กู้ Facebook อย่างมืออาชีพกับสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ กู้คืนบัญชีได้จริง การันตีหากกู้ไม่ได้ยินดีคืนเงิน!

ในยุคโซเชี่ยวมีเดียกำลังมาแรง Facebook จึงไม่ได้เป็นแค่พื้นที่แชร์เรื่องราวส่วนตัวอีกต่อไป แต่ยังเป็น แหล่งสร้างรายได้ ช่องโปรโมท หรือแม้แต่แหล่งเก็บข้อมูลสำคัญของธุรกิจ การถูกแฮ็ก หรือถูกปิดใช้งานโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงไม่ใช่แค่เรื่องน่ารำคาญใจ แต่คือความเสียหายที่อาจหมายถึงการสูญเสียโอกาสครั้งใหญ่ที่หลายคนไม่ทันตั้งตัว

แม้จะมีคู่มือสอนกู้บัญชีมากมายในอินเทอร์เน็ต แต่เมื่อปัญหาจริงเกิดขึ้น หลายคนกลับพบว่าการกู้บัญชีคืนไม่ง่ายอย่างที่คิด บางคนพยายามยื่นเรื่องเองใช้ระยะเวลารอหลายเดือน บางคนทุ่มงบไปกับผู้รับจ้างกู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ จนท้ายที่สุดผลลัพธ์ก็ไม่เป็นอย่างที่หวังไว้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ให้ความสำคัญกับการ กู้คืน Facebook อย่างมืออาชีพ โดยเรามีทีมทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายไซเบอร์และ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เข้าใจระบบของ Meta อย่างแท้จริง ดำเนินการตามวิธีที่ถูกต้อง มีขั้นตอนโปร่งใส และที่สำคัญคือ หากกู้ไม่ได้ยินดีคืนเงินเต็มจำนวน

ทำไมการที่บัญชี Facebook หาย ถึงส่งกระทบกับคุณมากกว่าที่คิด?

หลายคนมองว่า ถ้าบัญชีหายก็คงแค่สร้างใหม่ได้ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะสิ่งที่คุณจะเสียไปพร้อมบัญชีเดิมคือ

  • การติดต่อกับลูกค้าเดิมหรือผู้ติดตามที่สะสมมานานหลายปี
  • ข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางธุรกิจที่เก็บไว้ใน Messenger หรือไฟล์แนบต่าง ๆ
  • โอกาสในการยิงโฆษณา โปรโมทสินค้า หรือสร้างยอดขาย
  • ความน่าเชื่อถือของเพจหรือแบรนด์ที่อุตส่าห์สร้างมาหลายปี

และยิ่งปล่อยไว้นาน โอกาสได้บัญชีคืนก็จะยิ่งยากขึ้น การยืนยันตัวตนอาจซับซ้อนขึ้นตามระบบรักษาความปลอดภัยของ Meta

ทำไมต้องเลือกกู้ Facebook กับสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์?

บนโลกออนไลน์มีผู้รับจ้างกู้ Facebook มากมาย แต่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้จริง หลายคนตกเป็นเหยื่อถูกเรียกเงินล่วงหน้าแล้วหนีหาย หรือได้แต่คำตอบเดิม ๆ ว่า “ต้องรอทางระบบตอบกลับมา” โดยไม่มีแนวทางแก้ไขที่ถูกต้องตามกฎของ Meta

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ มีทีมทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายไซเบอร์ พร้อมทั้งทีมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่เข้าใจระบบของ Meta อย่างแท้จริง ที่จะดูแลให้ครบทุกขั้นตอน และรู้วิธีจัดเตรียมเอกสาร ยืนยันตัวตน ประสานงานกับฝ่ายสนับสนุนของระบบ ไม่ใช่แค่กรอกฟอร์มแล้วรอระบบตอบกลับ

จุดเด่นของเรา:

✅ เคยกู้สำเร็จจริงมาแล้ว ทั้งบัญชีส่วนตัวและบัญชีธุรกิจ
✅ มีเอกสารสัญญาชัดเจน การันตีความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า
✅ กู้ไม่ได้ ยินดีคืนเงิน 100%
✅ ดำเนินการอัปเดตความคืบหน้าเป็นระยะ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจและไม่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง
✅ ไม่ใช่แค่รับจ้างกู้ แต่ดูแลทุกขั้นตอน

การบริการของเราครอบคลุมปัญหาใดบ้าง?

บริการกู้ Facebook ของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ไม่ได้ครอบคลุมแค่การถูกแฮ็ก แต่ยังรวมถึงปัญหาซับซ้อนอื่น ๆ อาทิ

  • บัญชีถูกแฮ็กแล้วอีเมล รหัสผ่านถูกเปลี่ยนทั้งหมด
  • ถูกปิดจากการละเมิดนโยบาย แม้ไม่ได้ทำผิดจริง
  • ลืมข้อมูลบัญชีเดิม ยืนยันตัวตนไม่ได้
  • บัญชีธุรกิจหรือเพจถูกระงับ ทำให้โฆษณาหรือยอดขายหยุดชะงัก
  • ระบบ Meta ร้องขอยืนยันตัวตนซ้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ

เคสจริง! ที่ยืนยันว่าเราทำได้ ไม่ใช่แค่คำโฆษณา

ที่ผ่านมาเรากู้ Facebook สำเร็จมาแล้ว ยกตัวอย่างกรณีของผู้บริหารบริษัทขายวัสดุก่อสร้างชื่อดัง ที่ถูกแฮ็กอีเมลและบัญชีเฟซบุ๊กกลางดึก ข้อมูลทั้งหมดถูกเปลี่ยนในไม่กี่นาที แม้เจ้าตัวจะพยายามกู้ด้วยตนเองหลายรอบแต่ไม่สำเร็จ จนติดต่อมาที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของเราลงมือจัดการทันที ตรวจสอบเส้นทางการเข้าถึง รวบรวมหลักฐานและติดต่อฝ่ายสนับสนุนของ Meta ตลอดจนจัดการเอกสารยืนยันตัวตนใหม่ทั้งหมด จนในที่สุดบัญชีถูกกู้กลับมาได้ครบสมบูรณ์ภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 เดือน ลูกค้าสามารถกลับมาใช้งานโฆษณาเพจเดิมได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มใหม่ให้เสียเวลา

เป็นการใช้บริการที่ง่าย โปร่งใส และไม่ซับซ้อน

1️⃣ ติดต่อทีมงานผ่านเพจสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ หรือโทรสอบถาม

2️⃣ ให้ข้อมูลบัญชี เช่น อีเมล เบอร์โทร ชื่อโปรไฟล์ ลิงก์บัญชี ฯลฯ

3️⃣ ทีมผู้เชี่ยวชาญประเมินสถานะและโอกาส

4️⃣ ทำสัญญาและเริ่มดำเนินการ โปร่งใส ปลอดภัย

5️⃣ ติดตามผลแบบเรียลไทม์ มีอัปเดตความคืบหน้า

6️⃣ รับผลลัพธ์ กู้สำเร็จกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม หรือกู้ไม่ได้ คืนเงิน 100%

เสียบัญชี Facebook = เสียโอกาสสำคัญ อย่ารอช้า ติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

เพราะ Facebook ไม่ใช่แค่โซเชียลมีเดีย แต่คือเครื่องมือทำธุรกิจ ที่เชื่อมต่อกับลูกค้าและเป็นเครื่องมือสร้างรายได้ อย่าฝากความหวังกับผู้รับจ้างที่ไม่มีหลักประกัน กลายเป็นการเสียโอกาสทางธุรกิจโดยไม่จำเป็น

หากตอนนี้คุณกำลังเจอปัญหาถูกแฮ็ก ถูกปิด ถูกระงับ หรือกู้เองไม่สำเร็จ ติดต่อเราสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เข้ามาจัดการอย่างมืออาชีพ เราดูแลครบทุกขั้นตอน มีสัญญารับรอง โปร่งใส และกล้าการันตีว่า กู้ไม่ได้ ยินดีคืนเงิน 100%

ให้โอกาสทีมงานของเราได้ดูแลบัญชีสำคัญของคุณ เพื่อให้คุณกลับมาใช้ Facebook ได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องเสียโอกาสสำคัญ >>ติดต่อเรา<<

กู้ Facebook อย่างมืออาชีพกับสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ การันตีได้บัญชีคืนจริง การันตีผลลัพธ์

ใน Digital ที่ Facebook กลายเป็นศูนย์กลางของการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการค้า และการทำงาน การที่บัญชีถูกแฮ็ก, ถูกระงับ, หรือถูกปิดโดยไม่ทราบสาเหตุ ถือเป็นเรื่องร้ายแรงที่ส่งผลกระทบทั้งด้านจิตใจและรายได้ของผู้ใช้จำนวนมาก หากคุณกำลังเจอปัญหาเหล่านี้ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ พร้อมให้บริการกู้ Facebook กลับคืนมาอย่างปลอดภัย ด้วยบริการที่ การันตีกู้ได้จริง และยินดีคืนเงินหากกู้ไม่สำเร็จ

ทำไมต้องใช้บริการกู้ Facebook จากเรา?

ปัจจุบันมีผู้ให้บริการรับจ้างกู้ Facebook เป็นจำนวนมาก บางรายไม่มีความรู้ บางรายไม่มีความรับผิดชอบ และหลายรายไม่สามารถประสานงานตรงกับระบบของ Meta ได้จริง ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้ต้องเสียเวลาและเสียเงินโดยไม่จำเป็น

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เป็นสำนักงานกฎหมายที่มีตัวตนชัดเจน ให้บริการแบบมืออาชีพโดยทีมงานที่มีทั้งทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายไซเบอร์ และ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี Digital ซึ่งสามารถให้บริการคุณในการกู้คืนบัญชี Facebook ได้จริง พร้อมรับรองผลงานด้วยนโยบาย “กู้ไม่ได้ ยินดีคืนเงิน

จุดเด่นของบริการกู้ Facebook ของเรามีอะไรบ้าง?

  • กู้ Facebook ได้จริงโดยวิธีการถูกต้องตามระบบเงื่อนไขของ Meta
  •  ดำเนินการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ประสบความสำเร็จจริง
  • มีเอกสารและสัญญาหรือข้อตกลงที่ชัดเจนก่อนเริ่มงาน
  • การันตีกู้ได้จริงรับรองผลลัพธ์หากกู้คืนไม่ได้ยินดีคืนเงิน
  • ติดตามสถานะอย่างต่อเนื่อง อัปเดตความคืบหน้ากับผู้มาใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ

บริการกู้ Facebook ของเราครอบคลุมกรณีใดบ้าง?

ไม่ว่าคุณจะเจอปัญหาใดเกี่ยวกับบัญชี Facebook เราสามารถให้บริการได้อย่างตรงจุด เช่น

  • ไม่ว่าคุณจะเจอปัญหาใดเกี่ยวกับบัญชี Facebook เราสามารถให้บริการได้อย่างตรงจุด เช่น
  • บัญชี Facebook ถูกแฮ็ก และถูกเปลี่ยนรหัสผ่านโดยผู้อื่น
  • บัญชีถูกปิดจากการละเมิดนโยบายโดยไม่ได้ตั้งใจ
  • ลืมข้อมูลบัญชี ไม่สามารถยืนยันตัวตนได้
  • บัญชีธุรกิจหรือบัญชีที่เชื่อมกับ Instagram ถูกระงับ
  • ระบบแจ้งว่า “บัญชีถูกตรวจสอบ” และไม่สามารถเข้าใช้งานได้

กรณีตัวอย่าง : จากบัญชี Facebook ถูกแฮ็ก 2 เดือน สู่การกู้คืนได้จริง โดยสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

ในโลกออนไลน์ที่ทุกวินาทีมีค่าต่อธุรกิจ การสูญเสียบัญชี Facebook อาจหมายถึงการสูญเสียโอกาสทางรายได้ และภาพลักษณ์ของแบรนด์ กรณีของ คุณจือ ผู้บริหารบริษัท สโตร์เมท จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจเหล็กระดับประเทศ คืออีกหนึ่งตัวอย่างที่พิสูจน์ว่า บริการ กู้ Facebook จากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ไม่เพียง “รับปาก” แต่สามารถ กู้คืนบัญชี Facebook ได้จริง

ในเดือนสิงหาคม 2567 ขณะกำลังพักผ่อนในช่วงกลางดึก บัญชีอีเมลที่ผูกกับเฟซบุ๊กของคุณจือถูกแฮ็ก ส่งผลให้ บัญชี Facebook ถูกเข้าควบคุมโดยบุคคลอื่นในเวลาไม่กี่นาที และข้อมูลที่ใช้ในการยืนยันตัวตนทั้งหมดถูกเปลี่ยนไป

แม้จะพยายามกู้ด้วยตนเอง หรือขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่เคยประสบปัญหาแบบเดียวกัน แต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งคุณจือตัดสินใจติดต่อ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ และใช้บริการกู้ Facebookอย่างเป็นระบบ

ทีมงานของสำนักงานได้ตรวจสอบสถานะบัญชีและแจ้งขั้นตอนพร้อมทำสัญญาอย่างโปร่งใส คุณจือได้รับความมั่นใจทันทีจากนโยบาย “กู้ไม่ได้ ยินดีคืนเงิน” พร้อมการรายงานสถานะที่ชัดเจนเป็นระยะ

ภายในระยะเวลา ไม่ถึง 2 เดือน บัญชี Facebook เดิมของคุณจือก็ได้รับการกู้คืน พร้อมข้อมูลและการเข้าถึงทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ซึ่งนอกจากสร้างความโล่งใจแล้ว ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินงานต่อได้ทันทีโดยไม่ต้องสร้างเพจหรือบัญชีใหม่

“ตอนแรกคิดว่าหมดหวังแล้ว เพราะแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายยังแนะนำให้ทำใจ แต่ทีมสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์กลับสามารถกู้ให้ได้จริง ต้องขอบคุณมาก ๆ” – คุณจือ กล่าว

กรณีนี้เป็นเพียงหนึ่งในเคสที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ให้บริการสำเร็จ และยังตอกย้ำถึงความเป็นมืออาชีพที่สามารถกู้ Facebook ได้จริง พร้อมรับประกันผลลัพธ์

เลือกใช้บริการกู้ Facebook มืออาชีพการันตีผลงาน กู้คืนบัญชี Facebook ให้คุณได้จริง!

บัญชี Facebook ที่ถูกปิดหรือถูกแฮ็กไม่เพียงแต่ทำให้คุณขาดการติดต่อกับเพื่อน ครอบครัว หรือกลุ่มลูกค้า แต่ยังทำให้คุณอาจสูญเสียรายได้ ยอดขาย และความน่าเชื่อถือที่สร้างมานาน

โดยเฉพาะหากคุณเป็นผู้ใช้เพจธุรกิจ, อินฟลูเอนเซอร์, หรือเจ้าของกิจการ การรอระบบตอบกลับจาก Facebook อาจกินเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนหรือผลอาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง ซึ่งนั่นเท่ากับคุณกำลังเสียโอกาสทางธุรกิจไปในทุกวัน

หากคุณกำลังเผชิญปัญหาคล้ายกัน อย่ารอให้เวลาผ่านไปโดยไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องตามระบบ Meta จากทีมงานมืออาชีพด้านไซเบอร์ บริการกู้ Facebook ที่การันตีกู้ได้จริง คลิก >>ติดต่อเรา<<

จากเฟซบุ๊กปลิว 2 เดือน สู่การกู้คืนสำเร็จโดยสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

เมื่อโลกออนไลน์กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิต โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจใหญ่ที่ใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางหลักในการสื่อสารและเชื่อมต่อกับลูกค้า การสูญเสียบัญชีเฟซบุ๊กจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เช่นเดียวกับกรณีของ คุณจือ ผู้บริหารบริษัท สโตร์เมท จำกัด ธุรกิจค้าเหล็กอุตสาหกรรมอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย

จุดเริ่มต้นของปัญหาเฟซบุ๊กปลิว

หตุการณ์เริ่มต้นในเดือนสิงหาคม 2567 เวลาประมาณ 03.00 น. ในช่วงที่คุณจือกำลังนอนพักผ่อน แฮ็กเกอร์ได้เจาะเข้ามาผ่านอีเมลที่ผูกไว้กับบัญชีเฟซบุ๊ก หลังจากที่สามารถเข้าถึงอีเมลได้สำเร็จ แฮ็กเกอร์ได้เปลี่ยนรหัสผ่าน เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลที่สำคัญทุกอย่างที่เชื่อมโยงกับเฟซบุ๊ก

ในเช้าวันถัดมา คุณจือพบว่าไม่สามารถเข้าสู่ระบบเฟซบุ๊กตนเองได้ ความพยายามในการกู้รหัสผ่านด้วยวิธีเดิมล้มเหลว และเมื่อเข้าไปตรวจสอบอีเมลก็พบว่าทุกอย่างถูกเปลี่ยนแปลงหมดแล้ว คุณจือรู้ทันทีว่าเฟซบุ๊กถูกแฮ็กไปเรียบร้อย ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันมีเพื่อนของคุณจือที่ประสบปัญหาถูกแฮ็กเฟซบุ๊กเหมือนกัน ซึ่งสถานการณ์ของเพื่อนคนดังกล่าวถูกแก้ไขได้ด้วยการกู้คืนเฟซบุ๊กสำเร็จ คุณจือจึงให้เพื่อนลองช่วยกู้คืนเฟซบุ๊กของตัวเอง แต่ความพยายามนี้กลับไม่สำเร็จ จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ทำให้คุณจือรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่เฟซบุ๊กได้ถูกปลิวไปโดยจะไม่มีวันกลับมา

ตัดสินใจติดต่อผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกให้ทำใจ

หลังจากที่ความพยายามด้วยตัวเองไม่ประสบผลสำเร็จ คุณจือเริ่มมองหาผู้เชี่ยวชาญด้านการกู้เฟซบุ๊ก และติดต่อไปยังนักกู้มืออาชีพที่มีชื่อเสียงในวงการกว่า 3 คน ซึ่งมีประสบการณ์กู้คืนเฟซบุ๊กและหรือโซเชียลมีเดียให้กับอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างให้คำตอบเหมือนกันว่า “เฟซบุ๊กนี้ของคุณจือไม่สามารถกู้คืนได้แล้ว” พวกเขาให้เหตุผลว่า บัญชีถูกระงับถาวร และทุกช่องทางที่ใช้สำหรับการกู้คืนไม่สามารถดำเนินการได้อีกต่อไป คำแนะนำจากนักกู้คือให้สร้างบัญชีใหม่ และลืมบัญชีเดิมไป

ความสูญเสียที่มากกว่าสูญเสียบัญชีเฟซบุ๊ก

เฟซบุ๊กที่คุณจือใช้งานมานานกว่า 15 ปี ไม่ได้เป็นเพียงช่องทางสื่อสารทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่เก็บความทรงจำส่วนตัวของชีวิต ตั้งแต่เรื่องราวในวัยเด็กจนถึงปัจจุบัน รวมถึงเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ทั้งรูปภาพ วิดีโอ และข้อความที่มีค่า เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น คุณจือตัดสินใจสร้างเฟซบุ๊กใหม่ แม้ในใจยังคงรู้สึกเสียดายกับสิ่งที่สูญเสียไป การเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะกับการต้องละทิ้งเฟซบุ๊กเก่าที่เปรียบเสมือนบันทึกชีวิต

จากความหมดหวัง สู่การกู้คืนที่กลับมาได้จริง

หลังจากเกือบถอดใจ คุณจือได้พบกับบริการรับกู้เฟซบุ๊กของ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ที่มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและเทคนิคดิจิทัลโดยเฉพาะ ทีมงานได้พูดคุยและวิเคราะห์กรณีของคุณจืออย่างละเอียด พร้อมดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างรอบคอบ

สำนักงานฯ ของเราจึงเริ่มต้นจากการตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่ประวัติการใช้งาน การเปลี่ยนแปลงข้อมูล และการระงับบัญชี ทีมงานใช้เวลาในการรวบรวมหลักฐานและส่งคำร้องไปยังเฟซบุ๊กอย่างเป็นระบบ แม้จะต้องใช้เวลานานถึง 2 เดือน แต่สุดท้ายบัญชีเฟซบุ๊กที่เคยถูกระงับก็กลับคืนมาในมือคุณจืออีกครั้ง

ความสำเร็จที่มาจากความมืออาชีพของเรา

การที่เฟซบุ๊กเก่าของคุณจือกลับมาไม่เพียงแต่ทำให้คุณจือดีใจ แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถของทีมงานสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ที่สามารถจัดการกับปัญหาที่ยากและซับซ้อนได้สำเร็จ เฟซบุ๊กเก่าที่เต็มไปด้วยความทรงจำและข้อมูลสำคัญได้กลับคืนมา คุณจือสามารถกลับไปใช้งานบัญชีเดิมได้เหมือนเดิมอีกครั้ง ทั้งในส่วนของธุรกิจและชีวิตส่วนตัว

การถูกแฮ็กเฟซบุ๊กอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่มีทางแก้ไข แต่บริการรับกู้เฟซบุ๊กของ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าปัญหาจะยากเพียงใด ทีมงานของเราพร้อมดำเนินการด้วยความเชี่ยวชาญและความรอบคอบ

หากคุณหรือคนใกล้ตัวเผชิญกับปัญหาการถูกแฮ็กเฟซบุ๊ก อย่าเพิ่งหมดหวัง ติดต่อ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ แล้วเราจะช่วยกู้คืนเฟซบุ๊กของคุณให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เช่นเดียวกับกรณีของคุณจือนี้

ถูกมิจฉาชีพแฮ็กเฟซบุ๊กไม่ต้องกังวล ! สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ บริการรับกู้คืนเฟซบุ๊กจากมิจฉาชีพ

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน ข้อมูลส่วนตัวและบัญชีโซเชียลต่าง ๆ จึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพ เฟซบุ๊กซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก มักตกเป็นเหยื่อของการแฮ็กข้อมูล การสูญเสียบัญชีเฟซบุ๊กนั้นไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อยสำหรับผู้ใช้งาน เนื่องจากมักจะมีข้อมูลสำคัญและการติดต่อกับบุคคลต่าง ๆ ที่อาจเกิดความเสียหายได้

เมื่อบัญชีเฟซบุ๊กถูกแฮ็ก ไม่ว่าจะโดยมิจฉาชีพที่หวังผลประโยชน์จากการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว การนำบัญชีไปใช้ในทางที่ผิด หรือแม้กระทั่งการข่มขู่เรียกค่าไถ่ การกู้คืนบัญชีเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะทาง หากผู้ใช้งานเฟซบุ๊กไม่ทราบวิธีการแก้ไขด้วยตนเอง หรือพบว่าขั้นตอนการกู้คืนบัญชีที่เฟซบุ๊กเสนอไว้นั้นไม่ประสบผลสำเร็จ การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายจึงเป็นทางเลือกที่ดี

ให้เราเป็นผู้ช่วยมืออาชีพในการกู้เฟซบุ๊กคืนจากการถูกแฮ็ก

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ มีความเชี่ยวชาญในด้านกฎหมายและความปลอดภัยทางไซเบอร์ นอกจากให้บริการลูกค้าในเรื่องของกฎหมายทั่วไปแล้ว เรายังมีบริการกู้คืนเฟซบุ๊กกรณีถูกมิจฉาชีพแฮ็กโดยเฉพาะ ซึ่งบริการนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้เสียหายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

บริการกู้คืนเฟซบุ๊กของของเรา
1. การตรวจสอบและวิเคราะห์การถูกแฮ็ก

ทีมงานของเราจะตรวจสอบรายละเอียดของการแฮ็กบัญชีเฟซบุ๊ก วิเคราะห์ว่าแฮ็กเกอร์ใช้วิธีใดในการเข้าถึงบัญชี เพื่อวางแผนการกู้คืนบัญชีอย่างมีประสิทธิภาพ

2. การติดต่อกับเฟซบุ๊กโดยตรง

เรามีความรู้และประสบการณ์ในการติดต่อกับฝ่ายสนับสนุนของเฟซบุ๊กในกรณีที่ซับซ้อนเกินกว่าผู้ใช้งานทั่วไปจะจัดการได้ เราดำเนินการตามขั้นตอนของเฟซบุ๊กเพื่อกู้คืนบัญชีให้กลับมาใช้งานได้โดยเร็วที่สุด

3. การฟื้นฟูความปลอดภัยของบัญชี

เมื่อกู้คืนบัญชีเฟซบุ๊กได้แล้ว ทางเราจะดำเนินการให้บัญชีของคุณมีความปลอดภัยมากขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงรหัสผ่าน การเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองชั้น (Two-Factor Authentication) และการตรวจสอบความปลอดภัยอื่น ๆ เพื่อป้องกันการถูกแฮ็กซ้ำในอนาคต

4. การดำเนินคดีในกรณีที่มิจฉาชีพสร้างความเสียหาย

 หากการแฮ็กบัญชีเฟซบุ๊กนำไปสู่ความเสียหายทั้งในด้านชื่อเสียง การข่มขู่ หรือการใช้ข้อมูลส่วนตัวในทางที่ผิด เราพร้อมให้บริการในกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อติดตามและฟ้องร้องผู้กระทำผิดตามกฎหมายไซเบอร์และกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้อง

ทำไมควรเลือกใช้บริการกู้คืนเฟซบุ๊กจากเรา ?


การกู้คืนบัญชีเฟซบุ๊กไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมิจฉาชีพในปัจจุบันมีการใช้เทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้น หากไม่มีความรู้ทางเทคนิคเฉพาะหรือไม่มีทีมงานที่มีประสบการณ์ การกู้คืนบัญชีอาจเป็นเรื่องยากและใช้เวลานาน นอกจากนี้ บางกรณีอาจต้องดำเนินการทางกฎหมายเพื่อติดตามตัวผู้กระทำผิดและขอคืนข้อมูลส่วนตัว

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในด้านกฎหมายและความปลอดภัยทางไซเบอร์ เราไม่เพียงแต่ช่วยกู้คืนบัญชีเฟซบุ๊กของคุณ แต่ยังให้คำแนะนำในการป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวในอนาคต เพื่อให้คุณสามารถใช้งานโซเชียลมีเดียได้อย่างมั่นใจ

ข้อแนะนำในการป้องกันการถูกแฮ็ก
แม้ว่าการถูกแฮ็กจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่การป้องกันตั้งแต่ต้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยง สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ขอแนะนำวิธีป้องกันการแฮ็กเฟซบุ๊ก ดังนี้
1. เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA)

วิธีนี้จะเพิ่มความปลอดภัยของบัญชีโดยเมื่อมีการเข้าสู่ระบบจากอุปกรณ์ใหม่ จะต้องมีการยืนยันตัวตนด้วยรหัสพิเศษที่ส่งไปยังโทรศัพท์มือถือหรืออีเมล

2. ไม่คลิกลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือ

   การหลอกลวงทางไซเบอร์หรือฟิชชิ่งมักใช้ลิงก์ที่ดูเหมือนน่าเชื่อถือ แต่เมื่อคลิกเข้าไปกลับเป็นการเปิดโอกาสให้มิจฉาชีพเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว

3. ตั้งรหัสผ่านที่ซับซ้อน

   ควรตั้งรหัสผ่านที่ประกอบด้วยตัวอักษรพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ ตัวเลข และสัญลักษณ์ เพื่อป้องกันการถูกแฮ็กด้วยวิธีการเดารหัสผ่าน

ถูกแฮ็กเฟซบุ๊ก อย่า ! รอจนสายไป ให้เรากู้คืนบัญชีให้อย่างปลอดภัยทำได้จริง


การถูกแฮ็กบัญชีเฟซบุ๊กเป็นเรื่องที่สร้างความเสียหายและความไม่สบายใจให้กับผู้ใช้งาน แต่หากคุณประสบปัญหานี้ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์พร้อมที่จะให้บริการคุณในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การกู้คืนบัญชีไปจนถึงการดำเนินคดีทางกฎหมายหากเกิดความเสียหาย สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มีความชำนาญในด้านกฎหมายและความปลอดภัยทางไซเบอร์ พร้อมให้บริการเพื่อความปลอดภัยและความมั่นใจของคุณ

ติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เพื่อรับคำปรึกษาและบริการกู้คืนเฟซบุ๊กคืนจากมิจฉาชีพ 

เพื่อความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ อย่าลังเลที่จะขอคำแนะนำจากทนายความผู้เชี่ยวชาญของเรา!

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยโดนมิจฉาชีพหลอกเรื่องอะไรมากที่สุด

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง บทความนี้จะพามาเจาะลึกในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างที่ทุกท่านทราบกันดี แต่ในขณะเดียวกันภัยออนไลน์กลายเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และภัยออนไลน์มีอะไรบ้างส่งผลกระทบอย่างไรทวีความรุนแรงต่อผู้ใช้งานในประเทศไทยมากเพียงใด มิจฉาชีพในโลกออนไลน์มักจะหาวิธีใหม่ ๆ ในการล่อลวงและหลอกลวงผู้คนอย่างไร บทความนี้จากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพาคุณไปรู้จักกันว่าภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง และภัยออนไลน์ที่พบมากที่สุด รวมถึงเรื่องที่คนไทยมักจะถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมากที่สุดมีเรื่องอะไรบ้างมาติดตามกันได้ในบทความนี้จากเรา

ประเภทของภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง

1. ฟิชชิง (Phishing) : ฟิชชิงเป็นรูปแบบการหลอกลวงที่มิจฉาชีพจะส่งอีเมลหรือข้อความที่ดูเหมือนมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ อาทิ ธนาคาร, บริษัทบัตรเครดิต, หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิต เมื่อผู้ใช้กรอกข้อมูลเหล่านี้ มิจฉาชีพจะนำข้อมูลไปใช้ในการขโมยเงินหรือการทำธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตได้

2. แรนซัมแวร์ (Ransomware): แรนซัมแวร์เป็นมัลแวร์ที่มิจฉาชีพใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลของเหยื่อ ทำให้เหยื่อไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของตนได้ และมิจฉาชีพจะเรียกค่าไถ่เพื่อแลกกับการปลดล็อกข้อมูล โดยไม่รับประกันว่าเหยื่อจะได้รับกุญแจถอดรหัสแม้ว่าจะชำระเงินแล้วก็ตาม

3. สแปมและมัลแวร์ (Spam and Malware): สแปมคืออีเมลหรือข้อความที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งถูกส่งมาเป็นจำนวนมาก บางครั้งสแปมเหล่านี้อาจแฝงมัลแวร์ที่สามารถติดตั้งบนคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนของเหยื่อโดยไม่รู้ตัว เมื่อมัลแวร์ติดตั้งแล้ว อาจใช้เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงิน

4. การหลอกลวงทางการเงิน (Financial Fraud): มิจฉาชีพมักใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อหลอกลวงผู้คนให้โอนเงินหรือทำธุรกรรมที่ไม่ถูกต้อง เช่น การหลอกลวงทางโทรศัพท์ (Vishing) หรือการหลอกให้ลงทุนในโครงการที่ไม่มีอยู่จริง5. การขโมยข้อมูลส่วนตัว (Identity Theft): มิจฉาชีพสามารถใช้ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อ เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลทางการเงิน เพื่อแอบอ้างและทำธุรกรรมรวมไปถึงการสมัครสินเชื่อในชื่อของเหยื่อ ทำให้เหยื่อต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินและกฎหมายในเวลาต่อมา

มิจฉาชีพหลอกคนไทยเรื่องอะไรมากที่สุด

ในประเทศไทยมีหลายวิธีที่มิจฉาชีพออนไลน์ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อ และภัยออนไลน์มีอะไรบ้างคงทราบกันแล้ว แต่หนึ่งในเรื่องที่คนไทยโดนภัยออนไลน์หลอกมากที่สุดคือ การหลอกให้โอนเงินผ่านการแอบอ้างตัวตน ได้แก่

1. การหลอกลวงผ่านการแอบอ้างเป็นหน่วยงานราชการหรือบริษัทใหญ่ ๆ: มิจฉาชีพมักจะแอบอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการ เช่น กรมสรรพากร หรือเจ้าหน้าที่จากธนาคาร เพื่อล่อลวงให้เหยื่อเชื่อว่ามีปัญหาทางกฎหมายหรือทางการเงิน เช่น การเรียกร้องภาษีย้อนหลังหรือบอกว่ามีเงินโอนผิดบัญชี และขอให้เหยื่อโอนเงินเพื่อแก้ไขปัญหา

2. การหลอกให้ลงทุนในธุรกิจที่ไม่น่าเชื่อถือ: การลงทุนในธุรกิจหรือโครงการที่ดูเหมือนให้ผลตอบแทนสูงแต่ไม่มีความเป็นจริง หรือที่เรียกกันว่า “แชร์ลูกโซ่” เป็นวิธีการที่คนไทยจำนวนมากถูกหลอกลวง มิจฉาชีพจะนำเสนอโอกาสการลงทุนที่ดูน่าดึงดูด และใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับเหยื่อ เช่น การนำเสนอข้อมูลปลอมเกี่ยวกับผลกำไร หรือการสร้างความเร่งด่วนในการตัดสินใจ

3. การหลอกให้ซื้อสินค้าหรือบริการออนไลน์ที่ไม่มีอยู่จริง: การช้อปปิ้งออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในประเทศไทย แต่มิจฉาชีพก็ใช้ช่องทางนี้ในการหลอกลวงเช่นกัน หลายครั้งหลายคราวที่เหยื่อถูกหลอกให้ชำระเงินสำหรับสินค้าหรือบริการที่ไม่มีอยู่จริง หรือได้รับสินค้าที่ไม่ตรงกับที่โฆษณา

4. การหลอกลวงด้วยความรัก (Romance Scam): มิจฉาชีพสร้างโปรไฟล์ปลอมบนแอปพลิเคชันหาคู่หรือโซเชียลมีเดียต่าง ๆ  และสร้างความสัมพันธ์กับเหยื่อก่อนจะขอความช่วยเหลือทางการเงิน เช่น อ้างว่าต้องการเงินเพื่อเดินทางมาหาเหยื่อ หรือเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาฉุกเฉิน เป็นต้น

วิธีป้องกันและคำแนะนำเพื่อให้ปลอดภัยจากภัยออนไลน์

เพื่อป้องกันตัวเองจากภัยออนไลน์เหล่านี้หลังจากที่ทราบกันไปแล้วว่าภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยควรมีความระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

– ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ไม่น่าเชื่อถือ

– ไม่ตอบสนองต่ออีเมลหรือข้อความที่ดูน่าสงสัยหรือมาจากแหล่งที่ไม่รู้จัก

– ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นระยะๆ อยู่เสมอ

– ระมัดระวังในการลงทุน และตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้างหลายท่านคงจะทราบกันไปแล้วจากบทความข้างต้น และภัยออนไลน์เป็นเรื่องที่ทุกคนควรตระหนักถึงและมีการป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม เพราะไม่เพียงแต่จะสูญเสียทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและความปลอดภัยในชีวิตประจำวันด้วย บทความภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยโดนมิจฉาชีพหลอกเรื่องอะไรมากที่สุด เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเนื้อหาในบทความนี้จะสามารถเตือนภัยทุกท่านได้ และหากคุณตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ สิ่งสำคัญที่ควรทำคือการปรึกษาทนายความทันทีเพื่อหาหนทางแก้ไข เพราะทนายความสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้บริการในการรวบรวมหลักฐานที่จำเป็น และดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิของคุณ นอกจากนี้การปรึกษาทนายความยังช่วยให้คุณทราบถึงขั้นตอนในการเรียกร้องความเสียหายและฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับความยุติธรรมและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นในอนาคต หากต้องการปรึกษาทนายสามารถทักมาปรึกษาได้ที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

หากถูกโจมตีทางไซเบอร์แบบ DDoS ปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมออนไลน์

Cover หากถูกโจมตีทางไซเบอร์

ในโลกของยุค 4G ที่เทคโนโลยีได้ถูกพัฒนาไปในอีกระดับเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายให้แก่ผู้คน แน่นอนว่าความเจริญทางเทคโนโลยีย่อมมาพร้อมกับความอันตรายทางด้านข้อมูลที่อาจถูกโจมตีได้ทุกเมื่อ ยิ่งในระดับองค์กรใหญ่ที่มีฐานข้อมูลอยู่เป็นจำนวนมาก ยิ่งตกเป็นเป้าหมาย การโจมตีทางไซเบอร์ แบบ DDoS และแบบ DoS ของเหล่าแฮกเกอร์ที่จ้องจะโจมตีระบบให้ล่มจนไม่สามารถใช้งานได้ เป้าหมายเพื่อเรียกเงินค่าไถ่ เพราะยิ่งถ้าล่มนานเท่าไหร่ ความเสียหายก็ยิ่งเกิดขึ้นมากไปด้วย ดังนั้นจึงควรเตรียมแผนรับมือการโจมตีทางไซเบอร์จากเหล่าแฮกเกอร์ไว้ให้ดีอย่างน้อยก็สามารถป้องกันความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง

การโจมตีทางไซเบอร์ 1

การโจมตีแบบ DDoS คืออะไร

การโจมตีแบบ DDoS (Distributed Denial of Service) คือการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ระบบเครือข่ายหรือบริการออนไลน์ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ การโจมตีนี้จะทำโดยการส่งคำขอจำนวนมากจากหลาย ๆ แหล่ง (มักจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกควบคุมโดยมัลแวร์หรือบอทเน็ต) ไปยังเซิร์ฟเวอร์หรือบริการเป้าหมายพร้อม ๆ กัน ซึ่งจะทำให้ระบบเครือข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์รับภาระมากเกินไป จนไม่สามารถตอบสนองคำขอที่ถูกต้องจากผู้ใช้จริงได้

การโจมตีแบบ DDoS มีความพิเศษแตกต่างจากการโจมตีด้านไซเบอร์รูปแบบอื่น ๆ ตรงที่มันไม่ได้พยายามละเมิดความปลอดภัยของเซิร์ฟเวอร์ หรือหาทางเจาะช่องโหว่แต่อย่างใด แต่เป้าหมายของ DDoS ต้องการทำให้เว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถให้บริการได้ตามปกติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ที่เข้าใช้งานโดยตรง อย่างไรก็ตามบางครั้ง DDoS ยังถูกใช้ในการโจมตีเพื่ออำพรางเป้าหมายอื่นที่มุ่งร้ายต่อความปลอดภัยของเซิร์ฟเวอร์ 

นอกจากนี้แล้วการโจมตีแบบ DDoS ยังสามารถโจมตีเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ หรือกระหน่ำยิงซ้ำอย่างต่อเนื่องได้อีกด้วย แต่ไม่ว่าจะทางไหนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์หรือเซิร์ฟเวอร์ ที่กว่าจะสามารถกู้ระบบกลับมาได้อาจจะใช้เวลานานหลายชั่วโมงจนถึงเป็นวัน บางทีอาจใช้เวลาเป็นเดือน ซึ่งส่งผลเสียต่อเจ้าของเว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรายได้, ความเชื่อใจที่ลูกค้ามีให้ และทำให้เจ้าของธุรกิจต้องลงทุนเพิ่มเพื่อกอบกู้ชื่อเสียง ความไว้วางใจกลับมา 

การโจมตีทางไซเบอร์ 2

การโจมตีแบบ DDoS และ DoS แตกต่างกันอย่างไร ?

การโจมตีแบบ DoS เป็นการโจมตีเซิร์ฟเวอร์ด้วยการส่งคำขอเข้าไปเป็นจำนวนมากจากคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว เพื่อให้การจราจรของเว็บไซต์หนาแน่นจนติดขัดไม่สามารถตอบสนองได้ ส่วนการโจมตีแบบ DDoS ลักษณะเหมือนกับการโจมตีแบบ DoS เพียงแต่ใช้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์จำนวนมากส่งคำขอทีละมาก ๆ เข้าไปยังเซิร์ฟเวอร์เพื่อขัดขวางการให้บริการ เมื่อเซิร์ฟเวอร์ได้รับแพ็คเกจเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่เซิร์ฟเวอร์จะสามารถประมวลผลได้ไหว ก็จะทำให้ระบบล่มและหยุดทำงานไปในที่สุด ความจริงแล้วหลักการโจมตีของ DoS และ DDoS นั้นเหมือนกันเพียงแค่การโจมตีแบบ DoS จะเหมือนการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ส่วนการโจมตีแบบ DDoS จะเป็นการต่อสู้แบบทีละมากๆ อย่างไรก็ตามการโจมตีทั้ง 2 แบบมีความแตกต่างกันในลักษณะของการทำงาน ดังนี้ 

  • การตรวจจับ/รับมือ

เนื่องจากการโจมตีแบบ DoS มีแหล่งที่มาของการโจมตีเพียงแห่งเดียว มันจึงง่ายต่อการตรวจจับค้นหาช่องทางที่ผู้โจมตีใช้เชื่อมต่อเข้ามายังเซิร์ฟเวอร์ได้ง่าย ๆ ในความเป็นจริงใช้แค่ Firewall คุณภาพสูงก็แทบจะป้องกันได้แล้ว ในขณะที่การโจมตีแบบ DDoS เป็นการโจมตีเข้ามาจากอุปกรณ์จำนวนมากที่ต่างสถานที่กัน ทำให้ยากที่จะหาต้นตอการโจมตีได้ยากกว่ามาก 

  • ความเร็วในการโจมตี

เนื่องจากการโจมตีแบบ DDoS เป็นการโจมตีจากหลายแห่งพร้อม ๆ กัน มันจึงสามารถระดมยิงได้เร็วกว่า การโจมตีแบบ DoS หลายเท่า เรียกได้ว่าเร็วจนระบบตรวจจับทำงานไม่ทัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าจะมีความเสียหายเกิดขึ้นมากกว่าด้วย 

  • ปริมาณการจราจร

การโจมตีแบบ DoS ใช้อุปกรณ์จำนวนมากในการโจมตีจากระยะไกล ทำให้สร้างจำนวนข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแห่งส่งเข้าไปปั่นป่วนการจราจรของเว็บไซต์ให้โอเวอร์โหลดอย่างรวดเร็ว และยากต่อการตรวจสอบ 

  • วิธีโจมตี

การโจมตีแบบ DDoS จะประสานพลังจากอุปกรณ์ที่มีมัลแวร์ชนิดบอทเน็ต ที่แฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมาก รอรับคำสั่งจากเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ ในขณะที่การโจมตีแบบ DoS ก็มักจะใช้แค่เครื่องมือหรือสคริปต์เพื่อเริ่มโจมตีจากอุปกรณ์เครื่องเดียว 

  • ตามล่าต้นทางที่โจมตี

การโจมตีแบบ DDoS ใช้มัลแวร์ชนิดบอทเน็ตในการโจมตี ทำให้ยากต่อการตามล่าหาตัวการแฮกเกอร์ได้ยากกว่าการตามหาแหล่งที่มาของการโจมตีแบบ DoS มาก

การโจมตีทางไซเบอร์ 3

การโจมตีแบบ DDoS มีกี่ประเภท

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าการโจมตีแบบ DDoS เป้าหมายคือการทำให้เว็บไซต์หรือเซิร์ฟเวอร์ของเป้าหมายล่มจนไม่สามารถใช้งานได้ หรืออาจอำพรางการโจมตีรูปแบบอื่น ซึ่งตามปกติแล้ว DDoS Attack จะมีการโจมตีอยู่ 3 รูปแบบ คือ

  • การโจมตีชั่นแอปพลิเคชั่น

การโจมตีชั้นแอปพลิเคชั่นนั้นเป็นรูปแบบการโจมตี DDoS ที่ง่ายที่สุด วิธีการคือสร้างคำขอเซิร์ฟเวอร์ธรรมดามาก ๆ เรียกได้ว่าคอมพิวเตอร์หรือเครื่องที่มีบอทเน็ตจะแย่งกันเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์หรือเว็บไซต์เหมือนกับที่ผู้ใช้ปกติทำ แต่การโจมตีแบบ DDoS จะมีความรุนแรงกว่า เพราะปริมาณคำขอนั้นมีมากเกินกว่าที่เซิร์ฟเวอร์จะรองรับไหว จึงทำให้เว็บไซต์เกิดการล่มนั่นเอง

  • การโจมตีโปรโตคอล

การโจมตีแบบโปรโตคอลนั้นจะอาศัยหาผลประโยชน์จากวิธีการที่เซิร์ฟเวอร์ประมวลข้อมูล เพื่อทำให้เป้าหมายทำงานหนักเกินไป ในการโจมตีแบบโปรโตคอลบางรูปแบบบอทเน็ตจะส่งแพ็คเกจข้อมูลให้เซิร์ฟเวอร์รวบรวม จากนั้นเซิร์ฟเวอร์ก็จะรอเพื่อรับข้อมูลยันยันจากที่อยู่ IP ที่มาซึ่งไม่มีวันได้รับ แต่โปรโตคอลจะยังได้รับข้อมูลที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ล้มเหลว ในรูปแบบอื่นๆ มักจะส่งข้อมูลที่ไม่สามารถเก็บรวบรวมได้ ซึ่งทำให้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์ทำงานหนักเกินไป

  • การโจมตีด้วยขนาด

การโจมตีด้วยขนาดนั้นคล้ายกับการโจมตีแบบแอปพลิเคชั่น ต่างกันเล็กน้อยตรงที่การโจมตีในรูปแบบ DDoS แบบนี้ แบนด์วิชท์ที่ใช้งานได้ทั้งหมดของเซิร์ฟเวอร์จะถูกกัดกินโดยคำขอบอทเน็ตที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น บางครั้งบอทเน็ตสามารถหลอกเซิร์ฟเวอร์ให้ส่งข้อมูลจำนวนมากให้กับตัวเอง ซึ่งหมายความว่าเซิร์ฟเวอร์ต้องประมวลผลรับ รวบรวม ส่งและรับข้อมูลอีกครั้ง

การโจมตีทางไซเบอร์ 4

ใครมีความเสี่ยงจะถูกโจมตีด้วย DDoS มากที่สุด

โดยปกติแล้ว DDoS จะไม่พุ่งเป้ามาที่บุคคลทั่วไป แต่มีเป้าหมายไปที่องค์กรขนาดใหญ่เป็นเป้าหมายหลัก เพราะองค์กรขนาดใหญ่สามารถจ่ายเงินจำนวนมากได้ เพื่อแลกกับการถูกโจมตีจนเว็บล่ม แต่องค์กรขนาดเล็กก็มีโอกาสได้รับความเสียหายแบบนี้ได้เช่นกัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพร้อมรับมือสำหรับองค์กรที่มีเว็บไซต์ออนไลน์ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่อาจถูกโจมตี เราไม่สามารถป้องกันการโจมตีจาก DDoS ที่โจมตีมายังเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราสามารถเตรียมรับมือก่อนที่จะรับมือกับการโหลดข้อมูลนั้นได้ โดยมีวิธีการป้องกันเบื้องต้นได้ดังนี้ คือ  

  • ตรวจพบก่อนโดยการตรวจสอบการเข้าชม

ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่าแบบไหนเรียกว่าเข้าชมแบบปกติ เข้ามาจำนวนน้อยหรือมาก เพื่อคาดการณ์ได้ว่าเมื่อไหร่ที่การเข้าชมนั้นเกินขีดจำกัด เราสามารถเพิ่มอัตราจำกัดขึ้นให้เท่ากับขีดจำกัดในระดับนั้นได้ นั่นแปลว่าเซิร์ฟเวอร์ของคุณจะสามารถรับคำขอให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะรับได้เท่านั้น การเตรียมความพร้อมในเรื่องของการคาดาการณ์แนวโน้มของผู้เข้าชมเว็บของคุณจะช่วยให้จัดการปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นควรเตรียมพร้อมสำหรับช่วงแคมเปญการตลาดที่อาจมีผู้เข้าชมจำนวนมาก หากไม่เตรียมพร้อมรับมืออาจส่งผลให้ระบบเว็บล่ม และการที่เว็บล่มเป็นเวลานานอาจส่งผลเสียหายต่อองค์กรอีกด้วย

  • หาแบนด์วิดท์เพิ่ม

เมื่อคุณสามารถคาดการณ์แนวโน้มของผู้เข้าชมได้แล้ว สิ่งต่อมาที่ควรต้องทำคือการหาแบนด์วิดท์เพิ่มเพื่อเพิ่มพื้นที่เซิร์ฟเวอร์ให้มากกว่าที่คุณต้องการใช้เรียกว่า “การกันพื้นที่” สิ่งนี้จะช่วยซื้อเวลาได้กรณีหากถูกโจมตี DDoS เกิดขึ้นเว็บไซต์ของคุณจะไม่ล่มในทันที

  • ใช้ระบบเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาลที่กระจายตัวอยู่ทั่วภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก

เป้าหมายของการโจมตี DDoS คือการทำให้เซิร์ฟเวอร์โฮสติ้งของคุณทำงานหนักจนล่ม ดังนั้นวิธีแก้คือคุณต้องเก็บข้อมูลของคุณไว้บนเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ ทั่วโลก นั่นคือสิ่งที่ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ของเครื่องเซิร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาลทำได้ ยิ่งคุณมีการกระจายข้อมูลไปในแต่ละเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์เท่ากับช่องโหว่ในการถูกโจมตีจะน้อยลง หากเซิร์ฟเวอร์ที่คุณใช้ทำงานหนักเกินไปก็สามารถเปลี่ยนไปใช้เซิร์ฟเวอร์อื่นแทนได้

การโจมตีทางไซเบอร์ 5

หากต้องตกเป็นเหยื่อการโจมตี DDoS ควรทำอย่างไร  

ในปัจจุบันนี้การโจมตีทางเครือข่ายมีจำนวนมากขึ้น และการโจมตีแบบ DDoS นับวันจะมีความซับซ้อนและทรงพลังมากยิ่งขึ้น การที่เราจะแก้ไขการโจมตีนี้ด้วยตนเองนั้นบางทีดูจะเป็นเรื่องยากเกินไป ดังนั้นการป้องกันการโจมตีตั้งแต่แรกจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ สิ่งที่ควรทำหากถูกโจมตีทำได้ดังนี้

  • หามาตรการป้องกันอย่างรวดเร็ว

หากคุณสามารถรู้ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณนั้นเป็นอย่างไร คุณสามารถคาดการณ์ได้ว่าคุณกำลังตกเป็นเป้าการโจมตี DDoS อยู่หรือไม่ เมื่อคุณสังเกตเห็นความผิดปกติจากคำขอการเข้าชมในปริมาณมากจากแหล่งที่มาที่น่าสงสัย ให้รีบดำเนินการตั้งอัตราขีดจำกัดและรีบล้างบันทึกเซิร์ฟเวอร์เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่าง

  • ติดต่อผู้ให้บริการโฮสติ้ง

ผู้ให้บริการโฮสติ้งของคุณอาจสร้างหลุมดำเพื่อจัดการปริมาณคำขอเข้าเว็บไซต์ของคุณ จนกว่าการโจมตีนั้นจะลดลง เพื่อป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ของลูกค้าที่ผู้ให้บริการโอสติ้งดูแลอยู่นั้นเกิดการล่มไปด้วย ซึ่งผู้บริการโฮสติ้งอาจทำการเปลี่ยนเส้นทางการเข้าชมโดยผ่านตัวกรองเพื่อคัดแยกคำขอที่ผิดปกติ ส่วนคำขอที่ปกติจะสามารถผ่านเข้าไปได้

  • โทรติดต่อผู้เชี่ยวชาญ

หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์ถูกโจมตี DDoS แบบเป็นจำนวนมาก หรือไม่สามารถรับสถานการณ์ได้เป็นระยะเวลานานให้รีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้าน DDoS ให้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา โดยผู้เชี่ยวชาญสามารถเบี่ยงเบนปริมาณผู้เข้าชมของคุณไปยังเซิร์ฟเวอร์ใหญ่ของเขาที่สามารถรองรับการเข้ามาในปริมาณมาก ๆ ได้

ปัจจุบันการโจมตีทางไซเบอร์นั้นปรับเปลี่ยนรูปแบบการโจรกรรมข้อมูลอยู่ตลอดเวลา เป้าหมายเพื่อโจมตีองค์กรขนาดใหญ่เพื่อเรียกร้องเงินซึ่งบางครั้งก็เป็นจำนวนมาก เพื่อแลกกับระบบการออนไลน์ที่ใช้งานได้อย่างปกติ ดังนั้นควรเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์การถูกโจมตีเครือข่ายซึ่งอาจเกิดได้ไม่ว่าตอนไหน คุณจำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้าเพื่อพร้อมรับมืออยู่ตลอดเวลา   

ทำความรู้จัก identity theft คืออะไร? กับการป้องกันและวิธีการจัดการ

Identity theft คืออะไร? วันนี้มีคำตอบ identity theft (ไอเด็นทิตี้ เธฟ) หรือ การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึงการที่ผู้เสียหายถูกคนร้ายหรือมิจฉาชีพแอบเอาข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลที่เป็นความลับไปแอบอ้างใช้ เพื่อหาผลประโยชน์บางอย่าง เช่น นำข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหายไปเปิดบัญชีธนาคารทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ หรือนำชื่อของผู้เสียหายไปใช้ก่อเหตุที่จะสร้างความเสียหายอื่น ๆ ตามมาภายหลัง เป็นต้น

และในยุคดิจิทัลแบบนี้ identity theft คือ ปัญหาที่จะสร้างความเดือดร้อนให้คุณอย่างไม่คาดคิด แน่นอนว่าอย่างที่ทราบกันดีและเราก็เคยได้นำเสนอไปว่าเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตมีผลในการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้น การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล หรือ identity theft คืออีกหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม และกลายเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมากขึ้น เพราะการขโมยข้อมูลส่วนบุคคลคือการที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแอบอ้างตัวตนหรือทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกันว่า identity theft คืออะไร? และมีการป้องกันหรือวิธีการจัดการที่ถูกต้องอย่างไรบ้าง

Identity theft คืออะไร?

Identity theft คือ การขโมยตัวตน หมายถึงการที่มิจฉาชีพโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำข้อมูลไปแอบอ้างหรือปลอมแปลงเป็นเจ้าของข้อมูลเพื่อหลอกลวงบุคคลอื่นให้โอนเงินหรือส่งข้อมูลส่วนบุคคลให้ โดยมีเทคนิคหลัก ๆ 2 ประการในการขโมยข้อมูลได้ ดังนี้

1. การฟิชชิ่ง (Phishing) ใช้อีเมลหรือหน้าเว็บปลอมเพื่อหลอกขอข้อมูลส่วนตัว เช่น ประวัติส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน หมายเลขประจำตัวประชาชน หมายเลขบัญชีธนาคาร ข้อมูลบัตรเครดิต หรือรหัสผ่าน ซึ่งมิจฉาชีพสามารถนำไปแฮ็กโซเชียลมีเดียและหลอกลวงผู้อื่นได้

2. การปลอมแปลงเว็บไซต์ (Spoof Site) ใช้เว็บไซต์ปลอมที่เชื่อมโยงกับอีเมลปลอม โดยมักปลอมเป็นเว็บไซต์ของหน่วยงานต่าง ๆ หรือสถาบันการเงินเพื่อขโมยข้อมูลทางการเงินหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว เช่น เลขประจำตัวประชาชน เป็นต้น

รูปแบบของ Identity theft ในการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นทุกท่านคงจะทราบกันแล้วว่า Identity theft คืออะไร? และมีเทคนิคหลักในการโจรกรรมข้อมูลอย่างไร แต่วันนี้เราจะพาทุกท่านมาดูกันว่า identity theft ที่ว่านี้มักมีรูปแบบการขโมยข้อมูลส่วนบุคคลอย่างไรบ้าง

1. ขโมยข้อมูลการเงิน

   การแอบอ้างใช้ข้อมูลบัตรเครดิต บัญชีธนาคาร หรือข้อมูลการเงินอื่น ๆ เพื่อทำการซื้อสินค้า โอนเงิน หรือทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย

2. ขโมยข้อมูลสุขภาพ

   การแอบอ้างใช้ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น หมายเลขประกันสุขภาพ หรือประวัติการรักษาพยาบาล เพื่อรับบริการทางการแพทย์หรือเรียกร้องสิทธิประโยชน์ทางการแพทย์ 

3. ขโมยข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป

   การแอบอ้างใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลการสมัครงาน เพื่อสมัครงาน เปิดบัญชี หรือทำสัญญาต่าง ๆ

4. ขโมยข้อมูลออนไลน์

   การแอบอ้างใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย หรืออีเมลเพื่อหลอกลวงผู้อื่น การฟิชชิ่ง (Phishing) เป็นวิธีที่นิยมใช้ในการขโมยข้อมูลออนไลน์ โดยการส่งอีเมลปลอมที่ดูเหมือนเป็นบริษัทหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือเพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล

ผลกระทบจากการถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคล

Identity theft คือสิ่งที่สร้างปัญหาและความเดือดร้อนได้อย่างมาก เนื่องจากการขโมยข้อมูลส่วนบุคคลสามารถสร้างความเสียหายทั้งในด้านการเงินและชื่อเสียง ผู้เสียหายอาจต้องเผชิญกับหนี้สินที่เกิดจากการแอบอ้างใช้บัตรเครดิต หรือถูกใช้ชื่อในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ยังต้องใช้เวลาและความพยายามในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

How to ป้องกันการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล

1. รักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

   – ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในที่สาธารณะหรือบนอินเทอร์เน็ตโดยไม่จำเป็น

   – ใช้รหัสผ่านที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำ

   – ระมัดระวังการเก็บข้อมูลสำคัญในอุปกรณ์ที่ไม่มีความปลอดภัย

2. ตรวจสอบข้อมูลการเงินอย่างสม่ำเสมอ

   – ตรวจสอบรายการในบัญชีธนาคารและบัตรเครดิตอย่างสม่ำเสมอ

   – แจ้งธนาคารหรือบริษัทบัตรเครดิตทันทีหากพบความผิดปกติ

3. ใช้เทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัย

   – ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์

   – ใช้ระบบยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication) ในการเข้าถึงบัญชีออนไลน์

4. ระมัดระวังการให้ข้อมูลส่วนบุคคล

   – ไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บุคคลหรือองค์กรที่ไม่น่าเชื่อถือ

   – หลีกเลี่ยงการกรอกข้อมูลในเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือหรือไม่ได้รับการป้องกันความปลอดภัย

วิธีการจัดการเบื้องต้นเมื่อเกิดการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล

1. แจ้งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

   – แจ้งธนาคารหรือบริษัทบัตรเครดิตทันทีเพื่อระงับบัญชีหรือบัตรที่ได้รับผลกระทบ

   – แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค

2. ตรวจสอบและแก้ไขข้อมูล

   – ตรวจสอบรายงานเครดิตและแจ้งหน่วยงานเครดิตหากพบข้อมูลที่ผิดปกติ

   – อัปเดตข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกแอบอ้างใช้เพื่อป้องกันการขโมยข้อมูลเพิ่มเติม

3. ขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ

   – หากมีความซับซ้อนในการจัดการปัญหา ควรขอคำปรึกษาจากทนายความมืออาชีพหรือผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของข้อมูล

แต่หากท่านใดที่เกิดเหตุการณ์ identity theft หรือถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคล อย่ารอให้ตัวเองต้องได้รับความเสียหายไปมากกว่านี้ ควรมีทนายความเพื่อปรึกษาดีที่สุดเพราะที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เรามีความเชี่ยวชาญในการสืบหามิจฉาชีพออนไลน์หรือจัดการคดี identity theft การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล หากคุณหรือคนในครอบครัวต้องตกเป็นเหยื่อของ identity theft การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล อย่าลังเลที่จะปรึกษาทนายในเรื่องที่สำคัญกับตัวคุณแบบนี้ เราพร้อมให้คำปรึกษาและให้บริการทางกฎหมายในการดำเนินคดีเพื่อทวงคืนและสร้างความยุติธรรมให้กับคุณ

การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เรื่องเล่น มีทนายจัดการคือคำตอบ ! 

การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล่น ! อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตระดับหนึ่ง เรียกได้ว่าแทบจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้ การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัญหาที่แพร่หลายและมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงทางการเงิน การถูกเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล หรือการหลอกลวงในการซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ จากปัญหาที่กล่าวมานั้นทางสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ของเราก็มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการจัดการคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตอย่างมืออาชีพเช่นเดียวกัน และเราก็พร้อมที่จะให้คำปรึกษา, คำแนะนำ ตลอดจนรับให้บริการกับท่านเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของท่านในทุกสถานการณ์บนโลกดิจิทัลแบบนี้

บริการรับทำคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตโดยทนายความมืออาชีพ

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เรามีทีมทนายความที่มีความรู้ความสามารถที่เชี่ยวชาญในการดำเนินคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต โดยเราให้บริการการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตหลากหลายด้าน ดังนี้

1. การหลอกลวงทางการเงิน : การหลอกลวงทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยครั้ง เช่น การหลอกลวงให้ลงทุนในโครงการที่ไม่มีอยู่จริง หรือการแฮ็กบัญชีธนาคาร ทีมทนายของเรามีความเชี่ยวชาญในการติดตามและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด พร้อมทั้งให้คำปรึกษาในการเรียกคืนความเสียหายที่เกิดขึ้น

2. การถูกเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล : การถูกเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลหรือถูกแฮ็กข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อใช้ในการหลอกลวงหรือข่มขู่เป็นปัญหาที่สามารถสร้างผลกระทบรุนแรงได้ตั้งแต่ระดับบุคคลและองค์กร แต่ทีมทนายของเราสามารถให้คำปรึกษาและดำเนินคดีเพื่อปกป้องสิทธิของท่านและเรียกร้องความยุติธรรมจากการที่ท่านได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้น

3. ถูกหลอกลวงในการซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ : การหลอกลวงในการซื้อขายออนไลน์ เช่น การขายสินค้าที่ไม่มีอยู่จริง หรือการส่งสินค้าที่ไม่ตรงกับที่โฆษณา หากพบปัญหาดังกล่าวควรมีทนายความดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและหรือการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นได้

4. การหลอกลวงในโซเชียลมีเดีย : การหลอกลวงในโซเชียลมีเดีย อาทิ การปลอมแปลงตัวตนเพื่อหลอกลวงให้โอนเงินหรือให้ข้อมูลส่วนบุคคล

ขั้นตอนดำเนินคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตในการดำเนินคดีมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทีมทนายของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มีความสามารถในการดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างมืออาชีพ

1. การรวบรวมหลักฐาน : เราใช้เทคโนโลยีและวิธีการสืบสวนที่ทันสมัยในการรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต เช่น การติดตามเส้นทางการเงิน การวิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัล และการสืบสวนข้อมูลจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

2. การวางแผนและการดำเนินคดี : ทีมทนายของเรามีความเชี่ยวชาญในการวางแผนและดำเนินคดีอย่างเป็นระบบ โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ในการเตรียมการต่อสู้ในชั้นศาลและการเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้เสียหายทุกท่าน

3. การให้คำปรึกษาและการสนับสนุน : เราให้คำปรึกษาและการสนับสนุนตลอดกระบวนการดำเนินคดี เพื่อให้ท่านเข้าใจถึงสิทธิและทางเลือกต่าง ๆ ที่มีอยู่ และสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

ความสำคัญของการปกป้องสิทธิในยุคมิจฉาชีพออนไลน์ระบาดหนัก

ในยุคดิจิทัลที่มีการระบาดของมิจฉาชีพออนไลน์และทุกอย่างเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วและซับซ้อน การปกป้องสิทธิและความปลอดภัยในโลกไซเบอร์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เข้าใจถึงความท้าทายและความเสี่ยงที่ท่านอาจเผชิญหน้าเป็นอย่างดี และเราพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาและผู้แทนทางกฎหมายที่ท่านสามารถเชื่อถือและไว้วางใจได้

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์กับความมุ่งมั่นในการให้บริการที่มีคุณภาพ

เรามุ่งมั่นในการให้บริการที่มีคุณภาพและเป็นมืออาชีพ ทีมทนายของเรามีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการจัดการคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต เราจึงเข้าใจถึงความสำคัญของการปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของลูกความเป็นอย่างดี หากท่านหรือคนในครอบครัวของท่านกำลังเผชิญกับปัญหาการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต เรามีทนายความผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการที่มีคุณภาพและเป็นมืออาชีพ พร้อมที่จะร่วมแก้ไขปัญหาและให้คำปรึกษาเพื่อให้ท่านได้รับความยุติธรรมจากการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต หากท่านต้องการคำปรึกษาหรือต้องการให้ทนายความดำเนินเรื่องในคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต อย่าลังเลหรืออย่าคิดว่าไม่เป็นไร สามารถติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เพื่อพูดคุยหรือปรึกษาทนายความได้ทันทีหลังรู้ตัวว่าถูกหลอก เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของท่านในยุคที่มิจฉาชีพระบาดหนักเช่นนี้

ทนายความผู้เชี่ยวชาญสืบคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์

บริการรับสืบคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มีทีมทนายความที่มีความรู้ความสามารถในการดำเนินคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยเราให้บริการในหลากหลายด้าน ดังนี้

1. การแฮ็กข้อมูลและการละเมิดระบบความปลอดภัย : การแฮ็กข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลทางธุรกิจถือเป็นอาชญากรรมที่มีความเสียหายอย่างรุนแรง ทีมทนายของเรามีความเชี่ยวชาญในการติดตามและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด พร้อมทั้งให้คำปรึกษาในการเสริมสร้างระบบความปลอดภัยเพื่อป้องกันการแฮ็กในอนาคต

2. การโจรกรรมทางการเงินและการฉ้อโกงออนไลน์ : การโจรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นอาชญากรรมที่พบได้บ่อยครั้ง ทีมทนายของเราสามารถให้คำปรึกษาและดำเนินคดีเพื่อเรียกคืนความเสียหายที่เกิดขึ้น และดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิและทรัพย์สินของท่าน

3. การละเมิดความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคล : การละเมิดความเป็นส่วนตัว เช่น การเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต สามารถทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลได้ ทีมทนายของเรามีความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น

4. การละเมิดลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาออนไลน์ : การละเมิดลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาผ่านทางออนไลน์เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในยุคดิจิทัล ทีมทนายของเราสามารถดำเนินคดีเพื่อปกป้องสิทธิของท่านและเรียกร้องการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น

ขั้นตอนการดำเนินคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์

การดำเนินคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทีมทนายของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มีความสามารถในการดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างมืออาชีพ

1. การรวบรวมหลักฐาน

 เราใช้เทคโนโลยีและวิธีการสืบสวนที่ทันสมัยในการรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์ เช่น การติดตามเส้นทางการเงิน การวิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัล และการสืบสวนข้อมูลจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

2. การวางแผนและการดำเนินคดี

 ทีมทนายของเรามีความสามารถในการวางแผนและดำเนินคดีอย่างเป็นระบบ โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ในการเตรียมการต่อสู้ในชั้นศาลและการเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกความ

3. การให้คำปรึกษาและการสนับสนุน

 เราให้คำปรึกษาและการสนับสนุนตลอดกระบวนการดำเนินคดี เพื่อให้ท่านเข้าใจถึงสิทธิและทางเลือกต่าง ๆ ที่มีอยู่ และสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

ความมุ่งมั่นในการให้บริการที่มีคุณภาพ
สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามุ่งมั่นในการให้บริการที่มีคุณภาพและเป็นมืออาชีพ ทีมทนายของเรามีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการจัดการคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์ เราจึงเข้าใจถึงความสำคัญของการปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของลูกความ และพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาและผู้แทนทางกฎหมายที่ท่านสามารถไว้วางใจได้อย่างดี

หากท่านหรือคนในครอบครัวของท่านกำลังเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ อย่าลังเลที่จะติดต่อเรา สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์พร้อมที่จะร่วมแก้ไขปัญหาและให้คำปรึกษาเพื่อให้ท่านได้รับความยุติธรรมและความพึงพอใจสูงสุด

ความสำคัญของการปกป้องสิทธิในยุคดิจิทัล

ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและซับซ้อน การปกป้องสิทธิและความปลอดภัยในโลกไซเบอร์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เข้าใจถึงความท้าทายและความเสี่ยงที่ท่านอาจเผชิญ และพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาและผู้แทนทางกฎหมายที่ท่านไว้วางใจ

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ คู่คิดทางกฎหมายในโลกดิจิทัล

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เราเป็นสำนักงานทนายความที่มีความมุ่งมั่นในการให้บริการที่มีคุณภาพและเป็นมืออาชีพ พร้อมที่จะร่วมแก้ไขปัญหาและให้คำปรึกษาเพื่อให้ท่านได้รับความยุติธรรมและความพึงพอใจสูงสุดในทุกคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์

หากท่านต้องการคำปรึกษาหรือความช่วยเหลือในคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์ อย่าลังเลที่จะติดต่อปรึกษาทนายสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เราพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาและผู้แทนทางกฎหมายที่ท่านไว้วางใจ เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของท่านในยุคดิจิทัลแบบนี้

สืบหามัลแวร์อย่างมืออาชีพกับ “สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์” ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

สืบหามัลแวร์อย่างมืออาชีพกับ “สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์”

ในปัจจุบันอาชญากรรมทางไซเบอร์นั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นแค่บุคคลธรรมดา ผู้มีชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งบริษัทห้างร้าน หรือองค์กรขนาดใหญ่ ก็อาจตกเป็นเหยื่อภัยของการโจมตีจาก “มัลแวร์” ได้เช่นกัน ฉะนั้นการเตรียมรับมือกับการโจมตีจากอาชญากรที่ใช้มัลแวร์เป็นเครื่องมือนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะหากไม่มีการเตรียมรับมือที่ดี ผลเสียที่เกิดขึ้นอาจมหาศาลมากกว่าที่คุณคิด หรือทางที่ดีควรรับหาผู้เชี่ยวชาญไว้คอยให้คำปรึกษาจะดีที่สุด

“Malware (มัลแวร์)” คืออะไร? ส่งผลอย่างไรต่อคอมพิวเตอร์ของเรา

Malware (มัลแวร์) ย่อมาจากคำว่า  Malicious Software หมายถึงโปรแกรมที่ประสงค์ร้ายถูกเขียนขึ้นมาเพื่อทำอันตรายต่อข้อมูลในระบบ เช่น ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราทำงานผิดปกติ ขโมย หรือทำลายข้อมูล หรืออาจจะเปิดช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาควบคุมเครื่องของเราได้ มัลแวร์นั้นอาจเป็นรูปแบบโค้ดชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปอาจอยู่ในรูปแบบของซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อจงใจส่งผลกระทบต่อระบบคอมพิวเตอร์ เมื่อมัลแวร์ถูกติดตั้งลงในระบบคอมพิวเตอร์แล้ว ก็สามารถเข้าถึงทรัพยากรของระบบคอมพิวเตอร์ อาจแชร์ข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลได้ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผู้ใช้งาน หรืออาจติดตามรายละเอียดของผู้ใช้งานได้

ลักษณะและการทำงานของมัลแวร์ประเภทต่างๆ  

Virus (ไวรัส)

มัลแวร์ประเภทนี้สามารถแพร่กระจายตัวเองไปยังเครื่องอื่น ๆ ผ่านไฟล์ที่ส่งต่อกันระหว่างเครื่อง เมื่อมันแอบเข้ามายังคอมพิวเตอร์ได้แล้ว มันก็จะเข้าไปก่อกวนการทำงานจนทำให้เกิดผลเสียต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ เหมือนเวลาที่เราป่วยเพราะไวรัส ร่างกายของเราก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่เท่าเดิม คอมพิวเตอร์เองก็เช่นเดียวกัน

 Worm (เวิร์ม)

สามารถแพร่กระจายตัวเองไปยังเครื่องอื่น ๆ ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้เองโดยอัตโนมัติ มัลแวร์ประเภทนี้คล้ายกับตัวหนอนที่ชอนไชไปยังเส้นทางต่าง ๆ จนทำให้เครือข่ายล่มหรือใช้งานไม่ได้ 

Trojan (โทรจัน)

มัลแวร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกเราว่ามันเป็นโปรแกรมทั่วไปที่ไม่มีพิษภัย แล้วให้ผู้ใช้หลงเชื่อและนำไปติดตั้ง หลังจากนั้นมันก็จะสามารถเข้าไปเล่นงานระบบของเราได้ง่าย ๆ 

Backdoor (แบ็กดอร์) 

เป็นมัลแวร์ชนิดที่มีความสามารถในการเปิดช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้ามาควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราได้ และสามารถทำอะไรก็ได้กับเครื่องของเรา เช่น สั่งลบหรือโอนย้ายข้อมูลของเราก็ได้ 

Spyware (สปายแวร์) 

มัลแวร์ชนิดนี้จะคอยแอบดูพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ของเรา เป้าหมายในการโจมตีของอาชญากรสามารถใช้ Spyware ในการบันทึกการกดแป้นพิมพ์ของผู้ใช้งาน ทำให้สามารถเข้าถึงรหัสผ่านหรือรวมถึงทรัพย์สินทางปัญญาอื่นๆ ได้ สปายแวร์เป็นโปรแกรมที่ทำการลบออกไปได้ง่าย เนื่องจากโปรแกรมเหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายเท่ากับมัลแวร์ประเภทอื่น

Ransomware (แรนซัมแวร์)

มัลแวร์ชนิดนี้จะทำการเข้ารหัสหรือล็อกไฟล์ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปิดไฟล์หรือคอมพิวเตอร์ได้ จากนั้นก็จะส่งข้อความเรียกค่าไถ่ เพื่อแลกกับการถอดรหัสเพื่อกู้ข้อมูลคืนมา

Adware (แอดแวร์) 

มัลแวร์ชนิดนี้จะพยายามเปิดเผยผู้ใช้ปลายทางที่ถูกโจมตีไปยังโฆษณาที่อาจเป็นอันตราย โปรแกรมแอดแวร์ทั่วไปอาจเปลี่ยนเส้นทางการค้นหาเบราว์เซอร์ของผู้ใช้งาน ไปยังหน้าเว็บที่มีลักษณะเหมือนการส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ซึ่งสร้างความรำคาญแก่ผู้ใช้งานทั่วไป

Malvertising (มัลเวอร์ไทซิ่ง) 

มัลเวอร์ไทซิ่ง คือการใช้โฆษณาหรือเครือข่ายโฆษณาที่ถูกกฎหมาย เพื่อส่งมัลแวร์ไปยังคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานที่ไม่มีความสงสัยใดๆ ตัวอย่างเช่น อาชญากรไซเบอร์อาจจ่ายเงินเพื่อวางโฆษณาบนเว็บไซต์ที่ถูกกฎหมาย เมื่อผู้ใช้คลิกที่โฆษณาโค้ดในโฆษณาจะเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้งานไปยังเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย หรือติดตั้งมัลแวร์ในคอมพิวเตอร์ ในบางกรณีมัลแวร์ที่ฝังอยู่ในโฆษณาอาจทำงานโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องดำเนินการใด ๆ จากผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นเทคนิคที่เรียกว่าถูกบังคับให้ดาวน์โหลด เป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์ที่ใช้มัลเวอร์ไทซิ่งในการโฆษณาคือการสร้างรายได้ที่แน่นอน มัลแวร์โฆษณาสามารถส่งมัลแวร์ทำเงินทุกชนิด รวมไปถึง มัลแวร์เรียกค่าไถ่ สคริปต์ การทำเหมืองข้อมูล หรือโทรจันจากธนาคาร

Hybrids and Exotic Forms (ลูกผสมและแบบรูปแบบที่แปลกใหม่)  

มัลแวร์ส่วนใหญ่เป็นการรวมกันของโปรแกรมที่เป็นอันตราย ซึ่งมักจะรวมถึงบางส่วนของโทรจันและเวิร์ม และบางครั้งก็เป็นไวรัส โดยปกติแล้วโปรแกรมมัลแวร์ จะปรากฏแก่ผู้ใช้ปลายทางว่าเป็นโทรจัน แต่เมื่อดำเนินการแล้วมันจะโจมตีผู้ที่ตกเป็นเหยื่อรายอื่นผ่านเครือข่าย เช่น เวิร์ม โปรแกรมมัลแวร์ในปัจจุบันหลายแห่ง ถือว่าเป็นรูทคิทหรือโปรแกรมที่ซ่อนตัว โดยพื้นฐานแล้วโปรแกรมมัลแวร์จะพยายามปรับเปลี่ยนการตั้งค่าต่างๆ ในระบบปฏิบัติการเพื่อควบคุมและซ่อนตัวจากโปรแกรมป้องกันมัลแวร์ 

Fileless Malware (มัลแวร์แบบไฟล์เลสส์) 

Fileless Malware จะแตกต่างจากมัลแวร์ระบบเดิมในเรื่องของการเดินทาง และการแพร่กระจายไปยังระบบใหม่ โดยใช้ระบบไฟล์มัลแวร์แบบไฟล์เลสส์ ซึ่งปัจจุบันประกอบด้วยมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของมัลแวร์ทั้งหมด และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เป็นมัลแวร์ที่ไม่ได้ใช้ไฟล์หรือระบบไฟล์โดยตรง แต่จะใช้ประโยชน์ และแพร่กระจายในหน่วยความจำเท่านั้น หรือใช้ผ่าน OS อื่นที่ไม่ใช่ไฟล์ เช่น รีจิสตรีคีย์ API หรือ งานที่กำหนดเวลาไว้ การโจมตีของไฟล์เลสส์จำนวนมาก เริ่มต้นด้วยการใช้ประโยชน์จากโปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย มักใช้เป็น  “กระบวนการย่อย (sub-process)” ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ หรือโดยการใช้เครื่องมือที่ถูกกฎหมายที่มีอยู่แล้ว ซึ่งมีอยู่ในระบบปฏิบัติการ ผลลัพธ์ที่ได้คือการโจมตีแบบไฟล์เลสส์นั้นยากที่จะตรวจจับและหยุดมันลง 

Phishing and Spear Phishing (ฟิชชิ่ง และสเปียร์ฟิชชิ่ง)

คืออาชญากรรมทางไซเบอร์ที่มีการติดต่อเป้าหมาย หรือหลอกล่อเป้าหมายทางอีเมล โทรศัพท์ หรือข้อความโดยบุคคลที่วางตัวเป็นสถาบันที่ถูกกฎหมาย เพื่อหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อให้ข้อมูลอย่างเช่น ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางธนาคาร ข้อมูลบัตรเครดิต รหัสผ่านเป็นต้น ในทางเทคนิคกล่าวได้ว่าฟิชชิ่งอาจไม่ใช่มัลแวร์ แต่เป็นวิธีการที่อาชญากรใช้กระจายมัลแวร์หลายประเภท บ่อยครั้งที่การโจมตีแบบฟิชชิ่งเป็นการล่อลวงให้ผู้ใช้งานคลิกเข้าไปที่ URL ที่ติดมัลแวร์ จากนั้นเว็บไซต์อันตรายดังกล่าวก็จะรวบรวมข้อมูลไอดี รหัสผ่านของเหยื่อ  

ส่วน Spear Phishing (สเปียร์ฟิชชิ่ง) คือการโจมตีที่กำหนดเป้าหมายบุคคล หรือกลุ่มบุคคล เช่น CFO ขององค์กรเพื่อเข้าถึงข้อมูลทางการเงิน แต่ฟิชชิ่งจะมุ่งไปที่กลุ่มคนจำนวนมาก

Bots and Botnets (บอทและบอทเน็ต)

บอทเป็นโปรแกรมที่อันตรายถูกออกแบบมาเพื่อแทรกซึมคอมพิวเตอร์และตอบสนองโดยอัตโนมัติ จะปฏิบัติตามคำสั่งกลางและเซิร์ฟเวอร์ควบคุม บอทสามารถทำสำเนาซ้ำของตัวเองได้ (Worm) หรือทำซ้ำผ่านการกระทำของผู้ใช้งาน (Virus, Trojan) เครือข่ายทั้งหมดที่ถูกบุกรุกเรียกว่าบอทเน็ต หนึ่งในการใช้งานทั่วไปของบอตเน็ตคือการโจมตีแบบกระจาย Denial of service (DDoS) เพื่อทำให้เครื่องหรือโดเมนทั้งหมดไม่พร้อมใช้งาน

Fake-Antivirus Malware (มัลแวร์แอนตี้ไวรัสปลอม) 

แอนตี้ไวรัสฟรีปลอมที่หลอกให้เราเชื่อว่าเครื่องเรากำลังติดไวรัสจำนวนมาก เพื่อให้เราเสียเงินเพื่อซื้อแอนตี้ไวรัสในเวอร์ชั่นเต็ม แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่โปรแกรมแอนตี้ไวรัสของจริง เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเป็น Fake-Antivirus หรือ Scareware วัตถุประสงค์คือหลอกให้ผู้ใช้งานเชื่อว่าเครื่องของตนเองติดไวรัส เพื่อหลอกให้คุณเสียเงิน

Rootkits (รูทคิต)

จะทำการปิดระบบกระบวนการที่แปลกปลอมเอาไว้ และมัลแวร์ประเภทนี้จะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยจุดประสงค์ของมัลแวร์ประเภทนี้คือการซ่อนโปรแกรมที่เป็นอันตรายที่กำลังทำงานอยู่ ทำให้เมื่อคุณติดมัลแวร์ประเภทนี้แล้ว คุณอาจไม่รู้เลยว่าในเครื่องของคุณกำลังมีไวรัส หากคุณไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสตราบจนเมื่อเครื่องของคุณมีปัญหา

มัลแวร์ตัวร้ายเป้าหมายคือโจมตีและขโมยข้อมูลของเรา

จะเห็นได้ว่าเจ้ามัลแวร์ตัวร้ายเหล่านี้มักจะถูกให้บริการในรูปแบบเช่า แก่อาชญากรไซเบอร์คนอื่น ๆ ที่ใช้มันเพื่อจุดประสงค์ที่ไม่ดีระหว่างที่เราใช้คอมพิวเตอร์ รวมถึงสมาร์ทโฟน หรือแท็บเลต เจ้าพวกมัลแวร์จะพยายามเจาะเข้ามาในเครื่องของเรา โดยอาจจะหลอกล่อให้เราเปิดไฟล์ที่ส่งมาทางอีเมล หลอกให้เราคลิกลิงก์แปลกปลอม หรืออาจจะเป็นการหลอกให้ติดตั้งโปรแกรมบางอย่าง ซึ่งถ้าหากเราไม่ระวังตัวเผลอกดตกลงเปิดไฟล์หรือติดตั้งโปรแกรมนั้น ๆ ลงไปในเครื่อง ก็เท่ากับเป็นการเปิดทางให้มัลแวร์บุกเข้ามาโจมตีเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา

เมื่อเหล่ามัลแวร์เข้ามาได้สำเร็จ มัลแวร์บางตัวอาจจะเข้ามาสอดส่องข้อมูลของเรา ก่อนที่มันจะส่งข้อมูลสำคัญของเรากลับไปยังเจ้านายของมัน ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นอาจมีตั้งแต่รหัสผ่านของเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เราใช้อยู่ หรือถ้ามากกว่านั้นอาจจะเป็นรหัสบัตรประชาชน บัญชีธนาคาร หรือรหัสบัตรเครดิตของเรา 

อาชญากรไซเบอร์สามารถนำข้อมูลของเราไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย เช่น อาจจะนำรหัสบัตรเครดิตของเราไปทำบัตรเครดิตปลอม แล้วนำไปจับจ่ายใช้สอยโดยที่เราไม่รู้ตัวจนกระทั่งกลายเป็นหนี้บัตรเครดิตไปแล้ว หรือเราอาจจะถูกสวมรอยแฮก Facebook เพื่อกลั่นแกล้ง เพื่อหลอกเอาเงินจากบรรดาเพื่อนเรา หรือเพื่อประโยชน์อื่น แล้วทำให้บัญชีของเราไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป  

จะทำอย่างไรเพื่อป้องกันมัลแวร์ตัวร้ายเหล่านี้

  • ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส และต่อต้านมัลแวร์ และควรอัพเดตโปรแกรมอยู่เสมอ เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่พยายามจะเข้ามาโจมตี 
  • อัพเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์อยู่เสมอ เนื่องจากการอัพเดทและปรับปรุงระบบปฏิบัติเหล่านี้มักจะมีการปรับปรุงระบบเพื่อการตรวจจับมัลแวร์เหล่านี้ 
  • ไม่ติดตั้งซอฟต์แวร์ หรือแอปพลิเคชั่นจากแหล่งที่ไม่รู้จัก หากต้องการติดตั้งควรดาวน์โหลดมาจากแหล่งที่มาที่รู้จักหรือเชื่อถือได้เท่านั้น
  • ไม่คลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์ในอีเมลที่น่าสงสัย หากไม่แน่ใจควรติดต่อกลับไปยังผู้ส่งอีเมลโดยตรงทางโทรศัพท์ หรือช่องทางอื่นที่ไม่ใช่การส่งอีเมลกลับไป
  • หมั่นสำรองข้อมูลอยู่เสมอ และเก็บข้อมูลสำรองเหล่านั้นไว้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือระบบเครือข่ายอื่น ๆ 

หากถูกมัลแวร์โจมตี ควรหาทนายมือดีไว้คอยช่วยดำเนินการ

การถูกโจมตีด้วยมัลแวร์สามารถกล่าวได้ว่าอันตราย หากข้อมูลที่ถูกโจมตีนั้นเป็นข้อมูลที่สำคัญ ดังนั้นเบื้องต้นจึงควรหมั่นอัพเดทระบบปฏิบัติการเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือระบบซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกมัลแวร์โจมตี แต่หากถูกโจมตีแล้วควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือหาทนายความที่เชี่ยวชาญในด้านอาชญากรรมทางไซเบอร์เพื่อดำเนินการ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ นอกจากจะเชี่ยวชาญในด้านกฎหมายประกันภัยแล้ว เรายังเชี่ยวชาญในด้านอาชญากรรมทางไซเบอร์อีกด้วย เรามีทีมกฎหมายที่เชี่ยวชาญในด้านการสืบหาข้อมูลที่มีประสบการณ์ ติดต่อเรา