แชร์ไม่คิด เสี่ยงผิดกฎหมาย! ระวัง “หมิ่นประมาท” บนแพลตฟอร์ม X (Twitter)

ในยุคที่โซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน หลายคนอาจเผลอกดแชร์ รีทวีต หรือคอมเมนต์โพสต์ต่าง ๆ โดยไม่คิดให้รอบคอบ โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม X (หรือที่หลายคนยังคุ้นเคยในชื่อเดิมว่า Twitter) ซึ่งถือเป็นพื้นที่เปิดที่ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ แต่รู้หรือไม่ว่า การกระทำเหล่านี้อาจเข้าข่ายความผิดฐาน หมิ่นประมาท โดยไม่รู้ตัว และอาจต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

แชร์โพสต์คนอื่น ก็เสี่ยง “หมิ่นประมาท” ได้เหมือนกัน

หลายคนเข้าใจผิดว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาทจะเกิดขึ้นเฉพาะคนที่เป็นผู้เขียนข้อความหรือผู้โพสต์ต้นฉบับเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่แชร์ รีทวีต หรือส่งต่อข้อความที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทผู้อื่น ก็สามารถถูกดำเนินคดีได้เช่นกัน

ในทางกฎหมาย หากเนื้อหาที่ถูกแชร์มีลักษณะเป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์โดยตรงหรือการรีโพสต์ ก็ถือเป็นการเผยแพร่ข้อความนั้นออกไปสู่สาธารณะ และสามารถเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ว่าด้วยความผิดฐานหมิ่นประมาท ได้ทันที

ยิ่งหากมีการแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม หรือแสดงท่าทีเห็นด้วยกับข้อความต้นฉบับ ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะถูกมองว่ามีเจตนาหมิ่นประมาทอย่างชัดเจน

แพลตฟอร์ม X กับปัญหาหมิ่นประมาทที่เกิดถี่ขึ้น

แพลตฟอร์ม X มีลักษณะเฉพาะที่เน้นการโพสต์ข้อความสั้น ๆ และการรีโพสต์ (Repost หรือ Retweet) จึงมักเกิดการกระจายของข้อมูลอย่างรวดเร็ว เมื่อมีใครสักคนโพสต์ข้อความกล่าวหาหรือใส่ความบุคคลอื่น และมีผู้รีโพสต์ออกไปอีกจำนวนมาก ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงยิ่งทวีคูณ

แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือ แม้คุณจะไม่ได้เป็นคนต้นเรื่อง หากคุณเป็นเพียง “ผู้ช่วยเผยแพร่” ก็สามารถถูกฟ้องได้ และอาจต้องรับผิดในฐานะ “ผู้ร่วมกระทำความผิด” ตามกฎหมายด้วยเช่นกัน

เสียหายแล้วต้องทำอย่างไร? ทนายแนะอย่ารอให้ขาดอายุความ

สำหรับผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการถูกหมิ่นประมาทบนแพลตฟอร์ม X ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์โดยตรง หรือการรีโพสต์โดยบุคคลอื่น ทนายอาร์มจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์แนะนำว่า อย่ารอช้าในการดำเนินคดี เพราะคดีหมิ่นประมาทมี “อายุความ” ที่จำกัด หากไม่ฟ้องภายในระยะเวลาที่กำหนด คุณอาจหมดสิทธิในการเรียกร้องความเป็นธรรมไปอย่างน่าเสียดาย

ในกรณีที่เป็นความผิดทางอาญา ผู้เสียหายต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่รู้ว่ามีการหมิ่นประมาทและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ส่วนกรณีที่ต้องการเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง จะมีอายุความยาวนานกว่า คือ 1 ปี นับแต่วันที่รู้เรื่องการหมิ่นประมาทและผู้กระทำผิดเช่นกัน

ดังนั้น หากคุณมั่นใจว่าตนเองได้รับความเสียหาย ควรรีบรวบรวมหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นภาพหน้าจอ โพสต์ ลิงก์ และวันเวลาให้ชัดเจน แล้วติดต่อทนายความเพื่อดำเนินการตามสิทธิที่พึงมีโดยเร็ว

หลักฐานคือหัวใจของคดีหมิ่นประมาท

ในยุคดิจิทัล หลักฐานที่สามารถนำมาใช้ในคดีหมิ่นประมาทได้มีหลายรูปแบบ ได้แก่

  • ภาพหน้าจอ (Screenshot) ของข้อความที่ถูกโพสต์หรือแชร์
  • ลิงก์โพสต์ต้นฉบับ และโพสต์รีแชร์
  • วัน เวลา ที่เกิดเหตุการณ์
  • พยานบุคคลที่เห็นโพสต์ หรือได้รับผลกระทบจากโพสต์นั้น
  • ข้อมูลบัญชีผู้ใช้ที่เผยแพร่ข้อความ (หากสามารถระบุได้)

ทนายอาร์มแนะนำว่า ควรเก็บหลักฐานทั้งหมดไว้โดยไม่ต้องแก้ไข เพื่อให้สามารถใช้ในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในชั้นศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แชร์อย่างมีสติ ดีกว่าต้องเสียเงินโดยไม่รู้ตัว

ในฐานะผู้ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทุกคน ควรตระหนักว่า “เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น” ย่อมต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย การแชร์โพสต์หรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้อื่น โดยไม่มีหลักฐานชัดเจน อาจนำมาซึ่งความเสียหายที่ยากจะย้อนกลับ และต้องรับผิดชอบทั้งในทางแพ่งและอาญากรณีคดีหมิ่นประมาทผ่านการรีโพสต์ที่ศาลตัดสินให้มีการชดใช้ค่าเสียหายหลายแสนบาท หรือแม้แต่ต้องโทษจำคุก (แม้จะรอลงอาญา) ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง จึงควรเรียนรู้จากกรณีตัวอย่างเหล่านี้

การหมิ่นประมาทผ่านแพลตฟอร์ม X เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง และอาจกระทบต่อชื่อเสียงและทรัพย์สินของผู้เสียหายได้อย่างรุนแรง ทุกการแชร์หรือรีโพสต์จึงควรทำด้วยความระมัดระวัง และหากคุณเป็นผู้ได้รับความเสียหาย อย่ารอให้ขาดอายุความ ติดต่อ ทนายอาร์ม เพื่อขอคำปรึกษาและดำเนินการตามสิทธิของคุณโดยเร็วที่สุด

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยโดนมิจฉาชีพหลอกเรื่องอะไรมากที่สุด

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง บทความนี้จะพามาเจาะลึกในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างที่ทุกท่านทราบกันดี แต่ในขณะเดียวกันภัยออนไลน์กลายเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และภัยออนไลน์มีอะไรบ้างส่งผลกระทบอย่างไรทวีความรุนแรงต่อผู้ใช้งานในประเทศไทยมากเพียงใด มิจฉาชีพในโลกออนไลน์มักจะหาวิธีใหม่ ๆ ในการล่อลวงและหลอกลวงผู้คนอย่างไร บทความนี้จากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพาคุณไปรู้จักกันว่าภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง และภัยออนไลน์ที่พบมากที่สุด รวมถึงเรื่องที่คนไทยมักจะถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมากที่สุดมีเรื่องอะไรบ้างมาติดตามกันได้ในบทความนี้จากเรา

ประเภทของภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง

1. ฟิชชิง (Phishing) : ฟิชชิงเป็นรูปแบบการหลอกลวงที่มิจฉาชีพจะส่งอีเมลหรือข้อความที่ดูเหมือนมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ อาทิ ธนาคาร, บริษัทบัตรเครดิต, หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิต เมื่อผู้ใช้กรอกข้อมูลเหล่านี้ มิจฉาชีพจะนำข้อมูลไปใช้ในการขโมยเงินหรือการทำธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตได้

2. แรนซัมแวร์ (Ransomware): แรนซัมแวร์เป็นมัลแวร์ที่มิจฉาชีพใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลของเหยื่อ ทำให้เหยื่อไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของตนได้ และมิจฉาชีพจะเรียกค่าไถ่เพื่อแลกกับการปลดล็อกข้อมูล โดยไม่รับประกันว่าเหยื่อจะได้รับกุญแจถอดรหัสแม้ว่าจะชำระเงินแล้วก็ตาม

3. สแปมและมัลแวร์ (Spam and Malware): สแปมคืออีเมลหรือข้อความที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งถูกส่งมาเป็นจำนวนมาก บางครั้งสแปมเหล่านี้อาจแฝงมัลแวร์ที่สามารถติดตั้งบนคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนของเหยื่อโดยไม่รู้ตัว เมื่อมัลแวร์ติดตั้งแล้ว อาจใช้เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงิน

4. การหลอกลวงทางการเงิน (Financial Fraud): มิจฉาชีพมักใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อหลอกลวงผู้คนให้โอนเงินหรือทำธุรกรรมที่ไม่ถูกต้อง เช่น การหลอกลวงทางโทรศัพท์ (Vishing) หรือการหลอกให้ลงทุนในโครงการที่ไม่มีอยู่จริง5. การขโมยข้อมูลส่วนตัว (Identity Theft): มิจฉาชีพสามารถใช้ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อ เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลทางการเงิน เพื่อแอบอ้างและทำธุรกรรมรวมไปถึงการสมัครสินเชื่อในชื่อของเหยื่อ ทำให้เหยื่อต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินและกฎหมายในเวลาต่อมา

มิจฉาชีพหลอกคนไทยเรื่องอะไรมากที่สุด

ในประเทศไทยมีหลายวิธีที่มิจฉาชีพออนไลน์ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อ และภัยออนไลน์มีอะไรบ้างคงทราบกันแล้ว แต่หนึ่งในเรื่องที่คนไทยโดนภัยออนไลน์หลอกมากที่สุดคือ การหลอกให้โอนเงินผ่านการแอบอ้างตัวตน ได้แก่

1. การหลอกลวงผ่านการแอบอ้างเป็นหน่วยงานราชการหรือบริษัทใหญ่ ๆ: มิจฉาชีพมักจะแอบอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการ เช่น กรมสรรพากร หรือเจ้าหน้าที่จากธนาคาร เพื่อล่อลวงให้เหยื่อเชื่อว่ามีปัญหาทางกฎหมายหรือทางการเงิน เช่น การเรียกร้องภาษีย้อนหลังหรือบอกว่ามีเงินโอนผิดบัญชี และขอให้เหยื่อโอนเงินเพื่อแก้ไขปัญหา

2. การหลอกให้ลงทุนในธุรกิจที่ไม่น่าเชื่อถือ: การลงทุนในธุรกิจหรือโครงการที่ดูเหมือนให้ผลตอบแทนสูงแต่ไม่มีความเป็นจริง หรือที่เรียกกันว่า “แชร์ลูกโซ่” เป็นวิธีการที่คนไทยจำนวนมากถูกหลอกลวง มิจฉาชีพจะนำเสนอโอกาสการลงทุนที่ดูน่าดึงดูด และใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับเหยื่อ เช่น การนำเสนอข้อมูลปลอมเกี่ยวกับผลกำไร หรือการสร้างความเร่งด่วนในการตัดสินใจ

3. การหลอกให้ซื้อสินค้าหรือบริการออนไลน์ที่ไม่มีอยู่จริง: การช้อปปิ้งออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในประเทศไทย แต่มิจฉาชีพก็ใช้ช่องทางนี้ในการหลอกลวงเช่นกัน หลายครั้งหลายคราวที่เหยื่อถูกหลอกให้ชำระเงินสำหรับสินค้าหรือบริการที่ไม่มีอยู่จริง หรือได้รับสินค้าที่ไม่ตรงกับที่โฆษณา

4. การหลอกลวงด้วยความรัก (Romance Scam): มิจฉาชีพสร้างโปรไฟล์ปลอมบนแอปพลิเคชันหาคู่หรือโซเชียลมีเดียต่าง ๆ  และสร้างความสัมพันธ์กับเหยื่อก่อนจะขอความช่วยเหลือทางการเงิน เช่น อ้างว่าต้องการเงินเพื่อเดินทางมาหาเหยื่อ หรือเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาฉุกเฉิน เป็นต้น

วิธีป้องกันและคำแนะนำเพื่อให้ปลอดภัยจากภัยออนไลน์

เพื่อป้องกันตัวเองจากภัยออนไลน์เหล่านี้หลังจากที่ทราบกันไปแล้วว่าภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยควรมีความระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

– ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ไม่น่าเชื่อถือ

– ไม่ตอบสนองต่ออีเมลหรือข้อความที่ดูน่าสงสัยหรือมาจากแหล่งที่ไม่รู้จัก

– ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นระยะๆ อยู่เสมอ

– ระมัดระวังในการลงทุน และตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้างหลายท่านคงจะทราบกันไปแล้วจากบทความข้างต้น และภัยออนไลน์เป็นเรื่องที่ทุกคนควรตระหนักถึงและมีการป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม เพราะไม่เพียงแต่จะสูญเสียทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและความปลอดภัยในชีวิตประจำวันด้วย บทความภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยโดนมิจฉาชีพหลอกเรื่องอะไรมากที่สุด เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเนื้อหาในบทความนี้จะสามารถเตือนภัยทุกท่านได้ และหากคุณตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ สิ่งสำคัญที่ควรทำคือการปรึกษาทนายความทันทีเพื่อหาหนทางแก้ไข เพราะทนายความสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้บริการในการรวบรวมหลักฐานที่จำเป็น และดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิของคุณ นอกจากนี้การปรึกษาทนายความยังช่วยให้คุณทราบถึงขั้นตอนในการเรียกร้องความเสียหายและฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับความยุติธรรมและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นในอนาคต หากต้องการปรึกษาทนายสามารถทักมาปรึกษาได้ที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์