อาชญากรรมทางเทคโนโลยี: ภัยร้ายยุคดิจิทัลและความสำคัญของทนายความในการดำเนินคดี

ในยุคที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน “อาชญากรรมทางเทคโนโลยี” ได้กลายเป็นภัยเงียบที่สร้างความเสียหายต่อทั้งบุคคล องค์กร และสังคมโดยรวม หนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบและพิสูจน์ความจริงในคดีประเภทนี้ก็คือ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ (Computer Traffic Data) ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญในการสืบสวนและดำเนินคดี
ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์คืออะไร?

ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง ข้อมูลที่แสดงถึงแหล่งที่มา เส้นทางการติดต่อ ข้อมูลวันเวลา ปริมาณการใช้ และลักษณะของการติดต่อสื่อสารทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งไม่รวมถึงเนื้อหาของข้อมูล ตัวอย่างเช่น
- หมายเลข IP Address ที่ใช้เชื่อมต่อ
- วันและเวลาที่มีการส่งอีเมลหรือข้อความ
- ข้อมูลเส้นทางการเข้าเว็บไซต์
- การบันทึกการเข้าถึงระบบเครือข่าย
ข้อมูลเหล่านี้แม้ดูเหมือนเล็กน้อย แต่สามารถเชื่อมโยงไปถึงผู้กระทำความผิดในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ ไม่ว่าจะเป็นการเจาะระบบ การปลอมแปลงข้อมูล หรือการหลอกลวงออนไลน์
ภัยร้ายในโลกออนไลน์ที่น่าเป็นห่วง

อาชญากรรมทางเทคโนโลยีในปัจจุบันมีความซับซ้อนและแพร่หลายมากขึ้น โดยมีหลายรูปแบบที่ควรระวัง ได้แก่
1.การหลอกลวงออนไลน์ (Online Scam / Phishing)
เช่น การส่งอีเมลหรือข้อความแอบอ้างเป็นธนาคาร บริษัทขนส่ง หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อหลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนตัวหรือโอนเงิน
2.การโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล (Identity Theft)
ผู้ไม่หวังดีนำข้อมูลบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร หรือข้อมูลบัตรเครดิต ไปใช้ในการกระทำผิดหรือก่อหนี้แทนเจ้าของตัวจริง
3.การแฮ็กระบบและโจมตีไซเบอร์ (Hacking & Cyber Attack)
ไม่ว่าจะเป็นการเจาะระบบองค์กร การติดตั้งมัลแวร์ หรือการโจมตีแบบ DDoS ซึ่งสร้างความเสียหายมหาศาลต่อธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐาน
4.การหมิ่นประมาทและละเมิดสิทธิออนไลน์
เช่น การสร้างบัญชีปลอม การโพสต์ข้อความทำลายชื่อเสียง หรือการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต
5.การฉ้อโกงการลงทุนออนไลน์
เช่น แชร์ลูกโซ่ ดิจิทัลแอสเซท หรือการชักชวนลงทุนผ่านแพลตฟอร์มที่ไม่มีจริง
ภัยเหล่านี้ล้วนสร้างความเสียหายทางการเงิน จิตใจ และชื่อเสียงแก่ผู้เสียหาย ซึ่งหากไม่มีการดำเนินคดีอย่างจริงจัง อาชญากรทางเทคโนโลยีก็จะยิ่งกล้าก่อเหตุซ้ำ
ทำไมต้องให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินคดี?
เมื่อเกิดความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หลายคนอาจเลือกแจ้งความหรือพยายามหาหลักฐานเอง แต่ในความเป็นจริง การดำเนินคดีประเภทนี้มีความซับซ้อนสูง เนื่องจากเกี่ยวข้องกับกฎหมายเฉพาะทางและหลักฐานดิจิทัลที่ต้องจัดเก็บอย่างถูกวิธี หากผู้เสียหายดำเนินการผิดขั้นตอน อาจทำให้หลักฐานไม่สามารถใช้ในชั้นศาลได้
ทนายความจึงมีบทบาทสำคัญในการ
- ให้คำปรึกษาเชิงกฎหมาย เพื่อวางแนวทางการฟ้องร้อง
- รวบรวมและจัดการหลักฐานดิจิทัล ให้ถูกต้องตามกระบวนการ
- แทนผู้เสียหายในชั้นศาล เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายและปกป้องสิทธิ
- เจรจาไกล่เกลี่ย กับคู่กรณีหรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาเร็วขึ้น
กล่าวได้ว่า การมีทนายความช่วยดำเนินคดี จะเพิ่มโอกาสในการพิสูจน์ความจริง และทำให้ผู้เสียหายได้รับความยุติธรรมมากกว่าการจัดการเอง
ความเชี่ยวชาญของ พ.ต.อ.สันติพัฒน์ พรหมะจุล ที่ปรึกษาสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในประเทศไทยคือ พ.ต.อ.สันติพัฒน์ พรหมะจุล อดีตผู้กำกับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
ปัจจุบัน พ.ต.อ.สันติพัฒน์ เป็นที่ปรึกษาให้กับ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ โดยทำหน้าที่ให้คำแนะนำเชิงลึกในการดำเนินคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงการตรวจยึดและวิเคราะห์พยานหลักฐานดิจิทัล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการต่อสู้คดี
จากการบรรยายสาธารณะในหัวข้อ “หลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์และการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางดิจิทัล” (ณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ 25 ตุลาคม 2558) พ.ต.อ.สันติพัฒน์ ได้อธิบายแนวทางสำคัญในการตรวจยึดพยานหลักฐานดิจิทัลที่ถูกต้องตามมาตรฐานสากล
แนวทางทั่วไปในการตรวจยึดพยานหลักฐานทางดิจิทัล
การตรวจยึดพยานหลักฐานดิจิทัลเป็นขั้นตอนที่ละเอียดอ่อน ต้องทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของข้อมูล ได้แก่
1.การรักษาความปลอดภัยสถานที่เกิดเหตุ (Scene Security)
ป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูล
2.การรักษาความปลอดภัยส่วนที่มีพยานหลักฐานดิจิทัล (Evidence Security)
แยกและควบคุมพื้นที่ที่มีอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือสื่อบันทึกข้อมูล
3.การยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสื่อบันทึกข้อมูล (Seizure of Devices)
อาทิ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ฮาร์ดดิสก์ หรือแฟลชไดรฟ์ ที่อาจมีข้อมูลสำคัญ
4.การบันทึกและจัดเก็บอย่างเป็นระบบ
จดบันทึกรายละเอียด จัดทำแผนผัง ติดป้ายกำกับ และบรรจุอุปกรณ์เพื่อเตรียมการขนย้าย
5.การส่งของกลางเพื่อพิสูจน์ (Forensic Examination)
นำอุปกรณ์ไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติการดิจิทัล โดยผู้เชี่ยวชาญที่มีมาตรฐาน
อาชญากรรมทางเทคโนโลยีจัดการได้ แต่ต้องจัดการอย่างมืออาชีพ

อาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นภัยใกล้ตัวที่ทุกคนอาจตกเป็นเหยื่อได้ ไม่ว่าจะเป็นการถูกหลอกลวงทางออนไลน์ การถูกขโมยข้อมูล หรือการถูกทำลายชื่อเสียง การรับมือกับปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเกี่ยวข้องกับหลักฐานดิจิทัลที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง
การมีทีมกฎหมายที่เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะทนายความที่ทำงานร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่าง พ.ต.อ.สันติพัฒน์ พรหมะจุล จะทำให้ผู้เสียหายมั่นใจได้ว่าทุกคดีได้รับการดูแลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และมีโอกาสสูงที่จะได้รับความยุติธรรมและค่าเสียหายที่ควรได้รับ












