนเพื่อความปลอดภัยทางกฎหมาย” ที่ทุกองค์กรควรให้ความสำคัญ

ทนายความเข้าใจโครงสร้างทางกฎหมายของ “สัญญา” อย่างแท้จริง

การ “ร่างสัญญา” ให้สมบูรณ์แบบ ไม่ได้หมายถึงเพียงการจัดวางข้อความให้สวยงามหรือมีลายเซ็นครบถ้วนเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจว่า “ข้อความแต่ละบรรทัดมีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างไร”

ตัวอย่างเช่น

  • การใช้คำว่า “นายจ้างอาจเลิกจ้างได้” กับ “นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างได้” มีผลต่างกันทางกฎหมาย
  • การไม่ระบุ “เงื่อนไขการบอกเลิกสัญญา” อาจทำให้คู่สัญญาอีกฝ่ายเรียกร้องค่าเสียหายได้
  • หรือแม้แต่ “การเว้นวรรคผิดตำแหน่ง” ก็อาจเปลี่ยนความหมายของข้อสัญญาได้โดยสิ้นเชิง

ทนายความผู้เชี่ยวชาญจึงสามารถร่างสัญญาโดยคำนึงถึง “ผลทางกฎหมายในอนาคต” ได้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการฟ้องร้อง การจำกัดความรับผิด หรือการวางเงื่อนไขให้ลูกความอยู่ในสถานะได้เปรียบ

ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจาก “การร่างเอง”

หลายองค์กรโดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็ก มักมองว่าการจ้างทนายร่างสัญญาเป็นค่าใช้จ่ายเกินจำเป็น จึงเลือกใช้ “แบบฟอร์มสัญญาออนไลน์” หรือให้พนักงานฝ่ายบุคคลช่วยจัดทำแทน

ผลที่เกิดขึ้นคือ

  • สัญญาไม่ครอบคลุมสถานการณ์จริง
  • ไม่มีการระบุเงื่อนไขเรื่องการเลิกสัญญา การชดเชย หรือความรับผิด
  • เมื่อเกิดปัญหา ฟ้องร้องได้ยากเพราะสัญญาไม่ชัดเจน

ตัวอย่างที่พบได้บ่อยคือเอกสารเลิกจ้างพนักงาน หลายบริษัทร่างเองโดยไม่ได้ระบุเหตุผลการเลิกจ้างหรือการจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ทำให้สุดท้ายต้องจ่ายค่าเสียหายเพิ่ม หรือถูกฟ้องกลับภายหลัง

ในทางกลับกัน หากมีทนายความเป็นผู้ร่างตั้งแต่ต้น จะสามารถป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้อย่างรอบคอบ เพราะทนายจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าเอกสารนั้น “ถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน” และ “ปกป้องสิทธิ์ของนายจ้าง” อย่างสมดุล

การร่างโดยทนายสามารถให้องค์กรมั่นใจได้ว่า “เอกสารมีผลทางกฎหมาย 100%”

การร่างเอกสารทางกฎหมายต้องมีองค์ประกอบครบถ้วน เช่น

  • การระบุคู่สัญญาอย่างถูกต้อง
  • การกำหนดสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบชัดเจน
  • การใช้ถ้อยคำที่ไม่คลุมเครือ
  • การลงลายมือชื่อและพยานตามที่กฎหมายกำหนด

หากขาดเพียงข้อใดข้อหนึ่ง เอกสารนั้นอาจ “ไม่มีผลบังคับใช้” หรือไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ ซึ่งทนายความจะตรวจสอบรายละเอียดเหล่านี้ให้ครบถ้วนก่อนส่งมอบเอกสารให้ลูกค้า

คุ้มค่าในระยะยาว ป้องกันคดีความและลดต้นทุนธุรกิจ

หลายองค์กรเลือกประหยัดงบประมาณด้วยการร่างเอง แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจริง กลับต้องเสียเงิน “ว่าจ้างทนายความ” เพื่อแก้ไขภายหลัง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าหลายเท่าตัว

การให้ทนายความร่างเอกสารตั้งแต่ต้นจึงสามารถ “ลดความเสี่ยงและต้นทุนทางคดี” ได้อย่างชัดเจน เพราะทนายจะวางเงื่อนไขที่สามารถป้องกันความขัดแย้งในอนาคต เช่น

  • เงื่อนไขการยกเลิกสัญญา
  • วิธีการระงับข้อพิพาท
  • ขอบเขตความรับผิดของคู่สัญญาแต่ละฝ่าย

ทั้งหมดนี้เป็นการวางรากฐานทางกฎหมายให้ธุรกิจของคุณมั่นคงและดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

 สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ครอบคลุมทุกบริการด้านกฎหมาย โดยเฉพาะบริการ “ร่างสัญญา” ทุกรูปแบบ

หากคุณกำลังมองหาทนายความมืออาชีพที่สามารถร่างเอกสารสัญญาได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และครอบคลุมทุกประเด็นทางกฎหมาย สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ คือคำตอบที่คุณวางใจได้

เราให้บริการร่างสัญญาทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น

  • สัญญาจ้างงาน / สัญญาเลิกจ้าง
  • สัญญาซื้อขาย / สัญญาเช่าทรัพย์
  • สัญญาร่วมลงทุน / สัญญากู้ยืม
  • หนังสือข้อตกลงระหว่างบุคคลหรือองค์กร

โดยมีทีมทนายความผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน คอยตรวจสอบและจัดทำเอกสารให้เสร็จภายใน 1 วันทำการ เพื่อความสะดวกและความมั่นใจของลูกค้า

อย่าคิดว่า “เอกสารเล็ก ๆ” ไม่สำคัญ เพราะในทางกฎหมาย เอกสารทุกฉบับคือ “พยานหลักฐาน” ที่มีผลต่อสิทธิและหน้าที่ของคุณ การร่างเองโดยไม่มีพื้นฐานทางกฎหมายอาจทำให้คุณเสียเปรียบโดยไม่รู้ตัว

การให้ทนายความเป็นผู้ร่างสัญญา จึงไม่ใช่การจ่ายเงินเพิ่ม แต่คือการ “ซื้อความปลอดภัยทางกฎหมาย” ที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับองค์กรของคุณ

หากคุณต้องการให้เอกสารทุกฉบับถูกต้อง ครอบคลุม และมั่นใจได้ว่ามีผลทางกฎหมายแน่นอน
📞 ติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์  – สำนักงานกฎหมายที่ครอบคลุมทุกบริการ โดยเฉพาะบริการ “ร่างสัญญา” ทุกรูปแบบ เพราะเอกสารที่ดี จะช่วยปกป้องคุณได้ในวันที่มีปัญหา

อุทาหรณ์ผู้เอาประกันภัย! ขับรถชนคนเจ็บ แต่บริษัท “ประกันภัย” ไม่ช่วยอะไรเลยเมื่อความเชื่อใจในบริษัทประกันภัยกลายเป็นความเสียหายซ้ำซ้อน

ทนายอาร์มแนะ วิธีเรียกร้องสิทธิทางกฎหมายให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น

ในโลกของประกันภัยหลายคนเชื่อว่าการมีกรมธรรม์ไว้คือ “เกราะป้องกัน” ยามเกิดเหตุไม่คาดคิด โดยเฉพาะอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่ในความเป็นจริง หลายกรณีกลับพบว่า เมื่อถึงเวลาต้องใช้สิทธิจริง ๆ ผู้เอาประกันภัยกลับต้อง “เดินเรื่องเองทุกขั้นตอน” แถมบางครั้งบริษัทประกันภัยยัง “ปัดความรับผิดชอบ” จนผู้เอาประกันต้องรับภาระร่วมกับผู้บาดเจ็บเอง

เรื่องจริงนี้เกิดขึ้นกับชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์เขาได้ขับรถไปชนคนเจ็บจนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล เหตุการณ์นี้ตำรวจชี้ว่าเขาเป็นฝ่ายผิด ทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่ในขั้นตอนของการเคลมตามปกติ แต่ปัญหากลับเกิดขึ้นเมื่อบริษัทประกันภัย “ไม่ช่วยเหลือ” แม้แต่ในขั้นตอนสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล

บริษัทประกันภัย “ไม่สำรองจ่าย” ทั้งที่มีใบเคลม

ชายผู้เอาประกันภัยเล่าว่า เขามีเอกสารครบถ้วน ทั้งใบเคลมและหลักฐานการเกิดอุบัติเหตุ แต่บริษัทประกันภัยกลับให้เหตุผลว่า “ต้องให้ผู้เอาประกันและผู้ประสบภัยร่วมกันสำรองจ่ายก่อน” แม้จะมีใบเคลมอยู่ในมือ บริษัทก็ไม่ออกหนังสือรับรองให้โรงพยาบาลนำไปเบิกกับบริษัทได้โดยตรง ผลลัพธ์คือ ทั้งผู้เอาประกันภัยและผู้บาดเจ็บต้องร่วมกันควักเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลก่อนเอง ฟังดูอาจแปลก แต่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริง และเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ที่ทำประกันทุกคนต้องตระหนักว่า

“การมีประกันภัยไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้รับความคุ้มครองอัตโนมัติในทุกกรณี”

เมื่อผู้เอาประกันภัย “กลายเป็นผู้เสียหายซ้ำซ้อน”

หลังเกิดเหตุ ตำรวจชี้ชัดว่า ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด หมายความว่าเขามีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่คู่กรณีตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติ กลับกลายเป็นว่า ทั้งผู้เอาประกันและผู้บาดเจ็บต้องร่วมมือกันเรียกร้องสิทธิจากบริษัทประกันภัย แทนที่บริษัทจะเป็นผู้จัดการเรื่องเคลมและชดใช้ตรงตามเงื่อนไข กลับทำให้ผู้เอาประกันกลายเป็น “ผู้เสียหายซ้ำซ้อน” ทั้งเสียเงิน เสียเวลา และเสียความรู้สึก

 “ทนายอาร์ม” แนะนำ : ฟ้องศาลร่วมกันในคดีคุ้มครองผู้บริโภค

ทนายอาร์มแนะนำแนวทางว่า
หากผู้เอาประกันภัยและผู้บาดเจ็บร่วมมือกันฟ้องบริษัทประกันภัยต่อศาล สามารถดำเนินคดีในฐานะ “คดีคุ้มครองผู้บริโภค” ได้ เพราะทั้งคู่ถือเป็นผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากการให้บริการที่ไม่เป็นธรรม

สิ่งสำคัญคือ หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้บริโภคได้รับความเสียหายจริง

ผู้เอาประกันภัยสามารถเรียกคืนค่าเสียหายทั้งหมดได้ รวมถึงค่าทนายความด้วย

ในบางคดี ศาลมีคำสั่งให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าทนายความให้ผู้เสียหายด้วย แต่ก็มีบางกรณีที่ไม่ได้รับอนุมัติ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและดุลยพินิจของศาล

ดังนั้น การมีทนายความตั้งแต่เริ่มต้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะทนายจะสามารถดำเนินคดีให้เป็นระบบ ถูกต้องตามขั้นตอน และลดโอกาสเสียสิทธิ์โดยไม่รู้ตัว

ทนายสามารถรับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ได้อย่างถูกกฎหมาย

หลายคนอาจไม่รู้ว่ากฎหมายทนายความไทยอนุญาตให้ทนายเรียกค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์จากทุนทรัพย์ที่บังคับคดีได้
ดังนั้น ผู้เอาประกันภัยสามารถตกลงกับทนายได้อย่างโปร่งใส เช่น

  • กำหนดเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งจากยอดเงินที่เรียกคืนได้
  • หรือจ่ายค่าทนายแบบเหมาเพื่อให้ดำเนินคดีจนจบ

การพูดคุยกันตั้งแต่ต้นจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน และทำให้คดีดำเนินไปได้เร็วขึ้นโดยไม่เกิดความขัดแย้งเรื่องผลตอบแทนในภายหลัง

อย่ารอให้เรื่องผ่านไปนาน ถึงจะหาทนาย

อีกหนึ่งข้อเตือนใจจากทนายอาร์มคือ

“อย่ารอให้เรื่องผ่านไปหลายปีหรืออาการบาดเจ็บหายก่อน ถึงจะเริ่มฟ้อง เพราะเมื่อคุณหายแล้ว คุณอาจหมดสิทธิ์เรียกร้องค่าพิการหรือค่าเสียหายเพิ่มเติมได้”

ในทางปฏิบัติ มีหลายกรณีที่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้บาดเจ็บรอจนหายดีแล้วค่อยดำเนินคดี ทำให้ศาลพิจารณาว่า “ไม่มีความเสียหายต่อเนื่อง” ส่งผลให้ได้รับเพียงค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น

ดังนั้น หากเกิดเหตุ ควรปรึกษาทนายความทันทีหลังอุบัติเหตุเกิดขึ้น เพื่อให้ทนายดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์และเอกสารตั้งแต่แรก

บริษัทประกันภัย “ขายประกัน” ง่าย แต่ตอนเคลมกลับยาก

ในมุมของผู้เอาประกัน หลายคนเลือกทำประกันกับบริษัทที่โฆษณาว่าบริการดี เคลมง่าย
แต่ในความเป็นจริง เมื่อเกิดเหตุจริง หลายบริษัทกลับมีข้ออ้าง เช่น

  • “งานเยอะ ยังไม่ถึงคิวตรวจสอบ”
  • “ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายนี้ ต้องให้ลูกค้าไปทำเองก่อน”
  • “ต้องรอเอกสารจากโรงพยาบาลก่อนเบิกได้”

สุดท้าย ผู้เอาประกันภัยต้องเป็นฝ่ายรับภาระมาดำเนินการเอง ทั้งโทรตาม ทั้งยื่นเอกสารซ้ำ ๆ กลายเป็นว่าการขายประกันง่าย แต่การให้บริการหลังการขายกลับยากเย็น

นี่คือเหตุผลที่ ทนายอาร์มย้ำเสมอว่า

“เวลาขายประกันภัย คุณขายความเชื่อมั่นของลูกค้าได้ แต่เวลาลูกค้าเกิดเหตุ คุณต้องเซอร์วิสลูกค้า ไม่ใช่หาข้ออ้าง”

คำแนะนำสำคัญสำหรับผู้เอาประกันภัยทุกคน

1.เก็บหลักฐานทุกอย่างให้ครบ – ใบเคลม, ใบแจ้งความ, ใบรับรองแพทย์, ใบเสร็จค่ารักษา

2.แจ้งบริษัทประกันภัยทันทีหลังเกิดเหตุ และขอเลขเคลมเป็นหลักฐาน

3.อย่าเซ็นเอกสารใด ๆ โดยไม่เข้าใจ โดยเฉพาะเอกสารยอมความหรือสละสิทธิ์

4.ปรึกษาทนายความทันที หากบริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิดชอบหรือไม่ได้รับความคืบหน้า

กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ชัดเจนว่า การมี “ประกันภัย” ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้รับการดูแลเสมอไป แต่หากคุณรู้จักใช้สิทธิ์อย่างถูกต้อง และมีทนายความที่ปรึกษา ให้คำแนะนำตั้งแต่ต้น คุณจะไม่เพียงแต่เรียกคืนสิ่งที่เสียไปได้ครบ แต่ยังอาจได้รับความเป็นธรรมมากกว่าที่คิด

เพราะในยุคที่บริษัทต่าง ๆ แข่งกัน “ขายประกัน” อย่าลืมว่า “ผู้เอาประกัน” เองก็ต้องรู้เท่าทันประกันเช่นกัน ปรึกษาทนายความวันนี้ เพื่อที่คุณจะไม่เสียรู้บริษัทประกันภัยอีกต่อไป

อุทาหรณ์ “นักลงทุน” ชาวต่างชาติซื้อคอนโดเพนเฮ้าส์ริมน้ำในไทย มูลค่าพันล้าน แต่เกือบเสียเงิน 90 ล้าน เพราะไม่เข้าใจคำว่า “ติดจำนอง”

กรณีตัวอย่างอุทาหรณ์ “นักลงทุน” ชาวต่างชาติซื้อคอนโดเพนเฮ้าส์ริมน้ำมูลค่าหลายร้อยล้านบาท แต่เกือบเสียเงิน 90 ล้าน เพราะไม่เข้าใจคำว่า “ติดจำนอง” ในสัญญา ทนายอาร์มเตือน! ก่อนลงทุนอสังหาฯ ควรมีทนายความตรวจเอกสารทุกครั้ง

อุทาหรณ์นักลงทุนต่างชาติ เมื่อการ “ไม่เข้าใจสัญญา” อาจทำให้สูญเงินนับสิบล้าน

ในยุคที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะโครงการ คอนโดมิเนียมหรูริมน้ำ ที่มักถูกพัฒนาโดยบริษัทระดับพันล้าน การลงทุนในอสังหาฯ ไทยจึงกลายเป็นหนึ่งในช่องทางยอดนิยมของนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการเก็บสินทรัพย์หรือนำมาปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว

แต่ “โอกาส” และ “ความเสี่ยง” มักมาคู่กันเสมอ และหนึ่งในกรณีตัวอย่างที่ทนายอาร์มได้รับคำปรึกษา คือ นักลงทุนชาวต่างชาติที่เกือบต้องสูญเงินกว่า 90 ล้านบาท เพียงเพราะ “ไม่เข้าใจคำศัพท์ทางกฎหมายในสัญญาเพียงคำเดียว” นั่นคือคำว่า “ติดจำนอง”

จุดเริ่มต้นของการลงทุน โครงการหรูริมน้ำที่เชิญชวน “นักลงทุนต่างชาติ”

เรื่องนี้เริ่มจากโครงการคอนโดมิเนียมหรูมูลค่าพันล้านบาท ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เปิดขายห้องพักระดับพรีเมียม โดยเฉพาะ เพนเฮ้าส์ (Penthouse) ซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่บนชั้นสูงสุดของโครงการ และเป็นที่ต้องการของนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการซื้อเก็บไว้ปล่อยเช่าหรือใช้พักอาศัย

บริษัทผู้พัฒนาโครงการได้จัดแคมเปญประชาสัมพันธ์เชิญชวนนักลงทุนต่างชาติ โดยเน้นว่าโครงการได้รับการอนุมัติครบถ้วนตามกฎหมาย และสามารถซื้อขายได้ตามสิทธิ์ของชาวต่างชาติที่ถือกรรมสิทธิ์ไม่เกิน 49% ของพื้นที่โครงการทั้งหมด

นักลงทุนชาวต่างชาติรายหนึ่งจึงตัดสินใจซื้อเพนเฮ้าส์มูลค่า ประมาณ 90 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายจะปล่อยเช่าระยะยาว แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ สัญญาซื้อขายระบุไว้ชัดเจนว่า “เพนเฮ้าส์หลังนี้ ติดจำนองกับธนาคารเป็นวงเงิน 250,000,000 บาท

 “ติดจำนอง” คำเดียวที่เกือบทำให้เงินลงทุน 90 ล้านสูญเปล่า

เมื่อนักลงทุนชาวต่างชาติอ่านสัญญา เขาพบคำว่า “ติดจำนอง” แต่เข้าใจผิดว่า การติดจำนองคือการที่รัฐบาลไม่อนุญาตให้ซื้อขาย
เขาจึงเกิดความสับสนว่า “ถ้ารัฐบาลควบคุมไม่ให้ซื้อขาย แล้วเราจะโอนกรรมสิทธิ์ได้อย่างไร?”

แต่ในความเป็นจริง คำว่า “ติดจำนอง” หมายถึง ทรัพย์สินนั้นถูกนำไปเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงิน ซึ่งยังสามารถซื้อขายได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้รับจำนอง (เช่น ธนาคาร) และดำเนินการปลดจำนองหรือตกลงกันก่อนการโอนกรรมสิทธิ์

กรณีนี้ ทนายอาร์มจึงได้อธิบายให้ชาวต่างชาติรายนั้นเข้าใจว่า

“รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ควบคุมเรื่องการจำนองทรัพย์สินและไม่มีทางรู้ได้ว่า ใครทำสัญญากับใครเมื่อไหร่ แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่า ทรัพย์นั้นติดภาระอะไรอยู่บ้าง ก่อนที่จะเซ็นสัญญาซื้อขาย”

ถ้ามี “ทนายความที่ปรึกษา” ตั้งแต่ต้น เรื่องคงไม่บานปลาย

นักลงทุนรายนี้ยอมรับภายหลังว่า เขาไม่ได้จ้างทนายความมาตรวจเอกสารตั้งแต่แรก เพราะเชื่อว่าทางโครงการจัดเตรียมเอกสารทุกอย่างให้ถูกต้องแล้ว อีกทั้งมีทีมขายที่พูดจาดีและให้ข้อมูลครบถ้วน

แต่เมื่อมาถึงจุดที่ต้องเซ็นสัญญาโอนกรรมสิทธิ์จริง เขากลับพบปัญหาเรื่องภาระจำนองที่ไม่เข้าใจ ส่งผลให้ต้องหยุดกระบวนการชั่วคราว เพื่อหาคำปรึกษาทางกฎหมาย ซึ่งทำให้การโอนกรรมสิทธิ์ล่าช้าและเกือบเสียเงินจองจำนวนมาก

ทนายอาร์มกล่าวว่า

“การจ้างทนายความเพื่อตรวจเอกสารก่อนลงทุนอสังหาฯ ไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลือง แต่คือการลงทุนเพื่อป้องกันความเสียหายระยะยาว”

ค่าจ้างทนายเพื่อตรวจสัญญาอาจอยู่เพียงหลักหมื่นบาท แต่สามารถป้องกันความเสียหายหลักสิบล้านได้อย่างแท้จริง

ทำไม “นักลงทุนต่างชาติ” เสี่ยงกว่านักลงทุนไทย?

สำหรับนักลงทุนต่างชาติ ความเสี่ยงหลักมักเกิดจาก ความไม่เข้าใจกฎหมายไทยและภาษาในเอกสารสัญญา โดยเฉพาะคำศัพท์ทางกฎหมายที่แปลตรงตัวไม่ได้ เช่น “ภาระผูกพัน”, “ติดจำนอง”, “สิทธิเรียกร้อง”, หรือ “หนังสือมอบอำนาจ”

อีกทั้งโครงการบางแห่งอาจใช้เอกสารสองภาษา (ไทย–อังกฤษ) ซึ่งหากมีความหมายต่างกัน แม้เพียงเล็กน้อย ฉบับภาษาไทยจะถือเป็น “ฉบับที่มีผลทางกฎหมาย” ทำให้นักลงทุนต่างชาติอาจเสียเปรียบโดยไม่รู้ตัว

ดังนั้น ก่อนลงทุนอสังหาฯ ในประเทศไทย นักลงทุนต่างชาติจึงควรมี

  • ทนายความที่เข้าใจกฎหมายไทยและการลงทุนต่างชาติ
  • ล่ามหรือที่ปรึกษาทางภาษา เพื่ออธิบายเอกสารอย่างถูกต้อง
  • ตรวจสอบภาระทรัพย์สิน (Title Deed Check) ว่ามีจำนองหรือภาระใดอยู่ก่อนลงชื่อในสัญญา

อุทาหรณ์ที่นักลงทุนทุกคนควรจำ “เอกสาร 1 แผ่น ป้องกันความเสียหาย 90 ล้าน”

กรณีนี้กลายเป็นอุทาหรณ์สำคัญให้กับนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติว่า
การลงทุนอสังหาฯ ไม่ได้จบแค่การดูห้องหรือดูวิวสวย ๆ เท่านั้น แต่ทุกอย่างอยู่ที่ “สัญญา” และ “เอกสาร”

ทนายอาร์มสรุปไว้ได้อย่างชัดเจนว่า

“ถ้าในวันนั้นชาวต่างชาติมีทนายตรวจเอกสารตั้งแต่ต้น เขาอาจจ่ายค่าทนายไม่กี่บาท แต่สามารถป้องกันปัญหามูลค่ากว่า 90 ล้านบาทได้แน่นอน”

ความรอบคอบคือกำไรที่แท้จริง ปรึกษาทนายได้ตั้งแต่เริ่มลงทุน

คำว่า “นักลงทุนที่ดี” ไม่ได้หมายถึงคนที่มีทุนเยอะ แต่หมายถึง คนที่รู้จักบริหารความเสี่ยงก่อนลงมือ
ในโลกของอสังหาริมทรัพย์ การอ่านสัญญาอย่างละเอียด และมีที่ปรึกษาทางกฎหมายที่เข้าใจธุรกรรม คือสิ่งจำเป็นเท่ากับเงินลงทุนเอง

ดังนั้น ก่อนจะเซ็นชื่อในเอกสารใด ๆ โดยเฉพาะในโครงการที่มีมูลค่าสูงระดับร้อยล้านบาท

  • ควรให้ทนายความตรวจเอกสารทุกครั้ง
  • สอบถามให้เข้าใจทุกคำในสัญญา โดยเฉพาะคำศัพท์ทางกฎหมาย
  • อย่าเชื่อเพียงคำโฆษณาหรือคำบอกกล่าวของฝ่ายขายเท่านั้น

อุบัติเหตุทางกฎหมายในโลกการลงทุนอาจเกิดขึ้นได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ
และบทเรียนจากกรณี “นักลงทุนชาวต่างชาติซื้อคอนโดเพนเฮ้าส์ริมน้ำ” นี้ คือสิ่งที่เตือนให้ทุกคนเห็นว่า “การมีทนายอยู่ข้างคุณตั้งแต่วันแรก อาจทำให้ประหยัดเงินได้มากกว่าที่คิด”

ปรึกษาทนาย คลิก >>ติดต่อเรา<<

เรียกค่าสินไหมบาดเจ็บอย่างไรให้ไม่เสียเปรียบ? ทนายอาร์มเล่ากรณีจริง “ถูกรถชนแขนหัก ควรเรียกค่าสินไหมเท่าไหร่ดี?”

หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่มักมีคนมาปรึกษาทนายอาร์มอยู่เสมอ คือ “ถูกรถชน แขนหักแบบนี้ เรียกค่าสินไหมทดแทนกรณีบาดเจ็บได้เท่าไหร่?” ซึ่งคำถามนี้ฟังดูง่าย แต่คำตอบไม่ตายตัวเลยครับ เพราะการเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บนั้น มีองค์ประกอบหลายอย่างมาก ทั้งอายุ เพศ อาชีพ รายได้ และผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในอนาคต อย่างกรณีต่อไปนี้ที่ญาติของผู้เสียหายได้ติดต่อเข้ามาปรึกษาทนายอาร์ม

ตัวอย่างเคสจริง: สาววัย 37 ปี แขนหักต้องดามเหล็กจากอุบัติเหตุรถชน

โดยญาติของผู้เสียหายได้ทักข้อความ Inbox มาปรึกษาทนายอาร์มว่า ผู้หญิง (ตัวคนเจ็บ) อายุ 37 ปี ทำงานเจ้าหน้าที่บัญชี เงินเดือน 28,000 บาท เธอถูกรถชนจนแขนหักต้องใส่เหล็กดามกระดูก และอยากทราบว่า “ควรเรียกค่าสินไหมทดแทนกรณีบาดเจ็บเท่าไหร่ดี?”

ทนายอาร์มจึงเริ่มต้นจากการถามข้อมูลพื้นฐาน เช่น

“ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดเท่าไหร่?”

ญาติผู้เสียหายตอบว่า 340,000 บาท ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร

เมื่อทนายสอบถามต่อไป พบว่าคู่กรณีมีประกันภัยรถยนต์ที่คุ้มครองบุคคลภายนอกในวงเงิน 500,000 บาท และบริษัทประกันภัยได้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดไปจำนวน 340,000 บาท และยังเหลือวงเงินอีก 240,000 บาท (รวมความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. รถยนต์ 80,000 บาท) ที่สามารถใช้เรียกค่าสินไหมทดแทนส่วนอื่น ๆ ได้

อย่างไรก็ตาม หากค่าเสียหายรวมเกินกว่าวงเงินคุ้มครอง เช่น เกิน 500,000 บาท ส่วนเกินนี้จะต้องเรียกเอาจากตัวผู้ขับขี่โดยตรง เพราะถือว่าเป็นการกระทำละเมิด

เรียกค่าสินไหมกรณีบาดเจ็บอะไรได้บ้าง?

ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุสามารถเรียกค่าเสียหายได้หลายรายการ เช่น

ค่ารักษาพยาบาล – ครอบคลุมทั้งค่าหมอ ค่ายา ค่าผ่าตัด ค่ากายภาพบำบัด

ค่าเสียรายได้ระหว่างพักรักษาตัว – หากต้องหยุดงานหรือขาดรายได้ในช่วงรักษาตัว สามารถเรียกได้ตามจำนวนวันที่หยุดจริง

ค่าทำขวัญ – เป็นค่าสินไหมเพื่อชดเชยความเจ็บปวดทางกายและใจ

ค่าใช้จ่ายในการดูแลระหว่างบาดเจ็บ – เช่น ค่าพี่เลี้ยงหรือคนดูแลระหว่างรักษา

ค่าเสียหายระยะยาว – หากบาดเจ็บทำให้สูญเสียอวัยวะหรือทำงานไม่ได้เหมือนเดิม

ค่าทำขวัญด้านความสวยงาม – เช่น มีรอยแผลเป็นถาวร

จะเห็นได้ว่าการเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บนั้น ไม่ใช่แค่ค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น แต่รวมถึงผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตทั้งหมดหลังอุบัติเหตุ

ทำไมคนงานยกของบางคนเรียกค่าสินไหมได้มากกว่าพนักงานออฟฟิศ?

ทนายอาร์มอธิบายว่า การคำนวณค่าสินไหมบาดเจ็บไม่ได้ดูแค่ตัวเลขเงินเดือนเท่านั้น แต่ยังดู “ผลกระทบต่ออาชีพ” ด้วย เช่น ถ้าเป็นคนงานยกของแล้วแขนหัก ย่อมกระทบต่อการทำงานโดยตรง ทำให้รายได้หายไปทั้งหมดในช่วงเวลานั้น แต่ถ้าเป็น พนักงานออฟฟิศทั่ว ๆ ไป อาจยังสามารถทำงานเอกสารหรือทำงานจากบ้านได้บางส่วน

ดังนั้น ในบางกรณีคนงานใช้แรงงานอาจเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บได้มากกว่าพนักงานออฟฟิศ เพราะอาชีพของเขาขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายโดยตรง

อย่ารอให้หายดีก่อนค่อยเรียกร้อง เพราะ “คุณกำลังเสียเวลาและเสียเปรียบบริษัทประกันภัยโดยไม่รู้ตัว”

อย่างเคสผู้หญิงในกรณีนี้รักษาตัวนานถึง 9 เดือน ก่อนจะติดต่อทนายอาร์ม โดยบริษัทประกันภัยอ้างว่า “ต้องรอให้หายดีก่อน ถึงจะเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บได้” แต่ในความจริง นี่คือความเข้าใจผิดที่ทำให้ผู้เสียหายเสียเปรียบอย่างมาก เพราะกระบวนการเรียกค่าเสียหายเองก็ใช้เวลาอีกหลายเดือน หากเริ่มดำเนินการหลังหายดีแล้ว ก็จะกลายเป็นว่าเสียเวลาไปกว่า 1 ปีครึ่งกว่าจะได้เงิน

ทนายอาร์มจึงเตือนว่า “อย่ารอให้หายดีค่อยมาปรึกษา” ควรให้ทนายความดำเนินการตั้งแต่ช่วงเริ่มรักษา เพื่อให้สามารถรวบรวมหลักฐาน ใบรับรองแพทย์ และเอกสารสำคัญได้ครบถ้วนตั้งแต่ต้น

“หากเกิดอุบัติเหตุรถชน สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้หรือไม่?”

อีกประเด็นที่หลายคนมักสับสนคือ “หากเกิดอุบัติเหตุรถชน สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้หรือไม่?”

คำตอบคือ ใช้ได้ครับ กฎหมายพระราชบัญญัติประกันสังคม ไม่มีมาตราใดระบุว่า หากเกิดจากอุบัติเหตุรถยนต์ จะต้องใช้สิทธิ์ตาม พ.ร.บ. รถยนต์เท่านั้น เพียงแต่โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งอาจบอกว่า “ใช้สิทธิ์ไม่ได้” เพราะไม่อยากรับอัตราค่ารักษาของประกันสังคมซึ่งจ่ายน้อยกว่าอัตราปกติ แต่ในทางกฎหมาย คุณสามารถยืนยันสิทธิ์ของคุณได้เต็มที่ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายระหว่างการรักษา และยังคงสามารถเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บส่วนอื่นจากคู่กรณีได้ตามปกติ

ทำไมต้องรีบปรึกษาทนายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ?

จากประสบการณ์ของทนายอาร์ม พบว่าผู้เสียหายจำนวนมากมักจะคิดว่า “เดี๋ยวลองเรียกดูเองก่อน ถ้าไม่ได้ค่อยหาทนาย” ซึ่งนั่นคือจุดที่ทำให้เสียสิทธิ์ไปโดยไม่รู้ตัว เพราะบริษัทประกันภัยมีทีมกฎหมายและเจ้าหน้าที่มืออาชีพคอยเจรจาเพื่อลดวงเงินชดเชยให้มากที่สุด หากผู้เสียหายไม่มีความรู้ทางกฎหมายหรือไม่มีทนายคอยวางกลยุทธ์ตั้งแต่ต้น ก็แทบจะไม่มีทาง “รู้ทันบริษัทประกันภัย” ได้เลย

วิธีเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บอย่างไม่เสียเปรียบ

แจ้งเหตุและติดต่อบริษัทประกันภัยทันที พร้อมขอสำเนาตารางกรมธรรม์คู่กรณี เก็บหลักฐานทุกอย่าง เช่น ใบรับรองแพทย์ ใบเสร็จ ค่ารักษา และภาพถ่ายบาดแผล อย่ารอให้หายดีค่อยเรียกร้อง ควรให้ทนายดำเนินการระหว่างการรักษา ใช้สิทธิ์ประกันสังคมควบคู่ได้ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่าย ปรึกษาทนายความ เพื่อให้ทนายวางแนวทางการเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บได้อย่างถูกต้อง

อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่สิ่งสำคัญคือ อย่าปล่อยให้ตัวเองเสียเปรียบเพราะความไม่รู้

การเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเงิน แต่คือการรักษาสิทธิ์ของคุณในฐานะผู้ได้รับความเสียหาย และอย่าลืมว่า “บริษัทประกันภัยมีทนายอยู่ข้างเขาเสมอ แล้วคุณล่ะ…มีทนายอยู่ข้างคุณหรือยัง?” ปรึกษาทนายคลิก >>ติดต่อเรา<<

ทนายอาร์มแชร์ประสบการณ์จริง ! เจอ “อู่ซ่อมรถ” ให้เซ็นยอมรับระยะเวลาซ่อม ถ้าไม่เซ็น ก็ไม่ซ่อม!

“อู่ซ่อมรถ” เป็นสิ่งที่เจ้าของรถทุกคนต้องเกี่ยวข้องไม่วันใดก็วันหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่เชื่อหรือไม่ว่า แม้จะมี “ประกันภัยรถยนต์” อยู่ในมือ ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยกลับยังตกเป็นเหยื่อของอู่ซ่อมรถและบริษัทประกันภัยโดยไม่รู้ตัว

ทนายอาร์ม ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับตนเอง เมื่อลูกจ้างเอารถของทนายอาร์มไปขับชนท้ายคู่กรณี สำหรับบทความนี้ทนายอาร์มก็ขอมาเตือนภัยและให้ความรู้กับประชาชน เพราะเหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า หากคุณไม่รู้เท่าทันอู่ซ่อมรถหรือบริษัทประกันภัย หรือไม่มีทนายดูแลตั้งแต่ต้นหลังรถชน คุณอาจถูกเอาเปรียบได้ง่าย ๆ

เหตุเกิดจาก “อู่ซ่อมรถ” โทรมา…ให้เซ็นยอมรับระยะเวลาการซ่อม

หลังจากรถของทนายอาร์มประสบอุบัติเหตุ และได้ส่งรถเข้าซ่อมที่อู่ในเครือของบริษัทประกันภัย วันหนึ่งอู่ซ่อมรถได้โทรมาหาทนายอาร์ม พร้อมแจ้งว่า “ต้องเซ็นยอมรับการซ่อมและการรออะไหล่ เพราะใช้เวลาเกิน 15 วัน หากไม่เซ็น…อู่จะไม่สามารถดำเนินการซ่อมต่อได้”

ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องปกติที่อู่ต้องการเอกสารยืนยันจากลูกค้า แต่สำหรับผู้ที่รู้กฎหมายดีอย่างทนายอาร์ม กลับพบว่าพฤติกรรมนี้ไม่ถูกต้องตามระเบียบของคปภ. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย)

คปภ. ระบุชัด “แจ้งให้ทราบ” ไม่ได้หมายความว่าต้องเซ็น!

ตามระเบียบของคปภ. ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า “การแจ้งให้ทราบ” หมายถึง การแจ้งข้อมูลให้ผู้เอาประกันภัยทราบโดย ไม่จำเป็นต้องลงลายมือชื่อรับทราบ

การแจ้งให้ทราบสามารถทำได้หลายช่องทาง เช่น

  • โทรศัพท์
  • อีเมล
  • ข้อความทางไลน์
  • จดหมาย หรือเอกสารประกอบการซ่อม

ซึ่ง “การแจ้งให้ทราบ” มีเจตนาเพื่อสื่อสารความคืบหน้าในการซ่อม ไม่ใช่เพื่อให้ผู้บริโภคต้อง “ยอมรับเงื่อนไข” ที่อาจไม่เป็นธรรม เช่น การรออะไหล่เกินกำหนด หรือการผสมอะไหล่แท้กับเทียม แต่ในกรณีนี้ อู่ซ่อมรถกลับนำคำว่า “แจ้งให้ทราบ” ไปใช้ผิดบริบท กลายเป็น “ต้องเซ็นยอมรับ” ซึ่งถือเป็นการบิดเบือนความหมายของระเบียบ คปภ. และเป็นการสร้างภาระที่ไม่เป็นธรรมแก่ผู้บริโภค

ปัญหาอะไหล่แท้ผสมเทียม คืออะไร?

นอกจากการบังคับให้เซ็นเอกสารแล้ว อู่ซ่อมรถยังแจ้งเพิ่มเติมว่า

“จะใช้อะไหล่แท้ผสมอะไหล่เทียมในการซ่อมให้”

ฟังดูเหมือนการประนีประนอม แต่ในทางกฎหมายและหลักจรรยาบรรณของอู่ซ่อมรถ
การซ่อมรถต้องคืนสภาพให้เหมือนหรือใกล้เคียงกับสภาพก่อนเกิดเหตุให้มากที่สุด

ทนายอาร์มอธิบายว่า

“หลักการมันง่ายมาก ถ้ารถคุณเดิมใช้อะไหล่แท้ อู่ก็ต้องใช้ของแท้มาใส่
ถ้ารถคุณใช้อะไหล่เทียม ก็ใช้เทียม ไม่ใช่เอามาผสมกันมั่ว ๆ เพราะมันส่งผลต่อคุณภาพ ความปลอดภัย และมูลค่ารถในอนาคต”

ซึ่งในความเป็นจริง หากอู่ซ่อมรถต้องรออะไหล่แท้จากบริษัทผู้ผลิต ก็สามารถแจ้งให้ลูกค้าทราบได้โดยไม่ต้องให้เซ็นยอมรับอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องไม่ปฏิเสธการซ่อมหรือเรียกร้องให้ลูกค้าทำในสิ่งที่ขัดต่อระเบียบ

สิ่งที่ควรทำเมื่อ “อู่ซ่อมรถ” ไม่ยอมซ่อม

ทนายอาร์มแนะนำว่า หากเจอสถานการณ์แบบนี้ สิ่งแรกที่ควรทำคือ ปรึกษาทนายความเพื่อวางรูปเรื่องให้จะดีกว่า เพราะคุณอาจเสียเปรียบจากความไม่รู้ได้ เพื่อให้ทนายความใช้เทคนิคในการติดต่อบริษัทประกันภัยโดยตรง เพื่อแจ้งว่า “อู่ซ่อมรถปฏิเสธการซ่อม เนื่องจากไม่ยอมเซ็นรับทราบการรออะไหล่เกิน 15 วัน” และที่ควรทำเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น ส่งอีเมล หรือแชทไลน์เพื่อเก็บหลักฐานไว้ เพราะเอกสารเหล่านี้สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ในกรณีเกิดข้อพิพาทในภายหลัง

เข้าใจให้ถูก “แจ้งให้ทราบ” ไม่ใช่ “แจ้งให้เซ็น”

หลายคนสับสนระหว่างสองคำนี้ ซึ่งทนายอาร์มได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า

“คำว่า ‘แจ้งให้ทราบ’ ไม่ได้หมายความว่าต้องมีการลงนามรับทราบ และไม่ได้หมายความว่าอู่จะพ้นจากความรับผิดในระยะเวลาการซ่อม การแจ้งให้ทราบมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความคืบหน้า ไม่ใช่เพื่อให้ลูกค้ายอมรับเงื่อนไขล่าช้า” ดังนั้น หากอู่บอกว่า “ถ้าไม่เซ็น จะไม่ซ่อม”
ผู้บริโภคมีสิทธิ์ที่จะไม่ยอมเซ็น และสามารถแจ้งเรื่องไปยังบริษัทประกันภัยได้ทันที

เหตุผลที่ “การมีทนาย” สำคัญตั้งแต่หลังรถชน

เหตุการณ์ของทนายอาร์มแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า แม้คุณจะเป็นผู้มีความรู้ด้านกฎหมาย หรือเป็นผู้เอาประกันภัยที่ทำทุกอย่างถูกต้อง แต่หากไม่มีทนายหรือผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำตั้งแต่ต้นหลังเกิดอุบัติเหตุ คุณอาจเสียเปรียบได้ทุกเมื่อ เพราะทั้งอู่ซ่อมรถ และบริษัทประกันภัยอาจตีความระเบียบหรือเงื่อนไขต่าง ๆ ตามมุมของตนเอง ซึ่งไม่เสมอไปว่าจะตรงกับสิทธิ์ของผู้บริโภค แต่ในความเป็นจริง “หากไม่มีทนายตั้งแต่หลังรถชน ผู้บริโภคอาจถูกอู่หรือบริษัทประกันภัยเอาเปรียบโดยไม่รู้ตัว”

รู้ทันอู่ซ่อมรถ รู้ทันประกันภัย ดีกว่าไม่รู้อะไรเลยแล้วเสียเปรียบ

กรณีนี้เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าการรู้กฎหมายและระเบียบ คปภ. คือเกราะป้องกันสำคัญของผู้บริโภค
อย่ากลัวที่จะปรึกษาทนายความ หากเจออู่หรือบริษัทประกันภัยที่พยายามกดดันให้เซ็นรับทราบในระยะเวลาในการจัดซ่อมรถหรือพยายามให้เซ็นในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจหรือไม่แน่ใจ สามารถปรึกษาทนายความได้ทันที เพราะสุดท้ายแล้ว การมี “ทนายอยู่ข้างคุณ” คือสิ่งที่จะทำให้คุณไม่ตกเป็นเหยื่อของทั้ง “อู่ซ่อมรถ” และ “บริษัทประกันภัย” ปรึกษาทนายความ คลิก>>ติดต่อเรา<< หรือโทร 062-195-1661

เรื่องที่ต้องรู้ ! ชาวต่างชาติจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีความเสี่ยง ควรปรึกษาทนายความไทยก่อน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “อสังหาริมทรัพย์ไทย” กลายเป็นหนึ่งในตลาดที่ได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งคอนโดมิเนียมหรูใจกลางกรุงเทพฯ บ้านพักตากอากาศในภูเก็ต เชียงใหม่ หรือพัทยา ล้วนดึงดูดนักลงทุนและผู้เกษียณอายุจากทั่วโลก แต่แม้ว่าการซื้อ อสังหา ในไทยจะดูน่าดึงดูดเพียงใด ความจริงก็คือ “ชาวต่างชาติไม่ได้มีสิทธิ์ถือครองอสังหาริมทรัพย์ได้ทุกประเภท” และการซื้อโดยไม่เข้าใจกฎหมายไทยอย่างถ่องแท้อาจนำมาซึ่งความเสี่ยงร้ายแรง เช่น ถูกยึดทรัพย์ สูญเงิน หรือไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ในที่สุด

ดังนั้น ก่อนที่ชาวต่างชาติจะตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโดในไทย สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ควรปรึกษาทนายความไทยที่มีประสบการณ์ในการดำเนินการด้านอสังหาริมทรัพย์” เพื่อตรวจสอบเอกสาร วางแผนโครงสร้างการถือครอง และป้องกันความเสียหายทางกฎหมายในอนาคต

กฎหมายไทยจำกัดการถือครอง “อสังหา” ของชาวต่างชาติ

กฎหมายไทยโดยทั่วไปไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้โดยตรง ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญที่สุดของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทย ชาวต่างชาติสามารถถือครองได้เฉพาะในกรณีต่อไปนี้เท่านั้น

1.ซื้อคอนโดมิเนียมได้ไม่เกิน 49% ของพื้นที่ขายทั้งหมดในโครงการนั้น ๆ

oตัวอย่างเช่น ถ้าโครงการมีคอนโดทั้งหมด 100 ห้อง ชาวต่างชาติสามารถถือครองได้สูงสุด 49 ห้องเท่านั้น

oส่วนอีก 51% ต้องเป็นของคนไทย

2.เช่าที่ดินระยะยาว (Leasehold)

oกฎหมายอนุญาตให้ชาวต่างชาติ “เช่าที่ดิน” ได้ไม่เกิน 30 ปี

oสามารถต่อสัญญาได้ตามข้อตกลง แต่ในทางปฏิบัติ หากไม่มีการร่างสัญญาที่รัดกุมก็อาจถูกปฏิเสธการต่อสัญญาได้

3.ถือครองผ่านบริษัทไทย

oชาวต่างชาติบางรายเลือกตั้งบริษัทไทยขึ้นมาเพื่อซื้อที่ดินในนามนิติบุคคล

oแต่หากสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติในบริษัทเกิน 49% หรือถูกพิสูจน์ว่าเป็น “นอมินี” เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมาย ก็ถือว่าผิดกฎหมาย มีโทษทั้งจำและปรับ

ดังนั้น การเข้าใจข้อจำกัดทางกฎหมายเหล่านี้ตั้งแต่ต้นจะช่วยให้ชาวต่างชาติไม่พลาดก้าวสำคัญ และนี่คือเหตุผลว่าทำไม “ทนายความไทย” ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับด้านอสังหา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

ความเสี่ยงที่พบบ่อยเมื่อต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทย

หลายกรณีของชาวต่างชาติที่ลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยต้องเผชิญกับปัญหาทางกฎหมาย เพราะไม่รู้ข้อจำกัดหรือไม่มีที่ปรึกษาทางกฎหมายที่ดี ตัวอย่างเช่น

  • ซื้อที่ดินโดยให้คนไทยถือแทน (นอมินี)
    แม้จะดูเหมือนวิธีง่าย แต่หากถูกตรวจสอบว่าผิดกฎหมาย ที่ดินดังกล่าวอาจถูกยึด และผู้ถือแทนกับผู้ต่างชาติอาจถูกดำเนินคดี
  • สัญญาซื้อขายไม่รัดกุม
    บางกรณีผู้ขายเป็นนายหน้าหรือผู้พัฒนาโครงการที่ไม่มีใบอนุญาตชัดเจน ทำให้ผู้ซื้อเสียเงินมัดจำแต่ไม่ได้รับโฉนดจริง
  • สัญญาเช่าที่ดินไม่คุ้มครองสิทธิ์ในระยะยาว
    เมื่อครบกำหนด 30 ปี เจ้าของที่ดินอาจไม่ต่อสัญญาให้ และผู้เช่าก็ไม่มีสิทธิ์บังคับให้ต่อ
  • ไม่ได้ตรวจสอบภาระผูกพันของที่ดิน
    เช่น ที่ดินติดจำนอง หรือมีข้อพิพาทในศาล ทำให้ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้

ทุกกรณีล้วนชี้ให้เห็นว่า หากไม่มี ทนายความที่ปรึกษาด้านอสังหา ดำเนินการตรวจสอบตั้งแต่ต้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจไม่สามารถแก้ไขได้เลย

ทนายความสามารถดำเนินการอะไรได้บ้าง?

การมีทนายที่ปรึกษาเป็น “เกราะป้องกัน” ที่ดีที่สุดของชาวต่างชาติในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทนายความที่เชี่ยวชาญจะสามารถให้บริการทางกฎหมายได้ในเรื่องต่อไปนี้

1.ตรวจสอบสถานะทางกฎหมายของที่ดินหรือโครงการ
เช่น มีโฉนดหรือไม่ ติดภาระจำนองหรือไม่ อยู่ในพื้นที่หวงห้ามหรือพื้นที่สีเขียวหรือไม่

2.ร่างและตรวจสัญญาซื้อขายหรือสัญญาเช่าอย่างรัดกุม
เพื่อคุ้มครองสิทธิ์ของผู้ซื้อ และป้องกันช่องว่างที่อาจถูกเอาเปรียบ

3.วางแผนโครงสร้างการถือครองที่ถูกต้องตามกฎหมาย
เช่น แนะนำรูปแบบการลงทุนในนามบริษัท การร่วมทุนกับคนไทย หรือการเช่าที่ดินระยะยาว

4.เจรจากับผู้ขายและหน่วยงานรัฐแทนลูกความ
เพื่อให้การโอนกรรมสิทธิ์และขั้นตอนต่าง ๆ เป็นไปอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และปลอดภัย

5.ให้คำปรึกษาด้านภาษีและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับอสังหา
เช่น ภาษีธุรกิจเฉพาะ ค่าธรรมเนียมโอน หรือภาษีรายได้จากการขาย

ทนายความจึงไม่ใช่เพียงผู้ช่วยด้านเอกสาร แต่เป็น “ผู้ปกป้องผลประโยชน์” ของผู้ซื้อในทุกมิติ

ทำไมควร “ปรึกษาทนายก่อนซื้อ” ไม่ใช่หลังมีปัญหา?

หลายคนมักคิดว่า การจ้างทนายความเป็นเรื่องสิ้นเปลือง แต่ความจริงแล้ว “การมีที่ปรึกษากฎหมายตั้งแต่แรก” จะสามารถประหยัดทั้งเงินและเวลาได้มากกว่าการแก้ไขปัญหาทีหลังหลายเท่า

เมื่อมีทนายความที่เข้าใจกฎหมายไทย ชาวต่างชาติจะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง เช่น

  • ซื้อคอนโดโครงการไหนได้บ้าง
  • ที่ดินแปลงใดซื้อไม่ได้
  • ควรใช้ชื่อใครถือครองในเอกสาร
  • ภาษีและค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมคืออะไร

สิ่งเหล่านี้ช่วยให้การลงทุนในอสังหาไทยเป็นไปอย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย 100%

อสังหาริมทรัพย์ไทยน่าลงทุน แต่ต้องรู้ทันกฎหมาย

ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งในด้านการท่องเที่ยว การเกษียณ และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่ทุกการซื้อขายต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายไทย หากไม่ปรึกษาทนาย อาจพลาดรายละเอียดสำคัญที่ทำให้ความฝันของคุณกลายเป็นฝันร้ายได้

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนต่างชาติที่กำลังมองหาบ้านพักตากอากาศ หรือผู้บริหารที่ต้องการซื้อคอนโดเพื่ออยู่อาศัยในระยะยาว อย่าตัดสินใจลงทุนในอสังหาโดยไม่มีทนายความไทยที่ไว้ใจได้อยู่ข้างคุณ

เพราะในโลกของอสังหาริมทรัพย์ไทย “ความรู้ทางกฎหมาย” คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดของนักลงทุนต่างชาติทุกคน ปรึกษาทนายคลิก >>ติดต่อเรา<<

บริษัทประกันภัยนับผล “แอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่? เมื่อผู้บริโภคกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบจากการตีความฝ่ายเดียวของบริษัทประกันภัย

ในหลายปีที่ผ่านมา มีคดีจำนวนไม่น้อยที่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์ถูกบริษัทประกันภัยปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม ด้วยเหตุผลว่า “ขณะเกิดเหตุมีแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์” ซึ่งเป็นเงื่อนไขตามกฎหมายว่าด้วยพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522

แต่สิ่งที่สร้างความไม่เป็นธรรมให้กับผู้บริโภคคือ การที่บางบริษัทประกันภัย นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง โดยไม่ได้อ้างอิงค่าที่ตรวจได้จริงในขณะเกิดเหตุ หากแต่ใช้ “คู่มือตีความภายใน” มาคำนวณย้อนกลับว่า แอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่จะลดลงเฉลี่ย 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมง แล้วจึงตีความว่า ขณะเกิดเหตุผู้เอาประกันมีแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ ก่อให้เกิดคำถามใหญ่ในทางกฎหมายและความยุติธรรมของระบบประกันภัยว่า “บริษัทประกันภัยมีสิทธินับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังเองหรือไม่?”

กฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจน ขณะเกิดเหตุเท่านั้นที่สำคัญ

ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 43(2) ระบุชัดเจนว่า

“หากผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย”

นั่นหมายความว่า การพิจารณาว่าผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์เกินเกณฑ์หรือไม่ ต้องดูจาก ผลตรวจจริง “ขณะเกิดเหตุ” หรือใกล้เคียงกับเวลานั้นมากที่สุด
ไม่ใช่การคำนวณย้อนหลัง หรือสมมุติค่าแอลกอฮอล์จากสูตรเฉลี่ยตามคู่มือภายในของบริษัทประกันภัย

ดังนั้น การที่บริษัทประกันภัย “ตีความเอง” ว่าสามารถนับผลย้อนหลังได้ จึงเป็นการ ฝ่าฝืนข้อตกลงตามสัญญาประกันภัย และเป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายเอาเปรียบผู้บริโภค โดยไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดรองรับ

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ : การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง “เชื่อถือไม่ได้”

ในคดีหนึ่งที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ดูแล มี คำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค ที่น่าสนใจมาก
ศาลได้วินิจฉัยว่า การที่บริษัทประกันภัยนำเพียง “คู่มือตีความกรมธรรม์” มาอ้างว่า แอลกอฮอล์ในเลือดของผู้เอาประกันจะลดลง 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมง แล้วคำนวณย้อนหลังเพื่ออ้างว่าผู้เอาประกันมีปริมาณเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์นั้น

เป็นพยานหลักฐานที่ “มีน้ำหนักน้อย” และ “เชื่อถือไม่ได้”

ศาลเห็นว่า การคำนวณย้อนหลังลักษณะนี้เป็นการตีความฝ่ายเดียวของบริษัทประกันภัย และส่งผลให้ผู้บริโภคเสียเปรียบ ซึ่งขัดต่อหลักความเป็นธรรมในสัญญาผู้บริโภค

ศาลจึงวางหลักสำคัญไว้ว่า

“เมื่อบริษัทประกันภัยอ้างว่าผู้เอาประกันมีแอลกอฮอล์เกินเกณฑ์ ต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนและเป็นกลางมากกว่านี้ ไม่ใช่ใช้การคำนวณภายในฝ่ายเดียว”

กล่าวคือ หากไม่มีหลักฐานทางการแพทย์หรือผลตรวจจริงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ เวลาที่เกิดเหตุ บริษัทประกันภัยไม่สามารถปฏิเสธความคุ้มครองได้

ปัญหาใหญ่กว่าที่คิด คปภ. กลับไม่ลงโทษบริษัทประกันภัย

แม้จะมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วางหลักไว้ชัดเจน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงคือ
เมื่อบริษัทประกันภัยปฏิเสธจ่ายค่าสินไหมด้วยเหตุผลเรื่องแอลกอฮอล์ย้อนหลัง แล้วผู้บริโภคร้องเรียนต่อสำนักงาน คปภ. (คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย)

หลายกรณีกลับพบว่า คำสั่งของ คปภ. เองก็ยังยึดแนวทางเดียวกับบริษัทประกันภัย โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้รอบด้าน

ทนายอาร์มได้ตั้งคำถามสำคัญว่า “เมื่อศาลพิพากษาชัดว่าบริษัทประกันภัยทำผิด แต่ทำไม คปภ. ถึงไม่ลงโทษบริษัทเหล่านั้น?”

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างในระบบกำกับดูแล ที่ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากถูกเอาเปรียบซ้ำซ้อน ทั้งจากบริษัทประกันภัย และจากหน่วยงานที่ควรคุ้มครองสิทธิของประชาชน

ผู้บริโภคควรทำอย่างไร หากถูกปฏิเสธเพราะประกันนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง?

อย่ากลัวที่จะปรึกษาทนายความ

หากบริษัทประกันภัยอ้างว่าผู้ขับขี่ “มีแอลกอฮอล์เกินกฎหมายกำหนดขณะขับขี่” แล้วปฏิเสธค่าสินไหมทดแทน ควรรีบปรึกษาทนายความทันที เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรต่อสู้ด้วยตัวเอง

หลายคนเข้าใจผิดว่า “แค่เราอธิบายความจริง เขาก็น่าจะเข้าใจ” หรือ “เรามีผลตรวจจากโรงพยาบาลอยู่แล้ว ก็น่าจะพอ” แต่ในความเป็นจริง บริษัทประกันภัยมีทีมกฎหมายและทนายความอยู่เบื้องหลัง พวกเขารู้ช่องว่างของสัญญา รู้แนวทางตีความในชั้นศาล และรู้แม้กระทั่งว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ “ไม่กล้า” ฟ้อง

หากคุณไม่มีทนายความที่เข้าใจระบบประกันภัยคอยวางรูปเรื่องตั้งแต่ต้น ไม่มีทางเลยที่คุณจะรู้ทันบริษัทประกันภัย และไม่มีทางที่จะไม่ถูกเอาเปรียบ

เพราะ ทุกถ้อยคำในสัญญา หรือ ทุกจุดเล็ก ๆ ในรายงานผลแอลกอฮอล์ สามารถถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการปฏิเสธความรับผิดได้ทั้งสิ้น
บริษัทประกันภัยอาจใช้ถ้อยคำคลุมเครือในสัญญา เช่น “หากมีแอลกอฮอล์ในเลือด” โดยไม่ระบุชัดว่า “ต้องวัด ณ เวลาที่เกิดเหตุ” ซึ่งเปิดช่องให้บริษัทนำมาใช้ตีความย้อนเวลาเองได้

หากไม่มีทนายความมาเดินเรื่องตั้งแต่ต้น ผู้บริโภคมักจะ “ตกหลุม” ทางกฎหมายโดยไม่รู้ตัว  จนสุดท้ายกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำผิดกฎหมายจริง

ไม่สนับสนุนให้ขับรถขณะมีแอลกอฮอล์ แต่ก็ไม่สนับสนุนให้บริษัทประกันภัยฉวยโอกาสเอาเปรียบประชาชนเช่นกัน

ทนายอาร์มยืนยันว่า

“เราไม่สนับสนุนให้ใครขับรถขณะมีแอลกอฮอล์ แต่เราก็ไม่สนับสนุนให้บริษัทประกันภัยฉวยโอกาสเอาเปรียบประชาชนเช่นกัน”

การตีความผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังนอกจากจะขัดต่อสัญญาประกันภัยแล้ว ยังเป็นการสร้าง “บรรทัดฐานที่ผิด” ให้กับระบบคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย เพราะจะเปิดช่องให้บริษัทประกันภัยสามารถปฏิเสธค่าสินไหมโดยอ้างเหตุผลใดก็ได้

ดังนั้น หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังถูกบริษัทประกันภัยปฏิเสธความคุ้มครองเพราะข้ออ้างเรื่อง “แอลกอฮอล์ย้อนหลัง”
อย่าปล่อยให้บริษัทประกันภัยเอาเปรียบ รีบปรึกษาทนายความที่เชี่ยวชาญด้านคดีผู้บริโภคและประกันภัยเพื่อให้กฎหมายคุ้มครองสิทธิของคุณอย่างเต็มที่

บริษัทประกันภัยมีทนายอยู่ข้างเขาเสมอ แล้วคุณล่ะมีทนายอยู่ข้างคุณหรือยัง?

หากถูกบริษัทประกันภัยอ้างว่า “มีแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” แล้วปฏิเสธค่าสินไหม อย่ารอให้เสียเวลาไปกับการไปเดินเรื่องด้วยตัวเอง เพราะสุดท้ายบริษัทจะใช้ข้อกฎหมายตีความให้คุณเสียเปรียบอยู่ดี รีบปรึกษาทนายความที่มีประสบการณ์ด้านคดีประกันภัย
เพื่อให้ทนาย “วางรูปเรื่อง” ตั้งแต่ต้น เพราะเพียงแค่ก้าวแรกที่ผิดพลาด คุณอาจเสียสิทธิ์ทั้งหมดที่ควรได้รับไปอย่างน่าเสียดาย

การนับผล “แอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ไม่ใช่หลักฐานที่กฎหมายยอมรับ บริษัทประกันภัยไม่มีสิทธิคำนวณย้อนหลังเพื่อปฏิเสธค่าสินไหม หากผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ ต้องต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ที่พึงได้ เพราะกฎหมายอยู่ข้างผู้บริโภคที่ถูกต้องเสมอและ “การมีทนายอยู่ข้างคุณ” คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในโลกของสัญญาและการปฏิเสธค่าสินไหมทดแทนที่ไม่เป็นธรรม หากถูกบริษัทประกันภัยนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังมาปฏิเสธการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน คลิก >>>ติดต่อเรา<<< หรือโทรปรึกษาเบื้องต้น 062-195-1661