วางแผนภาษีสินส่วนตัวกับสินสมรส : ความรู้พื้นฐานที่คนแต่งงานแล้วควรรู้ 

“ภาษี” และ “สินสมรส” อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับใครหลายคน โดยเฉพาะคนที่เพิ่งแต่งงานหรือเพิ่งเริ่มต้นสร้างครอบครัว แต่แท้จริงแล้ว การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “สินส่วนตัว” กับ “สินสมรส” มีผลต่อภาษีและการจัดการทรัพย์สินในชีวิตคู่มากกว่าที่คุณคิด

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับแนวคิดพื้นฐานของ “สินส่วนตัว” และ “สินสมรส” รวมถึงวิธีวางแผนภาษีอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด ปัญหาภายหลัง และช่วยให้คุณสามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สินส่วนตัว vs สินสมรส คืออะไร?

ก่อนจะพูดถึงภาษี เราต้องเข้าใจพื้นฐานของทรัพย์สินในชีวิตสมรสเสียก่อน ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยได้แบ่งทรัพย์สินของคู่สมรสออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ:

1. สินส่วนตัว

คือ ทรัพย์สินที่เป็นของแต่ละฝ่ายโดยเฉพาะ ซึ่งรวมถึง:

  • ทรัพย์สินที่มีมาก่อนแต่งงาน เช่น รถยนต์ส่วนตัว บ้านเดิมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
  • ทรัพย์สินที่ได้รับโดยทางมรดก หรือได้รับโดยพินัยกรรมที่ระบุว่าเป็นของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
  • ทรัพย์สินที่เป็นของใช้ส่วนตัว เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ
  • ทรัพย์สินที่ใช้ประกอบอาชีพเฉพาะตัว เช่น เครื่องมือแพทย์ของแพทย์

2. สินสมรส

คือ ทรัพย์สินที่คู่สมรสร่วมกันได้มาในระหว่างสมรส เช่น:

  • รายได้หรือเงินเดือนของทั้งสองฝ่าย
  • ทรัพย์สินที่ซื้อด้วยเงินร่วมกัน หรือจากรายได้ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในระหว่างสมรส
  • ดอกผลของสินส่วนตัว (เช่น ดอกเบี้ยที่เกิดจากเงินเก่าก่อนแต่งงาน)

สรุปสั้นๆ

“ถ้าได้มาก่อนแต่งงาน = สินส่วนตัว
ถ้าได้มาหลังแต่งงาน = สินสมรส (ยกเว้นมีเงื่อนไขเฉพาะ)”

แล้วเรื่องภาษีเกี่ยวข้องอย่างไร?

หลายคนเข้าใจว่าเรื่องภาษีเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เมื่อแต่งงานแล้ว สถานะสมรส มีผลโดยตรงต่อการจัดการภาษี โดยเฉพาะในเรื่องของ การยื่นภาษีรายได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/91) และ การถือครองทรัพย์สินร่วมกัน

1. การยื่นภาษีแบบคู่สมรส

คู่สมรสสามารถเลือกได้ว่าจะ:

  • ยื่นภาษีแยกกัน (แต่ละคนยื่นของตนเอง)
  • หรือ ยื่นรวมกัน (สามีหรือภรรยายื่นรวมให้ฝ่ายหนึ่ง)

หากเลือกยื่นรวม อาจมีสิทธิในการหักลดหย่อนบางอย่างเพิ่มขึ้น เช่น ค่าลดหย่อนคู่สมรสที่ไม่มีรายได้
แต่ถ้ามีรายได้ทั้งคู่ การแยกยื่นภาษีอาจคุ้มกว่า เพราะช่วยลดฐานภาษีที่ต้องจ่าย

2. ทรัพย์สินร่วมต้องมีการวางแผนภาษี

ตัวอย่างที่พบบ่อย:

  • ซื้อคอนโดร่วมกัน แต่จ่ายเงินคนเดียว → อาจมีปัญหาเรื่องภาษีเงินได้กรณีขายต่อ
  • ใช้ชื่อคู่สมรสคนเดียวซื้อบ้าน → ภาษีค่าโอน ภาษีรายได้จากการขาย อาจถูกคิดทั้งหมดจากชื่อในโฉนด

การไม่วางแผนเรื่องภาษีตั้งแต่ต้น อาจทำให้เกิดความสับสนเวลาขายทรัพย์สิน หรือเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น การหย่าร้าง หรือเสียชีวิต

เทคนิควางแผนภาษีให้สอดคล้องกับสินสมรส

1. บันทึกแหล่งที่มาของทรัพย์สิน

  • จดไว้เลยว่าเงินก้อนนี้ได้มาก่อนแต่งงานหรือหลังแต่งงาน
  • มีหลักฐานหรือสัญญาแสดงความเป็นสินส่วนตัว เช่น สัญญากู้ยืม พินัยกรรม ใบโอนเงิน

2. พิจารณาการแยกบัญชี

  • หากมีธุรกิจส่วนตัว แนะนำให้แยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจอย่างชัดเจน เพื่อความสะดวกในการคำนวณภาษี
  • คู่สมรสสามารถมีบัญชีร่วมสำหรับใช้จ่ายครัวเรือน และบัญชีส่วนตัวสำหรับสินส่วนตัว

3. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ครบ

  • ค่าลดหย่อนคู่สมรสไม่มีรายได้: ลดได้ 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนบุตร บิดา มารดา
  • ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน (ในกรณีบ้านเป็นสินสมรส)

4. ทำข้อตกลงก่อนสมรส (Prenuptial Agreement)

  • หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีทรัพย์สินจำนวนมาก อาจทำสัญญากำหนดชัดเจนว่าอะไรเป็นสินส่วนตัว เพื่อป้องกันความขัดแย้งภายหลัง

เคสตัวอย่าง: เข้าใจง่าย

กรณีที่ 1: ซื้อบ้านหลังแต่งงานโดยใช้เงินของฝ่ายชาย

  • ถ้าไม่มีหลักฐานว่าเงินเป็นสินส่วนตัว → บ้านถือเป็นสินสมรส
  • ถ้าหย่ากัน: ต้องแบ่งบ้านคนละครึ่ง แม้เงินมาจากฝ่ายเดียว

กรณีที่ 2: คู่สมรสยื่นภาษีรวมกัน แต่ฝ่ายหญิงมีรายได้สูงกว่าฝ่ายชาย

  • การยื่นรวมอาจทำให้ฐานภาษีสูงขึ้น และเสียภาษีมากกว่ายื่นแยก
  • แนะนำให้เปรียบเทียบก่อนตัดสินใจยื่น

เข้าใจภาษี เข้าใจสินสมรส ชีวิตคู่มีความสุข

การวางแผนภาษีควบคู่กับความเข้าใจเรื่องสินสมรสไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นเรื่องที่ จำเป็น โดยเฉพาะสำหรับคู่สมรสยุคใหม่ที่ต้องจัดการรายได้ ทรัพย์สิน และภาษีร่วมกัน

สิ่งที่ควรเริ่มทำทันทีคือ:

  • เรียนรู้สิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย
  • แยกประเภททรัพย์สินให้ชัดเจน
  • ขอคำปรึกษาจากนักบัญชีหรือทนายความเมื่อเริ่มลงทุน ซื้อบ้าน หรือทำธุรกิจร่วมกัน

เพราะการวางแผนตั้งแต่วันนี้ คือการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดในวันข้างหน้า — และช่วยให้ชีวิตคู่เดินหน้าอย่างมั่นคงทั้งในเรื่องความรักและการเงิน

วางแผนตั้งแต่ต้น ปรึกษาทนายความไว้ ไม่เสียหาย

แม้บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจพื้นฐานของ ภาษี และ สินสมรส มากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติ แต่ละคู่สมรสอาจมีรายละเอียดที่ซับซ้อนแตกต่างกัน เช่น ทรัพย์สินก่อนสมรสจำนวนมาก ธุรกิจร่วมกัน หรือมีทรัพย์สินในต่างประเทศ การวางแผนภาษีที่ดีจึงควรมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยดูแล

การปรึกษาทนายความตั้งแต่ต้น จะช่วยให้คุณ:

  • วางแผนทรัพย์สินได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
  • จัดทำข้อตกลงก่อนสมรสหรือหลังสมรสได้อย่างรอบคอบ
  • เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจน
  • ป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจทำให้เสียเปรียบในอนาคต

เพราะเมื่อเข้าใจและวางแผนทุกอย่างไว้ตั้งแต่ต้น ไม่เพียงแค่ช่วยประหยัดภาษี แต่ยังช่วยปกป้องความสัมพันธ์และทรัพย์สินของคุณในระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ

“รักกันไม่จำเป็นต้องกลัวเรื่องกฎหมาย แต่อย่าปล่อยให้กฎหมายกลายเป็นปัญหาภายหลัง”
เริ่มต้นวางแผนให้ถูกทางวันนี้ ด้วยการปรึกษากฎหมายกับผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้ คลิก >>ติดต่อเรา<<

เรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ทนายอาร์มกับก้าวใหม่แห่งความรู้ “การส่งมอบมรดก การวางแผนภาษีมรดก” รุ่นที่ 12

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ทนายอาร์ม ศุภสิทธิ์ ศิริ ได้เข้าร่วมอบรมในหัวข้อ “การส่งมอบมรดก การวางแผนภาษีมรดก ” รุ่นที่ 12 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยการอบรมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้การดำเนินการของอาจารย์พละชัย ฟูเกียรติพงษ์ (ครูต๊ะ) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนธุรกิจและภาษีอากร และประธานบริหารกลุ่มบริษัทในเครือยักษ์สุข

ในโอกาสพิเศษนี้ ทนายอาร์มได้มอบผ้ายันต์หลวงพ่อเงินพร้อมกรอบให้กับอาจารย์พละชัย เพื่อเป็นที่ระลึกและแสดงความเคารพ บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง สะท้อนถึงสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้เข้าร่วมอบรมและวิทยากร

นอกจากจะได้รับความรู้ด้านการวางแผนมรดกและภาษีอากร ทนายอาร์มยังได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักธุรกิจหลากหลายวงการ ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีในการขยายเครือข่ายความสัมพันธ์ทางธุรกิจ และอาจนำไปสู่ความร่วมมือในอนาคต

การเข้าร่วมอบรมครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มพูนองค์ความรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับทนายอาร์มเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือให้กับสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ในวงกว้าง เป็นเครื่องยืนยันว่า การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด และการเปิดใจรับโอกาสใหม่ ๆ อยู่เสมอ คือกุญแจสำคัญของความก้าวหน้าในวิชาชีพ

ธุรกิจจีนเลี่ยงภาษี! ระวังโดนดำเนิคดีตามกฎหมายไทย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การขยายตัวของธุรกิจจีนในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างเชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา ได้จุดกระแสความกังวลในหมู่คนไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่เรื่องการใช้ภาษาจีนแทนภาษาไทยในป้ายร้านค้าและบริการเท่านั้น แต่ยังมีข้อมูลที่น่าวิตกเกี่ยวกับ พฤติกรรมเลี่ยงภาษีของกลุ่มทุนจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อเศรษฐกิจและรายได้ภาษีของประเทศ

มีรายงานจากเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรในระดับจังหวัด ระบุว่า พบธุรกิจที่มีลักษณะ “นอมินีไทย” หรือมีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นเพียงในนาม ขณะที่การบริหารและเงินทุนทั้งหมดมาจากกลุ่มชาวจีน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร บริษัททัวร์ หรือกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์บางแห่ง

นอกจากนี้ ยังพบว่า ธุรกิจบางแห่งรายงานรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริง หรือไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เลย ขณะที่รับลูกค้าเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะลูกค้าชาวจีนที่จ่ายเงินสดหรือผ่านแอปพลิเคชันของจีนอย่าง Alipay และ WeChat Pay ซึ่งไม่ผ่านระบบการเงินไทย ทำให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบได้ยากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระบุว่า “พฤติกรรมลักษณะนี้อาจทำให้รัฐสูญเสียรายได้หลายร้อยล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังสร้างการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการไทยที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย”

 ในวันนี้ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพาไปพบกับผลกระทบและโทษทางกฎหมายในการเลี่ยงภาษีของนายทุนจีนกันว่าทางด้านกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมศุลกากร ได้เริ่มจับตาธุรกรรมที่น่าสงสัยเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ และเตรียมปรับมาตรการตรวจสอบนอมินี รวมถึงทำงานร่วมกับหน่วยงานทางการเงินในการตรวจสอบกระแสเงินจากต่างประเทศ

รูปแบบการเลี่ยงภาษีของธุรกิจจีนในไทย

1.1 การใช้ “นอมินีไทย” ถือหุ้นแทน

ธุรกิจจีนบางแห่งในไทยใช้คนไทยเป็นผู้ถือหุ้นในนาม เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดการถือหุ้นของชาวต่างชาติ เช่น กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ซึ่งกำหนดให้ธุรกิจบางประเภทต้องมีสัดส่วนการถือหุ้นของคนไทยไม่น้อยกว่า 51% ​

1.2 การหลีกเลี่ยงการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

บางธุรกิจจีนรายงานรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริง หรือไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่ต้องชำระตามพระราชบัญญัติภาษีมูลค่าเพิ่ม พ.ศ. 2535 ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ​

1.3 การรับชำระเงินผ่านระบบของจีน

ธุรกิจจีนบางแห่งรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันของจีน เช่น Alipay และ WeChat Pay ซึ่งไม่ผ่านระบบการเงินของไทย ทำให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบได้ยากขึ้น

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

2.1 การสูญเสียรายได้จากภาษี

การเลี่ยงภาษีของธุรกิจจีนทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีหลายร้อยล้านบาทต่อปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ​

2.2 การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม

ผู้ประกอบการไทยที่ปฏิบัติตามกฎหมายต้องเสียภาษีตามกฎหมาย แต่ธุรกิจจีนที่เลี่ยงภาษีสามารถลดต้นทุนและขายสินค้าหรือบริการในราคาที่ต่ำกว่า ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบในการแข่งขัน​

2.3 การทำลายกลไกตลาด

การเลี่ยงภาษีทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในตลาด ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และอาจทำให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพต่ำ​

ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลี่ยงภาษีของชาวต่างชาติในไทย

6.1 พระราชบัญญัติภาษีอากร (ประมวลรัษฎากร)

หากพบว่าธุรกิจใด (ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติ) จงใจเลี่ยงภาษี เช่น ไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), รายงานรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริง หรือไม่ออกใบกำกับภาษี:

  • มาตรา 90/4 (พ.ร.บ. ภาษีมูลค่าเพิ่ม)
    ผู้ใดไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งที่รายได้เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด (1.8 ล้านบาทต่อปี) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท และเมื่อแจ้งให้จดแล้วยังไม่จด จะถูกสั่งปิดกิจการหรือเพิกถอนทะเบียนการค้า
  • มาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
    ผู้ใดหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากร มีโทษปรับตั้งแต่ 2,000 – 200,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 90/7 (เจตนาหลีกเลี่ยงหรือออกใบกำกับภาษีเท็จ)
    มีโทษปรับ 2 เท่าของจำนวนภาษีที่เลี่ยง และเพิ่มเบี้ยปรับ 1.5% ต่อเดือน

6.2 พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542

ชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจในไทย โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือนำคนไทยมาเป็น “นอมินี” ถือหุ้นแทนในกิจการที่ห้ามต่างด้าวทำ มีความผิดตามกฎหมายนี้

  • มาตรา 36
    หากพบว่ามีการใช้ “นอมินี” ถือหุ้นแทน เพื่อเลี่ยงข้อจำกัดของกฎหมายธุรกิจต่างด้าว มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 ถึง 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • บทลงโทษเพิ่มเติม

    ศาลสามารถสั่งเพิกถอนสิทธิการประกอบธุรกิจ และให้ชาวต่างชาติผู้นั้นพ้นจากประเทศไทย (ถูกเนรเทศ) ได้

6.3 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

ในบางกรณี หากมีการใช้ระบบโอนเงินผ่านแอปต่างชาติ เช่น Alipay หรือ WeChat Pay เพื่อซุกซ่อนรายได้ หรือไม่ผ่านระบบการเงินไทย และเป็นการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากรัฐ อาจเข้าข่ายฟอกเงิน

  • มาตรา 3 และ 5
    รายได้จากการเลี่ยงภาษี หากนำไปใช้โดยไม่ผ่านระบบถูกกฎหมาย อาจถูกตีความว่าเป็น “ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดมูลฐาน” มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และ/หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท

6.4 พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522

กรณีชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจโดยไม่มีใบอนุญาต หรือใช้วีซ่าท่องเที่ยวมาทำงานผิดประเภท

  • มาตรา 37 และ 75

    หากฝ่าฝืนเงื่อนไขวีซ่า เช่น ใช้วีซ่าท่องเที่ยวเพื่อทำงาน มีโทษปรับ และอาจถูกเพิกถอนวีซ่า พร้อมเนรเทศ

ไม่อยากปิดธุรกิจ ปรึกษาทนายความ เพื่อจ่ายภาษีอย่างถูกต้อง

แม้หลายกรณีของธุรกิจจีนในไทยจะถูกตั้งข้อสังเกตว่า “เลี่ยงภาษี” หรือ “ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย” แต่ในทางปฏิบัติ บางส่วนอาจเกิดจาก “ความไม่เข้าใจกฎหมายไทย” หรือการแปลความผิดพลาดของเจ้าของธุรกิจต่างชาติเอง

“การมีทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายตั้งแต่ต้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ”

ประโยชน์ของการมีทนายหรือที่ปรึกษากฎหมาย

  • ตรวจสอบความถูกต้องของการจดทะเบียนบริษัท

    ทนายสามารถตรวจสอบว่าสัดส่วนผู้ถือหุ้น การจัดตั้งบริษัท และวัตถุประสงค์การดำเนินงานนั้น เป็นไปตามกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หรือไม่
  • ให้คำปรึกษาด้านภาษีและเอกสารบัญชี

    ทนายร่วมกับผู้สอบบัญชีสามารถช่วยวางระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), ภาษีเงินได้นิติบุคคล และเอกสารที่ต้องยื่นต่อกรมสรรพากรได้ถูกต้อง และป้องกันการโดนเบี้ยปรับย้อนหลัง
  • แนะนำระบบการรับเงินอย่างถูกกฎหมาย

    ในกรณีใช้แอปพลิเคชันการเงินของจีน เช่น Alipay หรือ WeChat Pay ทนายสามารถให้คำปรึกษาในการผูกระบบให้ถูกกฎหมายไทย เพื่อให้ข้อมูลการเงินสามารถตรวจสอบได้โดยรัฐ
  • ดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานและวีซ่าอย่างถูกต้อง

    หลายรายใช้วีซ่าท่องเที่ยวมาประกอบธุรกิจ ทนายสามารถช่วยดำเนินการขอ Non-B หรือ Smart Visa รวมถึง Work Permit ให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522

  • ช่วยไกล่เกลี่ยหากเกิดคดีความ

    หากมีการตรวจสอบย้อนหลัง หรือถูกกล่าวหาว่าเลี่ยงภาษีหรือมีนอมินี ทนายสามารถเข้าเจรจา แก้ไขปัญหา หรือต่อสู้คดีในชั้นศาลได้

คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับชาวต่างชาติ

  • ควรขอคำปรึกษาทางกฎหมายก่อนเริ่มธุรกิจในไทย
  • ไม่ควรใช้ชื่อบุคคลอื่นหรือคนไทยถือหุ้นแทนโดยไม่มีการบริหารจริง
  • วางแผนภาษีร่วมกับทนายและนักบัญชีตั้งแต่ก่อนเปิดกิจการ
  • หากถูกตรวจสอบ ควรให้ทนายเป็นผู้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางกฎหมาย

ทางสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มีความชำนาญ และมีประสบการณ์ในการทำให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการชาวต่างชาติเป็นอย่างดี ทั้งทีมทนายความ หรือผู้ช่วยทนายความเองทุกคนล้วนแต่มีความชำนาญในการให้คำปรึกษาที่แตกต่างกันออกไป และผลลัพธ์ในการให้คำปรึกษาล้วนประสบผลสำเร็จ และบริษัทต่างๆ ล้วนให้คำตอบรับเป็นที่น่าพอใจ  ผู้ประกอบการหรือบริษัทต่างชาติที่ต้องการให้เราทำคดีประเภทนี้ให้ไม่ต้องกังวลใจ สามารถปรึกษาได้ทุกกรณี👉 >>ติดต่อเรา<<

อ้างอิงจากเว็บไซต์ : มาตรา 38_64 | กรมสรรพากร – The Revenue Department (rd.go.th)

เขียนโดย :วรารัตน์ วงโพธิสาร (นักศึกษาฝึกประสบการณ์ภาษาจีน)

การจดมูลนิธิเพื่อเลี่ยงภาษี จริงหรือไม่?

ในยุคที่การบริหารจัดการภาษีกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล การตั้งมูลนิธิเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงในแง่ของการลดภาษีหรือการเลี่ยงภาษี หลายคนอาจสงสัยว่าการจดทะเบียนมูลนิธิเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และมูลนิธิมีบทบาทอย่างไรในระบบภาษีของประเทศไทย บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้

มูลนิธิคืออะไร?

มูลนิธิ คือ องค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น การช่วยเหลือสังคม การสนับสนุนการศึกษา การวิจัย หรือการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มูลนิธิไม่ใช่องค์กรที่ตั้งขึ้นเพื่อแสวงหากำไร รายได้หรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการดำเนินงานของมูลนิธิจะต้องนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิเท่านั้น

การจดทะเบียนมูลนิธิในประเทศไทยต้องดำเนินการตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และต้องได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ประเด็นเรื่องการเลี่ยงภาษีด้วยการตั้งมูลนิธิ

หนึ่งในข้อสงสัยที่เกิดขึ้นคือ การตั้งมูลนิธิสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการหลีกเลี่ยงภาษีได้หรือไม่ คำตอบขึ้นอยู่กับเจตนาและการดำเนินงานของมูลนิธินั้น ๆ

1.การลดหย่อนภาษีสำหรับการบริจาค
การบริจาคให้กับมูลนิธิที่ได้รับการรับรองจากกรมสรรพากรสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ โดยบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่บริจาคสามารถหักลดหย่อนได้ในอัตราตามที่กฎหมายกำหนด เช่น หักลดหย่อนได้ไม่เกิน 10% ของรายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน

อย่างไรก็ตาม หากการบริจาคมีเจตนาแฝงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เช่น การบริจาคกลับเข้ามูลนิธิของตนเองเพื่อใช้เงินในทางที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ จะถือว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมาย

2.มูลนิธิในฐานะนิติบุคคล
มูลนิธิที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายจะได้รับการยกเว้นภาษีในบางประเภท เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่ต้องรายงานบัญชีและงบการเงินให้โปร่งใส หากมีการตรวจสอบพบว่ามีการนำเงินหรือทรัพย์สินไปใช้ในทางที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ จะถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย

ข้อผิดพลาดและบทลงโทษสำหรับมูลนิธิที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

หากมีการตั้งมูลนิธิด้วยเจตนาเพื่อเลี่ยงภาษีหรือใช้เงินในทางที่ไม่โปร่งใส เจ้าหน้าที่มีสิทธิ์เข้าตรวจสอบและดำเนินคดีทางกฎหมาย ซึ่งบทลงโทษอาจรวมถึง

  • การเพิกถอนทะเบียนมูลนิธิ
  • การปรับทางแพ่งและอาญา
  • การเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง พร้อมดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ

นอกจากนี้ หากมีการพบว่าเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิหรือผู้เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการกระทำผิด อาจถูกดำเนินคดีในฐานะผู้กระทำผิดร่วม

การตั้งมูลนิธิอย่างถูกต้องและโปร่งใส

หากต้องการจดทะเบียนมูลนิธิให้ถูกต้องตามกฎหมายและได้รับการยอมรับจากสังคม ควรดำเนินการดังนี้

1. กำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
วัตถุประสงค์ของมูลนิธิควรเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัวหรือการแสวงหากำไร

2. ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
ตั้งแต่การจดทะเบียน การจัดทำงบการเงิน ไปจนถึงการรายงานการดำเนินงานต่อกรมสรรพากร

3. โปร่งใสในเรื่องการเงิน
การจัดทำบัญชีและการใช้เงินของมูลนิธิต้องมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้

4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและภาษี
เพื่อป้องกันความผิดพลาดในกระบวนการจดทะเบียนและการบริหารจัดการ

การตั้งมูลนิธิเพื่อลดภาษี เป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่?

การตั้งมูลนิธิเพื่อเลี่ยงภาษีไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย มูลนิธิถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่เป็นเครื่องมือทางภาษีสำหรับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง การดำเนินงานที่ไม่โปร่งใสอาจนำไปสู่บทลงโทษที่ร้ายแรง

ดังนั้น หากท่านสนใจตั้งมูลนิธิเพื่อวัตถุประสงค์ที่ดีและต้องการลดหย่อนภาษี ควรดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายและขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายหรือภาษี เพื่อให้การจัดตั้งและการบริหารงานเป็นไปอย่างราบรื่นและได้รับการยอมรับจากสังคมในระยะยาว

เหตุผลที่ควรปรึกษาทนายเมื่อมีการตั้งมูลนิธิ

1.ความเข้าใจในข้อกฎหมาย
ทนายความมีความเชี่ยวชาญในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการตั้งมูลนิธิ รวมถึงกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายภาษีอากร การปรึกษาทนายช่วยให้คุณเข้าใจข้อกำหนดทางกฎหมายและสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง

2.การร่างเอกสารที่สมบูรณ์และถูกต้อง
การตั้งมูลนิธิต้องมีเอกสารจำนวนมาก เช่น หนังสือบริคณห์สนธิ วัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และรายละเอียดเกี่ยวกับการบริหารจัดการ ทนายจะช่วยตรวจสอบความถูกต้องและสมบูรณ์ของเอกสารเหล่านี้

3.ป้องกันปัญหาทางกฎหมายในอนาคต
หากมีการดำเนินงานผิดพลาด เช่น วัตถุประสงค์ของมูลนิธิขัดต่อกฎหมาย หรือการจัดการทางการเงินไม่โปร่งใส อาจนำไปสู่การเพิกถอนทะเบียนมูลนิธิหรือการดำเนินคดีทางกฎหมาย การปรึกษาทนายตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยป้องกันปัญหาเหล่านี้

4.คำแนะนำเกี่ยวกับภาษีอากร
แม้มูลนิธิจะได้รับการยกเว้นภาษีบางประเภท แต่ยังคงมีข้อกำหนดที่ต้องปฏิบัติ เช่น การจัดทำบัญชีและการรายงานผลการดำเนินงานต่อกรมสรรพากร ทนายความที่มีความรู้ด้านภาษีจะช่วยให้คุณบริหารจัดการภาษีได้อย่างถูกต้อง

5.ช่วยแก้ไขปัญหาหรือข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้น
หากมีข้อพิพาทเกี่ยวกับการบริหารจัดการหรือการใช้เงินของมูลนิธิ ทนายความจะช่วยให้คำแนะนำและดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม

ทำไมการปรึกษาทนายถึงเป็นสิ่งที่ควรทำ?

การตั้งมูลนิธิเป็นกระบวนการที่มีรายละเอียดซับซ้อน หากดำเนินการโดยไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ อาจทำให้เกิดปัญหาทางกฎหมายหรือการบริหารจัดการในระยะยาว การปรึกษาทนายช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า

ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานการณ์เฉพาะ
ทนายสามารถให้คำแนะนำที่ปรับตามความต้องการของคุณ เช่น การกำหนดโครงสร้างการบริหารงานที่เหมาะสม หรือการวางแผนภาษี

ทุกขั้นตอนดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย
ทนายความจะช่วยตรวจสอบว่าขั้นตอนการจดทะเบียน การร่างเอกสาร และการดำเนินงานสอดคล้องกับข้อกฎหมาย

ลดความเสี่ยงในการทำผิดกฎหมายโดยไม่ตั้งใจ
ทนายสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น การใช้เงินของมูลนิธิในทางที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์

หากคุณต้องการตั้งมูลนิธิที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส การปรึกษาทนายเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ทนายความไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณดำเนินการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ยังช่วยวางรากฐานให้มูลนิธิของคุณดำเนินงานได้อย่างราบรื่นในระยะยาว เพื่อให้มูลนิธิสามารถสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้อย่างแท้จริง