“นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ไม่ใช่ข้ออ้างในการปฏิเสธสินไหม คำพิพากษาชี้ชัดประกันภัยต้องชดใช้!

ในโลกของการประกันภัย โดยเฉพาะกรณีอุบัติเหตุจราจร การตีความเงื่อนไขกรมธรรม์ถือเป็นประเด็นสำคัญที่อาจสร้างความขัดแย้งระหว่างบริษัทประกันภัยกับผู้เอาประกัน ซึ่งคดีหนึ่งที่สะท้อนปัญหานี้ได้ชัดเจน คือ กรณีบริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิดโดยอ้าง “การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ทั้งที่ผลตรวจจริงไม่เกินค่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นการปฏิเสธที่ไม่ชอบธรรม พร้อมสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมตามเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างครบถ้วน

เหตุการณ์อุบัติเหตุ และข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น : คำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

คดีนี้เริ่มต้นจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 รถยนต์กระบะทะเบียน 2 XX 3456 กรุงเทพมหานคร ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ทำให้ตัวรถได้รับความเสียหาย มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 ราย และเสียชีวิต 1 ราย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรถและเป็นผู้เอาประกันภัยได้สำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าปลงศพให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ

รถคันดังกล่าวมีประกันภัยทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ โดยจำเลยที่ 1 คือบริษัทผู้รับประกันภัยภาคบังคับ มีหน้าที่ดูแลความเสียหายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ส่วนจำเลยที่ 2 คือบริษัท 1234 จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยภาคสมัครใจ มีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมในส่วนของความเสียหายตัวรถ, ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ, ค่ารักษาพยาบาล, และค่าชดเชยกรณีเสียชีวิตตามกรมธรรม์

แต่เมื่อโจทก์ยื่นขอสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 กลับถูกปฏิเสธ โดยบริษัทอ้างว่า ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยอาศัยการ “คำนวณย้อนหลัง” จากข้อมูลบางส่วน ทั้งที่ผลตรวจจากสถานพยาบาลแสดงชัดเจนว่าผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์เพียง 37 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าค่ากำหนดของกฎหมายคือ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

ข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริง

โจทก์ได้โต้แย้งการปฏิเสธนี้ว่าไม่มีมูลทางกฎหมายหรือวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน โดยชี้ว่า

  • จำเลยไม่มีผลตรวจย้อนหลังที่ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง
  • ไม่มีข้อมูลด้านดัชนีมวลกายหรือข้อมูลทางสุขภาพของผู้ขับขี่ที่สามารถนำมาคำนวณย้อนหลังได้
  • พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อหาเมาสุราต่อผู้ขับขี่ ซึ่งแสดงว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้เห็นว่าผู้ขับขี่เมาในขณะเกิดเหตุ

โจทก์จึงมองว่าการนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อเลี่ยงความรับผิด ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงและข้อกฎหมาย จึงแต่งตั้งทนายความติดตามทวงถามและขอเอกสารประกอบจากจำเลย แต่จำเลยกลับเพิกเฉย ไม่ตอบกลับ ไม่แสดงหลักฐาน โจทก์จึงนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาล

คำพิพากษาที่ชี้ชัดถึงความรับผิดของประกันภัย

ศาลได้พิจารณาพยานหลักฐานและวินิจฉัยอย่างละเอียด ก่อนมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 2 คือบริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) ต้องชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามรายละเอียด ดังนี้:

1.ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายต่อรถยนต์ ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ภาคสมัครใจ หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ ภายในวงเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้

oหรือเลือก จัดซ่อมรถให้อยู่ในสภาพเดิม

2.ชำระค่ายกรถ จำนวน 10,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2566 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น

3.ชำระค่าเก็บรักษารถ เดือนละ 10,000 บาท นับจากวันฟ้อง (18 มิถุนายน 2567) จนกว่าจะชำระค่าสินไหมครบ หรือมีการนำรถออกจากสถานที่เก็บรักษา

oแต่บริษัทประกันภัยจะต้องรับผิดในค่ายกรถและค่าเก็บรักษา ไม่เกิน 20% ของค่าซ่อมแซม

4.ชำระค่าทนายความ จำนวน 5,000 บาท ให้แก่โจทก์

5.ชำระค่าธรรมเนียมศาล ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี

6.คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 (บริษัทประกันภัยภาคบังคับ): ศาล ยกฟ้อง โดยให้แต่ละฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเอง7.คำขออื่น ๆ ของโจทก์ ศาล ยกคำขอ

อย่ารอให้ตกเป็นเหยื่อ ! ปรึกษาทนายคดีประกันภัย หากถูกนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

คดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนถึงการใช้ “การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” โดยไม่มีหลักฐานรองรับอย่างเป็นทางการ เป็นแนวปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง และอาจขัดต่อหลักความเป็นธรรม

หากผลตรวจแอลกอฮอล์ในร่างกายจากหน่วยงานทางการระบุว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และไม่มีการตั้งข้อหาจากพนักงานสอบสวน บริษัทประกันภัยไม่สามารถอ้าง “การคำนวณย้อนหลัง” เป็นเหตุปฏิเสธความรับผิดได้

นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง จึงไม่ควรเป็นเครื่องมือที่บริษัทประกันภัยนำมาใช้ในลักษณะลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับอย่างชัดเจน เพราะนอกจากจะทำให้ผู้เอาประกันเสียสิทธิ์ ยังอาจนำไปสู่ความเสียหายทางกฎหมายแก่บริษัทเอง

คดีนี้ยืนยันว่าการตีความสัญญาประกันภัยต้องอยู่บนพื้นฐานของ “ข้อเท็จจริง” และ “พยานหลักฐาน” ไม่ใช่การคาดคะเนหรือประเมินจากสมมุติฐานที่ไม่มีที่มารองรับ

บริษัทประกันภัยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างเคร่งครัด ไม่เลือกปฏิบัติหรือเลี่ยงความรับผิดโดยไม่มีมูล หากมีข้อสงสัยเรื่อง ประกันภัย หรือการ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ขอแนะนำให้ปรึกษาทนายความที่เชี่ยวชาญ เพื่อปกป้องสิทธิของคุณอย่างถูกต้องตามกฎหมายหากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยเจอกรณีคล้ายกัน อย่าลังเลที่จะขอคำปรึกษาจากทนายความ เพราะบางครั้ง “ความเงียบของเรา” อาจกลายเป็นการยอมรับในความไม่เป็นธรรมโดยไม่รู้ตัว ปรึกษากฎหมายแอดไลน์ @Wongsakorn หรือคลิก ติดต่อเรา

ประกันภัยนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ปัดจ่าย เจอทนายฟ้องศาล ชนะคดี!

ในโลกของการประกันภัยรถยนต์ ผู้เอาประกันคงคาดหวังว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น บริษัทประกันภัยจะดำเนินการตามหน้าที่เพื่อช่วยเหลือและชดเชยความเสียหายให้ตรงไปตรงมา ทว่าความจริงอาจไม่สวยงามเช่นนั้น กรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจคือเหตุการณ์ที่บริษัทประกันภัยใช้วิธี นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง มาเป็นเหตุผลในการ ปฏิเสธจ่ายค่าสินไหมทดแทน ทั้งที่ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน และสุดท้ายต้องจบลงด้วยการฟ้องร้องในชั้นศาล

เคสอุทาหรณ์ เหตุการณ์เริ่มต้น : อุบัติเหตุและการปฏิเสธจากประกัน

เหตุการณ์เริ่มต้นจากผู้เสียหายรายหนึ่งขับรถยนต์จนเกิดอุบัติเหตุขึ้น ทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก โดยตามหน้าที่ของบริษัทประกันภัยแล้ว จำเป็นต้องเข้ามาสำรวจและประเมินความเสียหาย พร้อมจัดซ่อมให้คืนสภาพเดิมภายในระยะเวลาที่สมควร

แต่บริษัทประกันภัยกลับมีหนังสือปฏิเสธความคุ้มครอง โดยให้เหตุผลว่า “ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์เกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ในขณะเกิดเหตุ”

เมื่อหลักฐานคลุมเครือ ไม่มีผลตรวจจริงในขณะเกิดเหตุ

แม้จะฟังดูเหมือนบริษัทประกันภัยปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ แต่เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงจะพบความคลุมเครือในหลายประเด็น บริษัทฯ ไม่สามารถแสดงหลักฐานการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในขณะเกิดเหตุได้อย่างชัดเจน ทั้งไม่สามารถยืนยันว่าเครื่องมือที่ใช้ผ่านการรับรองมาตรฐาน และไม่มีลายเซ็นของผู้ขับขี่ในเอกสารยืนยันผลตรวจ

ประเด็นหลักของคดี ! นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังโดยไม่มีหลักฐาน

ประเด็นสำคัญของคดีนี้คือบริษัทประกันภัยกับการ “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” โดยไม่มีหลักฐานแสดงผลการวัดแอลกอฮอล์ที่เกิดขึ้น ณ ขณะเกิดเหตุจริง ซึ่งสวนทางกับคำสั่งของนายทะเบียนที่ 66/2563 ที่ระบุชัดว่า การยกเว้นความรับผิดตามเงื่อนไขแอลกอฮอล์ ต้องพิจารณาที่ “ขณะเกิดเหตุ” เท่านั้น

ไม่รอถูกเอาเปรียบนาน ให้ทนายความเดินเรื่องทันที

เมื่อผู้เสียหายเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจาก สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เพื่อให้ทนายความดำเนินการเรียกร้องสิทธิในฐานะผู้เอาประกัน โดยทนายความได้ยื่นหนังสือเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัย พร้อมอ้างอิงระเบียบของ คปภ. ว่าการเพิกเฉยหรือประวิงเวลาการพิจารณาเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย พ.ศ. 2566

ศาลชี้ชัด! บริษัทประกันภัยต้องชดใช้

ในที่สุด คดีความนี้จึงถูกนำขึ้นสู่ชั้นศาล ซึ่งศาลได้พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดและมีคำพิพากษาให้บริษัทประกันภัยแพ้คดี โดยศาลชี้ชัดว่าการอ้างผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังโดยไม่มีหลักฐานยืนยันสถานะในขณะเกิดเหตุ ถือเป็นการปฏิเสธความรับผิดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลสั่งชดใช้ค่าเสียหายรวมเกือบ 620,000 บาท ได้แก่

  • ค่าซ่อมรถยนต์ 550,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 15% ต่อปี
  • ค่ายกลากรถ 4,500 บาท
  • ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ 50,000 บาท
  • ค่ารักษาพยาบาล 5,506.69 บาท
  • ค่าทนายความ 10,000 บาท

บทเรียนสำคัญจากเคสนี้ คือ ผู้บริโภคควรปรึกษาทนายทันทีหลังเกิดเหตุ

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้บริโภคยังคงเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบเมื่อเจอกับบริษัทประกันภัยที่มุ่งหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบด้วยเหตุผลอันคลุมเครืออย่างการ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง โดยปราศจากหลักฐานสนับสนุนที่ถูกต้องและชัดเจนนี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ยืนยันว่า ผู้เอาประกันควรมี ทนายความที่เข้าใจด้านประกันภัย คอยให้คำแนะนำและช่วยดำเนินคดีหากถูกเอาเปรียบ

ทนายความที่มีประสบการณ์คดีประกันภัย กรณีประกันภัยอ้างผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง – สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นสำนักงานกฎหมายที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านคดีประกันภัย โดยเฉพาะกรณีที่บริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิด โดยอ้างผลตรวจแอลกอฮอล์ย้อนหลังแบบไม่มีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์รองรับ ซึ่งตลอดมาทางจากประสบการณ์สำนักงานฯ ยังไม่เคยแพ้คดีลักษณะนี้ หากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยเจอปัญหาแบบเดียวกัน อย่าเพิ่งยอมแพ้ขอแนะนำให้ปรึกษาทนายความก่อนเป็นอันดับแรกดีที่สุด เพื่อที่คุณจะสามารถใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมได้เต็มที่ นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรมีทนายความตั้งแต่เริ่มต้น เพราะในความเป็นจริง บริษัทประกันภัยมีทนายเตรียมพร้อมต่อสู้ตั้งแต่รถยังไม่ทันชน แล้วเหตุใดเราจึงไม่ควรมีทนายตั้งแต่วันเกิดเหตุ?

อย่ารอจนสายเกินไป จนไม่ได้อะไรเลยแม้แต่บาทเดียว — ปรึกษาทนายตั้งแต่แรกคือทางออกที่ดีที่สุด >>ติดต่อเรา<<

ไทยท่ามกลางความตึงเครียดจีน-สหรัฐ :ผลกระทบและมุมมองทางกฎหมาย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น จากประเด็นหลากหลาย ตั้งแต่สงครามการค้า เทคโนโลยี ไปจนถึงปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ความขัดแย้งดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในสองประเทศมหาอำนาจเท่านั้น แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

ประเทศไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนา ที่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นทั้งด้านเศรษฐกิจ การทูต และความมั่นคงกับทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากการเผชิญหน้าทางยุทธศาสตร์ของสองชาติมหาอำนาจนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่เพียงส่งผลต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ยังลุกลามไปถึงมิติของการต่างประเทศ กฎหมาย ความมั่นคง และโครงสร้างการพัฒนาในระยะยาว

🏦ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: การค้าและการลงทุน

ประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศอย่างสูง โดยมูลค่าการค้าสินค้าระหว่างประเทศของไทยคิดเป็นกว่า 80% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการส่งออกและนำเข้าในระบบเศรษฐกิจไทย

หนึ่งในเส้นทางคมนาคมทางทะเลที่สำคัญของการค้าระหว่างประเทศของไทยคือทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสายหลักที่เชื่อมต่อไทยกับตลาดโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ตลอดจนเส้นทางเดินเรือไปยังสหรัฐอเมริกาและยุโรป

อย่างไรก็ตาม การที่จีนมีบทบาทเชิงรุกในทะเลจีนใต้ เช่น การสร้างเกาะเทียม การติดตั้งอุปกรณ์ทางทหาร และการประกาศสิทธิ์อธิปไตยในพื้นที่พิพาท ได้ก่อให้เกิดความวิตกกังวลในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในด้านเสรีภาพในการเดินเรือ (freedom of navigation) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่รับรองการค้าระหว่างประเทศ

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับไทย ได้แก่:

  • ต้นทุนโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้น หากเส้นทางการเดินเรือไม่ปลอดภัย หรือถูกควบคุมโดยจีน อาจทำให้บริษัทขนส่งต้องเลือกเส้นทางอื่นที่ยาวและมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น
  • ความไม่แน่นอนในการลงทุน นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ หรือพันธมิตรในตะวันตก อาจชะลอการลงทุนในไทย หากมองว่าไทยอยู่ในตำแหน่งเสี่ยงหรือใกล้จุดขัดแย้ง
  • แรงกดดันทางเศรษฐกิจแบบอ้อม จากการที่ไทยต้องรักษาความสัมพันธ์กับทั้งจีนและสหรัฐฯ ในขณะที่ทั้งสองประเทศกำลังแข่งขันกันทางการค้า เช่น การเลือกใช้เทคโนโลยีของฝั่งใดฝั่งหนึ่ง หรือการเข้าร่วมข้อตกลงการค้าเฉพาะกลุ่ม

ด้วยเหตุนี้ ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ไม่เพียงส่งผลโดยตรงต่อการขนส่งสินค้าเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อสภาพแวดล้อมการลงทุนและทิศทางเศรษฐกิจโดยรวมของไทยในระยะยาว

🤝ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์: ความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งทั้งกับจีนและสหรัฐอเมริกา ทั้งในด้านการทูต เศรษฐกิจ และความมั่นคง โดยจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย ในขณะที่สหรัฐอเมริกายังเป็นพันธมิตรทางทหารที่สำคัญ และมีการซ้อมรบร่วมกันในโครงการต่าง ๆ เช่น “คอบบร้าโกลด์” มาอย่างยาวนาน

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ของจีนในภูมิภาค รวมถึงในอ่าวไทย ได้สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพในภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อจีนมีโครงการขนาดใหญ่ เช่น:

  • คลองฟูนันเตโช (โครงการสมมุติในลักษณะคลองไทย) ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะเชื่อมต่อทะเลอันดามันกับอ่าวไทย และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่อาจส่งผลต่อการควบคุมเส้นทางเดินเรือในภูมิภาค
  • สนามบินดาราสาคร ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การขยายอิทธิพลทางทหารของจีน โดยมีข้อกังวลว่าโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้อาจถูกใช้เพื่อการทหารในอนาคต

การที่จีนขยายบทบาทในไทยและภูมิภาคในลักษณะนี้ ทำให้สหรัฐอเมริกามีแนวโน้มตอบโต้ด้วยการเพิ่มความร่วมมือด้านความมั่นคงกับประเทศพันธมิตรในอาเซียน หรืออาจพิจารณาวางกำลังทหารในพื้นที่สำคัญของไทยหากสถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น เช่น ในพื้นที่ใกล้ช่องแคบมะละกา หรืออ่าวไทยตอนล่าง

ผลกระทบที่ตามมาคือ:

  • ไทยอาจตกอยู่ในภาวะ “สมดุลที่ลำบาก” ต้องประคับประคองความสัมพันธ์กับทั้งสองฝ่ายอย่างระมัดระวัง
  • ความเสี่ยงต่อการเป็นพื้นที่แข่งขันทางอำนาจ ซึ่งอาจกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ถูกรบกวน หากเกิดความขัดแย้งหรือการเผชิญหน้าโดยตรง
  • แรงกดดันให้เลือกข้างทางยุทธศาสตร์ เช่น การเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมพันธมิตรทางทหารหรือเศรษฐกิจอย่าง Indo-Pacific Economic Framework (IPEF) ของสหรัฐฯ หรือ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีน

ในภาพรวม ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ กำลังกดดันให้ไทยต้องวางยุทธศาสตร์นโยบายต่างประเทศอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ ท่ามกลางการแข่งขันของสองขั้วอำนาจโลก

✅สิ่งที่ประเทศไทยสามารถทำได้ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ

เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติและเสถียรภาพในภูมิภาค ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่ประเทศไทยสามารถนำไปใช้:

1. การเสริมสร้างความเป็นกลางทางการทูต

ประเทศไทยสามารถรักษาบทบาทของตนในฐานะผู้เล่นที่เป็นกลาง โดยสนับสนุนการทูต การเจรจา และการแก้ไขข้อขัดแย้งด้วยสันติวิธี ผ่านการรักษาความสัมพันธ์ที่สมดุลกับทั้งจีนและสหรัฐฯ โดยทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยหรือส่งเสริมการเจรจาในฟอรัมระดับภูมิภาค เช่น อาเซียน, การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก, และความร่วมมือในกรอบ APEC การรักษาความเป็นกลางทางการทูตนี้จะช่วยเสริมสร้างบทบาทของไทยในการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองมหาอำนาจและคุ้มครองอธิปไตยและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ

2. การกระจายแหล่งการค้าและการลงทุน

เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป ประเทศไทยสามารถกระจายแหล่งการค้าและแหล่งการลงทุน โดยการสำรวจตลาดใหม่และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรทั่วโลก เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลีย การกระจายแหล่งการค้าจะช่วยให้ไทยสามารถลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีนและสหรัฐฯ มากเกินไป ซึ่งจะช่วยปกป้องเศรษฐกิจจากความไม่แน่นอนที่เกิดจากความตึงเครียดทางการเมืองโลก

3. การเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาค

ประเทศไทยควรเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทั้งในอาเซียนและกับพันธมิตรจากภายนอก โดยการรักษาความร่วมมือทางทหารกับสหรัฐฯ ไปพร้อมๆ กับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับจีนในด้านต่าง ๆ เช่น การต่อต้านการก่อการร้าย การรับมือภัยพิบัติ และความมั่นคงทางทะเล การเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทั้งสองฝ่ายจะช่วยให้ประเทศไทยมีความมั่นคงในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค

4. การส่งเสริมความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและนวัตกรรม

นอกจากการรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตแล้ว ไทยยังควรมุ่งเน้นในการสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ โดยการลงทุนในภาคส่วนสำคัญ เช่น เทคโนโลยี นวัตกรรม และพลังงานสีเขียว เพื่อลดการพึ่งพาภายนอกและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว การเสริมสร้างอุตสาหกรรมในประเทศและการสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศจะช่วยให้ไทยสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกได้ดีขึ้น

5. การส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

ประเทศไทยสามารถมีบทบาทในการส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น การเข้าร่วมในความร่วมมือทางเศรษฐกิจ Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP) หรือ Indo-Pacific Economic Framework (IPEF) ของสหรัฐฯ เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าภายในภูมิภาค ขณะเดียวกันก็ต้องมั่นใจว่าไทยจะไม่ตกอยู่ในภาวะที่ต้องเลือกข้างในการแข่งขันทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ การบูรณาการทางเศรษฐกิจจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เสถียรและร่วมมือกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น

💢มุมมองทางกฎหมาย: บทบาทของทนายความในภาวะความขัดแย้งระหว่างจีน-สหรัฐฯ

ทนายความ โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ และกฎหมายความมั่นคง มีบทบาทสำคัญหลายประการในการช่วยให้ทั้งภาครัฐและเอกชนของไทยสามารถรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

🔎 1. ให้คำปรึกษาเชิงยุทธศาสตร์

  • การตีความอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS)
  • กฎระเบียบขององค์การการค้าโลก (WTO)
  • การเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมพันธมิตรเศรษฐกิจ เช่น IPEF หรือ RCEP

⚖️ 2. การจัดการความเสี่ยงด้านกฎหมายให้ภาคเอกชน

  • ตรวจสอบสัญญาระหว่างประเทศ
  • ปรับข้อกำหนดการค้าให้สอดคล้องกับข้อจำกัดใหม่
  • แนะนำการดำเนินธุรกิจที่ไม่ละเมิดกฎหมายคว่ำบาตรระหว่างประเทศ

🕊️ 3. การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ

หากเกิดข้อพิพาทในเรื่องเขตแดน เศรษฐกิจ หรือทรัพยากรทางทะเล ไทยอาจต้องพึ่งพากระบวนการระงับข้อพิพาท เช่น อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ หรือการเจรจาภายใต้กลไกของสหประชาชาติ

ทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในกระบวนการเหล่านี้สามารถ:

  • ทำหน้าที่แทนประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ
  • จัดทำเอกสารหลักฐานและข้อกฎหมายสนับสนุนจุดยืนของประเทศ
  • เจรจาเพื่อลดความขัดแย้งและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มองว่า ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจเช่นนี้จำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมเชิงกฎหมาย โดยเฉพาะในด้านการทำธุรกิจระหว่างประเทศ การจัดการสัญญา และการวางกลยุทธ์ทางกฎหมายที่ลดความเสี่ยงในอนาคต ทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถขอคำปรึกษาได้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาททางการค้า การลงทุน และกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับนโยบายต่างประเทศ

นอกจากนี้ หากมีเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจหรือผลประโยชน์ของบุคคลหรือองค์กร ไม่ว่าจะเกิดขึ้นแล้วหรือมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในอนาคต ทางสำนักงานฯ ก็พร้อมให้คำปรึกษาและแนวทางการดำเนินการทางกฎหมายอย่างเหมาะสม

บทบาทของทนายจึงไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังรวมถึงการวางแนวทางป้องกันและรักษาผลประโยชน์ของไทยในบริบทโลกที่ซับซ้อนมากขึ้น

อ้างอิงจากเว็บไซต์ :  มติชนออนไลน์thac.or.th+3The 101+3มติชนออนไลน์+3

เขียนโดย :วรารัตน์ วงโพธิสาร (นักศึกษาฝึกประสบการณ์ภาษาจีน)

“พาสปอร์ตไทยซื้อได้?” โซเชียลเดือด หลังพบป้ายจีนโฆษณาแปลงสัญชาติกลางกรุง

กลายเป็นกระแสร้อนบนโลกออนไลน์ หลังผู้ใช้โซเชียลมีเดียเผยแพร่ภาพป้ายโฆษณาภาษาจีนบริเวณ สี่แยกห้วยขวาง ซึ่งมีใจความแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า:
“ซื้อพาสปอร์ตอพยพด่วน ได้รับสัญชาติถูกกฎหมาย 100% ภายใน 30 วัน ปลอดภัย เป็นความลับ ทำก่อน จ่ายทีหลัง”

ข้อความดังกล่าวสร้างความตกตะลึงแก่ผู้พบเห็นและตั้งคำถามใหญ่ถึง ความมั่นคงของระบบสัญชาติไทย ว่าสามารถถูกแทรกแซงหรือซื้อขายได้จริงหรือไม่

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ได้เร่งเข้าตรวจสอบพื้นที่และทำการรื้อถอนป้ายดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าเป็นการหลอกลวงหรือมีขบวนการแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง

ป้ายเดียว สะท้อนหลายคำถาม

ไม่เพียงข้อความบนป้ายจะส่งแรงกระเพื่อมด้านภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ แต่ยังจุดกระแสคำถามจากสาธารณชนในประเด็นสำคัญ เช่น

  • เหตุใดพื้นที่สาธารณะในย่านใจกลางกรุงจึงกลายเป็นช่องทางเผยแพร่โฆษณาทางลับลักษณะนี้ได้?
  • การแอบอ้าง “ทำก่อน จ่ายทีหลัง” มีความเกี่ยวพันกับการหลอกลวง หรือมีเครือข่ายดำเนินการอยู่จริง?
  • ข้อความที่อ้างว่า “ได้รับสัญชาติถูกกฎหมาย 100%” บ่งชี้ถึง ช่องโหว่ของระบบราชการ หรือไม่?

นอกจากนี้ การที่ข้อความถูกเขียนด้วยภาษาจีนทั้งหมด และมีการแนบ QR Code สำหรับติดต่อผ่านแอปยอดนิยมในจีน เช่น WeChat หรือ Douyin (TikTok จีน) ยังสะท้อนว่าเป้าหมายของโฆษณานี้คือ กลุ่มชาวจีนที่พำนักหรือพยายามเข้ามาตั้งถิ่นฐานในไทย

ห้วยขวาง: ย่านเศรษฐกิจใหม่ หรือฐานปฏิบัติการเงา?

พื้นที่ห้วยขวาง—ซึ่งปัจจุบันมีประชากรชาวจีนอาศัยอยู่จำนวนมาก จนถูกขนานนามว่า “ไชน่าทาวน์ใหม่” ของกรุงเทพฯ—กำลังกลายเป็นจุดสนใจด้านความมั่นคงอีกครั้ง

แหล่งข่าวในพื้นที่ระบุว่า มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนต่างชาติบางกลุ่มที่พยายาม “ตั้งหลัก” ในไทย ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น การซื้ออสังหาริมทรัพย์ การจัดตั้งบริษัท หรือแม้กระทั่งการแอบอ้างดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารราชการ

“ข้อความในป้ายมันไม่ใช่แค่หลอกให้โอนเงิน มันสะท้อนว่าเขา ‘กล้าทำ’ เพราะเชื่อว่ามีทาง” – ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายตรวจคนเข้าเมือง กล่าว

ทำไมชาวจีนบางกลุ่มถึงอยากได้พาสปอร์ตไทย?

แม้สัญชาติไทยจะไม่ใช่ “golden passport” แบบในบางประเทศยุโรป แต่ก็มีคุณสมบัติที่น่าสนใจสำหรับชาวต่างชาติบางกลุ่ม เช่น:

  • เดินทางเข้าหลายประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่า
  • เข้าถึงระบบสาธารณสุขไทยที่ได้รับการยอมรับ
  • สามารถเป็นเจ้าของที่ดิน หรือเปิดบริษัทในนามคนไทยได้
  • ใช้เป็นจุดพักอาศัยหรือ “ประตู” เข้าสู่ ASEAN

“30 วัน ได้สัญชาติ มันไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่คนต่างชาติที่แต่งงานกับคนไทยยังต้องรอกันเป็นปี ๆ”ข้าราชการกรมการปกครอง กล่าว

📣 เสียงสะท้อนจากโซเชียล และมุมมองจากทนายความ

ผู้ใช้ X (Twitter), Facebook และ TikTok จำนวนมากแสดงความไม่พอใจต่อเหตุการณ์นี้ พร้อมตั้งคำถามต่อระบบควบคุมคนเข้าเมือง และการปล่อยให้พื้นที่สาธารณะถูกใช้เพื่อ “โฆษณาการแปลงสัญชาติ” อย่างเปิดเผย

ขณะเดียวกัน ทนายความและนักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนหลายรายก็ออกมาแสดงความกังวลในอีกมุมหนึ่ง โดยชี้ว่า แม้การโฆษณาแอบอ้างสามารถให้สัญชาติจะผิดกฎหมาย แต่การตอบสนองต่อเหตุการณ์เช่นนี้ต้องไม่ล้ำเส้นจนไปละเมิดสิทธิของผู้พำนักในไทยอย่างถูกกฎหมาย หรือใช้เป็นข้ออ้างในการ “ตีตรา” คนต่างชาติทุกกลุ่ม

“กฎหมายไทยไม่ได้เปิดให้ซื้อสัญชาติได้แบบในบางประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน เราต้องระวังไม่ใช้กรณีนี้เป็นเหตุผลในการเลือกปฏิบัติต่อชาวต่างชาติที่พำนักอย่างสุจริต”

ทางด้าน สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ขอแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ไม่เห็นด้วย และไม่สนับสนุนการซื้อขายพาสปอร์ตหรือการแอบอ้างกระบวนการเปลี่ยนสัญชาติอย่างผิดกฎหมายในทุกกรณี เพราะเป็นการบ่อนทำลายหลักนิติธรรมและความมั่นคงของประเทศเรายินดีให้คำปรึกษาแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ถูกหลอกลวง ชาวต่างชาติที่ต้องการความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิและขั้นตอนทางกฎหมาย หรือคนไทยที่ได้รับผลกระทบทางกฎหมายหรือชื่อเสียงจากเหตุการณ์เหล่านี้ ติดต่อเราเพื่อความยุติธรรมและป้องกันการถูกโกงจากภัยรอบตัวคุณ 

อ้างอิงจากเว็บไซต์ : มองการเข้ามาของคนจีนผ่านข่าว “การซื้อพาสปอร์ต” ที่ห้วยขวาง – สถาบันเอเชียศึกษา

เขียนโดย :วรารัตน์ วงโพธิสาร (นักศึกษาฝึกประสบการณ์ภาษาจีน)

เจาะลึกมาเฟียจีนในไทย: อิทธิพลสีเทาที่ฝังรากในระบบรัฐ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญปรากฏการณ์ทุนจีน “สีเทา” ที่ไม่เพียงแค่ลงทุนในธุรกิจถูกกฎหมาย แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่โครงสร้างรัฐและระบบราชการไทยอย่างแนบเนียน กรณี “ตู้ห่าว” หรือ ชัยยุทธ จิรวัฒน์วรกุล คือภาพสะท้อนอันน่าตระหนักถึงขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติที่ไม่ได้แค่ “อยู่ใต้ดิน” แต่บางครั้ง “แฝงอยู่ในเงาของอำนาจรัฐ” เอง

ทุนสีเทาเหล่านี้อาศัยช่องว่างของกฎหมาย ความหละหลวมของการบังคับใช้ และเครือข่ายของเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่มที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อเปิดช่องทางในการฟอกเงิน ค้าอาวุธ ยาเสพติด และแม้กระทั่งซื้อสิทธิพิเศษทางกฎหมายอย่างใบอนุญาตอยู่อาศัย หรือสัญชาติไทย กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงภัยต่อเศรษฐกิจ หากแต่กัดกร่อนโครงสร้างของรัฐและหลักนิติธรรมอย่างช้า ๆ

เมื่อทุนสีเทาไม่เพียงแค่มองหากำไร แต่แสวงหา “อำนาจ” การต่อสู้กับมาเฟียจีนในไทยจึงไม่ใช่แค่เรื่องของตำรวจหรือศาล หากแต่ต้องเป็นการ “ล้างบาง” เชิงโครงสร้าง ทั้งในแง่นโยบาย การเมือง และความโปร่งใสของหน่วยงานรัฐ เป็นคำถามสำคัญที่สังคมไทยไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

🔍  ตู้ห่าว: เงาทุนมืดในธุรกิจท่องเที่ยวไทย

กรณี “ตู้ห่าว” ที่ถูกจับกุมในปี 2565 เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดโปงเครือข่ายทุนจีนสีเทาที่มีบทบาทในไทยมานาน เขาสร้างอาณาจักรธุรกิจอสังหาฯ รีสอร์ต และสถานบันเทิง โดยใช้เส้นสายกับเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ และนักการเมืองท้องถิ่นบางกลุ่ม ใช้เงิน “บริจาค” หรือ “ล็อบบี้” เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ

ฟอกเงินผ่านธุรกิจผับและรีสอร์ตในหลายจังหวัด รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่างกรุงเทพฯ พัทยา และเชียงใหม่

มีสายสัมพันธ์กับขบวนการค้ามนุษย์และยาเสพติด โดยเฉพาะการใช้แรงงานผิดกฎหมายจากต่างประเทศ ทั้งในธุรกิจสีเทาและเครือข่ายออนไลน์ เช่น คาสิโนออนไลน์หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กรณีนี้จึงไม่ใช่แค่การจับกุมบุคคลคนหนึ่ง แต่เป็นการสะท้อนถึงการแทรกซึมของทุนสีเทาที่ลึกถึงระดับโครงสร้างอำนาจในไทย

  • ใช้เงิน “บริจาค” หรือ “ล็อบบี้” เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
  • ฟอกเงินผ่านธุรกิจผับและรีสอร์ตในหลายจังหวัด
  • มีสายสัมพันธ์กับขบวนการค้ามนุษย์และยาเสพติด

🧾  สูตรแทรกซึมของมาเฟียจีนในไทย

การฝังตัวของทุนจีนสีเทาไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มาจากการวางแผนอย่างเป็นระบบ ด้วยวิธีการที่ยากต่อการตรวจสอบ เช่น:

  • แต่งงานกับคนไทย เพื่อถือครองทรัพย์สินและบังหน้าการลงทุน
  • สนับสนุนนักการเมืองท้องถิ่น แลกกับความสะดวกในเชิงนโยบาย
  • เปิดธุรกิจบังหน้า เช่น ผับ ฟิตเนส หรือร้านอาหาร ที่ใช้ฟอกเงินหรือซ่อนกิจกรรมผิดกฎหมาย
  • จ่าย “รายเดือน” ให้เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมหรือตรวจค้น

🧩 คนไทยได้รับผลกระทบอย่างไรจากมาเฟียจีน ? 

1. บิดเบือนการแข่งขันทางธุรกิจ

ธุรกิจที่มีเบื้องหลังเป็นทุนจีนสีเทา มักเข้ามาในรูปแบบของกิจการร้านค้า บริการท่องเที่ยว หรือบ่อนการพนันที่ใช้ราคาต่ำกว่าทุน ใช้เส้นสายหลีกเลี่ยงภาษี หรือแม้กระทั่งใช้ตัวแทนคนไทยถือครองกิจการ (นอมินี) สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบ ไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม และหลายรายต้องปิดกิจการในที่สุด

2. กดทับค่าจ้างและแย่งงานคนไทย

ทุนสีเทามักใช้แรงงานผิดกฎหมายหรือแรงงานต่างชาติราคาถูก ส่งผลให้ค่าจ้างเฉลี่ยในหลายอุตสาหกรรมถูกกดต่ำลง แรงงานไทยต้องเผชิญกับภาวะตกงานหรือถูกลดค่าจ้าง ทั้งยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมก่อสร้าง บริการ และร้านอาหาร

3. ผลักราคาที่ดิน-อสังหาฯ สูงเกินจริง

ทุนจีนจำนวนมากเข้ามากว้านซื้อคอนโด บ้าน และที่ดินในเขตเศรษฐกิจสำคัญ ผ่านนอมินีหรือโครงการที่อ้างว่าขายให้นักท่องเที่ยว ส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยพุ่งสูง คนไทย โดยเฉพาะวัยทำงาน ไม่สามารถซื้อบ้านหรือครอบครองทรัพย์สินได้ตามศักยภาพของรายได้

4. บ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐและกฎหมาย

การแทรกซึมของทุนสีเทาไม่ได้หยุดแค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ลามไปถึงการซื้ออิทธิพลในระบบราชการและการเมือง บางกรณีพบเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับขบวนการเหล่านี้ ทำให้การบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอและเลือกปฏิบัติ ซึ่งเป็นอันตรายต่อหลักนิติธรรมและความเชื่อมั่นของประชาชน

5. กระทบความมั่นคงทางสังคมและคุณภาพชีวิต

ธุรกิจสีเทามักเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น ค้ายาเสพติด การพนัน หรือฟอกเงิน ซึ่งมักนำไปสู่ปัญหาอาชญากรรมในชุมชน ความรุนแรง และความเสื่อมโทรมทางสังคม นอกจากนี้ยังสร้างภาพลักษณ์เชิงลบต่อประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศด้วย

⚖️ ทนายความ: ไม่ใช่แค่สู้คดี แต่คือกลไกตรวจสอบมาเฟียจีนสีเทา

แม้จะต้องเผชิญแรงกดดันทั้งจากอิทธิพลมืดและความเสี่ยงทางกายภาพ แต่ทนายได้พิสูจน์ให้เห็นว่า “กฎหมายไม่ใช่แค่เครื่องมือของผู้มีอำนาจ” หากแต่สามารถเป็น เกราะป้องกันสังคม และเป็นดาบที่ฟันทะลวงโครงข่ายมาเฟียที่ฝังตัวในประเทศ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักข่าวหรือนักสืบ ถึงจะตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะ แค่คุณเริ่มสังเกต และ ใช้สิทธิของประชาชนตามกฎหมาย
คุณก็สามารถขอให้มีการตรวจสอบได้ — โดยเฉพาะถ้ามี ทนายความ คอยช่วยดำเนินการ

หากคุณหรือชุมชนรอบตัวพบความผิดปกติ เช่น:

  • ธุรกิจที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาแบบเร็วผิดปกติ
  • มีชาวต่างชาติถือครองที่ดินผ่านชื่อคนไทย
  • หรือมีพฤติกรรมจ่ายใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ 

ทนายความสามารถ

🔍 ร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ป.ป.ง., สรรพากร, หรือ ป.ป.ช.

 🔍เปิดโปงเส้นทางฟอกเงิน
ทนายบางคนร่วมมือกับนักข่าวสืบสวนและองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ใช้เครื่องมือทางกฎหมาย เช่น การร้องเรียนต่อ ป.ป.ง. และการขอข้อมูลตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร เปิดโปงเส้นทางเงินที่โยงจากธุรกิจบังหน้าไปยังเครือข่ายข้ามชาติ

🔍 ยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐที่เอื้อประโยชน์
ทนายฝ่ายประชาชนยังมีบทบาทสำคัญในการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐที่มีพฤติกรรมเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มทุนสีเทา เช่น การออกใบอนุญาตโดยมิชอบ หรือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

🔍 ขับเคลื่อนเชิงนโยบายและกฎหมาย
บางกลุ่มได้ร่วมกับนักวิชาการและ NGO เสนอให้มีกฎหมายใหม่เพื่อจัดการกับ “นอมินีต่างชาติ” และกลไกควบคุมการถือครองธุรกิจของชาวต่างชาติที่แฝงตัวในระบบ

ปรากฏการณ์มาเฟียจีนในไทยไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นสัญญาณเตือนว่า หากปล่อยให้ทุนสีเทาฝังตัวในระบบราชการ สังคมไทยอาจสูญเสียความยุติธรรมอย่างถาวร ถึงเวลาแล้วที่ “อำนาจรัฐ” จะต้องเลือกข้าง ระหว่าง “ประชาชน” กับ “มาเฟีย”

สำนักงานวงศกรณ์ของเราเชือว่า “อาวุธที่ดีที่สุด ไม่ใช่ปืน ไม่ใช่กล้อง แต่มันคือความรู้ + กฎหมาย + คนกล้าคิดกล้าทำ”  เพราะในสังคมที่อำนาจและเงินอาจถูกใช้เพื่อบิดเบือนความถูกต้อง ความรู้และกฎหมายคือเสาหลักเดียวที่ประชาชนธรรมดาสามารถใช้ปกป้องสิทธิของตนเอง และ “คนกล้า” คือพลังที่ทำให้ระบบยุติธรรมไม่ใช่แค่ตัวหนังสือบนกระดาษ แต่เป็นสิ่งที่จับต้องและเปลี่ยนแปลงได้จริง 

ดังนั้นหากธุรกิจของคุณได้รับผลกระทบจากนายทุนหรือมาเฟียจีนนั้น อย่านิ่งนอนใจ รีบติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทันที กลุ่มทุนต่างชาติ มาเฟียจีน หรือขบวนการที่อาศัยช่องโหว่ของกฎหมายมารังแกและแสวงหาผลประโยชน์บนความเดือดร้อนของคนไทย  เพราะการนิ่งเฉยคือการเปิดทางให้ความอยุติธรรมเติบโต

รีบติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือหากคุณไม่แน่ใจว่ากรณีของคุณผิดกฎหมายหรือไม่ สามารถปรึกษาทนายความเพื่อขอคำแนะนำอย่างมืออาชีพได้ทันที เพื่อหาทางหยุดยั้งการเอารัดเอาเปรียบก่อนที่มันจะลุกลาม และกระทบต่อคนอื่นในสังคม

อ้างอิงจากเว็บไซต์ :https://www.bbc.com/thai/articles/cp9jdrpv3ezo 

เขียนโดย :วรารัตน์ วงโพธิสาร (นักศึกษาฝึกประสบการณ์ภาษาจีน)

ถูกแขวนชื่อใน X (ทวิตเตอร์) จนเสียหาย! เข้าข่าย หมิ่นประมาท ดำเนินคดีได้ทันที

ในยุคโซเชียลมีเดียครองโลก โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม X หรือที่รู้จักกันในชื่อเดิมว่า Twitter การโพสต์ข้อความเพียงไม่กี่บรรทัดอาจส่งผลร้ายแรงอย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะหากเนื้อหานั้นพาดพิงถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งอย่างชัดเจน จนทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ ล่าสุดมีกรณีหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก เมื่อผู้เสียหายรายหนึ่งได้ถูกโพสต์ “แขวน” บนแพลตฟอร์ม X พร้อมกับการแท็กชื่อ-นามสกุลจริงของตน ส่งผลให้ผู้ที่ติดตามโพสต์ดังกล่าวเข้าใจผิดและมีท่าทีดูหมิ่นต่อผู้เสียหายเป็นวงกว้าง

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้เสียหาย ทั้งในด้านจิตใจและชื่อเสียงในสังคมออนไลน์ จนเจ้าตัวทนไม่ไหวต้องรีบติดต่อทนายความเพื่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท ทันที โดยยืนยันว่าไม่ต้องการเจรจาใด ๆ เพราะเหตุการณ์ได้บานปลายเกินควบคุม และหากปล่อยไว้ก็อาจมีผู้ใช้รายอื่นแชร์หรือโพสต์ต่อจนสร้างความเสียหายมากยิ่งขึ้น

หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา คืออะไร? รู้ไว้ก่อนจะสายเกินไป

ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ระบุว่า ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ถือว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งโทษอาจถึงขั้นจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หากการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นบนโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, X (Twitter), TikTok หรือ Instagram จะเข้าข่าย หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ซึ่งมีโทษรุนแรงขึ้นตาม มาตรา 328 โดยมีโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

กรณีที่เกิดขึ้นใน X ถือว่าเข้าข่ายชัดเจน เพราะมีการแท็กชื่อ-นามสกุลจริงของผู้เสียหาย และโพสต์ให้สาธารณชนรับรู้ ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อชื่อเสียง และเกิดการเข้าใจผิดจากผู้ที่เห็นโพสต์ จึงถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาอย่างไม่ต้องสงสัย

โพสต์แบบไหนเสี่ยงโดนฟ้องหมิ่นประมาท?

ไม่ใช่ทุกโพสต์จะเข้าข่ายผิดกฎหมาย แต่มีลักษณะบางอย่างที่หากปรากฏในโพสต์ของคุณ อาจถูกฟ้องได้ทันที เช่น

  • กล่าวหา หรือให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงเกี่ยวกับบุคคลอื่น
  • พาดพิงชื่อจริง-นามสกุล หรือข้อมูลระบุตัวตนได้ชัดเจน
  • ใช้คำพูดเสียดสี ประชดประชัน หรือสร้างความเข้าใจผิดในวงกว้าง
  • มีการแชร์ต่อ หรือกระจายโพสต์นั้นไปยังบุคคลอื่นจำนวนมาก
  • ใช้ภาพหรือข้อความประกอบเพื่อเน้นความน่าเชื่อถือของข้อกล่าวหา

ในกรณีนี้ ผู้กระทำโพสต์โดยเจตนาใส่ร้าย แท็กชื่อจริงของผู้เสียหาย และกระจายโพสต์ต่อในวงกว้าง ถือว่ามีองค์ประกอบครบถ้วนของความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ผู้เสียหายสามารถใช้โพสต์ดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในการแจ้งความได้ทันที

วิธีดำเนินคดีหมิ่นประมาท กรณีเกิดขึ้นในโลกออนไลน์

เมื่อคุณตกเป็นเหยื่อของการหมิ่นประมาทบนโซเชียล อย่าปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านไปโดยไม่ดำเนินการใด ๆ เพราะหากผู้กระทำผิดไม่ถูกดำเนินคดี อาจทำให้เกิดการกระทำซ้ำหรือเกิดเหตุกับผู้อื่นได้อีกในอนาคต โดยกระบวนการดำเนินคดีสามารถเริ่มได้ดังนี้

1.รวบรวมหลักฐานทันที
ให้แคปหน้าจอโพสต์ ข้อความ หรือรูปภาพที่เป็นปัญหาไว้ให้ครบถ้วน รวมถึงวันเวลาและชื่อบัญชีผู้โพสต์

2.ติดต่อทนายความผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อรับคำแนะนำทางกฎหมาย และจัดเตรียมเอกสารให้พร้อมในการแจ้งความ

3.แจ้งความต่อสถานีตำรวจ
ระบุว่าต้องการดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา พร้อมนำหลักฐานที่เตรียมไว้ยื่นต่อเจ้าหน้าที่

4. ดำเนินคดีแพ่งเพิ่มเติม (ถ้ามี)
หากเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงหรือธุรกิจของคุณโดยตรง อาจสามารถเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งได้เพิ่มเติม

การดำเนินคดีหมิ่นประมาทไม่เพียงเป็นการปกป้องสิทธิของผู้เสียหาย แต่ยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้สังคมออนไลน์รู้จักการใช้เสรีภาพอย่างมีความรับผิดชอบ

อย่าลังเลที่จะใช้สิทธิทางกฎหมาย ปรึกษาทนายเพื่อปกป้องชื่อเสียงของคุณ

หลายคนเมื่อเผชิญเหตุการณ์เช่นนี้มักเลือกที่จะเงียบ หรือรอให้เรื่องเงียบไปเอง แต่ในความเป็นจริง ยิ่งปล่อยไว้นาน โอกาสในการปกป้องสิทธิและนำตัวผู้กระทำผิดมารับผิดก็ยิ่งน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคที่โพสต์หนึ่งสามารถแพร่กระจายไปเป็นหมื่นรีทวีตในเวลาไม่กี่ชั่วโมง การปล่อยให้ใครบางคนใส่ร้ายคุณในโลกออนไลน์โดยไม่รับผิดชอบ อาจทำลายชื่อเสียงคุณไปตลอดชีวิต

ดังนั้นหากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยเผชิญเหตุการณ์ลักษณะนี้ อย่ารอช้าที่จะติดต่อทนายความและใช้สิทธิของคุณในการดำเนินคดีหมิ่นประมาท เพื่อปกป้องชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของตนเองอย่างเต็มที่

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ พร้อมดำเนินคดีหมิ่นประมาททุกประเภท

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เราเป็นสำนักงานกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดี หมิ่นประมาททางออนไลน์ ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นกรณีใน Facebook, X (Twitter), TikTok หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยทีมทนายความจะให้คำปรึกษาและดำเนินคดีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับความยุติธรรม และไม่ถูกเอาเปรียบในโลกออนไลน์อีกต่อไปหากคุณต้องการคำแนะนำหรือความช่วยเหลือเรื่องคดีหมิ่นประมาท สามารถติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ได้ทันที ทีมงานพร้อมดูแลคุณด้วยความจริงใจและมืออาชีพ

ขบวนการจีนค้ามนุษย์ในไทยรูปแบบใหม่

ในปัจจุบัน การค้ามนุษย์ยังคงเป็นปัญหาที่น่าสลดใจและฝังรากลึกในหลายพื้นที่ทั่วโลกประชาชนจำนวนมากยังเข้าใจว่า “การค้ามนุษย์” หมายถึงการบังคับค้าประเวณี หรือการใช้แรงงานในอุตสาหกรรมหนัก แต่ในความเป็นจริง ขบวนการค้ามนุษย์ยุคใหม่ได้พัฒนาไปสู่รูปแบบที่ซับซ้อนและยากต่อการตรวจจับ โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ และเหยื่อจำนวนไม่น้อยกลับถูกบังคับให้ทำงาน “ในโลกออนไลน์” โดยที่ผู้คนภายนอกแทบไม่ทันได้สังเกตเห็น

วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพาทุกท่านไปพบกับการค้ามนุษย์รูปแบบใหม่ที่เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังคิดไม่ถึง และไม่เคยพบเห็นมาก่อน เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันตัวเองและคนรอบข้างจากเหตุการณ์ที่อาจจะนำมาสู่การค้ามนุษย์ได้

⚠️  การค้ามนุษย์ในไทยในรูปแบบใหม่คืออะไร ?

ในอดีต เมื่อพูดถึง “การค้ามนุษย์” ผู้คนมักนึกถึง การบังคับค้าประเวณี แรงงานในโรงงานประมง หรือการลักพาตัวเด็ก ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการใช้กำลัง ความรุนแรง และการเคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย

แต่ในปัจจุบัน ขบวนการค้ามนุษย์ได้ปรับเปลี่ยนไปสู่ “รูปแบบใหม่” ที่เน้นการบังคับใช้แรงงานในโลกออนไลน์ โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้:

📌 1. เหยื่อถูกหลอกให้มาโดยสมัครใจ

  • ขบวนการมักใช้โซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์หางานในการล่อลวงเหยื่อ
  • เสนอว่าเป็น “งานออนไลน์ รายได้ดีในต่างประเทศ” หรือ “ทริปท่องเที่ยวพร้อมงานพิเศษ”
  • เมื่อเหยื่อเดินทางเข้ามาในไทย (โดยวีซ่าถูกต้อง) จะถูกยึดพาสปอร์ต ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้

📌 2. ไม่มีโรงงาน ไม่มีค้าประเวณี แต่เป็น ‘คอลเซ็นเตอร์’ หรือ ‘ฟาร์มออนไลน์’

  • เหยื่อถูกบังคับให้ ทำงานในลักษณะผิดกฎหมายผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น:
  • หลอกโอนเงิน (pig butchering scam)
  • ปั่นยอดแอปปลอม / คริปโต / แชร์ลูกโซ่
  • หลอกลงทุนผ่านแชต
  • ทำงานภายใต้การควบคุม 24 ชั่วโมง มีระบบเฝ้าดูกล้องวงจรปิดและคำสั่งจากหัวหน้าขบวนการ

📌 3. เหยื่อ “กลมกลืนกับระบบ” เพื่อไม่ถูกจับตา

  • บางรายถูกฝึกให้พูดภาษาไทยหรืออังกฤษ
  • เปิดบัญชีธนาคารไทย (หรือใช้บัญชีม้า)
  • ใช้ซิมมือถือไทย บางรายแต่งกายให้ดูเหมือนนักศึกษา/พนักงานออฟฟิศ
  • มีการปลอมแปลงเอกสาร เช่น ใบอนุญาตทำงานหรือบัตรแรงงานต่างด้าว

📌 4. เหยื่อมักถูกปฏิบัติเหมือน ‘ผู้ต้องหา’ แทน ‘ผู้เสียหาย’

  • เพราะเข้าเมืองแบบนักท่องเที่ยว หรือทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต
  • จึงถูกเจ้าหน้าที่บางส่วนตีความว่าเป็น “แรงงานผิดกฎหมาย” และผลักดันออกนอกประเทศ
  • ไม่ได้รับความช่วยเหลือตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์

📌 เหยื่อพูดไม่ออก: ความกลัว ความอับอาย และการไม่กล้าเปิดเผย

แม้จะเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ แต่หลายคนกลับไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือ หรือแม้กระทั่งบอกใครว่าตนเองถูกบังคับหรือหลอกลวง เหตุผลหลักมาจาก ความกลัว—ไม่ว่าจะกลัวถูกจับเพราะถูกบังคับให้ทำผิดกฎหมาย เช่น หลอกลวงคนอื่นในคอลเซ็นเตอร์, โกงเงินออนไลน์, หรือถือพาสปอร์ตปลอม—รวมถึงกลัวการถูกตอบโต้จากขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งมักขู่ทำร้ายทั้งตัวเหยื่อและครอบครัว

อีกด้านหนึ่งคือ ความอับอาย โดยเฉพาะในสังคมไทยที่ยังมีการตีตราเหยื่อ ว่าตกเป็นเหยื่อเพราะ “โง่” หรือ “อยากได้เงินง่ายๆ” ยิ่งในกรณีที่เหยื่อถูกหลอกให้มีส่วนร่วมในอาชญากรรมออนไลน์ เช่น เล่นบทแฟนหลอกโอนเงิน หรือแชตกับเหยื่อรายอื่น บางรายจึงรู้สึก “ไม่คู่ควร” ที่จะถูกช่วยเหลือ หรือมองว่าตัวเองสมควรถูกลงโทษ

นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคทางภาษาและวัฒนธรรม โดยเฉพาะเหยื่อที่เป็นแรงงานข้ามชาติ หรือคนที่ถูกหลอกมาจากต่างจังหวัด ซึ่งไม่เข้าใจขั้นตอนทางกฎหมาย ไม่รู้ว่าจะติดต่อใคร และไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้ขบวนการค้ามนุษย์ยังสามารถดำเนินต่อได้อย่างเงียบๆ เพราะเหยื่อ “เงียบ” เสียเอง

ทั้งหมดนี้ทำให้การช่วยเหลือเหยื่อกลุ่มนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมายหรือการจับกุม แต่ต้องเป็นการ “สร้างพื้นที่ปลอดภัย” ทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ ให้ผู้รอดชีวิตกล้าพูด กล้าขอความช่วยเหลือ และไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ต้องหา

⚖️ช่องว่างกฎหมายเท่ากับโอกาสของอาชญากร

แม้ว่าประเทศไทยจะมี พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 ซึ่งมีบทบัญญัติในการคุ้มครองและป้องกันการค้ามนุษย์ แต่กฎหมายเหล่านั้นส่วนใหญ่ยังเน้นไปที่รูปแบบเดิม เช่น การค้าประเวณี การใช้แรงงานเด็ก หรือการบังคับใช้แรงงานในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ขณะที่ รูปแบบใหม่ของการค้ามนุษย์ในยุคดิจิทัล—เช่น การบังคับเหยื่อทำงานออนไลน์, โรแมนซ์สแกม, คอลเซ็นเตอร์หลอกลวง หรือการฟอกเงินผ่านโลกเสมือน—ยังไม่ถูกบัญญัติอย่างชัดเจนหรือทันสมัยพอจะเอาผิดผู้กระทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ  และการขาดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างประเทศยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะในกรณีที่ขบวนการค้ามนุษย์มีลักษณะข้ามชาติ เช่น คนจีนควบคุมการปฏิบัติการจากกัมพูชา ล่อลวงเหยื่อในไทย แต่ใช้บัญชีธนาคารในฟิลิปปินส์ ช่องโหว่เหล่านี้ทำให้การดำเนินคดีติดขัด ต้องรอคำร้องส่งผู้ร้ายข้ามแดน หรือไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลดิจิทัลที่สำคัญได้ทันเวลา

ที่สำคัญ การบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ชายแดนหรือในโลกออนไลน์ยังอ่อนแอ เพราะเจ้าหน้าที่มักขาดเครื่องมือทางเทคโนโลยี หรือเข้าไม่ถึงแพลตฟอร์มที่กลุ่มอาชญากรใช้ ซึ่งเปิดโอกาสให้ขบวนการค้ามนุษย์เหล่านี้ดำเนินกิจการได้ต่อเนื่อง โดยแทบไม่ถูกแตะต้อง

⚖️ จากผู้ถูกหลอกเป็นผู้ได้รับความช่วยเหลือ: บทบาทของทนายในการช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์

🔹 1. ช่วยพิสูจน์ว่าเหยื่อ “ไม่ใช่ผู้กระทำผิด” ในหลายกรณี เหยื่อถูกบังคับให้กระทำผิด เช่น:

  • หลอกลวงผู้อื่นผ่านออนไลน์
  • ใช้เอกสารปลอม
  • ลักลอบเข้าเมือง

ทนายสามารถเข้ามาช่วยแยกแยะว่า เหยื่อทำสิ่งเหล่านั้น เพราะถูกบังคับหรือหลอก ไม่ใช่ตั้งใจ ทำให้ศาลพิจารณาว่าเหยื่อควรได้รับความช่วยเหลือ ไม่ใช่ลงโทษ

🔹 2. ให้คำปรึกษาทางกฎหมายและสิทธิ เหยื่อส่วนใหญ่มักไม่รู้สิทธิของตัวเอง เช่น:

  • มีสิทธิขอลี้ภัยหรือขอความคุ้มครองชั่วคราว
  • มีสิทธิรับความช่วยเหลือจากรัฐ
  • มีสิทธิไม่ต้องตอบคำถามตำรวจหากไม่มีทนายอยู่ด้วย

ทนายสามารถอธิบายสิทธิเหล่านี้ และช่วยสื่อสารแทนเหยื่อกับตำรวจ อัยการ หรือศาล

🔹 3. เป็นตัวแทนดำเนินคดีหรือเรียกร้องค่าเสียหาย หากมีการดำเนินคดีเอาผิดกับขบวนการค้ามนุษย์ ทนายสามารถ:

  • ยื่นคำร้องต่อศาลให้เหยื่อเข้าร่วมเป็น “ผู้เสียหาย”
  • เรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง (ค่ารักษาพยาบาล, ค่าชดเชยการถูกบังคับทำงาน ฯลฯ)
  • ปกป้องเหยื่อในกระบวนการไต่สวน เพื่อไม่ให้ถูกซักถามอย่างคุกคามหรือกระทบกระเทือนจิตใจ

🔹 4. ประสานกับหน่วยงานอื่น ทนายมักทำงานร่วมกับ:

  • เจ้าหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพ
  • องค์กร NGO
  • สถานทูต (กรณีเหยื่อเป็นชาวต่างชาติ เพื่อช่วยประกันความปลอดภัย และวางแผนการฟื้นฟูชีวิตเหยื่อ

แม้การหลุดพ้นจากขบวนการค้ามนุษย์จะเป็นเรื่องยาก แต่เหยื่อยังมีโอกาสลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิของตนเองได้ โดยเฉพาะเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากทนายความที่มีความรู้และประสบการณ์ด้านนี้ ทนายมีบทบาทสำคัญในการชี้แนะสิทธิ ให้คำปรึกษาที่ถูกต้อง และช่วยนำทางเหยื่อผ่านกระบวนการยุติธรรมที่ซับซ้อนได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังสามารถประสานงานกับหน่วยงานรัฐหรือองค์กรต่าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือในด้านที่พักพิง การฟื้นฟูจิตใจ และการกลับบ้านอย่างปลอดภัย รวมถึงการคุ้มครองไม่ให้เหยื่อถูกดำเนินคดีในกรณีที่การกระทำผิดเกิดจากการถูกบังคับ การเข้าถึงทนายจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดโอกาสให้เหยื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีและปลอดภัยอีกครั้ง.

สุดท้ายแล้ว การมีทนายคอยอยู่เคียงข้างไม่ใช่เรื่องเสียหาย กลับเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เหยื่อได้รับการปกป้องและมีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างเป็นธรรม สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ไม่ได้นิ่งเฉยต่อปัญหาการค้ามนุษย์หรือการเอารัดเอาเปรียบที่ขัดต่อศีลธรรมและกฎหมาย เราพร้อมยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างคุณ เพื่อให้คุณได้รับสิทธิและความยุติธรรมที่พึงมี อย่าปล่อยให้ตัวเองเผชิญกับความอยุติธรรมเพียงลำพัง ติดต่อเราเพื่อขอคำปรึกษา ทีมทนายของเรายินดีให้ความช่วยเหลือด้วยความจริงใจและเป็นมืออาชีพทุกขั้นตอน.

อ้างอิงจากเว็บไซต์ : https://doe.go.th/prd/assets/upload/files/ipd_th/e88a724796b3526a3034d9495a8f168a.pdf 

เขียนโดย :วรารัตน์ วงโพธิสาร (นักศึกษาฝึกประสบการณ์ภาษาจีน)

พ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน พ่อตาย…แม่มีสิทธิ์ในมรดกหรือไม่? 

เมื่อเกิดการสูญเสียขึ้นในครอบครัว หนึ่งในคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือเรื่อง “มรดก” โดยเฉพาะในกรณีที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวไม่ได้เป็นไปตามแบบแผนที่กฎหมายรับรอง เช่น พ่อแม่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แล้วเมื่อพ่อเสียชีวิต แม่จะมีสิทธิ์ในมรดกหรือไม่? เรื่องนี้มีความสำคัญ เพราะเกี่ยวพันกับสิทธิของบุคคลและการแบ่งทรัพย์สินโดยตรง

สถานะของสามีภรรยาตามกฎหมาย

ก่อนจะไปถึงเรื่องมรดก ต้องเริ่มที่ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับสถานะของสามีภรรยาในทางกฎหมายก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย การที่ชายหญิงอยู่กินกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน “ไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยาตามกฎหมาย” แม้จะใช้ชีวิตร่วมกันมานาน มีลูกด้วยกัน หรือแม้จะเรียกกันว่าสามีภรรยาต่อหน้าสังคม ก็ไม่มีผลทางกฎหมายต่อเรื่องทรัพย์สินและมรดก

กล่าวคือ ฝ่ายหญิงในกรณีนี้ ไม่มีสถานะเป็น “ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย” ดังนั้นเมื่อฝ่ายชายเสียชีวิต เธอจะไม่ถือว่าเป็น “ทายาทโดยธรรม” ของฝ่ายชาย

ทายาทโดยธรรมตามกฎหมายไทย

ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ระบุลำดับทายาทโดยธรรมไว้ 6 ลำดับ ได้แก่:

  1. ผู้สืบสันดาน (เช่น บุตร หลาน เหลน)
  2. บิดามารดา
  3. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
  4. พี่น้องร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกัน
  5. ปู่ ย่า ตา ยาย
  6. ลุง ป้า น้า อา

และถ้ามี คู่สมรสที่จดทะเบียนอย่างถูกต้อง คู่สมรสก็จะมีสิทธิ์รับมรดกร่วมกับทายาทเหล่านี้ด้วย

ดังนั้น หากชายหญิงอยู่กินกันโดยไม่จดทะเบียน และฝ่ายชายเสียชีวิต ฝ่ายหญิงจะ ไม่มีสิทธิ์ได้รับมรดกตามกฎหมาย เว้นแต่…เว้นแต่จะมีพินัยกรรม

หากฝ่ายชายได้ทำพินัยกรรมไว้ และระบุชัดเจนว่าต้องการยกทรัพย์สินบางส่วนหรือทั้งหมดให้แก่ฝ่ายหญิง ถึงแม้จะไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน พินัยกรรมก็สามารถมีผลบังคับใช้ได้ตามเจตนารมณ์ผู้ตาย

กรณีเช่นนี้ ฝ่ายหญิงจะได้รับมรดกในฐานะ “ผู้รับพินัยกรรม” ไม่ใช่ในฐานะ “ทายาทโดยธรรม”

สิทธิของลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส

ในด้านของลูก แม้พ่อแม่จะไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ลูกก็ยังมีสิทธิ์เป็นทายาทโดยธรรมของพ่อได้ หากมีการรับรองบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น:

  • พ่อได้จดชื่อเป็นบิดาในสูติบัตรของลูก
  • พ่อได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอรับรองบุตร
  • มีหลักฐานหรือคำพิพากษาศาลยืนยันความเป็นบิดา

ในกรณีนี้ ลูกจะมีสิทธิ์ได้รับมรดกแทนแม่ ซึ่งไม่ได้มีสถานะทางกฎหมาย

กรณีไม่มีลูก และไม่มีพินัยกรรม

หากฝ่ายชายเสียชีวิตโดยไม่มีลูก และไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์สินจะตกแก่ทายาทลำดับถัดไป เช่น บิดามารดาของผู้ตาย หรือพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันตามลำดับ

ซึ่งจะเห็นได้ว่า ผู้หญิงที่อยู่กินกับชายแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่มีสิทธิ์ใด ๆ เว้นเสียแต่ว่าจะสามารถพิสูจน์สิทธิ์ในทรัพย์สินบางอย่างได้ เช่น ทรัพย์สินที่ตนมีส่วนร่วมในการหามา หรือทรัพย์สินที่ได้ร่วมกันซื้อ

กรณีมีทรัพย์สินที่ซื้อร่วมกัน

ในทางปฏิบัติ หากฝ่ายหญิงมีหลักฐานว่าเธอมีส่วนร่วมในการซื้อทรัพย์สินบางอย่าง เช่น บ้าน รถ หรือธุรกิจ และแม้ทรัพย์นั้นจะอยู่ในชื่อของฝ่ายชาย เธออาจสามารถฟ้องร้องเรียกแบ่งทรัพย์สินได้ในฐานะ “เจ้าของร่วม” ไม่ใช่ในฐานะทายาท

จากเหตุการณ์เช่นนี้ ทนายความจะมีบทบาทสำคัญในการรวบรวมหลักฐาน และฟ้องเรียกสิทธิในทรัพย์สินร่วม ซึ่งอาจเป็นช่องทางเดียวที่ทำให้ฝ่ายหญิงได้รับผลประโยชน์บางส่วนจากทรัพย์ของผู้เสียชีวิต

ในกรณีลักษณะนี้ การปรึกษาทนายความมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อมีข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน หรือมีหลายฝ่ายอ้างสิทธิ์ในมรดก ทนายความจะช่วยให้เข้าใจกระบวนการทางกฎหมาย เตรียมหลักฐาน และดำเนินการฟ้องร้องหรือไกล่เกลี่ยอย่างเป็นระบบ

นอกจากนี้ ทนายยังสามารถให้คำปรึกษาในการจัดทำพินัยกรรม เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วย

สรุป: อยู่ด้วยกันไม่เท่ากับมีสิทธิ์

แม้จะใช้ชีวิตร่วมกันมานาน มีลูก มีความผูกพัน แต่หากไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ก็ไม่มีผลทางกฎหมายในเรื่องมรดก ฝ่ายหญิงจะไม่มีสิทธิ์ในฐานะทายาท เว้นแต่จะมีพินัยกรรมหรือสามารถพิสูจน์ความเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์สิน

เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้ การวางแผนทางกฎหมาย เช่น การทำพินัยกรรม หรือการรับรองบุตรจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม และหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิทธิของตนเอง ควรรีบปรึกษาทนายความที่มีประสบการณ์ เพื่อปกป้องสิทธิ์ของตนในทางที่ถูกต้อง

 เขียนโดย กรรณิการ์ เจริญวีระวงศ์ (นักศึกษาฝึกประสบการณ์ สาขาภาษาจีน)

คนจีนรับคนไทยเป็นบุตรบุญธรรม เจาะลึกสิทธิรับมรดก และข้อกฎหมายข้ามชาติที่หลายคนไม่รู้!

ในยุคโลกไร้พรมแดน ความสัมพันธ์ข้ามชาติกลายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงาน การทำธุรกิจ หรือแม้แต่ “การรับบุตรบุญธรรม” แต่เมื่อคนจีนต้องการรับ “คนไทย” เป็นบุตรบุญธรรม คำถามใหญ่ก็เกิดขึ้นว่า สามารถทำได้หรือไม่? และหากผู้รับเป็นบิดาหรือมารดาบุญธรรมเสียชีวิต บุตรบุญธรรมชาวไทยจะมีสิทธิในมรดกหรือเปล่า? วันนี้สำนักงานวงศกรณ์มีคำตอบ และจะพาไปเจาะลึกกฎหมายทั้งไทยและจีน พร้อมบทวิเคราะห์จากทนายความด้านครอบครัวโดยเฉพาะ

🔹 1. คนจีนสามารถรับคนไทยเป็นบุตรบุญธรรมได้หรือไม่?

คำตอบคือ “สามารถทำได้” แต่ยังคงต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขทางกฎหมายที่เข้มงวดและซับซ้อน เนื่องจากเป็นกรณีข้ามชาติ ต้องมีกระบวนการที่รองรับจากทั้งฝ่ายไทยและจีน

▶️ ฝั่งประเทศไทย

ตาม พระราชบัญญัติการรับบุตรบุญธรรม พ.ศ. 2522 และ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/19–1598/41
การรับบุตรบุญธรรมต้องยื่นผ่าน กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้:

  • ผู้ขอรับต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และแก่กว่าผู้ถูกขอรับอย่างน้อย 15 ปี
  • ต้องแสดงหลักฐานด้านรายได้ ความสามารถในการเลี้ยงดู
  • กรณีชาวต่างชาติ ต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติและประวัติอย่างละเอียด
  • ต้องมีการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมอย่างเป็นทางการที่สำนักงานเขต หรืออำเภอ

▶️ ฝั่งประเทศจีน

ภายใต้ Adoption Law of the People’s Republic of China (1991, revised 1998)
การรับบุตรบุญธรรมในจีนต้องเป็นไปตามเกณฑ์ต่อไปนี้:

  • ผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี
  • ต้องไม่มีบุตรของตนเอง หรือหากมีแล้ว ต้องแสดงเหตุผลชัดเจนว่าทำไมยังต้องการรับ
  • ต้องลงทะเบียนรับรองกับ หน่วยงาน Civil Affairs Bureau ของท้องถิ่น
  • สำหรับการรับคนต่างชาติเป็นบุตรบุญธรรม อาจต้องได้รับการอนุมัติระดับกระทรวง หรือผ่านสนธิสัญญาระหว่างประเทศ

🔹 2. บุตรบุญธรรมมีสิทธิรับมรดกหรือไม่?

หากการรับบุตรบุญธรรมถูกต้องตามกฎหมายในทั้งสองประเทศ บุตรบุญธรรมย่อมมี สิทธิรับมรดกเช่นเดียวกับบุตรโดยสายเลือด ทั้งในแง่ของทรัพย์สินที่อยู่ในไทยหรือในจีน

▶️ กฎหมายไทยที่เกี่ยวข้อง:

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627

“บุตรบุญธรรมเป็นทายาทโดยธรรมในลำดับชั้นเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมาย”

▶️ กฎหมายจีนที่เกี่ยวข้อง:

Civil Code of the PRC, Book VI – Inheritance Law (2021)

“บุตรบุญธรรมที่จดทะเบียนถูกต้อง มีสิทธิรับมรดกเช่นเดียวกับบุตรแท้”อย่างไรก็ตาม สิทธิในการรับมรดกอาจ ขึ้นอยู่กับการรับรองความถูกต้องของการจดทะเบียนในแต่ละประเทศ หากมีปัญหาเรื่องการรับรองเอกสาร หรือบุตรบุญธรรมไม่ได้จดทะเบียนตามขั้นตอนครบถ้วน อาจทำให้ถูกตัดสิทธิ

🔹 3. ความท้าทายของการรับบุตรบุญธรรมข้ามชาติ

แม้ในทางกฎหมายจะสามารถดำเนินการได้ แต่ในทางปฏิบัติ การรับบุตรบุญธรรมข้ามชาติ เต็มไปด้วยอุปสรรค เช่น:

  • ความแตกต่างของกฎหมายทั้งสองประเทศ
  • ภาษาเอกสารและคำแปลที่ต้องได้รับการรับรอง
  • กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติที่ยาวนานและเข้มงวด
  • ความยุ่งยากในการจดทะเบียนข้ามประเทศ รวมถึงความเสี่ยงเรื่องไม่รับรองเอกสารซึ่งกันและกัน

กรณีแบบนี้ หากไม่มีทนายที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศหรือสิทธิมรดก อาจทำให้การรับบุตรบุญธรรม “ตกหล่นทางกฎหมาย” และไม่มีผลบังคับจริง

🔹 4. อย่ามองข้ามบทบาททนาย! ทนายช่วยให้เรื่องยาก กลายเป็นเรื่องง่ายกว่าที่คิด

การรับบุตรบุญธรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะกรณีที่มีบุคคลสองสัญชาติอย่าง “คนจีนกับคนไทย” เกี่ยวข้องกับ กฎหมายสองประเทศ ระบบราชการหลายชั้น และเอกสารทางกฎหมายข้ามภาษา ทนายความที่เชี่ยวชาญจึงมีบทบาทสำคัญมากในทุกขั้นตอน

✅ บทบาทของทนายความ:

  • ให้คำแนะนำทางกฎหมายทั้งสองฝั่ง (ไทย-จีน)
  • ดำเนินการแปลเอกสาร รับรองเอกสาร และติดต่อหน่วยงานรัฐ
  • ช่วยตรวจสอบการจดทะเบียนให้สมบูรณ์เพื่อคุ้มครองสิทธิในอนาคต
  • เป็นตัวกลางประสานกับกรมกิจการเด็กฯ, กระทรวงการต่างประเทศ และสถานทูต
  • หากมีการเสียชีวิตของผู้รับบุตร ทนายสามารถดำเนินคดีแบ่งมรดกในศาลให้ได้

การรับบุตรบุญธรรมข้ามชาติไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ แต่ต้องอาศัยความรู้ทางกฎหมายและความร่วมมือจากหลายฝ่าย หากดำเนินการอย่างถูกต้อง บุตรบุญธรรม แม้ต่างสัญชาติ ก็สามารถมีสิทธิในครอบครัวและมรดกได้เช่นเดียวกับบุตรแท้ ในคดีที่ซับซ้อนแบบนี้ บางคนอาจคิดว่าทำเองได้ แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าพลาดขั้นตอนแม้แต่ขั้นเดียว สิทธิของบุตรบุญธรรมอาจหายไปตลอดชีวิต 

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มีความเชี่ยวชาญในคดีแนวครอบครัวและมรดกเป็นอย่างดี ทั้งทีมทนายความ หรือผู้ช่วยทนายความเองทุกคนล้วนแต่มีความชำนาญในการทำคดีประเภทนี้ในกรณีที่แตกต่างกันออกไป ผู้เสียหายท่านใดที่ต้องการให้เราทำคดีประเภทนี้ให้ไม่ต้องกังวลใจ สามารถปรึกษาได้ทุกกรณีเกี่ยวกับคดีผู้บริโภค   เพื่อให้คุณได้รับผลประโยชน์สูงสุด >>ติดต่อเรา << 

อ้างอิงจากเว็บไซต์ : หลักเกณฑ์การรับบุตรบุญธรรม – Closelawyer

เขียนโดย :วรารัตน์ วงโพธิสาร (นักศึกษาฝึกประสบการณ์ภาษาจีน)

ซื้อประกันภัย เท่ากับ ซื้อทนายความ อย่าลืมกันเมื่อเกิดปัญหา

ในยุคที่ความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ทุกวัน การมี “ประกันภัย” ถือเป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ช่วยลดภาระและความวิตกกังวลเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน หลายคนเข้าใจว่าการซื้อประกันภัยคือการโอนภาระทางการเงินไปยังบริษัทประกัน แต่แท้จริงแล้ว หากมองให้ลึกกว่านั้น การซื้อประกันภัยกับทนายที่มี ทนายความคอยเป็นที่ปรึกษาด้วย ก็เปรียบได้กับการซื้อความอุ่นใจในเรื่องคดีความไว้ล่วงหน้า

การซื้อประกันภัยเพียงอย่างเดียว อาจยังไม่เพียงพอในสถานการณ์ที่มีข้อพิพาทเกิดขึ้น เช่น บริษัทประกันไม่ยอมจ่ายเงิน หรือมีข้อพิพาทเกี่ยวกับเงื่อนไขในกรมธรรม์ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม “การซื้อประกันภัย” ที่มาพร้อม “ทนายความ” จึงสำคัญกว่าที่คิด

ทำไมการมีทนายความไว้ปรึกษายามเดือดร้อนจึงสำคัญ?

การมีทนายความเป็นที่ปรึกษาทันทีเมื่อทำ “ประกันภัย” จะช่วยสร้างความมั่นใจได้ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยวิ่งหาทนายความ เพราะบางครั้งการขาดการวางแผนทางกฎหมายที่ดี อาจทำให้เราเสียเปรียบตั้งแต่เริ่มต้น

ทนายความที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญคดีความในด้านประกันภัยจะสามารถอำนวยความสะดวกให้กับคุณ ดังนี้

  • เมื่อคุณรู้สึกสงสัยว่ากรมธรรม์มีข้อกำหนดที่ไม่เป็นธรรม ทนายความสามารถตรวจสอบเงื่อนไขในกรมธรรม์ ว่ามีข้อกำหนดที่ไม่เป็นธรรม หรือมีช่องโหว่อะไรบ้างให้กับคุณได้
  • ให้คำแนะนำพร้อมคำปรึกษาในเบื้องต้นได้ว่าหากเกิดเหตุขึ้น ควรปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อไม่ให้เสียสิทธิ
  • เมื่อเกิดอุบัติเหตุทนายความจะเป็นตัวแทนในการดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทประกัน
  • ติดตามคดีความและเรียกเงินชดเชยที่ควรได้รับอย่างครบถ้วน

ทำไมเกิดอุบัติเหตุ ต้องมีทนายความทันที?

เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน บริษัทประกันบางแห่งอาจมีการตีความเงื่อนไขต่างจากที่เราคาดหวังไว้ บางกรณีอาจมีการปฏิเสธความรับผิด หรือจ่ายเงินชดเชยไม่ครบตามสัญญา นี่เองที่ทำให้บทบาทของทนายความมีความสำคัญอย่างมากการมีทนายความที่เข้าใจสัญญาประกันภัยอยู่เคียงข้าง ช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าสิทธิของเราจะไม่ถูกละเมิด และสามารถดำเนินการเรียกร้องได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาไกล่เกลี่ย ร้องเรียนต่อสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค หรือดำเนินคดีในชั้นศาล รวมไปถึงขั้นตอนอื่นๆด้วย

ซื้อประกันภัยกับทนายความ ดีกว่าอย่างไร?

หลายคนอาจคิดว่าซื้อ “ประกันภัย” จากที่ไหนก็เหมือนกัน แต่หากเลือกซื้อประกันภัยที่มี “ทนายความ” คอยดูแลจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากความคุ้มครองตามกรมธรรม์แล้ว เรายังได้รับการสนับสนุนทางกฎหมายแบบครบวงจร

ตัวอย่างเช่น หากเกิดปัญหาไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธจ่ายสินไหม การล่าช้าในการดำเนินการ หรือการตีความเงื่อนไขที่ไม่ตรงกัน ทนายความจะสามารถให้คำปรึกษาและหรือให้บริการได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาไปหาทนายใหม่ในช่วงที่สถานการณ์คับขัน

การมีที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัวตั้งแต่แรกยังช่วยลดโอกาสการเสียสิทธิ เพราะทนายจะคอยเตือนในเรื่องสำคัญ เช่น ระยะเวลาแจ้งเหตุ ระยะเวลาการร้องเรียน และเงื่อนไขพิเศษที่อาจมีผลกระทบต่อการรับเงินชดเชย

อย่าลืมกันเมื่อถึงเวลาต้องการความช่วยเหลือ

การซื้อ “ประกันภัย” ก็เหมือนการวางรากฐานการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สิน แต่การมี ทนายความที่พร้อมดูแล คอยให้คำปรึกษา และต่อสู้เพื่อสิทธิของเรายามจำเป็น ถือเป็นการเสริมเกราะป้องกันที่แข็งแรงยิ่งขึ้น

อย่ารอให้เกิดปัญหาก่อนแล้วค่อยนึกถึงทนายความ เพราะเมื่อถึงเวลานั้น สถานการณ์อาจบานปลายจนแก้ไขยาก การมีทนายประจำตัวตั้งแต่วันที่ซื้อประกันกับทนายถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และสร้างความสบายใจได้ตลอดเส้นทาง

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ พร้อมให้บริการครบวงจร

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ มีความเชี่ยวชาญทั้งในเรื่องการให้คำปรึกษาด้าน “ประกันภัย” และการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้อง ด้วยทีมงาน ทนายความมืออาชีพ ที่พร้อมดูแลลูกความตั้งแต่วันแรกที่ซื้อประกันไปจนถึงการต่อสู้ในชั้นศาลหากจำเป็น

เรามุ่งมั่นเป็นที่พึ่งให้แก่ลูกค้าทุกคน เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ในวันที่เกิดปัญหา คุณจะไม่ได้เผชิญกับมันเพียงลำพัง เพราะเราจะอยู่เคียงข้างคุณทุกขั้นตอน

ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยรถยนต์ ประกันคอนโด ประกันชีวิต หรือประกันภัยอื่น ๆ ทีมทนายของเราพร้อมวิเคราะห์สัญญา ให้คำแนะนำ และดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อสิทธิของคุณ

อย่าลืมว่า “การซื้อประกันภัย เท่ากับการซื้อทนายความ” ไปพร้อมกัน ถ้าเลือกอย่างรอบคอบ เลือกบริษัทที่มีทนายความที่เข้าใจในประกันภัยจริง ๆ ชีวิตคุณจะปลอดภัยทั้งในด้านการเงินและด้านกฎหมาย

เมื่อไม่ลืมกัน เมื่อไรที่มีปัญหาเกิดขึ้น คุณก็สามารถปรึกษาเราได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อพิพาท สินไหม หรือการดำเนินคดี เราพร้อมให้คำปรึกษาและหรือคำแนะนำให้คุณได้รับความเป็นธรรมสูงสุด

หากสนใจปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัยและบริการด้านกฎหมาย สามารถติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ได้ทุกวัน เราพร้อมดูแลคุณอย่างมืออาชีพ