ในยุคที่ทุกธุรกิจต้องพึ่งพาระบบคอมพิวเตอร์ ฐานข้อมูล และเทคโนโลยีในการดำเนินงาน ความเสียหายจาก “ข้อมูลสูญหาย” หรือ “ระบบถูกทำลาย” ไม่เพียงแต่กระทบต่อการทำงานประจำวันเท่านั้น แต่ยังอาจสร้างผลกระทบทางธุรกิจมูลค่ามหาศาล เช่น สูญเสียลูกค้ารายใหญ่ เสียดีลสำคัญ หรือทำให้ชื่อเสียงองค์กรเสียหาย
แต่หากเหตุการณ์นี้เกิดจากพนักงานภายในบริษัทเอง โดยเฉพาะในกรณีที่ลูกจ้างไม่พอใจนายจ้าง แล้วจงใจทำให้ระบบเสียหาย กรณีแบบนี้นายจ้างจะสามารถดำเนินการทางกฎหมายอย่างไรได้บ้าง?
และจะฟ้องอย่างไรให้เข้ากับ มาตรา 12/1 ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550?
ลูกจ้างทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทเสียหาย

สมมติว่า นาย A เป็นพนักงานฝ่าย IT ของบริษัทหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่ดูแลระบบฐานข้อมูลลูกค้า หลังจากเกิดความขัดแย้งกับผู้บริหาร นาย A เกิดความไม่พอใจและใช้สิทธิ์การเข้าถึงระบบ (Access) ของตนเองลบข้อมูลฐานลูกค้าออกจากระบบ พร้อมเปลี่ยนรหัสผ่านให้ผู้อื่นเข้าใช้งานไม่ได้
ผลลัพธ์คือ ข้อมูลลูกค้าหายไปทั้งหมด ดีลมูลค่าหลายล้านบาทต้องล่ม และบริษัทต้องหยุดชะงักการดำเนินงานชั่วคราว ความเสียหายนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง “ข้อมูลหาย” แต่ส่งผลต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัทโดยตรง
กรณีแบบนี้ถือเป็นการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์โดยลูกจ้างของบริษัทเอง ซึ่งเข้าข่ายตาม มาตรา 12/1 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ
เข้าใจ “มาตรา 12/1” ให้ชัดเจนก่อนฟ้อง

อ้างอิงตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560
มาตรา 12 ถ้าการกระทำผิดตามาตรา 5 มาตรา 5 มาตรา 7 มาตรา 8 หรือมาตรา 11 เป็นการกระทำต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
ถ้าการกระทำผิดตามวรรคหนึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ดังกล่าว ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
ถ้าการกระทำผิดตามมาตรา 9 หรือ มาตรา 10 เป็นการกระทำต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ตามวรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท
นายจ้างสามารถดำเนินการอะไรได้บ้าง?

เมื่อเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ นายจ้างสามารถดำเนินการได้ทั้งทางแพ่ง และทางอาญา ดังนี้
1. ดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 12/1
นายจ้างสามารถเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยนำหลักฐาน เช่น
- Log การเข้าใช้งานระบบ
- หลักฐานการลบหรือแก้ไขข้อมูล
- พยานบุคคล หรืออีเมล/ข้อความที่แสดงเจตนาทำลายระบบ
เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีในข้อหา “ทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นเสียหายโดยมิชอบ” ตามมาตรา 12/1 ได้โดยตรง ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. ฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง
นอกจากคดีอาญาแล้ว นายจ้างยังสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากพนักงานได้ด้วย เช่น
- ค่าสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ
- ค่าซ่อมแซมระบบหรือกู้ข้อมูล
- ค่าชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือที่เสียไป
ทั้งนี้ต้องสามารถพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้ว่า ความเสียหายดังกล่าวเกิดจากการกระทำโดยตรงของพนักงานคนดังกล่าว
3. ดำเนินการทางวินัยแรงงาน
หากยังอยู่ในสถานะลูกจ้าง บริษัทสามารถดำเนินการทางวินัย เช่น เลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย เนื่องจากเป็นการกระทำผิดร้ายแรงตามมาตรา 119 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งระบุว่า
“ลูกจ้างที่กระทำความผิดอย่างร้ายแรงต่อหน้าที่ หรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย นายจ้างมีสิทธิโดยชอบธรรมในการเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย”
การพิสูจน์ “เจตนา” เป็นหัวใจสำคัญของคดี

คดีประเภทนี้ ศาลจะพิจารณาจากเจตนา (intent) ของพนักงานเป็นสำคัญ
หากเป็นเพียงความประมาทเลินเล่อ เช่น ทำข้อมูลหายโดยไม่ตั้งใจ หรือระบบพังจากความผิดพลาดทางเทคนิค อาจไม่เข้าองค์ประกอบของมาตรา 12/1
แต่หากมีพฤติการณ์ที่แสดงว่า
- ตั้งใจลบข้อมูล
- ปิดกั้นการเข้าถึงระบบ
- หรือแก้ไขไฟล์สำคัญให้ใช้งานไม่ได้
พฤติการณ์เหล่านี้ย่อมเป็น “เจตนาทำให้เสียหาย” ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายแน่นอน
ข้อควรระวังของนายจ้าง
แม้บริษัทจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง แต่การดำเนินการใด ๆ กับพนักงานต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมายแรงงานด้วย
เช่น การเลิกจ้างต้องมีหลักฐานชัดเจน และดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อไม่ให้กลายเป็นคดีฟ้องกลับในภายหลัง
นอกจากนี้ การเข้าถึงบัญชีส่วนตัวของพนักงานโดยไม่มีคำสั่งศาล อาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้เช่นกัน
ดังนั้น การเก็บรวบรวมพยานหลักฐานควรให้ทนายผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดำเนินการตรวจสอบตั้งแต่ต้น
ทำไมต้องมีทนายร่วมดำเนินการตั้งแต่แรก?

เพราะคดีลักษณะนี้เป็นคดีที่เกี่ยวพันทั้ง
- กฎหมายอาญา (ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์เสียหาย)
- กฎหมายแพ่ง (เรียกค่าเสียหาย)
- และ กฎหมายแรงงาน (สิทธิของลูกจ้าง)
หากนายจ้างดำเนินการผิดขั้นตอน เช่น เลิกจ้างไม่ถูกต้อง หรือฟ้องโดยไม่มีหลักฐานเพียงพอ อาจทำให้เรื่องซับซ้อนและเสียเปรียบทางกฎหมายได้ในภายหลัง
นายจ้างอย่าเพิ่งหาทางออกเอง ปรึกษาทนายก่อนดีที่สุด

เมื่อเกิดเหตุพนักงานทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทเสียหาย ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือความโกรธชั่ววูบ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ “อย่ารีบตัดสินใจเอง” เพราะคดีลักษณะนี้เกี่ยวพันหลายกฎหมาย และลูกจ้างยังคงได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน
การปรึกษาทนายความตั้งแต่ต้น จะสามารถทำให้นายจ้างประเมินได้ว่า
- จะดำเนินคดีในข้อหาใด
- ต้องเก็บหลักฐานแบบไหน
- และควรฟ้องในลักษณะใดให้เข้ากับ “มาตรา 12/1” อย่างมีประสิทธิภาพ
สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินคดีให้กับนายจ้างหรือบริษัทที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของพนักงาน โดยทีมทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านคดีแรงงานและคดีคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ ปรึกษาทนายความ คลิก >>ติดต่อเรา<<
อย่าเพิ่งหาทางออกเอง ปรึกษาทนายก่อนทุกครั้ง เพื่อปกป้องสิทธิของบริษัทคุณให้ปลอดภัยที่สุด






