ระวัง! มิจฉาชีพหลอกทำ “งานออนไลน์” หลอกสมัครงาน-ข่มขู่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้าถึงทุกมุมของชีวิต “งานออนไลน์” กลายเป็นหนึ่งในทางเลือกยอดนิยมของผู้คนทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นและนักศึกษา ที่มองหาช่องทางสร้างรายได้เสริมจากที่บ้าน แต่ในขณะเดียวกัน ความนิยมนี้ก็กลายเป็นช่องทางให้ มิจฉาชีพ ใช้หลอกลวงผู้บริสุทธิ์ให้ตกเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะรูปแบบ “หลอกสมัครงานออนไลน์” ที่ต้อง “จ่ายเงินก่อนเริ่มงาน” หรือ “ข่มขู่เมื่อพยายามยกเลิกงาน” ซึ่งปัจจุบันเกิดขึ้นบ่อยและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

รูปแบบกลโกง “งานออนไลน์” ที่ควรรู้ทัน

1.หลอกให้จ่ายเงินก่อนเริ่มงาน
กลโกงที่พบบ่อยที่สุดคือ การหลอกให้ผู้สมัครงานโอนเงินก่อน เช่น อ้างว่าเป็น “ค่ามัดจำอุปกรณ์ทำงาน” หรือ “ค่าสมัครสมาชิกระบบงานออนไลน์” ซึ่งหลังจากโอนเงินไปแล้วกลับไม่สามารถติดต่อได้อีกต่อไป บางรายถูกบล็อกทันที หรือถูกชักชวนให้ “หาคนมาสมัครต่อ” เพื่อรับเงินค่าคอมมิชชั่น กลายเป็นการหลอกลวงแบบแชร์ลูกโซ่

2.ข่มขู่เมื่อขอยกเลิกงาน
อีกหนึ่งพฤติกรรมอันตรายคือ เมื่อผู้สมัครรู้ตัวว่าถูกหลอกและพยายามถอนตัวจาก “งานออนไลน์” มิจฉาชีพจะเริ่มส่งข้อความข่มขู่ เช่น

o    จะฟ้องร้องดำเนินคดี

o    จะเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัว

o    จะส่งเรื่องให้ตำรวจหรือศาลดำเนินคดีฐานผิดสัญญา

โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้เสียหายเคยส่งเอกสารสมัครงาน เช่น บัตรประชาชน หรือข้อมูลส่วนตัว มิจฉาชีพจะนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัว

3.ตามรังควานแม้จะบล็อกแล้ว
หลายรายรายงานว่า ถึงแม้จะบล็อกแอคเคาท์ไปแล้ว มิจฉาชีพกลับใช้บัญชีอื่นมาตามรังควาน หรือทักไปหาคนรอบข้าง เช่น เพื่อนในโซเชียล ครอบครัว หรือที่ทำงาน เพื่อสร้างแรงกดดันและทำให้ผู้เสียหาย “ยอมจ่ายเงินเพิ่ม”

ทำไมมิจฉาชีพถึงมี “ข้อมูลส่วนตัว” ของเรา?

สาเหตุสำคัญคือ ผู้สมัครส่งข้อมูลให้เอง โดยไม่ทันระวัง เพราะต้องการเริ่มทำงานออนไลน์อย่างรวดเร็ว บางแพลตฟอร์มหรือเอเจนซี่ปลอมจะให้กรอกข้อมูลละเอียด เช่น

  • ชื่อ-นามสกุล
  • เบอร์โทรศัพท์
  • ที่อยู่
  • สำเนาบัตรประชาชน
  • เลขบัญชีธนาคาร

ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น

  • ข่มขู่เรียกเงิน
  • ปลอมเอกสารกู้ยืม
  • สมัครใช้บริการต่าง ๆ แทนเจ้าของตัวจริง
  • หรือขายต่อให้กลุ่มอาชญากรรมออนไลน์

ดังนั้น ก่อนส่งข้อมูลส่วนตัวให้ใครในโลกออนไลน์ ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นบริษัทจริง มีที่อยู่ชัดเจน ติดต่อได้จริง และควรค้นหาชื่อบริษัทหรือเพจนั้นใน Google หรือ Facebook ว่ามีประวัติการร้องเรียนหรือไม่

ถ้าเผลอส่งข้อมูลส่วนตัวไปแล้ว ควรทำอย่างไร?

1.อย่าตกใจและอย่าโอนเงินเพิ่มเด็ดขาด
ไม่ว่ามิจฉาชีพจะอ้างว่า “ถ้าไม่จ่ายจะฟ้อง” หรือ “จะเปิดเผยข้อมูล” ให้ตั้งสติ เพราะ ไม่มีอำนาจฟ้องร้องได้จริง และส่วนใหญ่เป็นการหลอกให้กลัวเท่านั้น

2.เก็บหลักฐานทุกอย่างไว้
เช่น แชต บัญชีธนาคารที่ให้โอน เบอร์โทรศัพท์ ลิงก์ห้องแชต หรือชื่อผู้ติดต่อ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการแจ้งความ

3.แจ้งความที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน
ควรนำหลักฐานทั้งหมดไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อบันทึกไว้เป็นหลักฐานว่าเราเป็น “ผู้เสียหาย” ไม่ใช่ “ผู้ร่วมกระทำผิด”

4.แจ้งธนาคารให้ระงับบัญชี
หากมีการโอนเงินหรือให้ข้อมูลบัญชี ควรรีบแจ้งธนาคารเพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีถูกนำไปใช้ในทางทุจริต

5.ปรึกษาทนายหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
การได้รับคำแนะนำจากทนายความโดยตรงจะสามารถให้คุณรู้ว่าควรดำเนินการอย่างไร เพื่อปกป้องสิทธิของตัวเองได้ถูกต้องตามกฎหมาย

กฎหมายคุ้มครองเหยื่อจากการหลอกทำงานออนไลน์

การกระทำของมิจฉาชีพในกรณีนี้อาจเข้าข่ายความผิดหลายมาตรา เช่น

  • ความผิดฐานฉ้อโกง (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341)
    ผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นด้วยข้อความเท็จและได้ทรัพย์สินไป มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • ความผิดฐานข่มขู่ (มาตรา 392)
    การขู่เข็ญให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือชื่อเสียง มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท
  • ความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560
    เช่น การเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการส่งข้อมูลอันเป็นเท็จเพื่อทำให้ผู้อื่นเสียหาย

หากถูกข่มขู่ให้จ่ายเงินหรือจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวจะทำอย่างไรดี?

อย่าตกใจและอย่าจ่ายเงินเพิ่มเด็ดขาด เพราะมิจฉาชีพมักใช้ “ความกลัว” เป็นเครื่องมือให้เหยื่อยอมทำตาม ควรบันทึกข้อความและแจ้งความทันที พร้อมทั้งปรึกษาทนายเพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้อง

โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นเยาวชนหรือผู้ยังไม่บรรลุนิติภาวะ การถูกข่มขู่ในลักษณะนี้อาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจอย่างมาก ผู้ปกครองควรรีบเข้าช่วยเหลือและพาแจ้งความเพื่อป้องกันอันตรายเพิ่มเติม

อย่าหลงเชื่อ “งานออนไลน์” ที่ต้องจ่ายเงินก่อน หรือมีพฤติกรรมข่มขู่

งานออนไลน์ ที่แท้จริงไม่จำเป็นต้อง “จ่ายเงินก่อนเริ่มงาน” และไม่มีสิทธิ์ “ข่มขู่” ผู้สมัครไม่ว่ากรณีใด หากพบพฤติกรรมดังกล่าวให้รีบรวบรวมหลักฐาน แจ้งความ และปรึกษาทนายโดยด่วน

เพราะทุกคนมีสิทธิทางกฎหมายที่จะได้รับความคุ้มครอง และไม่มีใครสามารถนำข้อมูลส่วนตัวของคุณไปใช้ข่มขู่หรือเรียกเงินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

อย่าปล่อยให้ “ความกลัว” เป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพจาก “งานออนไลน์” ปรึกษา “สำนักงานกฎหมายวงศกรณ

 ทีมทนายผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำแนะนำและให้บริการทางกฎหมายอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และเป็นความลับ เพื่อปกป้องสิทธิ์ของคุณในทุกกรณี

เตือนภัย!! เทคนิคตุ๋นเหยื่อ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด

เตือนภัย!! เทคนิคตุ๋นเหยื่อ แก๊งคอลเซ็นเตอร์

ความจริงแล้วกรณีเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเงินในเกิดขึ้นบ่อยมาก และในแทบจะทุกเคสมักเป็นผู้สูงอายุที่ตกเป็นเหยื่อ อย่างในเคสล่าสุดอาม่าวัย 72 ปี ได้ตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกราย สูญเงินไปกว่า 1.6 ล้านบาท ซึ่งในก่อนหน้านี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์พยายามหลอกล่อให้อาม่าโอนเงินเพื่อแลกเงินหยวนจำนวน 50,000 บาท อาม่าหลงเชื่อจึงโอนไป แต่หลังจากรู้ว่าถูกหลอกจึงเกิดเสียดายเงิน ประจวบกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์รวมหัวสร้างกลุ่มแสร้งว่าเป็นผู้เสียหายเช่นกัน และกำลังจะรวมตัวเพื่อดำเนินการเอาเงินคืนมา แต่อาม่าต้องโอนเงินค่าดำเนินการเอาเงินคืนมา แต่อาม่าต้องโอนงินค่าดำเนินการมาให้ นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมอาม่าถึงสูญเงินกว่า 1.6 ล้านบาท

กลลวงที่เหล่ามิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้นั้น ยังคงคอนเซปต์เดิมไม่เปลี่ยนไปมาก แต่ที่เปลี่ยนคือเป้าหมายหรือเหยื่อจะเป็นบรรดาผู้สูงวัยมากขึ้น ดังนั้นเราจึงควรช่วยกันสอดส่องเตือนภัยมุกหลอกโอนเงินให้แก่ผู้สูงวัยในบ้านมากขึ้น เพื่อจะได้ไม่หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ “มิจ” ที่ไม่ได้แปลว่าเพื่อน วันนี้ทีมงานสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จึงรวมมุกมิจฉาชีพมาเตือนภัยกันอีกครั้ง  

Scam
  1. บัญชีของคุณถูกอายัด ต้องไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม

มุกคลาสสิกเบื้องต้นของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่นิยมโทรเข้ามาหลอก ซึ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะชอบอ้างว่าตนเองเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อแอบอ้างสร้างความน่าเชื่อให้ผู้ที่ถูกหลอกหลงเชื่อได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เช่น การอ้างว่าคุณได้โอนเงินไปที่บัญชีที่ถูกอายัด ทำให้ผู้ที่ถูกหลอกหลงเชื่อว่าได้กระทำความผิด

 

  1. คุณมีหนี้บัตรเครดิตค้างชำระถ้าไม่เป็นความจริง ต้องรีบไปกดยกเลิกที่ตู้เอทีเอ็ม

การหลอกเป็นเจ้าหน้าที่จากธนาคารเป็นสิ่งที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์มักใช้อยู่เป็นประจำ โดยจะหลอกว่าคุณยังไม่ได้ชำระยอดค้างจ่ายของบัตรครดิต แล้วให้คุณดำเนินการชำระด้วยการโอนเงินค้างจ่ายดังกล่าว หากรู้ไม่เท่าทันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็จะหลอกให้โอนเงินจนหมดบัญชี ดังนั้นคุณจะต้องเช็คให้แน่ใจว่าไม่ได้มียอดเงินค้างชำระ หรือโทรกลับไปเช็คกับทางธนาคารให้แนใจ

 

  1. ข้อมูลของคุณหายไปจากธนาคารรบกวนขอข้อมูลส่วนตัวอีกครั้ง

บางครั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็จะมาในรูปแบบของการบอกว่าทางธนาคารได้ทำการอัพเดทข้อมูลของลูกค้าใหม่ ดังนั้นจึงทำการขอข้อมูลของลูกค้าเพื่ออัพเดทเข้าไปในฐานข้อมูลใหม่ ซึ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์อาจจะมีการได้ข้อมูลบางอย่างของผู้ที่ถูกหลอกมา เช่น ได้ธนาคารที่เรามีบัญชีอยู่มา ทำให้เราเชื่อได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของธนาคารจริง จึงหลงเชื่อทำตามขั้นตอนที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์บอก จนทำให้สูญเสียเงินจากในบัญชีไป

 

  1. คุณเป็นผู้ต้องสงสัยว่าพัวพันกับคดีค้ายาหรือฟอกเงินต้องโอนเงินทั้งหมดมาให้เราตรวจสอบ

อีกมุกที่ช่วงแรกๆ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้บ่อยมาก ถึงขนาดที่มีผู้เสียหายที่ถูกหลอกอัดคลิปเสียงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไว้ เพื่อให้ทราบถึงกลวิธีการที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้หลอกเหยื่อ โดยจะใช้วิธีการบอกว่าบัญชีของเราเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ต้องทำการโอนเงินทั้งหมดไปให้ทางตำรวจตรวจสอบ การสร้างความน่าเชื่อถือให้ดูมีน้ำหนักแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะใช้หน้าม้าหลอกว่าเป็นตำรวจจาก สภอ. นั้น สภอ. นี้ เพื่อให้เหยื่อกลัวว่าได้กระทำความผิดจึงหลงเชื่อแล้วโอนเงินไปเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ แต่ที่ไหนได้นั่นเป็นการโอนเงินไปให้มิจฉาชีพแล้ว

 

  1. คุณได้รับสิทธิ์ขอคืนภาษีรีบไปทำรายการขอรับคืนที่ตู้เอทีเอ็ม

คนทำงานที่มีรายได้ตามเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีอาจมีโอกาสเจอมุกนี้กัน โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหลอกว่าทางสรรพากรได้มีการจ่ายคืนเงินภาษี ให้คุณสามารถไปทำการขอรับคืนได้ที่ตู้ ATM โดยวิธีขั้นตอนดำเนินการนั้นเป็นการโอนเงินไปยังบัญชีของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

 

  1. คุณโชคดีได้รับรางวัลใหญ่แต่ต้องโอนจ่ายภาษีให้เราก่อนนะ

มุกนี้แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะทำทีโทรเข้ามาแล้วบอกว่าคุณได้รับรางวัลจากแบรนด์นั้น แบรนด์นี้ ให้กดลิ้งค์เพื่อทำการรับรางวัล สุดท้ายอาจหลอกให้กรอกรายละเอียดเพื่อยืนยันตัวตน หรือบอกว่าการที่จะรับรางวัลจะต้องโอนเงินเพื่อชำระภาษีก่อน ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้เหล่ามิจฉาชีพไป

 

  1. มีหมายศาลส่งถึงคุณแต่ส่งไปไม่ถึง รบกวนขอข้อมูลส่วนตัวหน่อย

เมื่อเราได้ยินคำว่า “หมายศาล” หลายคนจะรู้สึกกลัวว่าตนเองได้กระทำผิดกฎหมายไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง มัวแต่พะวงว่าตนเองจะถูกจับ ถูกดำเนินคดี เมื่อเหล่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์บอกว่าจะต้องโอนเงินมาเป็นค่าดำเนินคดีเหยื่อจึงหลงกลตกเป็นเหยื่อสูญเสียเงินมากมาย

 

  1. เมื่อกี้โอนเงินไปผิดบัญชีรบกวนโอนคืนมาให้หน่อย

มาถึงมุกสุดท้ายที่หลอกกันตรงๆ บางครั้งอาจจะไม่ใช่แก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยตรง อาจเป็นมิจฉาชีพมือสมัครเล่นทั่วไปก็ได้ที่สุ่มโทรมาแล้วบอกเราว่าตนเองได้โอนเงินมาผิดบัญฃี จะใช้เราช่วยโอนคืนกลับไปให้หน่อย ซึ่งบางครั้งกลหลอกตุ๋นเหยื่อนี้ยังรวมถึง การแกล้งโอนเงินมาให้ผิดบัญชีแล้วเราอาจต้องตกเป็นบัญชีม้าไปด้วย

 

หากไม่อยากตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต้องรู้ให้เท่าทันมุกตุ๋นเหยื่อเหล่านี้เอาไว้ และหากท่านใดมีปัญหาอยากปรึกษาทางด้านกฎหมายติดต่อได้ที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์