จากเฟซบุ๊กปลิว 2 เดือน สู่การกู้คืนสำเร็จโดยสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

เมื่อโลกออนไลน์กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิต โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจใหญ่ที่ใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางหลักในการสื่อสารและเชื่อมต่อกับลูกค้า การสูญเสียบัญชีเฟซบุ๊กจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เช่นเดียวกับกรณีของ คุณจือ ผู้บริหารบริษัท สโตร์เมท จำกัด ธุรกิจค้าเหล็กอุตสาหกรรมอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย

จุดเริ่มต้นของปัญหาเฟซบุ๊กปลิว

หตุการณ์เริ่มต้นในเดือนสิงหาคม 2567 เวลาประมาณ 03.00 น. ในช่วงที่คุณจือกำลังนอนพักผ่อน แฮ็กเกอร์ได้เจาะเข้ามาผ่านอีเมลที่ผูกไว้กับบัญชีเฟซบุ๊ก หลังจากที่สามารถเข้าถึงอีเมลได้สำเร็จ แฮ็กเกอร์ได้เปลี่ยนรหัสผ่าน เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลที่สำคัญทุกอย่างที่เชื่อมโยงกับเฟซบุ๊ก

ในเช้าวันถัดมา คุณจือพบว่าไม่สามารถเข้าสู่ระบบเฟซบุ๊กตนเองได้ ความพยายามในการกู้รหัสผ่านด้วยวิธีเดิมล้มเหลว และเมื่อเข้าไปตรวจสอบอีเมลก็พบว่าทุกอย่างถูกเปลี่ยนแปลงหมดแล้ว คุณจือรู้ทันทีว่าเฟซบุ๊กถูกแฮ็กไปเรียบร้อย ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันมีเพื่อนของคุณจือที่ประสบปัญหาถูกแฮ็กเฟซบุ๊กเหมือนกัน ซึ่งสถานการณ์ของเพื่อนคนดังกล่าวถูกแก้ไขได้ด้วยการกู้คืนเฟซบุ๊กสำเร็จ คุณจือจึงให้เพื่อนลองช่วยกู้คืนเฟซบุ๊กของตัวเอง แต่ความพยายามนี้กลับไม่สำเร็จ จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ทำให้คุณจือรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่เฟซบุ๊กได้ถูกปลิวไปโดยจะไม่มีวันกลับมา

ตัดสินใจติดต่อผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกให้ทำใจ

หลังจากที่ความพยายามด้วยตัวเองไม่ประสบผลสำเร็จ คุณจือเริ่มมองหาผู้เชี่ยวชาญด้านการกู้เฟซบุ๊ก และติดต่อไปยังนักกู้มืออาชีพที่มีชื่อเสียงในวงการกว่า 3 คน ซึ่งมีประสบการณ์กู้คืนเฟซบุ๊กและหรือโซเชียลมีเดียให้กับอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างให้คำตอบเหมือนกันว่า “เฟซบุ๊กนี้ของคุณจือไม่สามารถกู้คืนได้แล้ว” พวกเขาให้เหตุผลว่า บัญชีถูกระงับถาวร และทุกช่องทางที่ใช้สำหรับการกู้คืนไม่สามารถดำเนินการได้อีกต่อไป คำแนะนำจากนักกู้คือให้สร้างบัญชีใหม่ และลืมบัญชีเดิมไป

ความสูญเสียที่มากกว่าสูญเสียบัญชีเฟซบุ๊ก

เฟซบุ๊กที่คุณจือใช้งานมานานกว่า 15 ปี ไม่ได้เป็นเพียงช่องทางสื่อสารทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่เก็บความทรงจำส่วนตัวของชีวิต ตั้งแต่เรื่องราวในวัยเด็กจนถึงปัจจุบัน รวมถึงเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ทั้งรูปภาพ วิดีโอ และข้อความที่มีค่า เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น คุณจือตัดสินใจสร้างเฟซบุ๊กใหม่ แม้ในใจยังคงรู้สึกเสียดายกับสิ่งที่สูญเสียไป การเริ่มต้นใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะกับการต้องละทิ้งเฟซบุ๊กเก่าที่เปรียบเสมือนบันทึกชีวิต

จากความหมดหวัง สู่การกู้คืนที่กลับมาได้จริง

หลังจากเกือบถอดใจ คุณจือได้พบกับบริการรับกู้เฟซบุ๊กของ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ที่มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและเทคนิคดิจิทัลโดยเฉพาะ ทีมงานได้พูดคุยและวิเคราะห์กรณีของคุณจืออย่างละเอียด พร้อมดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างรอบคอบ

สำนักงานฯ ของเราจึงเริ่มต้นจากการตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่ประวัติการใช้งาน การเปลี่ยนแปลงข้อมูล และการระงับบัญชี ทีมงานใช้เวลาในการรวบรวมหลักฐานและส่งคำร้องไปยังเฟซบุ๊กอย่างเป็นระบบ แม้จะต้องใช้เวลานานถึง 2 เดือน แต่สุดท้ายบัญชีเฟซบุ๊กที่เคยถูกระงับก็กลับคืนมาในมือคุณจืออีกครั้ง

ความสำเร็จที่มาจากความมืออาชีพของเรา

การที่เฟซบุ๊กเก่าของคุณจือกลับมาไม่เพียงแต่ทำให้คุณจือดีใจ แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถของทีมงานสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ที่สามารถจัดการกับปัญหาที่ยากและซับซ้อนได้สำเร็จ เฟซบุ๊กเก่าที่เต็มไปด้วยความทรงจำและข้อมูลสำคัญได้กลับคืนมา คุณจือสามารถกลับไปใช้งานบัญชีเดิมได้เหมือนเดิมอีกครั้ง ทั้งในส่วนของธุรกิจและชีวิตส่วนตัว

การถูกแฮ็กเฟซบุ๊กอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่มีทางแก้ไข แต่บริการรับกู้เฟซบุ๊กของ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นคำตอบสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าปัญหาจะยากเพียงใด ทีมงานของเราพร้อมดำเนินการด้วยความเชี่ยวชาญและความรอบคอบ

หากคุณหรือคนใกล้ตัวเผชิญกับปัญหาการถูกแฮ็กเฟซบุ๊ก อย่าเพิ่งหมดหวัง ติดต่อ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ แล้วเราจะช่วยกู้คืนเฟซบุ๊กของคุณให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เช่นเดียวกับกรณีของคุณจือนี้

ถูกมิจฉาชีพแฮ็กเฟซบุ๊กไม่ต้องกังวล ! สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ บริการรับกู้คืนเฟซบุ๊กจากมิจฉาชีพ

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน ข้อมูลส่วนตัวและบัญชีโซเชียลต่าง ๆ จึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพ เฟซบุ๊กซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก มักตกเป็นเหยื่อของการแฮ็กข้อมูล การสูญเสียบัญชีเฟซบุ๊กนั้นไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อยสำหรับผู้ใช้งาน เนื่องจากมักจะมีข้อมูลสำคัญและการติดต่อกับบุคคลต่าง ๆ ที่อาจเกิดความเสียหายได้

เมื่อบัญชีเฟซบุ๊กถูกแฮ็ก ไม่ว่าจะโดยมิจฉาชีพที่หวังผลประโยชน์จากการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว การนำบัญชีไปใช้ในทางที่ผิด หรือแม้กระทั่งการข่มขู่เรียกค่าไถ่ การกู้คืนบัญชีเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะทาง หากผู้ใช้งานเฟซบุ๊กไม่ทราบวิธีการแก้ไขด้วยตนเอง หรือพบว่าขั้นตอนการกู้คืนบัญชีที่เฟซบุ๊กเสนอไว้นั้นไม่ประสบผลสำเร็จ การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายจึงเป็นทางเลือกที่ดี

ให้เราเป็นผู้ช่วยมืออาชีพในการกู้เฟซบุ๊กคืนจากการถูกแฮ็ก

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ มีความเชี่ยวชาญในด้านกฎหมายและความปลอดภัยทางไซเบอร์ นอกจากให้บริการลูกค้าในเรื่องของกฎหมายทั่วไปแล้ว เรายังมีบริการกู้คืนเฟซบุ๊กกรณีถูกมิจฉาชีพแฮ็กโดยเฉพาะ ซึ่งบริการนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้เสียหายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

บริการกู้คืนเฟซบุ๊กของของเรา
1. การตรวจสอบและวิเคราะห์การถูกแฮ็ก

ทีมงานของเราจะตรวจสอบรายละเอียดของการแฮ็กบัญชีเฟซบุ๊ก วิเคราะห์ว่าแฮ็กเกอร์ใช้วิธีใดในการเข้าถึงบัญชี เพื่อวางแผนการกู้คืนบัญชีอย่างมีประสิทธิภาพ

2. การติดต่อกับเฟซบุ๊กโดยตรง

เรามีความรู้และประสบการณ์ในการติดต่อกับฝ่ายสนับสนุนของเฟซบุ๊กในกรณีที่ซับซ้อนเกินกว่าผู้ใช้งานทั่วไปจะจัดการได้ เราดำเนินการตามขั้นตอนของเฟซบุ๊กเพื่อกู้คืนบัญชีให้กลับมาใช้งานได้โดยเร็วที่สุด

3. การฟื้นฟูความปลอดภัยของบัญชี

เมื่อกู้คืนบัญชีเฟซบุ๊กได้แล้ว ทางเราจะดำเนินการให้บัญชีของคุณมีความปลอดภัยมากขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงรหัสผ่าน การเปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองชั้น (Two-Factor Authentication) และการตรวจสอบความปลอดภัยอื่น ๆ เพื่อป้องกันการถูกแฮ็กซ้ำในอนาคต

4. การดำเนินคดีในกรณีที่มิจฉาชีพสร้างความเสียหาย

 หากการแฮ็กบัญชีเฟซบุ๊กนำไปสู่ความเสียหายทั้งในด้านชื่อเสียง การข่มขู่ หรือการใช้ข้อมูลส่วนตัวในทางที่ผิด เราพร้อมให้บริการในกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อติดตามและฟ้องร้องผู้กระทำผิดตามกฎหมายไซเบอร์และกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้อง

ทำไมควรเลือกใช้บริการกู้คืนเฟซบุ๊กจากเรา ?


การกู้คืนบัญชีเฟซบุ๊กไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมิจฉาชีพในปัจจุบันมีการใช้เทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้น หากไม่มีความรู้ทางเทคนิคเฉพาะหรือไม่มีทีมงานที่มีประสบการณ์ การกู้คืนบัญชีอาจเป็นเรื่องยากและใช้เวลานาน นอกจากนี้ บางกรณีอาจต้องดำเนินการทางกฎหมายเพื่อติดตามตัวผู้กระทำผิดและขอคืนข้อมูลส่วนตัว

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในด้านกฎหมายและความปลอดภัยทางไซเบอร์ เราไม่เพียงแต่ช่วยกู้คืนบัญชีเฟซบุ๊กของคุณ แต่ยังให้คำแนะนำในการป้องกันและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวในอนาคต เพื่อให้คุณสามารถใช้งานโซเชียลมีเดียได้อย่างมั่นใจ

ข้อแนะนำในการป้องกันการถูกแฮ็ก
แม้ว่าการถูกแฮ็กจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่การป้องกันตั้งแต่ต้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยง สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ขอแนะนำวิธีป้องกันการแฮ็กเฟซบุ๊ก ดังนี้
1. เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA)

วิธีนี้จะเพิ่มความปลอดภัยของบัญชีโดยเมื่อมีการเข้าสู่ระบบจากอุปกรณ์ใหม่ จะต้องมีการยืนยันตัวตนด้วยรหัสพิเศษที่ส่งไปยังโทรศัพท์มือถือหรืออีเมล

2. ไม่คลิกลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือ

   การหลอกลวงทางไซเบอร์หรือฟิชชิ่งมักใช้ลิงก์ที่ดูเหมือนน่าเชื่อถือ แต่เมื่อคลิกเข้าไปกลับเป็นการเปิดโอกาสให้มิจฉาชีพเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว

3. ตั้งรหัสผ่านที่ซับซ้อน

   ควรตั้งรหัสผ่านที่ประกอบด้วยตัวอักษรพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ ตัวเลข และสัญลักษณ์ เพื่อป้องกันการถูกแฮ็กด้วยวิธีการเดารหัสผ่าน

ถูกแฮ็กเฟซบุ๊ก อย่า ! รอจนสายไป ให้เรากู้คืนบัญชีให้อย่างปลอดภัยทำได้จริง


การถูกแฮ็กบัญชีเฟซบุ๊กเป็นเรื่องที่สร้างความเสียหายและความไม่สบายใจให้กับผู้ใช้งาน แต่หากคุณประสบปัญหานี้ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์พร้อมที่จะให้บริการคุณในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การกู้คืนบัญชีไปจนถึงการดำเนินคดีทางกฎหมายหากเกิดความเสียหาย สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มีความชำนาญในด้านกฎหมายและความปลอดภัยทางไซเบอร์ พร้อมให้บริการเพื่อความปลอดภัยและความมั่นใจของคุณ

ติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เพื่อรับคำปรึกษาและบริการกู้คืนเฟซบุ๊กคืนจากมิจฉาชีพ 

เพื่อความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ อย่าลังเลที่จะขอคำแนะนำจากทนายความผู้เชี่ยวชาญของเรา!

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยโดนมิจฉาชีพหลอกเรื่องอะไรมากที่สุด

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง บทความนี้จะพามาเจาะลึกในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างที่ทุกท่านทราบกันดี แต่ในขณะเดียวกันภัยออนไลน์กลายเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และภัยออนไลน์มีอะไรบ้างส่งผลกระทบอย่างไรทวีความรุนแรงต่อผู้ใช้งานในประเทศไทยมากเพียงใด มิจฉาชีพในโลกออนไลน์มักจะหาวิธีใหม่ ๆ ในการล่อลวงและหลอกลวงผู้คนอย่างไร บทความนี้จากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพาคุณไปรู้จักกันว่าภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง และภัยออนไลน์ที่พบมากที่สุด รวมถึงเรื่องที่คนไทยมักจะถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมากที่สุดมีเรื่องอะไรบ้างมาติดตามกันได้ในบทความนี้จากเรา

ประเภทของภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง

1. ฟิชชิง (Phishing) : ฟิชชิงเป็นรูปแบบการหลอกลวงที่มิจฉาชีพจะส่งอีเมลหรือข้อความที่ดูเหมือนมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ อาทิ ธนาคาร, บริษัทบัตรเครดิต, หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิต เมื่อผู้ใช้กรอกข้อมูลเหล่านี้ มิจฉาชีพจะนำข้อมูลไปใช้ในการขโมยเงินหรือการทำธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตได้

2. แรนซัมแวร์ (Ransomware): แรนซัมแวร์เป็นมัลแวร์ที่มิจฉาชีพใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลของเหยื่อ ทำให้เหยื่อไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของตนได้ และมิจฉาชีพจะเรียกค่าไถ่เพื่อแลกกับการปลดล็อกข้อมูล โดยไม่รับประกันว่าเหยื่อจะได้รับกุญแจถอดรหัสแม้ว่าจะชำระเงินแล้วก็ตาม

3. สแปมและมัลแวร์ (Spam and Malware): สแปมคืออีเมลหรือข้อความที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งถูกส่งมาเป็นจำนวนมาก บางครั้งสแปมเหล่านี้อาจแฝงมัลแวร์ที่สามารถติดตั้งบนคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนของเหยื่อโดยไม่รู้ตัว เมื่อมัลแวร์ติดตั้งแล้ว อาจใช้เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงิน

4. การหลอกลวงทางการเงิน (Financial Fraud): มิจฉาชีพมักใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อหลอกลวงผู้คนให้โอนเงินหรือทำธุรกรรมที่ไม่ถูกต้อง เช่น การหลอกลวงทางโทรศัพท์ (Vishing) หรือการหลอกให้ลงทุนในโครงการที่ไม่มีอยู่จริง5. การขโมยข้อมูลส่วนตัว (Identity Theft): มิจฉาชีพสามารถใช้ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อ เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลทางการเงิน เพื่อแอบอ้างและทำธุรกรรมรวมไปถึงการสมัครสินเชื่อในชื่อของเหยื่อ ทำให้เหยื่อต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินและกฎหมายในเวลาต่อมา

มิจฉาชีพหลอกคนไทยเรื่องอะไรมากที่สุด

ในประเทศไทยมีหลายวิธีที่มิจฉาชีพออนไลน์ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อ และภัยออนไลน์มีอะไรบ้างคงทราบกันแล้ว แต่หนึ่งในเรื่องที่คนไทยโดนภัยออนไลน์หลอกมากที่สุดคือ การหลอกให้โอนเงินผ่านการแอบอ้างตัวตน ได้แก่

1. การหลอกลวงผ่านการแอบอ้างเป็นหน่วยงานราชการหรือบริษัทใหญ่ ๆ: มิจฉาชีพมักจะแอบอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการ เช่น กรมสรรพากร หรือเจ้าหน้าที่จากธนาคาร เพื่อล่อลวงให้เหยื่อเชื่อว่ามีปัญหาทางกฎหมายหรือทางการเงิน เช่น การเรียกร้องภาษีย้อนหลังหรือบอกว่ามีเงินโอนผิดบัญชี และขอให้เหยื่อโอนเงินเพื่อแก้ไขปัญหา

2. การหลอกให้ลงทุนในธุรกิจที่ไม่น่าเชื่อถือ: การลงทุนในธุรกิจหรือโครงการที่ดูเหมือนให้ผลตอบแทนสูงแต่ไม่มีความเป็นจริง หรือที่เรียกกันว่า “แชร์ลูกโซ่” เป็นวิธีการที่คนไทยจำนวนมากถูกหลอกลวง มิจฉาชีพจะนำเสนอโอกาสการลงทุนที่ดูน่าดึงดูด และใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับเหยื่อ เช่น การนำเสนอข้อมูลปลอมเกี่ยวกับผลกำไร หรือการสร้างความเร่งด่วนในการตัดสินใจ

3. การหลอกให้ซื้อสินค้าหรือบริการออนไลน์ที่ไม่มีอยู่จริง: การช้อปปิ้งออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในประเทศไทย แต่มิจฉาชีพก็ใช้ช่องทางนี้ในการหลอกลวงเช่นกัน หลายครั้งหลายคราวที่เหยื่อถูกหลอกให้ชำระเงินสำหรับสินค้าหรือบริการที่ไม่มีอยู่จริง หรือได้รับสินค้าที่ไม่ตรงกับที่โฆษณา

4. การหลอกลวงด้วยความรัก (Romance Scam): มิจฉาชีพสร้างโปรไฟล์ปลอมบนแอปพลิเคชันหาคู่หรือโซเชียลมีเดียต่าง ๆ  และสร้างความสัมพันธ์กับเหยื่อก่อนจะขอความช่วยเหลือทางการเงิน เช่น อ้างว่าต้องการเงินเพื่อเดินทางมาหาเหยื่อ หรือเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาฉุกเฉิน เป็นต้น

วิธีป้องกันและคำแนะนำเพื่อให้ปลอดภัยจากภัยออนไลน์

เพื่อป้องกันตัวเองจากภัยออนไลน์เหล่านี้หลังจากที่ทราบกันไปแล้วว่าภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยควรมีความระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

– ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ไม่น่าเชื่อถือ

– ไม่ตอบสนองต่ออีเมลหรือข้อความที่ดูน่าสงสัยหรือมาจากแหล่งที่ไม่รู้จัก

– ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นระยะๆ อยู่เสมอ

– ระมัดระวังในการลงทุน และตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้างหลายท่านคงจะทราบกันไปแล้วจากบทความข้างต้น และภัยออนไลน์เป็นเรื่องที่ทุกคนควรตระหนักถึงและมีการป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม เพราะไม่เพียงแต่จะสูญเสียทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและความปลอดภัยในชีวิตประจำวันด้วย บทความภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยโดนมิจฉาชีพหลอกเรื่องอะไรมากที่สุด เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเนื้อหาในบทความนี้จะสามารถเตือนภัยทุกท่านได้ และหากคุณตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ สิ่งสำคัญที่ควรทำคือการปรึกษาทนายความทันทีเพื่อหาหนทางแก้ไข เพราะทนายความสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้บริการในการรวบรวมหลักฐานที่จำเป็น และดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิของคุณ นอกจากนี้การปรึกษาทนายความยังช่วยให้คุณทราบถึงขั้นตอนในการเรียกร้องความเสียหายและฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับความยุติธรรมและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นในอนาคต หากต้องการปรึกษาทนายสามารถทักมาปรึกษาได้ที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

หากถูกโจมตีทางไซเบอร์แบบ DDoS ปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมออนไลน์

Cover หากถูกโจมตีทางไซเบอร์

ในโลกของยุค 4G ที่เทคโนโลยีได้ถูกพัฒนาไปในอีกระดับเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายให้แก่ผู้คน แน่นอนว่าความเจริญทางเทคโนโลยีย่อมมาพร้อมกับความอันตรายทางด้านข้อมูลที่อาจถูกโจมตีได้ทุกเมื่อ ยิ่งในระดับองค์กรใหญ่ที่มีฐานข้อมูลอยู่เป็นจำนวนมาก ยิ่งตกเป็นเป้าหมาย การโจมตีทางไซเบอร์ แบบ DDoS และแบบ DoS ของเหล่าแฮกเกอร์ที่จ้องจะโจมตีระบบให้ล่มจนไม่สามารถใช้งานได้ เป้าหมายเพื่อเรียกเงินค่าไถ่ เพราะยิ่งถ้าล่มนานเท่าไหร่ ความเสียหายก็ยิ่งเกิดขึ้นมากไปด้วย ดังนั้นจึงควรเตรียมแผนรับมือการโจมตีทางไซเบอร์จากเหล่าแฮกเกอร์ไว้ให้ดีอย่างน้อยก็สามารถป้องกันความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง

การโจมตีทางไซเบอร์ 1

การโจมตีแบบ DDoS คืออะไร

การโจมตีแบบ DDoS (Distributed Denial of Service) คือการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ระบบเครือข่ายหรือบริการออนไลน์ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ การโจมตีนี้จะทำโดยการส่งคำขอจำนวนมากจากหลาย ๆ แหล่ง (มักจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกควบคุมโดยมัลแวร์หรือบอทเน็ต) ไปยังเซิร์ฟเวอร์หรือบริการเป้าหมายพร้อม ๆ กัน ซึ่งจะทำให้ระบบเครือข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์รับภาระมากเกินไป จนไม่สามารถตอบสนองคำขอที่ถูกต้องจากผู้ใช้จริงได้

การโจมตีแบบ DDoS มีความพิเศษแตกต่างจากการโจมตีด้านไซเบอร์รูปแบบอื่น ๆ ตรงที่มันไม่ได้พยายามละเมิดความปลอดภัยของเซิร์ฟเวอร์ หรือหาทางเจาะช่องโหว่แต่อย่างใด แต่เป้าหมายของ DDoS ต้องการทำให้เว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถให้บริการได้ตามปกติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ที่เข้าใช้งานโดยตรง อย่างไรก็ตามบางครั้ง DDoS ยังถูกใช้ในการโจมตีเพื่ออำพรางเป้าหมายอื่นที่มุ่งร้ายต่อความปลอดภัยของเซิร์ฟเวอร์ 

นอกจากนี้แล้วการโจมตีแบบ DDoS ยังสามารถโจมตีเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ หรือกระหน่ำยิงซ้ำอย่างต่อเนื่องได้อีกด้วย แต่ไม่ว่าจะทางไหนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์หรือเซิร์ฟเวอร์ ที่กว่าจะสามารถกู้ระบบกลับมาได้อาจจะใช้เวลานานหลายชั่วโมงจนถึงเป็นวัน บางทีอาจใช้เวลาเป็นเดือน ซึ่งส่งผลเสียต่อเจ้าของเว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรายได้, ความเชื่อใจที่ลูกค้ามีให้ และทำให้เจ้าของธุรกิจต้องลงทุนเพิ่มเพื่อกอบกู้ชื่อเสียง ความไว้วางใจกลับมา 

การโจมตีทางไซเบอร์ 2

การโจมตีแบบ DDoS และ DoS แตกต่างกันอย่างไร ?

การโจมตีแบบ DoS เป็นการโจมตีเซิร์ฟเวอร์ด้วยการส่งคำขอเข้าไปเป็นจำนวนมากจากคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว เพื่อให้การจราจรของเว็บไซต์หนาแน่นจนติดขัดไม่สามารถตอบสนองได้ ส่วนการโจมตีแบบ DDoS ลักษณะเหมือนกับการโจมตีแบบ DoS เพียงแต่ใช้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์จำนวนมากส่งคำขอทีละมาก ๆ เข้าไปยังเซิร์ฟเวอร์เพื่อขัดขวางการให้บริการ เมื่อเซิร์ฟเวอร์ได้รับแพ็คเกจเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่เซิร์ฟเวอร์จะสามารถประมวลผลได้ไหว ก็จะทำให้ระบบล่มและหยุดทำงานไปในที่สุด ความจริงแล้วหลักการโจมตีของ DoS และ DDoS นั้นเหมือนกันเพียงแค่การโจมตีแบบ DoS จะเหมือนการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ส่วนการโจมตีแบบ DDoS จะเป็นการต่อสู้แบบทีละมากๆ อย่างไรก็ตามการโจมตีทั้ง 2 แบบมีความแตกต่างกันในลักษณะของการทำงาน ดังนี้ 

  • การตรวจจับ/รับมือ

เนื่องจากการโจมตีแบบ DoS มีแหล่งที่มาของการโจมตีเพียงแห่งเดียว มันจึงง่ายต่อการตรวจจับค้นหาช่องทางที่ผู้โจมตีใช้เชื่อมต่อเข้ามายังเซิร์ฟเวอร์ได้ง่าย ๆ ในความเป็นจริงใช้แค่ Firewall คุณภาพสูงก็แทบจะป้องกันได้แล้ว ในขณะที่การโจมตีแบบ DDoS เป็นการโจมตีเข้ามาจากอุปกรณ์จำนวนมากที่ต่างสถานที่กัน ทำให้ยากที่จะหาต้นตอการโจมตีได้ยากกว่ามาก 

  • ความเร็วในการโจมตี

เนื่องจากการโจมตีแบบ DDoS เป็นการโจมตีจากหลายแห่งพร้อม ๆ กัน มันจึงสามารถระดมยิงได้เร็วกว่า การโจมตีแบบ DoS หลายเท่า เรียกได้ว่าเร็วจนระบบตรวจจับทำงานไม่ทัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าจะมีความเสียหายเกิดขึ้นมากกว่าด้วย 

  • ปริมาณการจราจร

การโจมตีแบบ DoS ใช้อุปกรณ์จำนวนมากในการโจมตีจากระยะไกล ทำให้สร้างจำนวนข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแห่งส่งเข้าไปปั่นป่วนการจราจรของเว็บไซต์ให้โอเวอร์โหลดอย่างรวดเร็ว และยากต่อการตรวจสอบ 

  • วิธีโจมตี

การโจมตีแบบ DDoS จะประสานพลังจากอุปกรณ์ที่มีมัลแวร์ชนิดบอทเน็ต ที่แฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมาก รอรับคำสั่งจากเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ ในขณะที่การโจมตีแบบ DoS ก็มักจะใช้แค่เครื่องมือหรือสคริปต์เพื่อเริ่มโจมตีจากอุปกรณ์เครื่องเดียว 

  • ตามล่าต้นทางที่โจมตี

การโจมตีแบบ DDoS ใช้มัลแวร์ชนิดบอทเน็ตในการโจมตี ทำให้ยากต่อการตามล่าหาตัวการแฮกเกอร์ได้ยากกว่าการตามหาแหล่งที่มาของการโจมตีแบบ DoS มาก

การโจมตีทางไซเบอร์ 3

การโจมตีแบบ DDoS มีกี่ประเภท

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าการโจมตีแบบ DDoS เป้าหมายคือการทำให้เว็บไซต์หรือเซิร์ฟเวอร์ของเป้าหมายล่มจนไม่สามารถใช้งานได้ หรืออาจอำพรางการโจมตีรูปแบบอื่น ซึ่งตามปกติแล้ว DDoS Attack จะมีการโจมตีอยู่ 3 รูปแบบ คือ

  • การโจมตีชั่นแอปพลิเคชั่น

การโจมตีชั้นแอปพลิเคชั่นนั้นเป็นรูปแบบการโจมตี DDoS ที่ง่ายที่สุด วิธีการคือสร้างคำขอเซิร์ฟเวอร์ธรรมดามาก ๆ เรียกได้ว่าคอมพิวเตอร์หรือเครื่องที่มีบอทเน็ตจะแย่งกันเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์หรือเว็บไซต์เหมือนกับที่ผู้ใช้ปกติทำ แต่การโจมตีแบบ DDoS จะมีความรุนแรงกว่า เพราะปริมาณคำขอนั้นมีมากเกินกว่าที่เซิร์ฟเวอร์จะรองรับไหว จึงทำให้เว็บไซต์เกิดการล่มนั่นเอง

  • การโจมตีโปรโตคอล

การโจมตีแบบโปรโตคอลนั้นจะอาศัยหาผลประโยชน์จากวิธีการที่เซิร์ฟเวอร์ประมวลข้อมูล เพื่อทำให้เป้าหมายทำงานหนักเกินไป ในการโจมตีแบบโปรโตคอลบางรูปแบบบอทเน็ตจะส่งแพ็คเกจข้อมูลให้เซิร์ฟเวอร์รวบรวม จากนั้นเซิร์ฟเวอร์ก็จะรอเพื่อรับข้อมูลยันยันจากที่อยู่ IP ที่มาซึ่งไม่มีวันได้รับ แต่โปรโตคอลจะยังได้รับข้อมูลที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ล้มเหลว ในรูปแบบอื่นๆ มักจะส่งข้อมูลที่ไม่สามารถเก็บรวบรวมได้ ซึ่งทำให้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์ทำงานหนักเกินไป

  • การโจมตีด้วยขนาด

การโจมตีด้วยขนาดนั้นคล้ายกับการโจมตีแบบแอปพลิเคชั่น ต่างกันเล็กน้อยตรงที่การโจมตีในรูปแบบ DDoS แบบนี้ แบนด์วิชท์ที่ใช้งานได้ทั้งหมดของเซิร์ฟเวอร์จะถูกกัดกินโดยคำขอบอทเน็ตที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น บางครั้งบอทเน็ตสามารถหลอกเซิร์ฟเวอร์ให้ส่งข้อมูลจำนวนมากให้กับตัวเอง ซึ่งหมายความว่าเซิร์ฟเวอร์ต้องประมวลผลรับ รวบรวม ส่งและรับข้อมูลอีกครั้ง

การโจมตีทางไซเบอร์ 4

ใครมีความเสี่ยงจะถูกโจมตีด้วย DDoS มากที่สุด

โดยปกติแล้ว DDoS จะไม่พุ่งเป้ามาที่บุคคลทั่วไป แต่มีเป้าหมายไปที่องค์กรขนาดใหญ่เป็นเป้าหมายหลัก เพราะองค์กรขนาดใหญ่สามารถจ่ายเงินจำนวนมากได้ เพื่อแลกกับการถูกโจมตีจนเว็บล่ม แต่องค์กรขนาดเล็กก็มีโอกาสได้รับความเสียหายแบบนี้ได้เช่นกัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพร้อมรับมือสำหรับองค์กรที่มีเว็บไซต์ออนไลน์ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่อาจถูกโจมตี เราไม่สามารถป้องกันการโจมตีจาก DDoS ที่โจมตีมายังเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราสามารถเตรียมรับมือก่อนที่จะรับมือกับการโหลดข้อมูลนั้นได้ โดยมีวิธีการป้องกันเบื้องต้นได้ดังนี้ คือ  

  • ตรวจพบก่อนโดยการตรวจสอบการเข้าชม

ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่าแบบไหนเรียกว่าเข้าชมแบบปกติ เข้ามาจำนวนน้อยหรือมาก เพื่อคาดการณ์ได้ว่าเมื่อไหร่ที่การเข้าชมนั้นเกินขีดจำกัด เราสามารถเพิ่มอัตราจำกัดขึ้นให้เท่ากับขีดจำกัดในระดับนั้นได้ นั่นแปลว่าเซิร์ฟเวอร์ของคุณจะสามารถรับคำขอให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะรับได้เท่านั้น การเตรียมความพร้อมในเรื่องของการคาดาการณ์แนวโน้มของผู้เข้าชมเว็บของคุณจะช่วยให้จัดการปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นควรเตรียมพร้อมสำหรับช่วงแคมเปญการตลาดที่อาจมีผู้เข้าชมจำนวนมาก หากไม่เตรียมพร้อมรับมืออาจส่งผลให้ระบบเว็บล่ม และการที่เว็บล่มเป็นเวลานานอาจส่งผลเสียหายต่อองค์กรอีกด้วย

  • หาแบนด์วิดท์เพิ่ม

เมื่อคุณสามารถคาดการณ์แนวโน้มของผู้เข้าชมได้แล้ว สิ่งต่อมาที่ควรต้องทำคือการหาแบนด์วิดท์เพิ่มเพื่อเพิ่มพื้นที่เซิร์ฟเวอร์ให้มากกว่าที่คุณต้องการใช้เรียกว่า “การกันพื้นที่” สิ่งนี้จะช่วยซื้อเวลาได้กรณีหากถูกโจมตี DDoS เกิดขึ้นเว็บไซต์ของคุณจะไม่ล่มในทันที

  • ใช้ระบบเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาลที่กระจายตัวอยู่ทั่วภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก

เป้าหมายของการโจมตี DDoS คือการทำให้เซิร์ฟเวอร์โฮสติ้งของคุณทำงานหนักจนล่ม ดังนั้นวิธีแก้คือคุณต้องเก็บข้อมูลของคุณไว้บนเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ ทั่วโลก นั่นคือสิ่งที่ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ของเครื่องเซิร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาลทำได้ ยิ่งคุณมีการกระจายข้อมูลไปในแต่ละเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์เท่ากับช่องโหว่ในการถูกโจมตีจะน้อยลง หากเซิร์ฟเวอร์ที่คุณใช้ทำงานหนักเกินไปก็สามารถเปลี่ยนไปใช้เซิร์ฟเวอร์อื่นแทนได้

การโจมตีทางไซเบอร์ 5

หากต้องตกเป็นเหยื่อการโจมตี DDoS ควรทำอย่างไร  

ในปัจจุบันนี้การโจมตีทางเครือข่ายมีจำนวนมากขึ้น และการโจมตีแบบ DDoS นับวันจะมีความซับซ้อนและทรงพลังมากยิ่งขึ้น การที่เราจะแก้ไขการโจมตีนี้ด้วยตนเองนั้นบางทีดูจะเป็นเรื่องยากเกินไป ดังนั้นการป้องกันการโจมตีตั้งแต่แรกจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ สิ่งที่ควรทำหากถูกโจมตีทำได้ดังนี้

  • หามาตรการป้องกันอย่างรวดเร็ว

หากคุณสามารถรู้ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณนั้นเป็นอย่างไร คุณสามารถคาดการณ์ได้ว่าคุณกำลังตกเป็นเป้าการโจมตี DDoS อยู่หรือไม่ เมื่อคุณสังเกตเห็นความผิดปกติจากคำขอการเข้าชมในปริมาณมากจากแหล่งที่มาที่น่าสงสัย ให้รีบดำเนินการตั้งอัตราขีดจำกัดและรีบล้างบันทึกเซิร์ฟเวอร์เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่าง

  • ติดต่อผู้ให้บริการโฮสติ้ง

ผู้ให้บริการโฮสติ้งของคุณอาจสร้างหลุมดำเพื่อจัดการปริมาณคำขอเข้าเว็บไซต์ของคุณ จนกว่าการโจมตีนั้นจะลดลง เพื่อป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ของลูกค้าที่ผู้ให้บริการโอสติ้งดูแลอยู่นั้นเกิดการล่มไปด้วย ซึ่งผู้บริการโฮสติ้งอาจทำการเปลี่ยนเส้นทางการเข้าชมโดยผ่านตัวกรองเพื่อคัดแยกคำขอที่ผิดปกติ ส่วนคำขอที่ปกติจะสามารถผ่านเข้าไปได้

  • โทรติดต่อผู้เชี่ยวชาญ

หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์ถูกโจมตี DDoS แบบเป็นจำนวนมาก หรือไม่สามารถรับสถานการณ์ได้เป็นระยะเวลานานให้รีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้าน DDoS ให้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา โดยผู้เชี่ยวชาญสามารถเบี่ยงเบนปริมาณผู้เข้าชมของคุณไปยังเซิร์ฟเวอร์ใหญ่ของเขาที่สามารถรองรับการเข้ามาในปริมาณมาก ๆ ได้

ปัจจุบันการโจมตีทางไซเบอร์นั้นปรับเปลี่ยนรูปแบบการโจรกรรมข้อมูลอยู่ตลอดเวลา เป้าหมายเพื่อโจมตีองค์กรขนาดใหญ่เพื่อเรียกร้องเงินซึ่งบางครั้งก็เป็นจำนวนมาก เพื่อแลกกับระบบการออนไลน์ที่ใช้งานได้อย่างปกติ ดังนั้นควรเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์การถูกโจมตีเครือข่ายซึ่งอาจเกิดได้ไม่ว่าตอนไหน คุณจำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้าเพื่อพร้อมรับมืออยู่ตลอดเวลา   

ทำความรู้จัก identity theft คืออะไร? กับการป้องกันและวิธีการจัดการ

Identity theft คืออะไร? วันนี้มีคำตอบ identity theft (ไอเด็นทิตี้ เธฟ) หรือ การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึงการที่ผู้เสียหายถูกคนร้ายหรือมิจฉาชีพแอบเอาข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลที่เป็นความลับไปแอบอ้างใช้ เพื่อหาผลประโยชน์บางอย่าง เช่น นำข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหายไปเปิดบัญชีธนาคารทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ หรือนำชื่อของผู้เสียหายไปใช้ก่อเหตุที่จะสร้างความเสียหายอื่น ๆ ตามมาภายหลัง เป็นต้น

และในยุคดิจิทัลแบบนี้ identity theft คือ ปัญหาที่จะสร้างความเดือดร้อนให้คุณอย่างไม่คาดคิด แน่นอนว่าอย่างที่ทราบกันดีและเราก็เคยได้นำเสนอไปว่าเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตมีผลในการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้น การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล หรือ identity theft คืออีกหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม และกลายเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมากขึ้น เพราะการขโมยข้อมูลส่วนบุคคลคือการที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแอบอ้างตัวตนหรือทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกันว่า identity theft คืออะไร? และมีการป้องกันหรือวิธีการจัดการที่ถูกต้องอย่างไรบ้าง

Identity theft คืออะไร?

Identity theft คือ การขโมยตัวตน หมายถึงการที่มิจฉาชีพโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำข้อมูลไปแอบอ้างหรือปลอมแปลงเป็นเจ้าของข้อมูลเพื่อหลอกลวงบุคคลอื่นให้โอนเงินหรือส่งข้อมูลส่วนบุคคลให้ โดยมีเทคนิคหลัก ๆ 2 ประการในการขโมยข้อมูลได้ ดังนี้

1. การฟิชชิ่ง (Phishing) ใช้อีเมลหรือหน้าเว็บปลอมเพื่อหลอกขอข้อมูลส่วนตัว เช่น ประวัติส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน หมายเลขประจำตัวประชาชน หมายเลขบัญชีธนาคาร ข้อมูลบัตรเครดิต หรือรหัสผ่าน ซึ่งมิจฉาชีพสามารถนำไปแฮ็กโซเชียลมีเดียและหลอกลวงผู้อื่นได้

2. การปลอมแปลงเว็บไซต์ (Spoof Site) ใช้เว็บไซต์ปลอมที่เชื่อมโยงกับอีเมลปลอม โดยมักปลอมเป็นเว็บไซต์ของหน่วยงานต่าง ๆ หรือสถาบันการเงินเพื่อขโมยข้อมูลทางการเงินหรือข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว เช่น เลขประจำตัวประชาชน เป็นต้น

รูปแบบของ Identity theft ในการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นทุกท่านคงจะทราบกันแล้วว่า Identity theft คืออะไร? และมีเทคนิคหลักในการโจรกรรมข้อมูลอย่างไร แต่วันนี้เราจะพาทุกท่านมาดูกันว่า identity theft ที่ว่านี้มักมีรูปแบบการขโมยข้อมูลส่วนบุคคลอย่างไรบ้าง

1. ขโมยข้อมูลการเงิน

   การแอบอ้างใช้ข้อมูลบัตรเครดิต บัญชีธนาคาร หรือข้อมูลการเงินอื่น ๆ เพื่อทำการซื้อสินค้า โอนเงิน หรือทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย

2. ขโมยข้อมูลสุขภาพ

   การแอบอ้างใช้ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น หมายเลขประกันสุขภาพ หรือประวัติการรักษาพยาบาล เพื่อรับบริการทางการแพทย์หรือเรียกร้องสิทธิประโยชน์ทางการแพทย์ 

3. ขโมยข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป

   การแอบอ้างใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลการสมัครงาน เพื่อสมัครงาน เปิดบัญชี หรือทำสัญญาต่าง ๆ

4. ขโมยข้อมูลออนไลน์

   การแอบอ้างใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย หรืออีเมลเพื่อหลอกลวงผู้อื่น การฟิชชิ่ง (Phishing) เป็นวิธีที่นิยมใช้ในการขโมยข้อมูลออนไลน์ โดยการส่งอีเมลปลอมที่ดูเหมือนเป็นบริษัทหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือเพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล

ผลกระทบจากการถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคล

Identity theft คือสิ่งที่สร้างปัญหาและความเดือดร้อนได้อย่างมาก เนื่องจากการขโมยข้อมูลส่วนบุคคลสามารถสร้างความเสียหายทั้งในด้านการเงินและชื่อเสียง ผู้เสียหายอาจต้องเผชิญกับหนี้สินที่เกิดจากการแอบอ้างใช้บัตรเครดิต หรือถูกใช้ชื่อในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ยังต้องใช้เวลาและความพยายามในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

How to ป้องกันการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล

1. รักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

   – ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในที่สาธารณะหรือบนอินเทอร์เน็ตโดยไม่จำเป็น

   – ใช้รหัสผ่านที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำ

   – ระมัดระวังการเก็บข้อมูลสำคัญในอุปกรณ์ที่ไม่มีความปลอดภัย

2. ตรวจสอบข้อมูลการเงินอย่างสม่ำเสมอ

   – ตรวจสอบรายการในบัญชีธนาคารและบัตรเครดิตอย่างสม่ำเสมอ

   – แจ้งธนาคารหรือบริษัทบัตรเครดิตทันทีหากพบความผิดปกติ

3. ใช้เทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัย

   – ใช้โปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์

   – ใช้ระบบยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication) ในการเข้าถึงบัญชีออนไลน์

4. ระมัดระวังการให้ข้อมูลส่วนบุคคล

   – ไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่บุคคลหรือองค์กรที่ไม่น่าเชื่อถือ

   – หลีกเลี่ยงการกรอกข้อมูลในเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือหรือไม่ได้รับการป้องกันความปลอดภัย

วิธีการจัดการเบื้องต้นเมื่อเกิดการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล

1. แจ้งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

   – แจ้งธนาคารหรือบริษัทบัตรเครดิตทันทีเพื่อระงับบัญชีหรือบัตรที่ได้รับผลกระทบ

   – แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค

2. ตรวจสอบและแก้ไขข้อมูล

   – ตรวจสอบรายงานเครดิตและแจ้งหน่วยงานเครดิตหากพบข้อมูลที่ผิดปกติ

   – อัปเดตข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกแอบอ้างใช้เพื่อป้องกันการขโมยข้อมูลเพิ่มเติม

3. ขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ

   – หากมีความซับซ้อนในการจัดการปัญหา ควรขอคำปรึกษาจากทนายความมืออาชีพหรือผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของข้อมูล

แต่หากท่านใดที่เกิดเหตุการณ์ identity theft หรือถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคล อย่ารอให้ตัวเองต้องได้รับความเสียหายไปมากกว่านี้ ควรมีทนายความเพื่อปรึกษาดีที่สุดเพราะที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เรามีความเชี่ยวชาญในการสืบหามิจฉาชีพออนไลน์หรือจัดการคดี identity theft การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล หากคุณหรือคนในครอบครัวต้องตกเป็นเหยื่อของ identity theft การขโมยข้อมูลส่วนบุคคล อย่าลังเลที่จะปรึกษาทนายในเรื่องที่สำคัญกับตัวคุณแบบนี้ เราพร้อมให้คำปรึกษาและให้บริการทางกฎหมายในการดำเนินคดีเพื่อทวงคืนและสร้างความยุติธรรมให้กับคุณ

การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เรื่องเล่น มีทนายจัดการคือคำตอบ ! 

การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล่น ! อย่างที่ทุกท่านทราบกันดีในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญในการดำเนินชีวิตระดับหนึ่ง เรียกได้ว่าแทบจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตก็ว่าได้ การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัญหาที่แพร่หลายและมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงทางการเงิน การถูกเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล หรือการหลอกลวงในการซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ จากปัญหาที่กล่าวมานั้นทางสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ของเราก็มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการจัดการคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตอย่างมืออาชีพเช่นเดียวกัน และเราก็พร้อมที่จะให้คำปรึกษา, คำแนะนำ ตลอดจนรับให้บริการกับท่านเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของท่านในทุกสถานการณ์บนโลกดิจิทัลแบบนี้

บริการรับทำคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตโดยทนายความมืออาชีพ

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เรามีทีมทนายความที่มีความรู้ความสามารถที่เชี่ยวชาญในการดำเนินคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต โดยเราให้บริการการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตหลากหลายด้าน ดังนี้

1. การหลอกลวงทางการเงิน : การหลอกลวงทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยครั้ง เช่น การหลอกลวงให้ลงทุนในโครงการที่ไม่มีอยู่จริง หรือการแฮ็กบัญชีธนาคาร ทีมทนายของเรามีความเชี่ยวชาญในการติดตามและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด พร้อมทั้งให้คำปรึกษาในการเรียกคืนความเสียหายที่เกิดขึ้น

2. การถูกเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล : การถูกเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลหรือถูกแฮ็กข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อใช้ในการหลอกลวงหรือข่มขู่เป็นปัญหาที่สามารถสร้างผลกระทบรุนแรงได้ตั้งแต่ระดับบุคคลและองค์กร แต่ทีมทนายของเราสามารถให้คำปรึกษาและดำเนินคดีเพื่อปกป้องสิทธิของท่านและเรียกร้องความยุติธรรมจากการที่ท่านได้รับความเสียหายที่เกิดขึ้น

3. ถูกหลอกลวงในการซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ : การหลอกลวงในการซื้อขายออนไลน์ เช่น การขายสินค้าที่ไม่มีอยู่จริง หรือการส่งสินค้าที่ไม่ตรงกับที่โฆษณา หากพบปัญหาดังกล่าวควรมีทนายความดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและหรือการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นได้

4. การหลอกลวงในโซเชียลมีเดีย : การหลอกลวงในโซเชียลมีเดีย อาทิ การปลอมแปลงตัวตนเพื่อหลอกลวงให้โอนเงินหรือให้ข้อมูลส่วนบุคคล

ขั้นตอนดำเนินคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตในการดำเนินคดีมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทีมทนายของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มีความสามารถในการดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างมืออาชีพ

1. การรวบรวมหลักฐาน : เราใช้เทคโนโลยีและวิธีการสืบสวนที่ทันสมัยในการรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต เช่น การติดตามเส้นทางการเงิน การวิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัล และการสืบสวนข้อมูลจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

2. การวางแผนและการดำเนินคดี : ทีมทนายของเรามีความเชี่ยวชาญในการวางแผนและดำเนินคดีอย่างเป็นระบบ โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ในการเตรียมการต่อสู้ในชั้นศาลและการเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้เสียหายทุกท่าน

3. การให้คำปรึกษาและการสนับสนุน : เราให้คำปรึกษาและการสนับสนุนตลอดกระบวนการดำเนินคดี เพื่อให้ท่านเข้าใจถึงสิทธิและทางเลือกต่าง ๆ ที่มีอยู่ และสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

ความสำคัญของการปกป้องสิทธิในยุคมิจฉาชีพออนไลน์ระบาดหนัก

ในยุคดิจิทัลที่มีการระบาดของมิจฉาชีพออนไลน์และทุกอย่างเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วและซับซ้อน การปกป้องสิทธิและความปลอดภัยในโลกไซเบอร์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เข้าใจถึงความท้าทายและความเสี่ยงที่ท่านอาจเผชิญหน้าเป็นอย่างดี และเราพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาและผู้แทนทางกฎหมายที่ท่านสามารถเชื่อถือและไว้วางใจได้

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์กับความมุ่งมั่นในการให้บริการที่มีคุณภาพ

เรามุ่งมั่นในการให้บริการที่มีคุณภาพและเป็นมืออาชีพ ทีมทนายของเรามีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการจัดการคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต เราจึงเข้าใจถึงความสำคัญของการปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของลูกความเป็นอย่างดี หากท่านหรือคนในครอบครัวของท่านกำลังเผชิญกับปัญหาการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต เรามีทนายความผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการที่มีคุณภาพและเป็นมืออาชีพ พร้อมที่จะร่วมแก้ไขปัญหาและให้คำปรึกษาเพื่อให้ท่านได้รับความยุติธรรมจากการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต หากท่านต้องการคำปรึกษาหรือต้องการให้ทนายความดำเนินเรื่องในคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต อย่าลังเลหรืออย่าคิดว่าไม่เป็นไร สามารถติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เพื่อพูดคุยหรือปรึกษาทนายความได้ทันทีหลังรู้ตัวว่าถูกหลอก เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของท่านในยุคที่มิจฉาชีพระบาดหนักเช่นนี้

ทนายความผู้เชี่ยวชาญสืบคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์

บริการรับสืบคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มีทีมทนายความที่มีความรู้ความสามารถในการดำเนินคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยเราให้บริการในหลากหลายด้าน ดังนี้

1. การแฮ็กข้อมูลและการละเมิดระบบความปลอดภัย : การแฮ็กข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลทางธุรกิจถือเป็นอาชญากรรมที่มีความเสียหายอย่างรุนแรง ทีมทนายของเรามีความเชี่ยวชาญในการติดตามและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด พร้อมทั้งให้คำปรึกษาในการเสริมสร้างระบบความปลอดภัยเพื่อป้องกันการแฮ็กในอนาคต

2. การโจรกรรมทางการเงินและการฉ้อโกงออนไลน์ : การโจรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์เป็นอาชญากรรมที่พบได้บ่อยครั้ง ทีมทนายของเราสามารถให้คำปรึกษาและดำเนินคดีเพื่อเรียกคืนความเสียหายที่เกิดขึ้น และดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิและทรัพย์สินของท่าน

3. การละเมิดความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคล : การละเมิดความเป็นส่วนตัว เช่น การเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต สามารถทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลได้ ทีมทนายของเรามีความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น

4. การละเมิดลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาออนไลน์ : การละเมิดลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาผ่านทางออนไลน์เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในยุคดิจิทัล ทีมทนายของเราสามารถดำเนินคดีเพื่อปกป้องสิทธิของท่านและเรียกร้องการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น

ขั้นตอนการดำเนินคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์

การดำเนินคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์มีขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทีมทนายของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มีความสามารถในการดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างมืออาชีพ

1. การรวบรวมหลักฐาน

 เราใช้เทคโนโลยีและวิธีการสืบสวนที่ทันสมัยในการรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์ เช่น การติดตามเส้นทางการเงิน การวิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัล และการสืบสวนข้อมูลจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

2. การวางแผนและการดำเนินคดี

 ทีมทนายของเรามีความสามารถในการวางแผนและดำเนินคดีอย่างเป็นระบบ โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ในการเตรียมการต่อสู้ในชั้นศาลและการเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกความ

3. การให้คำปรึกษาและการสนับสนุน

 เราให้คำปรึกษาและการสนับสนุนตลอดกระบวนการดำเนินคดี เพื่อให้ท่านเข้าใจถึงสิทธิและทางเลือกต่าง ๆ ที่มีอยู่ และสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

ความมุ่งมั่นในการให้บริการที่มีคุณภาพ
สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามุ่งมั่นในการให้บริการที่มีคุณภาพและเป็นมืออาชีพ ทีมทนายของเรามีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการจัดการคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์ เราจึงเข้าใจถึงความสำคัญของการปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของลูกความ และพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาและผู้แทนทางกฎหมายที่ท่านสามารถไว้วางใจได้อย่างดี

หากท่านหรือคนในครอบครัวของท่านกำลังเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ อย่าลังเลที่จะติดต่อเรา สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์พร้อมที่จะร่วมแก้ไขปัญหาและให้คำปรึกษาเพื่อให้ท่านได้รับความยุติธรรมและความพึงพอใจสูงสุด

ความสำคัญของการปกป้องสิทธิในยุคดิจิทัล

ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและซับซ้อน การปกป้องสิทธิและความปลอดภัยในโลกไซเบอร์เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เข้าใจถึงความท้าทายและความเสี่ยงที่ท่านอาจเผชิญ และพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาและผู้แทนทางกฎหมายที่ท่านไว้วางใจ

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ คู่คิดทางกฎหมายในโลกดิจิทัล

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เราเป็นสำนักงานทนายความที่มีความมุ่งมั่นในการให้บริการที่มีคุณภาพและเป็นมืออาชีพ พร้อมที่จะร่วมแก้ไขปัญหาและให้คำปรึกษาเพื่อให้ท่านได้รับความยุติธรรมและความพึงพอใจสูงสุดในทุกคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์

หากท่านต้องการคำปรึกษาหรือความช่วยเหลือในคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์ อย่าลังเลที่จะติดต่อปรึกษาทนายสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เราพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาและผู้แทนทางกฎหมายที่ท่านไว้วางใจ เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของท่านในยุคดิจิทัลแบบนี้

สืบหามัลแวร์อย่างมืออาชีพกับ “สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์” ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

สืบหามัลแวร์อย่างมืออาชีพกับ “สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์”

ในปัจจุบันอาชญากรรมทางไซเบอร์นั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นแค่บุคคลธรรมดา ผู้มีชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งบริษัทห้างร้าน หรือองค์กรขนาดใหญ่ ก็อาจตกเป็นเหยื่อภัยของการโจมตีจาก “มัลแวร์” ได้เช่นกัน ฉะนั้นการเตรียมรับมือกับการโจมตีจากอาชญากรที่ใช้มัลแวร์เป็นเครื่องมือนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะหากไม่มีการเตรียมรับมือที่ดี ผลเสียที่เกิดขึ้นอาจมหาศาลมากกว่าที่คุณคิด หรือทางที่ดีควรรับหาผู้เชี่ยวชาญไว้คอยให้คำปรึกษาจะดีที่สุด

“Malware (มัลแวร์)” คืออะไร? ส่งผลอย่างไรต่อคอมพิวเตอร์ของเรา

Malware (มัลแวร์) ย่อมาจากคำว่า  Malicious Software หมายถึงโปรแกรมที่ประสงค์ร้ายถูกเขียนขึ้นมาเพื่อทำอันตรายต่อข้อมูลในระบบ เช่น ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราทำงานผิดปกติ ขโมย หรือทำลายข้อมูล หรืออาจจะเปิดช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาควบคุมเครื่องของเราได้ มัลแวร์นั้นอาจเป็นรูปแบบโค้ดชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปอาจอยู่ในรูปแบบของซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อจงใจส่งผลกระทบต่อระบบคอมพิวเตอร์ เมื่อมัลแวร์ถูกติดตั้งลงในระบบคอมพิวเตอร์แล้ว ก็สามารถเข้าถึงทรัพยากรของระบบคอมพิวเตอร์ อาจแชร์ข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลได้ โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผู้ใช้งาน หรืออาจติดตามรายละเอียดของผู้ใช้งานได้

ลักษณะและการทำงานของมัลแวร์ประเภทต่างๆ  

Virus (ไวรัส)

มัลแวร์ประเภทนี้สามารถแพร่กระจายตัวเองไปยังเครื่องอื่น ๆ ผ่านไฟล์ที่ส่งต่อกันระหว่างเครื่อง เมื่อมันแอบเข้ามายังคอมพิวเตอร์ได้แล้ว มันก็จะเข้าไปก่อกวนการทำงานจนทำให้เกิดผลเสียต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ เหมือนเวลาที่เราป่วยเพราะไวรัส ร่างกายของเราก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่เท่าเดิม คอมพิวเตอร์เองก็เช่นเดียวกัน

 Worm (เวิร์ม)

สามารถแพร่กระจายตัวเองไปยังเครื่องอื่น ๆ ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้เองโดยอัตโนมัติ มัลแวร์ประเภทนี้คล้ายกับตัวหนอนที่ชอนไชไปยังเส้นทางต่าง ๆ จนทำให้เครือข่ายล่มหรือใช้งานไม่ได้ 

Trojan (โทรจัน)

มัลแวร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกเราว่ามันเป็นโปรแกรมทั่วไปที่ไม่มีพิษภัย แล้วให้ผู้ใช้หลงเชื่อและนำไปติดตั้ง หลังจากนั้นมันก็จะสามารถเข้าไปเล่นงานระบบของเราได้ง่าย ๆ 

Backdoor (แบ็กดอร์) 

เป็นมัลแวร์ชนิดที่มีความสามารถในการเปิดช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้ามาควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราได้ และสามารถทำอะไรก็ได้กับเครื่องของเรา เช่น สั่งลบหรือโอนย้ายข้อมูลของเราก็ได้ 

Spyware (สปายแวร์) 

มัลแวร์ชนิดนี้จะคอยแอบดูพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ของเรา เป้าหมายในการโจมตีของอาชญากรสามารถใช้ Spyware ในการบันทึกการกดแป้นพิมพ์ของผู้ใช้งาน ทำให้สามารถเข้าถึงรหัสผ่านหรือรวมถึงทรัพย์สินทางปัญญาอื่นๆ ได้ สปายแวร์เป็นโปรแกรมที่ทำการลบออกไปได้ง่าย เนื่องจากโปรแกรมเหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายเท่ากับมัลแวร์ประเภทอื่น

Ransomware (แรนซัมแวร์)

มัลแวร์ชนิดนี้จะทำการเข้ารหัสหรือล็อกไฟล์ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปิดไฟล์หรือคอมพิวเตอร์ได้ จากนั้นก็จะส่งข้อความเรียกค่าไถ่ เพื่อแลกกับการถอดรหัสเพื่อกู้ข้อมูลคืนมา

Adware (แอดแวร์) 

มัลแวร์ชนิดนี้จะพยายามเปิดเผยผู้ใช้ปลายทางที่ถูกโจมตีไปยังโฆษณาที่อาจเป็นอันตราย โปรแกรมแอดแวร์ทั่วไปอาจเปลี่ยนเส้นทางการค้นหาเบราว์เซอร์ของผู้ใช้งาน ไปยังหน้าเว็บที่มีลักษณะเหมือนการส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ซึ่งสร้างความรำคาญแก่ผู้ใช้งานทั่วไป

Malvertising (มัลเวอร์ไทซิ่ง) 

มัลเวอร์ไทซิ่ง คือการใช้โฆษณาหรือเครือข่ายโฆษณาที่ถูกกฎหมาย เพื่อส่งมัลแวร์ไปยังคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานที่ไม่มีความสงสัยใดๆ ตัวอย่างเช่น อาชญากรไซเบอร์อาจจ่ายเงินเพื่อวางโฆษณาบนเว็บไซต์ที่ถูกกฎหมาย เมื่อผู้ใช้คลิกที่โฆษณาโค้ดในโฆษณาจะเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้งานไปยังเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย หรือติดตั้งมัลแวร์ในคอมพิวเตอร์ ในบางกรณีมัลแวร์ที่ฝังอยู่ในโฆษณาอาจทำงานโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องดำเนินการใด ๆ จากผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นเทคนิคที่เรียกว่าถูกบังคับให้ดาวน์โหลด เป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์ที่ใช้มัลเวอร์ไทซิ่งในการโฆษณาคือการสร้างรายได้ที่แน่นอน มัลแวร์โฆษณาสามารถส่งมัลแวร์ทำเงินทุกชนิด รวมไปถึง มัลแวร์เรียกค่าไถ่ สคริปต์ การทำเหมืองข้อมูล หรือโทรจันจากธนาคาร

Hybrids and Exotic Forms (ลูกผสมและแบบรูปแบบที่แปลกใหม่)  

มัลแวร์ส่วนใหญ่เป็นการรวมกันของโปรแกรมที่เป็นอันตราย ซึ่งมักจะรวมถึงบางส่วนของโทรจันและเวิร์ม และบางครั้งก็เป็นไวรัส โดยปกติแล้วโปรแกรมมัลแวร์ จะปรากฏแก่ผู้ใช้ปลายทางว่าเป็นโทรจัน แต่เมื่อดำเนินการแล้วมันจะโจมตีผู้ที่ตกเป็นเหยื่อรายอื่นผ่านเครือข่าย เช่น เวิร์ม โปรแกรมมัลแวร์ในปัจจุบันหลายแห่ง ถือว่าเป็นรูทคิทหรือโปรแกรมที่ซ่อนตัว โดยพื้นฐานแล้วโปรแกรมมัลแวร์จะพยายามปรับเปลี่ยนการตั้งค่าต่างๆ ในระบบปฏิบัติการเพื่อควบคุมและซ่อนตัวจากโปรแกรมป้องกันมัลแวร์ 

Fileless Malware (มัลแวร์แบบไฟล์เลสส์) 

Fileless Malware จะแตกต่างจากมัลแวร์ระบบเดิมในเรื่องของการเดินทาง และการแพร่กระจายไปยังระบบใหม่ โดยใช้ระบบไฟล์มัลแวร์แบบไฟล์เลสส์ ซึ่งปัจจุบันประกอบด้วยมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของมัลแวร์ทั้งหมด และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เป็นมัลแวร์ที่ไม่ได้ใช้ไฟล์หรือระบบไฟล์โดยตรง แต่จะใช้ประโยชน์ และแพร่กระจายในหน่วยความจำเท่านั้น หรือใช้ผ่าน OS อื่นที่ไม่ใช่ไฟล์ เช่น รีจิสตรีคีย์ API หรือ งานที่กำหนดเวลาไว้ การโจมตีของไฟล์เลสส์จำนวนมาก เริ่มต้นด้วยการใช้ประโยชน์จากโปรแกรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย มักใช้เป็น  “กระบวนการย่อย (sub-process)” ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ หรือโดยการใช้เครื่องมือที่ถูกกฎหมายที่มีอยู่แล้ว ซึ่งมีอยู่ในระบบปฏิบัติการ ผลลัพธ์ที่ได้คือการโจมตีแบบไฟล์เลสส์นั้นยากที่จะตรวจจับและหยุดมันลง 

Phishing and Spear Phishing (ฟิชชิ่ง และสเปียร์ฟิชชิ่ง)

คืออาชญากรรมทางไซเบอร์ที่มีการติดต่อเป้าหมาย หรือหลอกล่อเป้าหมายทางอีเมล โทรศัพท์ หรือข้อความโดยบุคคลที่วางตัวเป็นสถาบันที่ถูกกฎหมาย เพื่อหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อให้ข้อมูลอย่างเช่น ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางธนาคาร ข้อมูลบัตรเครดิต รหัสผ่านเป็นต้น ในทางเทคนิคกล่าวได้ว่าฟิชชิ่งอาจไม่ใช่มัลแวร์ แต่เป็นวิธีการที่อาชญากรใช้กระจายมัลแวร์หลายประเภท บ่อยครั้งที่การโจมตีแบบฟิชชิ่งเป็นการล่อลวงให้ผู้ใช้งานคลิกเข้าไปที่ URL ที่ติดมัลแวร์ จากนั้นเว็บไซต์อันตรายดังกล่าวก็จะรวบรวมข้อมูลไอดี รหัสผ่านของเหยื่อ  

ส่วน Spear Phishing (สเปียร์ฟิชชิ่ง) คือการโจมตีที่กำหนดเป้าหมายบุคคล หรือกลุ่มบุคคล เช่น CFO ขององค์กรเพื่อเข้าถึงข้อมูลทางการเงิน แต่ฟิชชิ่งจะมุ่งไปที่กลุ่มคนจำนวนมาก

Bots and Botnets (บอทและบอทเน็ต)

บอทเป็นโปรแกรมที่อันตรายถูกออกแบบมาเพื่อแทรกซึมคอมพิวเตอร์และตอบสนองโดยอัตโนมัติ จะปฏิบัติตามคำสั่งกลางและเซิร์ฟเวอร์ควบคุม บอทสามารถทำสำเนาซ้ำของตัวเองได้ (Worm) หรือทำซ้ำผ่านการกระทำของผู้ใช้งาน (Virus, Trojan) เครือข่ายทั้งหมดที่ถูกบุกรุกเรียกว่าบอทเน็ต หนึ่งในการใช้งานทั่วไปของบอตเน็ตคือการโจมตีแบบกระจาย Denial of service (DDoS) เพื่อทำให้เครื่องหรือโดเมนทั้งหมดไม่พร้อมใช้งาน

Fake-Antivirus Malware (มัลแวร์แอนตี้ไวรัสปลอม) 

แอนตี้ไวรัสฟรีปลอมที่หลอกให้เราเชื่อว่าเครื่องเรากำลังติดไวรัสจำนวนมาก เพื่อให้เราเสียเงินเพื่อซื้อแอนตี้ไวรัสในเวอร์ชั่นเต็ม แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่โปรแกรมแอนตี้ไวรัสของจริง เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเป็น Fake-Antivirus หรือ Scareware วัตถุประสงค์คือหลอกให้ผู้ใช้งานเชื่อว่าเครื่องของตนเองติดไวรัส เพื่อหลอกให้คุณเสียเงิน

Rootkits (รูทคิต)

จะทำการปิดระบบกระบวนการที่แปลกปลอมเอาไว้ และมัลแวร์ประเภทนี้จะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยจุดประสงค์ของมัลแวร์ประเภทนี้คือการซ่อนโปรแกรมที่เป็นอันตรายที่กำลังทำงานอยู่ ทำให้เมื่อคุณติดมัลแวร์ประเภทนี้แล้ว คุณอาจไม่รู้เลยว่าในเครื่องของคุณกำลังมีไวรัส หากคุณไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสตราบจนเมื่อเครื่องของคุณมีปัญหา

มัลแวร์ตัวร้ายเป้าหมายคือโจมตีและขโมยข้อมูลของเรา

จะเห็นได้ว่าเจ้ามัลแวร์ตัวร้ายเหล่านี้มักจะถูกให้บริการในรูปแบบเช่า แก่อาชญากรไซเบอร์คนอื่น ๆ ที่ใช้มันเพื่อจุดประสงค์ที่ไม่ดีระหว่างที่เราใช้คอมพิวเตอร์ รวมถึงสมาร์ทโฟน หรือแท็บเลต เจ้าพวกมัลแวร์จะพยายามเจาะเข้ามาในเครื่องของเรา โดยอาจจะหลอกล่อให้เราเปิดไฟล์ที่ส่งมาทางอีเมล หลอกให้เราคลิกลิงก์แปลกปลอม หรืออาจจะเป็นการหลอกให้ติดตั้งโปรแกรมบางอย่าง ซึ่งถ้าหากเราไม่ระวังตัวเผลอกดตกลงเปิดไฟล์หรือติดตั้งโปรแกรมนั้น ๆ ลงไปในเครื่อง ก็เท่ากับเป็นการเปิดทางให้มัลแวร์บุกเข้ามาโจมตีเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา

เมื่อเหล่ามัลแวร์เข้ามาได้สำเร็จ มัลแวร์บางตัวอาจจะเข้ามาสอดส่องข้อมูลของเรา ก่อนที่มันจะส่งข้อมูลสำคัญของเรากลับไปยังเจ้านายของมัน ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นอาจมีตั้งแต่รหัสผ่านของเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เราใช้อยู่ หรือถ้ามากกว่านั้นอาจจะเป็นรหัสบัตรประชาชน บัญชีธนาคาร หรือรหัสบัตรเครดิตของเรา 

อาชญากรไซเบอร์สามารถนำข้อมูลของเราไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย เช่น อาจจะนำรหัสบัตรเครดิตของเราไปทำบัตรเครดิตปลอม แล้วนำไปจับจ่ายใช้สอยโดยที่เราไม่รู้ตัวจนกระทั่งกลายเป็นหนี้บัตรเครดิตไปแล้ว หรือเราอาจจะถูกสวมรอยแฮก Facebook เพื่อกลั่นแกล้ง เพื่อหลอกเอาเงินจากบรรดาเพื่อนเรา หรือเพื่อประโยชน์อื่น แล้วทำให้บัญชีของเราไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป  

จะทำอย่างไรเพื่อป้องกันมัลแวร์ตัวร้ายเหล่านี้

  • ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส และต่อต้านมัลแวร์ และควรอัพเดตโปรแกรมอยู่เสมอ เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่พยายามจะเข้ามาโจมตี 
  • อัพเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์อยู่เสมอ เนื่องจากการอัพเดทและปรับปรุงระบบปฏิบัติเหล่านี้มักจะมีการปรับปรุงระบบเพื่อการตรวจจับมัลแวร์เหล่านี้ 
  • ไม่ติดตั้งซอฟต์แวร์ หรือแอปพลิเคชั่นจากแหล่งที่ไม่รู้จัก หากต้องการติดตั้งควรดาวน์โหลดมาจากแหล่งที่มาที่รู้จักหรือเชื่อถือได้เท่านั้น
  • ไม่คลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์ในอีเมลที่น่าสงสัย หากไม่แน่ใจควรติดต่อกลับไปยังผู้ส่งอีเมลโดยตรงทางโทรศัพท์ หรือช่องทางอื่นที่ไม่ใช่การส่งอีเมลกลับไป
  • หมั่นสำรองข้อมูลอยู่เสมอ และเก็บข้อมูลสำรองเหล่านั้นไว้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือระบบเครือข่ายอื่น ๆ 

หากถูกมัลแวร์โจมตี ควรหาทนายมือดีไว้คอยช่วยดำเนินการ

การถูกโจมตีด้วยมัลแวร์สามารถกล่าวได้ว่าอันตราย หากข้อมูลที่ถูกโจมตีนั้นเป็นข้อมูลที่สำคัญ ดังนั้นเบื้องต้นจึงควรหมั่นอัพเดทระบบปฏิบัติการเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือระบบซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกมัลแวร์โจมตี แต่หากถูกโจมตีแล้วควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือหาทนายความที่เชี่ยวชาญในด้านอาชญากรรมทางไซเบอร์เพื่อดำเนินการ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ นอกจากจะเชี่ยวชาญในด้านกฎหมายประกันภัยแล้ว เรายังเชี่ยวชาญในด้านอาชญากรรมทางไซเบอร์อีกด้วย เรามีทีมกฎหมายที่เชี่ยวชาญในด้านการสืบหาข้อมูลที่มีประสบการณ์ ติดต่อเรา

ป้องกันและสืบหามัลแวร์อย่างมืออาชีพกับ “สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์”

ป้องกันและสืบหามัลแวร์อย่างมืออาชีพกับ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

          ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโลกของอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของใครหลาย ๆ คนเป็นอย่างมาก เนื่องจากยุคสมัยนี้หลายคนได้มีการนำโซเชียลมีเดียช่องทางต่าง ๆ เข้ามามีบทบาทในการทำงาน และแน่นอนว่าความปลอดภัยของข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะมาพูดถึงเรื่องการโจมตีจากมัลแวร์และวิธีสืบหามัลแวร์ และการแก้ไขปัญหาหลังจากถูกมัลแวร์โจมตีระบบ

         ซึ่งเรื่องราวของเจ้ามัลแวร์ตัวร้ายนี้เราได้มีการนำเสนอไปบ้างแล้ว และเราได้เล็งเห็นว่าในขณะนี้สังคมได้ประสบเข้ากับปัญหาถูกมัลแวร์โจมตีระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบต่าง ๆ อย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นระดับองค์กรก็ดี หรือบุคคลก็ดี จากปัญหาต่าง ๆ วิธีการแก้ไขยังต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และในตอนนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ของเราพร้อมแล้วที่จะเป็นหนึ่งในสำนักงานกฎหมายที่พร้อมให้บริการสืบหามัลแวร์ให้ผู้ประสบภัยจากการถูกโจมตีทางระบบ

ความสามารถของ “มัลแวร์ตัวร้าย” ที่คุณคาดไม่ถึง

          หากใครที่ได้ติดตามสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ หรือใครที่ชื่นชอบท่องโลกโซเชียลคงจะทราบกันแล้วว่า มัลแวร์ คืออะไร แต่ที่แน่ ๆ มัลแวร์เป็นซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายหรือเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และมัลแวร์ก็มีหลายประเภท วันนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับความสามารถของตัวร้ายอย่างมัลแวร์กันว่ามีความสามารถอะไรบ้างก่อนจะไปสืบหามัลแวร์ แน่นอนว่าเจ้าตัวร้ายนี้อาจมีความสามารถที่คุณคาดไม่ถึงก็เป็นได้

·การทำลายข้อมูล (Data Destruction)

         มัลแวร์บางตัวถูกออกแบบมาเพื่อทำลายข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการลบไฟล์, สำเนาข้อมูล, หรือการเข้ารหัสไฟล์แล้วเรียกค่าไถ่ ทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของตนได้

·การขโมยข้อมูล (Data Theft)

         ความสามารถอีกหนึ่งอย่างคุณอาจคาดไม่ถึง คือ มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลส่วนตัว, ข้อมูลส่วนบุคคล, ข้อมูลทางการเงิน, รหัสผ่านต่าง ๆ , และข้อมูลที่มีความสำคัญอื่น ๆ ได้ จากมัลแวร์ประเภทสปายแวร์ (Spyware) และคีย์ล็อกเกอร์ (Keylogger) โดยจะมีการบันทึกการกดแป้นพิมพ์และส่งข้อมูลนี้กลับไปยังผู้โจมตี

· การเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต (Unauthorized Access)

         เกิดขึ้นได้เมื่อเจอเข้ากับมัลแวร์ประเภทโทรจัน (Trojan) มัลแวร์ตัวนี้สามารถเปิดประตูหลังให้กับผู้โจมตีเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของคุณได้โดยไม่ได้รับอนุญาต และที่มากไปกว่านั้นผู้โจมตียังสามารถควบคุมระบบ ทำการโจมตีเพิ่มเติม หรือขโมยข้อมูลอื่น ๆ ได้อีกด้วย

· การแพร่กระจายตัวเอง (Self-Replication)

         มัลแวร์ประเภทนี้เรียกว่า หนอนคอมพิวเตอร์ (Worm) มีความสามารถแพร่กระจายตัวเองไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ในเครือข่ายได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาการกระทำของผู้ใช้ ทำให้เกิดการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและกว้างขวางได้

·การโฆษณาที่ไม่พึงประสงค์ (Ad Injection)

         เกิดขึ้นจากมัลแวร์ประเภท แอดแวร์ (Adware) สามารถแสดงโฆษณาที่ไม่พึงประสงค์บนหน้าจอของคุณได้ สามารถสร้างความรำคาญและลดประสิทธิภาพการทำงานของคอมพิวเตอร์ของคุณได้ดี

·การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าระบบ (System Modification)

         มัลแวร์บางตัวสามารถเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าระบบและการตั้งค่าของเบราว์เซอร์ต่าง ๆ ได้ เช่น การเปลี่ยนหน้าแรกของเบราว์เซอร์, การเพิ่มแถบเครื่องมือที่ไม่ต้องการ, หรือการเปลี่ยนแปลงค่า DNS เพื่อเปลี่ยนเส้นทางการเข้าถึงเว็บไซต์

·การโจมตีแบบปฏิเสธการให้บริการ (Denial of Service Attack)

         มัลแวร์บางประเภทสามารถทำให้ระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไม่สามารถให้บริการได้ โดยการใช้ทรัพยากรของระบบอย่างมาก สามารถทำให้ระบบล่มหรือทำงานช้าลงได้เลย

· การหลอกลวง (Phishing)

         เป็นปัญหามาจากมัลแวร์ ประเภทฟิชชิ่ง สามารถสร้างหน้าเว็บไซต์หรืออีเมลปลอมเพื่อหลอกลวงคุณให้กรอกข้อมูลส่วนตัวหรือรหัสผ่านลงไป หลังจากนั้นจะทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย

·การติดตั้งโปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์ (Unwanted Software Installation)

         ความสามารถอีกหนึ่งอย่างของมัลแวร์ คือ ติดตั้งโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันที่ไม่พึงประสงค์บนคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตได้ ซึ่งแน่นอนว่าสามารถสร้างความเสียหายหรือใช้ทรัพยากรของระบบไปในทางที่ไม่เหมาะสม

เช็คด่วน ! สัญญาณเตือนระบบคอมพิวเตอร์อาจติดมัลแวร์

เช็คด่วน ! สัญญาณเตือนระบบคอมพิวเตอร์อาจติดมัลแวร์

         ก่อนที่จะไปสืบหามัลแวร์จากการถูกโจมตีระบบ วันนี้เราจะพาคุณมาเช็คสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าระบบคอมพิวเตอร์ของคุณกำลังจะถูกมัลแวร์โจมตีกัน ดังนี้

-คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง  

         ถ้าคอมพิวเตอร์ของคุณทำงานช้าลงอย่างผิดปกติ ส่วนหนึ่งนั่นอาจเป็นเพราะมีมัลแวร์ที่ใช้ทรัพยากรของระบบอย่างมาก

-หน้าต่าง Pop-Up ที่น่ารำคาญ

         ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณเห็นหน้าต่าง Pop-Up ที่ไม่พึงประสงค์เด้งขึ้นมาบ่อยครั้ง นั่นอาจเป็นสัญญาณของแอดแวร์หรือสปายแวร์ที่กำลังจะคืบคลานเข้ายังมาระบบของคุณ

-โปรแกรมที่ไม่รู้จักถูกติดตั้ง

         หากคุณพบโปรแกรมที่ไม่รู้จักบนคอมพิวเตอร์ของคุณ นั่นอาจเป็นมัลแวร์ที่ติดตั้งเองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ประสงค์ร้ายก็เป็นได้

-การเปลี่ยนแปลงของหน้าแรกในเบราว์เซอร์

          ถ้าหน้าแรกของเบราว์เซอร์ของคุณถูกเปลี่ยนแปลงโดยที่คุณไม่ได้เป็นผู้กระทำหรือตั้งค่าเอง อาจเป็นผลจากมัลแวร์

-อีเมลที่ส่งเองโดยไม่ตั้งใจ

         หากพบอีเมลถูกส่งออกจากบัญชีของคุณโดยที่คุณไม่ได้เป็นผู้ส่งเองหรือเรื่องที่คุณต้องการจะส่ง นี่เป็นสัญญาณว่าคอมพิวเตอร์ของคุณติดมัลแวร์แล้วนั่นเอง

วิธีการสืบหามัลแวร์

         วิธีการสืบหามัลแวร์ในขณะนี้มีหลายวิธีด้วยกัน และเป็นวิธีที่สามารถทำได้ง่าย ๆ สามารถทำได้ด้วยตนเอง โดยเราได้รวบรวมมาแล้ว มีดังนี้

1.ใช้โปรแกรมป้องกันมัลแวร์

         การใช้โปรแกรมป้องกันมัลแวร์ที่เชื่อถือได้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจจับและสืบหามัลแวร์  โดยโปรแกรมเหล่านี้จะสแกนระบบคอมพิวเตอร์ของคุณและตรวจหามัลแวร์ที่อาจแฝงตัวอยู่ได้

2. ตรวจสอบกระบวนการที่ทำงานอยู่

         ใช้ Task Manager หรือ Activity Monitor เพื่อดูว่ามีโปรแกรมหรือกระบวนการใดที่ทำงานอย่างผิดปกติหรือใช้ทรัพยากรมากเกินไปหรือไม่

3. ตรวจสอบไฟล์ที่ถูกดาวน์โหลด

          ตรวจสอบไฟล์ที่คุณดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ตอย่างระมัดระวัง หากไฟล์นั้นมาจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือควรลบออกทันที

4. ตรวจสอบอีเมลและลิงก์ที่น่าสงสัย

         ไม่ควรคลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์จากอีเมลที่ไม่น่าเชื่อถือ อีเมลฟิชชิ่งเป็นวิธีที่มัลแวร์ใช้ในการแพร่กระจาย

5. ตรวจสอบการตั้งค่าของเบราว์เซอร์

         ควรตรวจสอบการตั้งค่าของเบราว์เซอร์ของคุณเพื่อดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่

ไม่อยากถูกมัลแวร์โจมตี ควรทำสิ่งนี้

1.อัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ

          การอัปเดตซอฟต์แวร์และระบบปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันมัลแวร์ที่ใช้ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์รุ่นเก่า

2.ใช้โปรแกรมป้องกันมัลแวร์

         ติดตั้งและใช้โปรแกรมป้องกันมัลแวร์ที่เชื่อถือได้ และสแกนระบบอย่างสม่ำเสมอ

3.ระมัดระวังการดาวน์โหลดไฟล์

          อย่าดาวน์โหลดไฟล์หรือซอฟต์แวร์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

4.อย่าคลิกลิงก์ในอีเมลที่ไม่น่าเชื่อถือ

         ถ้าคุณได้รับอีเมลที่มีลิงก์หรือไฟล์แนบจากผู้ส่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบนั้น

5. ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรง

         ใช้รหัสผ่านที่ยากต่อการคาดเดาและไม่ใช้รหัสผ่านเดียวกันในหลายบัญชี

ถูกมัลแวร์โจมตี มีทนายผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยีดีที่สุด

ถูกมัลแวร์โจมตี มีทนายผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยีดีที่สุด

         การสืบหามัลแวร์และการป้องกันมัลแวร์เป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ของคุณ เพราอย่างที่กล่าวไปมัลแวร์สามารถทำลายข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ของคุณได้หากไม่ระมัดระวัง การใช้โปรแกรมป้องกันมัลแวร์ การอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ และการระมัดระวังในการดาวน์โหลดไฟล์หรือคลิกลิงก์ที่น่าสงสัยอาจยังไม่มากพอ เพราะถ้าหากถูกโจมมตีไปแล้ว ปัญหาที่จะตามมาอาจส่งให้คูรได้รับความเดือดร้อนอย่างคาดไม่ถึงได้

         หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหามัลแวร์ตัวร้ายและต้องการการสืบหามัลแวร์ที่ถูกต้องอย่างมีประสิทธภาพ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เป็นสำนักงานกฎหมายที่เชี่ยวชาญในเรื่องการสืบหามัลแวร์และเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้ในการปกป้องข้อมูลและระบบคอมพิวเตอร์ของคุณ ติดต่อเราเพื่อรับบริการสืบหามัลแวร์และคำปรึกษาที่ดีที่สุด

สืบหามัลแวร์ปกป้ององค์กรของคุณจากการโจมตีทางเทคโนโลยี โดยสำนักงานกฎหมายที่เชี่ยวชาญในการสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี “สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์”

สืบหามัลแวร์ปกป้ององค์กรของคุณจากการโจมตีทางเทคโนโลยี

          ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจ บริษัทต่าง ๆ ต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการโจมตีทางไซเบอร์มากขึ้น โดยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถสร้างความเสียหายให้กับองค์กรทั้งองค์กรเล็กหรือใหญ่ได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการถูกโจมตีด้วยมัลแวร์, การถูกขโมยข้อมูล, และหรือการถูกทำลายระบบและเว็บไซต์หลังบ้าน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและความเชื่อมั่นของลูกค้าเป็นอย่างมาก และวันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ของเราพร้อมแล้วที่จะเป็นสำนักงานกฎหมายที่จะสามารถแก้ไขปัญหาจากเทคโนโลยีที่ได้เกิดขึ้นกับองค์กรของคุณได้

ทำความรู้จัก “มัลแวร์ตัวร้าย” กับกลไกการทำงานที่น่ากลัวต่อองค์กร

ทำความรู้จัก “มัลแวร์ตัวร้าย” กับกลไกการทำงานที่น่ากลัวต่อองค์กร

          มัลแวร์ (Malware) มาจากคำว่า “Malicious Software” เป็นซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความเสียหายต่อระบบคอมพิวเตอร์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของระบบนั้น ๆ  นอกจากนี้มัลแวร์ยังมีลักษณะและจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป อาทิ การพยายามเอาชนะเข้ารหัสของไฟล์ข้อมูล, การทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง, การเปิดช่องโหว่ให้กับผู้ไม่ประสงค์ดีเพื่อเข้าถึงข้อมูลสำคัญขององค์กรนั้น ๆ รวมไปถึงความสามารถในการสร้างระบบที่ถูกควบคุมได้จากระยะไกลจากบุคคลอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต

          นอกจากนี้มัลแวร์ยังมักถูกพัฒนาขึ้นโดยผู้ประสงค์ร้าย และมัลแวร์ยังสามารถแพร่กระจายได้ผ่านหลายช่องทาง เช่น การเข้าสู่ระบบที่ไม่ปลอดภัย, การคลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์ที่ไม่น่าเชื่อถือจากอีเมลหรือเว็บไซต์ที่ติดตั้งมัลแวร์ไวรัสไว้, รวมไปถึงการใช้อุปกรณ์สื่อสารที่เชื่อถือไม่ได้อีกด้วย

          แน่นอนว่าความสามารถของเจ้า มัลแวรตัวร้าย นี้มีมากอย่างเหลือล้นเลยทีเดียว หากองค์กรใดไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ หากถูกเจ้ามัลแวร์ตัวร้ายนี้เข้าไปโจมตีระบบแล้ว รับรองเลยว่าไม่ใช่เรื่องราวที่ดีแน่นอน และที่มากไปกว่านั้นอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อธุรกิจหรือองค์กร์ของคุณได้อีกด้วย

การโจมตีทางเทคโนโลยีและผลกระทบต่อองค์กร

การโจมตีทางเทคโนโลยีและผลกระทบต่อองค์กร

          การโจมตีด้วยมัลแวร์นั้นสามารถทำให้ข้อมูลสำคัญของบริษัทสูญหายหรือถูกทำลายได้ ตัวอย่างเช่น บริษัท A ดำเนินธุรกิจขายเหล็ก ได้เผชิญกับการโจมตีทางเทคโนโลยีถูกโจมตีโดยคู่แข่งหรือบุคคลที่มีเจตนาร้าย ในการโจมตีครั้งนี้ได้ทำลายข้อมูลสำคัญในเว็บไซต์ของบริษัท A ทำให้เว็บไซต์ของบริษัท A เสียหายอย่างรุนแรง และผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่เพียงแค่การสูญเสียข้อมูลเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้การดำเนินธุรกิจหยุดชะงัก เกิดความเสียหายทางการเงินและชื่อเสียงของบริษัทอย่างมาก การโจมตีเช่นนี้ทำให้ธุรกิจไม่สามารถดำเนินงานได้ตามปกติ และยังสร้างความไม่ไว้วางใจในหมู่ลูกค้าและคู่ค้าอีกด้วย แม้ว่าการโจมตีทางเทคโนโลยีในลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่การสืบหาผู้กระทำผิดเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อน  

ให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นทางออกสำหรับการสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้กับองค์กรของคุณ

ให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นทางออก

          สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เราเป็นสำนักงานกฎหมายที่มีความสามารถด้านการสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแก้ไขปัญหาให้กับบริษัทที่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีได้อย่างมืออาชีพ โดยเรามีทนายความที่มีความรู้และประสบการณ์ในการสืบสวน สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางจราจรคอมพิวเตอร์เพื่อติดตามแหล่งที่มาของการโจมตี และนำเสนอหลักฐานทางกฎหมายที่สามารถใช้ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ การตรวจสอบมัลแวร์ หรือการสืบหาข้อมูลจากระบบเครือข่าย เพื่อให้ได้หลักฐานที่มีคุณภาพและสามารถนำมาใช้ในกระบวนการทางกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้สำนักงานฯ ของเรายังสามารถให้คำแนะนำในการป้องกันการโจมตีในอนาคตและการเสริมสร้างระบบความปลอดภัยขององค์กรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ด้วย

อย่าพลาดโอกาสที่จะหาผู้กระทำความผิดให้กับองค์กรของคุณ ปรึกษาทนายด่วน!!!

อย่าพลาดโอกาสที่จะหาผู้กระทำความผิดให้กับองค์กรของคุณ

          อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น การสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง สำนักงานฯ ของเรามีความพร้อมและประสบการณ์ในการสืบสวนและจัดการกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ไม่ว่าบริษัทหรือองค์กรของคุณจะเผชิญกับการโจมตีในรูปแบบใด เราพร้อมที่จะสืบหาผู้กระทำผิดและนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อให้บริษัทหรือองค์กรของคุณสามารถกลับมาดำเนินการได้อย่างปกติและปลอดภัย เราจึงไม่อยากให้คุณพลาดโอกาสที่จะหาตัวผู้กระทำความผิด หรือหลาย ๆ คนอาจคิดว่าไม่สามารถสืบหรือตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิดทางเทคโนโลยีได้ ให้สำนักงานฯ ของเราดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการโจมตีทางไซเบอร์ และสืบสวนระบุตัวผู้กระทำความผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ >>ติดต่อเรา<<