ฟ้องหุ้นต้องศาลที่ไหน? ไทยหรือจีน เมื่อหุ้นส่วนต่างชาติร่วมธุรกิจข้ามประเทศ

การจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ไม่ได้ซับซ้อนเฉพาะเรื่องเอกสารเท่านั้น แต่ในทางกฎหมายแล้ว หากหุ้นส่วนอยู่คนละประเทศ เช่น ชาวจีนกับชาวไทยร่วมกันทำธุรกิจ ก็อาจเกิดข้อสงสัยได้ว่า “หากเกิดปัญหาฟ้องร้องกัน ต้องขึ้นศาลประเทศไหน?” บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจง่าย พร้อมกรณีศึกษาที่พบได้จริงในทางปฏิบัติ

กรณีตัวอย่าง : หุ้นส่วนไทย–จีน ร่วมเปิดบริษัทในไทย แต่สัญญาธุรกิจทำที่จีน

นาย A ชาวจีน และนาย B ชาวไทย ร่วมกันทำธุรกิจโดยเริ่มต้น ทำสัญญาธุรกิจที่ประเทศจีน ก่อน ต่อมานาย A ได้มาตั้งบริษัทที่ประเทศไทย โดยให้นาย B ถือหุ้นบางส่วนเพื่อเป็นหุ้นส่วนในบริษัทไทยแห่งนี้

เวลาผ่านไป ธุรกิจเริ่มมีรายได้มากขึ้น แต่นาย A ในฐานะเจ้าของบริษัทตัวจริงกลับเห็นว่าควรได้ถือหุ้นทั้งหมด และต้องการ “ฟ้องเอาหุ้นคืน” จากนาย B ที่ถือหุ้นอยู่ในบริษัทไทย

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ
“แบบนี้ต้องฟ้องที่ศาลไทย หรือศาลจีน?”
คำตอบขึ้นอยู่กับ “ข้อเท็จจริงทางกฎหมาย” ที่เกี่ยวข้องกับ การจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท และ เขตอำนาจศาล ในแต่ละประเทศ

หลักกฎหมายว่าด้วย “เขตอำนาจศาล”

ในคดีลักษณะนี้ สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาคือ ข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับประเทศใดโดยตรง เช่น

  • หากเป็นเรื่องการทำสัญญา ที่จีน เช่น การร่วมลงทุน การแบ่งผลกำไร หรือการตกลงถือหุ้น ถือว่าเป็น “ข้อพิพาทเกิดขึ้นในประเทศจีน” ศาลจีนย่อมมีอำนาจพิจารณาคดี
  • แต่หากเป็นเรื่อง การถือหุ้นในบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ไม่ว่าจะผู้ถือหุ้นเป็นใครก็ตาม การฟ้องร้องเกี่ยวกับหุ้น บริษัท หรือการเพิกถอนชื่อในทะเบียนหุ้น จะถือว่าเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลไทย

กล่าวคือ ถ้า “หุ้น” ที่ฟ้องเรียกคืนอยู่ในบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย
แม้ว่าจะมีสัญญาเกิดขึ้นที่จีน หรือผู้ถือหุ้นบางส่วนเป็นชาวจีน ก็ยังต้อง “ฟ้องที่ศาลไทย” เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับนิติบุคคลที่จดทะเบียนในไทย ซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายไทย 

ความสำคัญของ “การจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท” ที่ถูกต้อง

กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าการจดทะเบียนบริษัทหรือการจดทะเบียนหุ้นส่วนอย่างถูกต้อง มีผลโดยตรงต่อเขตอำนาจศาลและสิทธิของผู้ถือหุ้น

หากตอนเริ่มต้น นาย A และนาย B มีการระบุเงื่อนไขการถือหุ้นและการโอนหุ้น ไว้ชัดเจนในสัญญา  เช่น กำหนดว่า หากมีข้อพิพาทให้ใช้ศาลใดเป็นผู้พิจารณา (เรียกว่า “ข้อกำหนดเขตอำนาจศาล” หรือ jurisdiction clause) ปัญหานี้จะสามารถตัดสินได้ง่ายขึ้น

แต่ในทางปฏิบัติ หลายคู่หุ้นส่วนไม่ได้ใส่เงื่อนไขนี้ในสัญญา ทำให้เมื่อเกิดข้อพิพาท ต้องมาพิสูจน์กันภายหลังว่า “ข้อพิพาทนี้เกิดขึ้นที่ไหน” และ “ศาลใดมีอำนาจรับฟ้อง”

ดังนั้น ในขั้นตอน การจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท โดยเฉพาะกรณีที่มีชาวต่างชาติร่วมลงทุน เช่น ชาวจีน ชาวสิงคโปร์ หรือชาวญี่ปุ่น จึงควรมีทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ เข้ามาดำเนินการตรวจร่างสัญญา เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลและสิทธิในหุ้นในอนาคต

การฟ้องร้องเรียกคืนหุ้นในบริษัทไทย

สำหรับกรณีของนาย A และนาย B ข้างต้น หากบริษัทที่มีหุ้นพิพาทนั้น จดทะเบียนในประเทศไทย การฟ้องร้องเรียกคืนหุ้นจะต้องยื่นฟ้องต่อศาลไทย โดยสามารถดำเนินคดีได้ในลักษณะคดีแพ่ง (civil case) เช่น

  • ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนชื่อผู้ถือหุ้นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  • ฟ้องขอให้โอนหุ้นคืน
  • ฟ้องขอให้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากหุ้น

ศาลไทยจะพิจารณาตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวดบริษัทจำกัด รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนหุ้น เช่น หนังสือบริคณห์สนธิ รายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) และหลักฐานการชำระค่าหุ้น

ในขณะเดียวกัน หากนาย A เห็นว่ามีการละเมิดสัญญาที่ทำกันไว้ที่จีน ก็สามารถฟ้องที่ศาลจีนได้อีกคดีหนึ่ง แต่ผลของคดีที่จีนจะไม่มีผลโดยตรงต่อทะเบียนหุ้นในบริษัทไทย เว้นแต่จะมีการร้องขอให้ศาลไทยรับรองคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ (ซึ่งต้องผ่านกระบวนการพิเศษและใช้เวลา)

ธุรกิจข้ามชาติ จำเป็นต้องเข้าใจ “กฎหมายสองระบบ”

ธุรกิจที่มีผู้ถือหุ้นต่างชาติจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ให้ถูกต้องตามกฎหมายไทยเท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจ “ระบบกฎหมายของประเทศต้นทาง” ของผู้ถือหุ้นด้วย

เช่น หากผู้ถือหุ้นเป็นชาวจีน กฎหมายของจีนอาจมีเงื่อนไขเรื่องการถือหุ้น การลงทุนในต่างประเทศ หรือข้อจำกัดด้านสกุลเงิน ซึ่งแตกต่างจากของไทย การมีทีมทนายที่เข้าใจกฎหมายทั้งสองระบบ จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการวางโครงสร้างธุรกิจระหว่างประเทศอย่างปลอดภัย

พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินคดีให้คุณได้ทั้งประเทศไทยและประเทศจีน-สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

ในกรณีที่คุณหรือบริษัทของคุณมีหุ้นส่วนต่างชาติ หรือมีข้อพิพาทเกี่ยวกับหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทไทย แนะนำให้รีบปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท และกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อประเมินว่าควรดำเนินคดีในประเทศใด และต้องเตรียมเอกสารอย่างไร

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ (Wongsakorn Law Office)
มีทีมทนายความที่เชี่ยวชาญทั้งกฎหมายไทยและกฎหมายต่างประเทศ โดยเฉพาะทนายความชาวจีนประจำสำนักงาน ที่สามารถดำเนินคดีและประสานงานได้ทั้งในไทยและจีนอย่างมืออาชีพ

ไม่ว่าคดีของคุณจะเกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนบริษัท การโอนหุ้น การฟ้องเรียกคืนหุ้น หรือข้อพิพาทระหว่างผู้ถือหุ้นต่างชาติ
เราพร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินคดีให้คุณได้ทั้งที่ประเทศไทยและประเทศจีน

เมื่อมีข้อพิพาทเรื่องหุ้นในบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย แม้สัญญาธุรกิจจะทำกันที่ต่างประเทศก็ตาม คดีมักอยู่ในเขตอำนาจของศาลไทย เพราะเกี่ยวข้องกับนิติบุคคลที่จดทะเบียนในไทย
ดังนั้น ผู้ถือหุ้นต่างชาติหรือผู้ร่วมลงทุนควรทำความเข้าใจเรื่องการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น พร้อมร่างสัญญาให้ครอบคลุมเงื่อนไขเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลและการโอนหุ้น เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายในอนาคต

การจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ทำไมต้องปรึกษาทนายตั้งแต่แรก? เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการเริ่มต้นที่ผิด

ในยุคที่ผู้คนเริ่มหันมาทำธุรกิจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจครอบครัว ธุรกิจสตาร์ทอัป หรือธุรกิจระหว่างเพื่อน การ “จดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท” ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของทุกกิจการ เพราะเป็นการกำหนดสถานะทางกฎหมายของธุรกิจ และเป็นพื้นฐานของสิทธิ หน้าที่ และความสัมพันธ์ระหว่าง “หุ้นส่วน” หรือ “ผู้ถือหุ้น” ทุกคนในองค์กร

แต่ในความเป็นจริง หลายคนกลับมองว่าการจดทะเบียนบริษัทเป็นเพียง “ขั้นตอนทางเอกสาร” ที่สามารถทำเองได้ หรือให้สำนักงานบัญชีทั่วไปดำเนินการแทนโดยไม่ต้องปรึกษาทนายความ ทั้งที่ “ขั้นตอนนี้” คือจุดเริ่มต้นของความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจในอนาคตโดยไม่รู้ตัว

จดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทไม่ใช่แค่กรอกเอกสาร แต่คือการกำหนดโครงสร้างอำนาจขององค์กร

หลายคนเข้าใจว่าการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทคือแค่การยื่นแบบฟอร์ม วางทุนจดทะเบียน และระบุกรรมการให้ครบตามที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด แต่แท้จริงแล้ว ขั้นตอนนี้คือการ “ออกแบบกติกาขององค์กร” ที่มีผลผูกพันทางกฎหมายในระยะยาว

เพราะในเอกสารเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น

  • วัตถุประสงค์ของบริษัท
  • สัดส่วนการถือหุ้น
  • อำนาจกรรมการ
  • เงื่อนไขการลงคะแนนเสียง
  • หรือแม้แต่ข้อกำหนดเรื่องการโอนหุ้น

ทุกบรรทัดล้วนมีความหมายทางกฎหมายที่สามารถ “สร้างอำนาจ” หรือ “ตัดสิทธิ์” หุ้นส่วนบางคนได้โดยไม่รู้ตัว

ตัวอย่างเช่น
หุ้นส่วนบางรายยอมเซ็นเอกสารให้เพื่อนเป็นกรรมการผู้มีอำนาจเพียงคนเดียวโดยไม่ได้ระบุข้อจำกัดใด ๆ ผลคือเมื่อเกิดความขัดแย้ง หุ้นส่วนที่เหลือกลับไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบัญชีธนาคารของบริษัท หรือแม้แต่เอกสารสำคัญ เพราะกรรมการมีอำนาจเพียงผู้เดียวตามที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ

เริ่มต้นผิด = ปัญหาย้อนหลังที่แก้ยาก

ทนายความที่ปรึกษาธุรกิจมักพบปัญหาซ้ำ ๆ จากการที่ผู้ประกอบการเริ่มต้นโดยไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย เช่น

1.หุ้นส่วนขัดแย้งกันเรื่องผลกำไรหรืออำนาจการบริหาร
เพราะในตอนเริ่มต้นไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าใครมีสิทธิตัดสินใจในเรื่องใด ใครมีหน้าที่ลงทุนเท่าไร หรือผลตอบแทนจะคำนวณอย่างไร

2.เปลี่ยนหุ้นส่วนไม่ได้ เพราะโครงสร้างในสัญญาไม่รองรับ
บางบริษัทเขียนข้อตกลงแบบ “ภาษาชาวบ้าน” โดยไม่รู้ว่ามีผลผูกพันไม่สมบูรณ์ หรือขัดต่อกฎหมาย ทำให้ภายหลังไม่สามารถโอนหุ้นหรือเปลี่ยนผู้ถือหุ้นได้ตามที่ต้องการ

3.เสียภาษีหรือค่าธรรมเนียมโดยไม่จำเป็น
เพราะเลือกจดทะเบียนในรูปแบบที่ไม่เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจ เช่น ควรเป็น “บริษัทจำกัด” แต่กลับจดเป็น “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” ทำให้เสียภาษีมากกว่าหรือขาดสิทธิประโยชน์ทางภาษีบางอย่าง

4.ต้องแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิซ้ำ ๆ
เนื่องจากไม่ได้วางแผนโครงสร้างตั้งแต่แรก ทำให้ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการแก้ไขข้อมูลซ้ำหลายรอบ

และที่สำคัญที่สุดคือเมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างจะย้อนกลับไปที่ “ตอนจดทะเบียน” ว่าเอกสารและสัญญาที่ทำไว้ระบุอย่างไร ซึ่งหากเขียนไม่รัดกุมหรือไม่ชัดเจน ก็จะเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามใช้เป็นข้อได้เปรียบในทางคดี

ทำไม “ทนายความ” ถึงควรเข้ามามีส่วนตั้งแต่เริ่มจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท?

1.วิเคราะห์โครงสร้างธุรกิจและความเสี่ยงทางกฎหมายได้ลึกกว่า
ทนายไม่เพียงสามารถยื่นจดทะเบียนให้สำเร็จเท่านั้น แต่ยังสามารถออกแบบโครงสร้างทางธุรกิจให้เหมาะสมกับลักษณะกิจการ เช่น ควรจดเป็น “บริษัทจำกัด” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ ภาษี และการขยายกิจการในอนาคต

2.จัดทำข้อตกลงระหว่างผู้ถือหุ้น (Shareholders’ Agreement)
ข้อตกลงนี้สำคัญกว่าหนังสือบริคณห์สนธิ เพราะเป็นเอกสารที่กำหนดกติกาภายในระหว่างหุ้นส่วน เช่น การโอนหุ้น การตัดสินใจทางธุรกิจ การเพิ่มทุน การแต่งตั้งกรรมการ หรือการออกจากบริษัท ซึ่งถ้าไม่มีข้อตกลงนี้ เมื่อเกิดปัญหาจะหาทางออกได้ยากมาก

3.ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทางกฎหมายทั้งหมด
เช่น ชื่อบริษัทไม่ซ้ำกับผู้อื่น วัตถุประสงค์ของบริษัทสอดคล้องกับประเภทธุรกิจจริง และไม่มีข้อความที่ขัดต่อกฎหมายหรือนโยบายของรัฐ

4.ป้องกันปัญหาภาษีและข้อพิพาทในอนาคต
ทนายความที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจจะสามารถดำเนินการวางแผนภาษีตั้งแต่ต้น เช่น วิธีจัดโครงสร้างทุน การถือหุ้นของคนไทยและต่างชาติ หรือการทำสัญญากู้ยืมระหว่างผู้ถือหุ้นให้ถูกต้องตามกฎหมาย

5.สามารถทำให้ธุรกิจมีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ
การจดทะเบียนอย่างถูกต้องและมีเอกสารครบถ้วนที่จัดทำโดยทนายความมืออาชีพ จะสามารถเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน คู่ค้า และสถาบันการเงินได้เป็นอย่างดี

รอให้มีปัญหาแล้วค่อยมาปรึกษาทนาย = เสียทั้งเวลาและเงิน

หลายบริษัทเลือกที่จะมาปรึกษาทนายเมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นแล้ว เช่น หุ้นส่วนถอนตัวโดยไม่แจ้งล่วงหน้า บริษัทถูกฟ้อง หรือมีปัญหากับภาษี ซึ่งในจุดนั้นมัก “สายเกินไป” เพราะเอกสารต้นฉบับที่จดทะเบียนไว้ไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ทั้งหมด

การให้ทนายเข้ามามีบทบาทตั้งแต่เริ่มต้นจึงเป็น “การลงทุนเพื่อป้องกันความเสียหาย” มากกว่าการแก้ปัญหาในภายหลัง เพราะเอกสารทุกฉบับตั้งแต่วันแรกคือ “รากฐานทางกฎหมายของบริษัท” หากเริ่มต้นถูกต้อง คุณจะไม่ต้องกลับมาเสียค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อนเพื่อแก้ไขหรือสู้คดีในภายหลัง

ให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ดูแลการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทของคุณตั้งแต่วันแรก

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ พร้อมให้บริการครบวงจรด้าน การจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท และการวางโครงสร้างธุรกิจอย่างมืออาชีพ
บริการของเราครอบคลุม

  • การให้คำปรึกษาโครงสร้างผู้ถือหุ้นและกรรมการ
  • การจัดทำข้อตกลงผู้ถือหุ้น (Shareholders’ Agreement)
  • การร่างและตรวจเอกสารหนังสือบริคณห์สนธิ
  • การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด
  • การให้คำปรึกษาด้านภาษีและกฎหมายธุรกิจต่อเนื่อง

ทีมทนายความของเรามีประสบการณ์ตรงในการดูแลธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เข้าใจทั้งกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายภาษี และขั้นตอนทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้าอย่างละเอียด เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าการเริ่มต้นธุรกิจของคุณจะมั่นคง ถูกต้อง และปลอดภัยในทุกขั้นตอน

“การจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท” ไม่ใช่แค่การเริ่มต้นธุรกิจ แต่คือการวางรากฐานทางกฎหมายขององค์กรในระยะยาว

 อย่ารอให้มีปัญหาแล้วค่อยมาปรึกษาทนาย เพราะเมื่อถึงตอนนั้น สิ่งที่แก้ได้อาจไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นส่วน แต่คือการต่อสู้ในชั้นศาล ให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ดูแลคุณตั้งแต่วันแรก เพื่อให้ธุรกิจของคุณเริ่มต้นอย่างมั่นใจ ถูกต้อง และปลอดภัย คลิก >>ติดต่อเรา<<

ทำไมบริษัทหรือองค์กรควรมี “ที่ปรึกษากฎหมาย” ไว้ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่รอแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ?

ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและความซับซ้อนของกฎหมาย การดำเนินงานของบริษัทหรือองค์กรไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ย่อมหลีกเลี่ยงการเกี่ยวข้องกับกฎหมายไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น สัญญา แรงงาน ทรัพย์สินทางปัญญา ภาษี หรือข้อกำหนดของภาครัฐ ทั้งหมดนี้มีผลโดยตรงต่อความมั่นคงและความก้าวหน้าของธุรกิจ หากองค์กรยังไม่มี ที่ปรึกษากฎหมาย เมื่อเกิดปัญหาขึ้น การแก้ไขอาจสายเกินไป และทำให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย หรือแม้แต่เสียชื่อเสียงขององค์กร

บทความนี้จะอธิบายให้เห็นว่า ทำไมบริษัทหรือองค์กรควรมี ที่ปรึกษากฎหมาย ไว้ตั้งแต่ต้น มากกว่าการรอให้เกิดปัญหาแล้วจึงค่อยหาทนายมาช่วยแก้ไข

ที่ปรึกษากฎหมายคือใคร และทำหน้าที่อะไร?

ที่ปรึกษากฎหมาย คือทนายความหรือนักกฎหมายที่ทำหน้าที่ให้คำแนะนำ วิเคราะห์ความเสี่ยง และวางแผนด้านกฎหมายให้กับองค์กร โดยอาจทำงานในรูปแบบรายเดือน รายโครงการ หรือเป็นการว่าจ้างเฉพาะเรื่อง จุดเด่นของที่ปรึกษากฎหมาย คือการทำงานเชิงป้องกัน ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ช่วยให้องค์กรดำเนินงานไปในทิศทางที่ถูกต้องตั้งแต่แรก

หน้าที่หลักของที่ปรึกษากฎหมาย ได้แก่

  • ตรวจสอบและร่างสัญญา เพื่อป้องกันข้อพิพาทในอนาคต
  • ให้คำแนะนำด้านกฎหมายแรงงาน ป้องกันปัญหากับลูกจ้าง
  • ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายของธุรกิจ (compliance)
  • ดูแลเรื่องการจดทะเบียนบริษัท การควบรวมกิจการ หรือการลงทุน
  • ให้คำปรึกษาเมื่อเกิดข้อพิพาท และวางแนวทางสู้คดี

ปัญหาที่พบบ่อยเมื่อไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย

หลายบริษัทเลือกที่จะ “ประหยัดค่าใช้จ่าย” โดยไม่มีที่ปรึกษากฎหมายประจำ แต่ผลที่ตามมามักสร้างภาระมากกว่า ตัวอย่างเช่น

  1. ปัญหาสัญญาไม่รัดกุม – ธุรกิจจำนวนมากทำสัญญาโดยใช้แบบฟอร์มทั่วไป โดยไม่ได้ให้ทนายตรวจสอบ ส่งผลให้เมื่อเกิดข้อพิพาท เอกสารไม่สามารถคุ้มครองสิทธิของบริษัทได้เต็มที่
  2. ข้อพิพาทแรงงาน – นายจ้างหลายรายเผลอทำผิดกฎหมายแรงงานโดยไม่รู้ตัว เช่น เลิกจ้างไม่ถูกวิธี ไม่จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย ทำให้ถูกฟ้องร้องและต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวนมาก
  3. ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา – บางองค์กรนำรูปภาพ ซอฟต์แวร์ หรือเนื้อหามาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจนำไปสู่การถูกฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์หรือเครื่องหมายการค้า
  4. ปัญหาภาษีและการตรวจสอบ – การดำเนินธุรกิจโดยไม่มีการตรวจสอบด้านกฎหมายและบัญชี อาจทำให้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายสรรพากรอย่างถูกต้อง จนถูกเรียกค่าปรับหรือดอกเบี้ยจำนวนมาก

ปัญหาเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากการ “ขาดการป้องกัน” หากมีที่ปรึกษากฎหมายตั้งแต่ต้น ปัญหาหลายอย่างสามารถหลีกเลี่ยงได้

ข้อดีของการมีที่ปรึกษากฎหมาย

การมี ที่ปรึกษากฎหมาย ไม่ได้เป็นค่าใช้จ่ายที่สูญเปล่า แต่เป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัยขององค์กร ข้อดีที่ชัดเจนคือ

  1. ป้องกันก่อนเกิดปัญหา – แทนที่จะรอให้เกิดข้อพิพาทแล้วค่อยหาทนาย ที่ปรึกษากฎหมายจะช่วยตรวจสอบความเสี่ยงและวางแผนลดความเสี่ยงได้ตั้งแต่แรก
  2. ประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว – การแก้ปัญหาหลังเกิดข้อพิพาทมักมีค่าใช้จ่ายสูง ไม่ว่าจะเป็นค่าทนาย ค่าศาล หรือค่าเสียหาย แต่ถ้ามีที่ปรึกษา องค์กรจะจ่ายเฉพาะค่าบริการประจำที่คุ้มค่ากว่า
  3. สร้างความน่าเชื่อถือ – ลูกค้า นักลงทุน และคู่ค้า มักให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีการจัดการด้านกฎหมายอย่างเป็นระบบ การมีที่ปรึกษากฎหมายจึงช่วยเพิ่มความมั่นใจ
  4. ยกระดับมาตรฐานองค์กร – ที่ปรึกษากฎหมายช่วยให้บริษัททำงานตามกรอบกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง ส่งผลต่อความโปร่งใสและธรรมาภิบาล
  5. ที่พึ่งยามวิกฤต – หากเกิดปัญหากะทันหัน ที่ปรึกษากฎหมายที่รู้จักธุรกิจอยู่แล้ว จะสามารถเข้ามาช่วยแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีและตรงจุด

ตัวอย่างสถานการณ์จริง

  • บริษัทขนาดเล็กแห่งหนึ่งถูกฟ้องเพราะละเมิดสัญญา เนื่องจากไม่ได้อ่านรายละเอียดข้อกำหนดการชำระเงินในสัญญา ผลคือเสียหายหลักล้าน ทั้งที่หากมีที่ปรึกษากฎหมายตรวจสอบตั้งแต่แรก จะสามารถแก้ไขเงื่อนไขก่อนเซ็นได้
  • โรงงานแห่งหนึ่งเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย ถูกฟ้องแรงงานจนต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ หากมีที่ปรึกษากฎหมาย จะได้รับคำแนะนำวิธีเลิกจ้างที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ทำไมควรเริ่มหาที่ปรึกษากฎหมายตั้งแต่วันนี้?

การบริหารองค์กรในยุคปัจจุบันไม่สามารถแยกออกจากกฎหมายได้ การแข่งขันสูงขึ้น ข้อกำหนดเข้มงวดขึ้น และความเสี่ยงก็เพิ่มมากขึ้น หากรอจนเกิดปัญหาจึงหาทนายมาช่วยแก้ไข มักจะสายเกินไป

การมี ที่ปรึกษากฎหมาย ตั้งแต่ต้นจึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของธุรกิจ ช่วยให้องค์กรเดินหน้าได้อย่างมั่นใจ ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย และสร้างความน่าเชื่อถือทั้งในสายตาคู่ค้าและสังคม

การมีที่ปรึกษากฎหมายคือเกราะป้องกันอนาคตขององค์กร

“ป้องกันย่อมดีกว่าแก้ไข” เป็นคำที่ใช้ได้เสมอ โดยเฉพาะกับเรื่องกฎหมาย สำหรับบริษัท ธุรกิจ หรือองค์กรที่ยังไม่มี ที่ปรึกษากฎหมาย การตัดสินใจมีที่ปรึกษาไว้ตั้งแต่วันนี้คือการสร้างเกราะป้องกันสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรมั่นคง ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายไปกับการแก้ไขที่ปลายเหตุ

หากคุณกำลังมองหาที่ปรึกษากฎหมายเพื่อให้องค์กรเดินไปอย่างมั่นใจ นี่คือก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณปลอดภัย แข็งแรง และเติบโตได้อย่างยั่งยืน

 👉 ติดต่อที่ปรึกษากฎหมายกับสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ หรือ

👉 ปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญได้ที่นี่

ลูกจ้างลาออกแล้วลบอีเมลบริษัท ผิดกฎหมายหรือไม่? แล้วนายจ้างควรทำอย่างไรดี?

ในยุคที่ธุรกิจส่วนใหญ่ดำเนินการผ่านระบบดิจิทัล ข้อมูลที่เก็บอยู่ในอีเมลของบริษัทถือเป็นทรัพย์สินทางธุรกิจที่สำคัญอย่างมาก ปัญหาที่พบได้บ่อยคือ เมื่อพนักงานลาออกแล้วลบอีเมลหรือไฟล์ข้อมูลของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า คู่ค้า หรือโครงการสำคัญ ซึ่งอาจทำให้นายจ้างสูญเสียประโยชน์ทางธุรกิจ

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “การกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายหรือไม่?” และ “นายจ้างควรดำเนินการอย่างไรภายใต้กรอบกฎหมาย?”

การลบอีเมลบริษัทเกี่ยวข้องกับกฎหมายใดบ้าง?

1.      กฎหมายแรงงาน
หากลูกจ้างลบข้อมูลขณะยังเป็นพนักงานอยู่ การกระทำดังกล่าวอาจถือเป็นความผิดร้ายแรงตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 ที่ระบุว่า นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย หากลูกจ้างจงใจทำให้นายจ้างเสียหายอย่างร้ายแรง

แต่ถ้าลูกจ้างทำหลังพ้นสภาพการเป็นพนักงานแล้ว จะไม่ถือเป็นความผิดตามกฎหมายแรงงานโดยตรง เพราะไม่อยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างอีกต่อไป

2.      กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การลบข้อมูลบริษัทที่ก่อให้เกิดความเสียหาย เช่น สูญเสียสัญญากับลูกค้า อาจเข้าข่ายการ “ละเมิด” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ซึ่งกำหนดให้ผู้ทำละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหาย

3.      กฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
หากอดีตลูกจ้างเข้าไปในระบบอีเมลบริษัทแล้วลบข้อมูลโดยมิชอบ อาจผิด พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 9 ซึ่งกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ตัวอย่างกรณีศึกษาและคำพิพากษาศาล

1.      คำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
มีคดีหนึ่งที่ลูกจ้างลบข้อมูลการขายและรายชื่อลูกค้าก่อนลาออก ศาลแรงงานเห็นว่าเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อนายจ้าง จึงพิพากษาว่านายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน

2.      คดีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ในอีกกรณีหนึ่ง อดีตพนักงานแอบใช้รหัสผ่านเข้าไปในอีเมลบริษัทหลังลาออก แล้วลบไฟล์เอกสารโครงการที่กำลังจะเซ็นสัญญากับลูกค้า ศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี แต่ให้รอลงอาญา และปรับ 50,000 บาท เพราะถือว่าเป็นการเข้าถึงระบบและทำให้ข้อมูลเสียหายโดยมิชอบตามกฎหมายอาญา

นายจ้างจะทำอย่างไรได้บ้างภายใต้กฎหมาย?

เมื่อนายจ้างพบว่าลูกจ้างที่ลาออกไปได้ลบอีเมลหรือไฟล์สำคัญของบริษัท ควรดำเนินการตามขั้นตอนภายใต้กฎหมายอย่างระมัดระวัง

1.      เก็บหลักฐาน
สิ่งสำคัญที่สุดคือการเก็บข้อมูลและหลักฐานการกระทำ เช่น Log การเข้าใช้งานอีเมล, วันที่และเวลาที่ข้อมูลถูกลบ, ข้อความอีเมลที่ถูกทำลาย หลักฐานเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้สิทธิทางกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา

2.      ตรวจสอบสัญญาจ้างและข้อตกลงภายใน
หากบริษัทมีข้อตกลงการใช้ระบบไอทีหรือข้อห้ามเกี่ยวกับข้อมูลลับ ควรตรวจสอบว่า การกระทำของลูกจ้างเข้าข่ายผิดข้อตกลงดังกล่าวหรือไม่ เพื่อประกอบการดำเนินการทางกฎหมาย

3.      ใช้สิทธิตามกฎหมายแพ่ง
หากการลบอีเมลก่อให้เกิดความเสียหายจริง นายจ้างสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากอดีตลูกจ้างได้ โดยต้องแสดงหลักฐานว่ามีการละเมิดและมีความเสียหายเกิดขึ้นจริง

4.      ใช้สิทธิตามกฎหมายอาญา
หากเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นายจ้างสามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดีอาญากับอดีตลูกจ้างได้

แนวทางปฏิบัติสำหรับนายจ้าง

เพื่อป้องกันและรับมือกับปัญหานี้ นายจ้างควรดำเนินการดังต่อไปนี้

1.      จัดทำข้อตกลงการใช้ระบบสารสนเทศ
บริษัทควรกำหนดนโยบายหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้อีเมลและข้อมูล เช่น ห้ามลบอีเมลหรือไฟล์งานที่เกี่ยวข้องกับบริษัท เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากเกิดกรณีพิพาท

2.      จัดการระบบเข้าถึงข้อมูล
เมื่อลูกจ้างยื่นใบลาออก ควรมีขั้นตอนการระงับสิทธิ์การเข้าถึงระบบไอทีอย่างเป็นทางการทันทีเมื่อพ้นสภาพ เพื่อป้องกันการเข้ามาลบข้อมูลภายหลัง

3.      เก็บบันทึกการใช้งาน (Log file)
บริษัทควรเก็บ Log การใช้งานระบบคอมพิวเตอร์และอีเมลไว้เป็นหลักฐานทางกฎหมาย หากต้องฟ้องร้องในอนาคต

4.      ใช้สิทธิตามกฎหมายอย่างถูกต้อง

o    หากยังเป็นลูกจ้าง → ใช้สิทธิตาม กฎหมายแรงงาน เลิกจ้างด้วยเหตุร้ายแรง

o    หากพ้นจากการเป็นลูกจ้างแล้ว → ฟ้องเรียกค่าเสียหายตาม กฎหมายแพ่ง และ/หรือ แจ้งความตาม กฎหมายอาญาและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

5.      ปรึกษาทนายความก่อนดำเนินการ
การฟ้องร้องคดีที่เกี่ยวข้องกับหลายกฎหมายอาจซับซ้อน นายจ้างไม่ควรจัดการเองโดยปราศจากความรู้ เพราะอาจเสี่ยงทำผิดกฎหมายเสียเอง การมีทนายความช่วยตรวจสอบหลักฐานและวางกลยุทธ์จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด

ทำไมนายจ้างควรปรึกษาทนายความในเรื่องนี้?

ในกรณีซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับทั้งกฎหมายแรงงาน กฎหมายแพ่ง และกฎหมายอาญา การตัดสินใจผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้นายจ้างเสียเปรียบหรือเสี่ยงผิดกฎหมายเสียเอง การปรึกษาทนายความจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด เพราะ

  • ทนายความสามารถประเมินว่าควรใช้กฎหมายใดในการดำเนินการ
  • ช่วยตรวจสอบหลักฐานให้ครบถ้วน ลดความเสี่ยงการฟ้องร้องไม่สำเร็จ
  • วางกลยุทธ์ที่รัดกุมและป้องกันการละเมิดสิทธิแรงงานหรือสิทธิส่วนบุคคล

อย่างที่กล่าวไป แม้ว่านายจ้างมีสิทธิ์ตามกฎหมาย แต่การดำเนินการโดยไม่เข้าใจรายละเอียดของกฎหมายอาจสร้างความเสี่ยง เช่น

  • อาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูกจ้างโดยไม่ตั้งใจ เช่น การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • อาจใช้สิทธิไม่ถูกต้อง เช่น การฟ้องร้องโดยไม่มีหลักฐานเพียงพอ ซึ่งอาจทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น
  • อาจมีผลกระทบด้านแรงงานสัมพันธ์ หากมีลูกจ้างคนอื่นมองว่านายจ้างใช้อำนาจเกินขอบเขตกฎหมาย

ปรึกษาทนายความ ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดของนายจ้าง

กรณีลูกจ้างลาออกแล้วลบอีเมลบริษัท แม้จะไม่ผิดตาม กฎหมายแรงงาน หากกระทำหลังพ้นสภาพลูกจ้าง แต่ยังอาจผิดกฎหมายอื่น เช่น กฎหมายแพ่ง และ กฎหมายอาญา โดยเฉพาะ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่มีบทลงโทษชัดเจน

นายจ้างควรมีมาตรการป้องกัน เช่น การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล และการกำหนดข้อตกลงการใช้อีเมลของบริษัท หากเกิดเหตุขึ้นจริง ควรเก็บหลักฐานและใช้สิทธิทางกฎหมายให้ถูกต้อง และเหนือสิ่งอื่นใด การปรึกษาทนายความถือเป็นทางเลือกที่รอบคอบที่สุด เพราะจะช่วยให้นายจ้างใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงที่จะพลาดพลั้งจนทำผิดกฎหมายเสียเอง และขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในกระบวนการเกี่ยวกับเรื่องนี้คือการปรึกษาทนายความเพื่อการดำเนินการทางกฎหมายที่เหมาะสมและถูกต้องที่สุดสำหรับนายจ้าง คลิก >>ติดต่อเรา<<

อย่าเปิดบริษัท หากคุณยังไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย เพราะความเสี่ยงทางธุรกิจอาจเริ่มตั้งแต่วันแรกที่คุณจดทะเบียน

ธุรกิจที่ดีต้องเริ่มจากพื้นฐานทางกฎหมายที่มั่นคง

ปัจจุบันนี้การเปิดบริษัทหรือเริ่มต้นธุรกิจใหม่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญที่สุดในชีวิตของผู้ประกอบการก็ว่าได้ แต่ในความตื่นเต้นของการได้ทำในสิ่งที่ฝัน เจ้าของธุรกิจหลายคนกลับมองข้ามสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง นั่นคือ ที่ปรึกษากฎหมาย

มีนักธุรกิจหลายคนกำลังเข้าใจว่า การจดทะเบียนบริษัทคือการจัดการเอกสารไม่กี่แผ่นแล้วจบ แต่ในความเป็นจริง การก่อตั้งธุรกิจคือการก้าวเข้าสู่โลกของข้อกฎหมาย, สัญญา, ความเสี่ยงต่าง ๆ  และข้อผูกพันมากมายที่สามารถส่งผลเสียต่อธุรกิจในระยะยาวได้

เปรียบเทียบให้เห็นภาพแล้วในการก่อตั้งบริษัท หากคุณยังไม่มีที่ปรึกษากฎหมายก่อนเปิดบริษัท อาจหมายความว่าคุณกำลังเดินเข้าสู่สนามรบ โดยไม่มีชุดเกราะใด ๆ ป้องกันตัว


เปิดบริษัทโดยไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย = เปิดประตูรับปัญหา


การเริ่มต้นธุรกิจไม่ใช่แค่การมีไอเดียดีหรือมีเงินทุนพร้อม แต่ยังต้องมี “พื้นฐานทางกฎหมาย” ที่มั่นคงด้วย เพราะทันทีที่คุณจดทะเบียนบริษัท นั่นคือจุดเริ่มต้นของความรับผิดทางกฎหมายในหลายมิติ ตั้งแต่การจัดโครงสร้างองค์กร การทำสัญญากับลูกค้าและพาร์ตเนอร์ ไปจนถึงเรื่องบุคลากร, แรงงาน, และภาษี แต่เจ้าของกิจการหลายรายกลับเลือกเดินคนเดียวโดยไม่มี “ที่ปรึกษากฎหมาย” ซึ่งเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการเกิดปัญหาในอนาคต ทั้งที่ความเสียหายหลายอย่างสามารถ “ป้องกันไว้ได้ตั้งแต่ต้น” หากมีผู้รู้กฎหมายอยู่เคียงข้าง

การไม่มีที่ปรึกษากฎหมายตั้งแต่เริ่มต้นอาจนำมาสู่ผลเสียอย่างไรบ้าง?

1. ไม่เข้าใจโครงสร้างบริษัทที่เหมาะสม
 หลายคนจดทะเบียนแบบห้างหุ้นส่วนจำกัด ทั้งที่ควรเป็นบริษัทจำกัด หรือในบางรายเลือกตั้งกรรมการแบบไม่มีข้อตกลงชัดเจน จนเกิดปัญหาในภายหลัง การมีที่ปรึกษากฎหมายจะช่วยวางโครงสร้างบริษัทให้เหมาะกับเป้าหมายทางธุรกิจและการบริหารความเสี่ยง

2.  ขาดความรู้เรื่องสัญญา
 ธุรกิจทุกประเภทย่อมมีการทำสัญญา ไม่ว่าจะเป็นสัญญาเช่า สัญญาจ้าง สัญญาแฟรนไชส์ หรือสัญญาร่วมทุน หากคุณลงนามโดยไม่มีการปรึกษาทนาย อาจเสี่ยงต่อการเสียเปรียบ หรือถึงขั้นถูกฟ้องร้องได้ในอนาคต

3. ละเลยกฎหมายแรงงาน
 หลายบริษัทเริ่มต้นโดยไม่มีระเบียบพนักงาน ไม่มีสัญญาจ้าง หรือไม่เข้าใจกฎหมายแรงงานไทย ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการฟ้องร้องโดยลูกจ้าง หรือเสียค่าชดเชยจำนวนมากโดยไม่รู้ตัว

4. ไม่รู้สิทธิของตนเองในทางกฎหมาย
 หากไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย ธุรกิจของคุณอาจถูกเอาเปรียบจากคู่ค้า หรือเสียผลประโยชน์โดยไม่สามารถเรียกร้องได้

5. เสียภาษีเกินจำเป็น
 ที่ปรึกษากฎหมายสามารถทำงานร่วมกับนักบัญชี เพื่อวางโครงสร้างภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมายและประหยัดที่สุด

ที่ปรึกษากฎหมาย มีบทบาทอย่างไรในการทำธุรกิจ?

  • ให้คำแนะนำเรื่องการจดทะเบียนและโครงสร้างธุรกิจ
  • ตรวจร่างและวิเคราะห์สัญญาก่อนลงนาม
  • เป็นตัวแทนในการเจรจาข้อพิพาทหรือไกล่เกลี่ย
  • ให้คำปรึกษากฎหมายแรงงานและภาษี
  • คอยอัปเดตกฎหมายใหม่ที่อาจมีผลกระทบต่อธุรกิจ
  • เตรียมรับมือกับกรณีฟ้องร้องหรือละเมิดลิขสิทธิ์

อย่าเสี่ยงทำธุรกิจแบบไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย เพราะคุณอาจต้องจ่ายแพงกว่าที่คิดในภายหลัง

✅ ไม่เข้าใจโครงสร้างบริษัท = เสี่ยงขัดแย้งหุ้นส่วน
✅ ไม่รู้หลักสัญญา = อาจถูกเอาเปรียบหรือฟ้องร้อง
✅ ไม่เข้าใจกฎหมายแรงงาน = เสี่ยงโดนลูกจ้างฟ้อง
✅ ไม่รู้สิทธิของตัวเอง = เสียประโยชน์โดยไม่รู้ตัว
✅ ไม่วางแผนภาษี = จ่ายภาษีเกินจำเป็น

การมี ที่ปรึกษากฎหมาย ไม่ใช่แค่เพื่อป้องกันความผิดพลาด แต่ยังช่วยให้ธุรกิจของคุณ “แข็งแรงและเติบโตอย่างยั่งยืน” ได้จริง

ตัวอย่างความเสียหายจากการไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย

ธุรกิจสตาร์ทอัปรายหนึ่งเซ็นสัญญากับบริษัทต่างชาติ โดยไม่มีทนายร่วมตรวจสอบ เอกสารกำหนดให้หากมีข้อพิพาทต้องไปฟ้องศาลในประเทศคู่สัญญา ซึ่งส่งผลให้เจ้าของธุรกิจไทยต้องเสียค่าทนายและค่าเดินทางมหาศาล แถมไม่สามารถดำเนินคดีได้จริง

หรืออีกกรณี บริษัท SME แห่งหนึ่งถูกร้องเรียนเรื่องการเลิกจ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้า และต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวนมาก ทั้งที่หากมีที่ปรึกษากฎหมายตั้งแต่แรกก็สามารถวางแนวทางการเลิกจ้างอย่างถูกกฎหมายได้

ถ้าคุณยังไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย นี่คือเวลาที่ควรเริ่มต้น

อย่ารอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยหาทนาย เพราะปัญหาทางกฎหมายหลายอย่างสามารถ “ป้องกัน” ได้ตั้งแต่ต้น หากมีคนที่รู้จริงอยู่ข้างคุณ โดยเฉพาะในยุคที่กฎหมายเปลี่ยนแปลงบ่อย การมีที่ปรึกษากฎหมายประจำธุรกิจ จะช่วยให้คุณไม่ต้องวิ่งตามแก้ปัญหา แต่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้อย่างเป็นระบบ

ให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้คุณ

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ให้บริการด้านที่ปรึกษากฎหมายอย่างครบวงจร โดยเฉพาะสำหรับเจ้าของกิจการ SME, Startups และบริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรม

เราเข้าใจว่าทุกธุรกิจมีความเฉพาะตัวเราจึงให้คำปรึกษาโดยอิงจากลักษณะธุรกิจจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎีกฎหมาย

จุดเด่นของเรา

  • ให้คำปรึกษาแบบรายเดือน / รายปี
  • ทีมทนายผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายธุรกิจ
  • พร้อมลงพื้นที่ช่วยตรวจสอบเอกสาร สัญญา และปัญหาหน้างาน
  • รายงานผลชัดเจนทุกขั้นตอน ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง

การมี “ที่ปรึกษากฎหมาย” ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายเกินจำเป็น แต่คือการลงทุนเพื่อความปลอดภัยของธุรกิจในระยะยาว หากคุณกำลังวางแผนเปิดบริษัท หรือมีธุรกิจอยู่แล้วแต่ยังไม่มีที่ปรึกษาทางกฎหมายที่ไว้ใจได้ ติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรายินดีเป็นทีมสนับสนุนให้คุณเดินธุรกิจอย่างมั่นคง พร้อมรับมือทุกปัญหาทางกฎหมาย

หุ้นหาย! ถูกจับเข้าเป็นผู้ถือหุ้นโดยไม่รู้ตัว! แบบนี้ต้องทำอย่างไร?

เข้าใจสิทธิของผู้ถือหุ้น และวิธีจัดการเมื่อถูกละเมิดสิทธิ

ในโลกของธุรกิจ การถือครอง “หุ้น” เปรียบเสมือนการมีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเล็กหรือใหญ่ ผู้ถือหุ้นย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติเรากลับพบปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เช่น ถูกใส่ชื่อเป็นผู้ถือหุ้นโดยไม่รู้ตัว หรือในทางกลับกัน ชื่อหายไปจากรายชื่อผู้ถือหุ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ หากคุณกำลังสงสัยว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์นี้ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจสิทธิของตนเอง และแนวทางการดำเนินการทางกฎหมายได้อย่างถูกต้อง

หุ้นคืออะไร?

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า “หุ้น” คือ สิทธิในความเป็นเจ้าของในบริษัท โดยเฉพาะบริษัทจำกัด (ทั้งแบบธรรมดาและมหาชน) ผู้ที่ถือหุ้นมีสิทธิในผลกำไร (ปันผล) มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุม และมีสิทธิในการตรวจสอบเอกสารของบริษัท รวมถึงสิทธิในการเรียกร้องสิ่งที่ตนควรได้รับตามสัดส่วนหุ้นที่ถืออยู่

ปัญหาที่พบบ่อยเกี่ยวกับหุ้น

1. ถูกใส่ชื่อเป็นผู้ถือหุ้นโดยไม่ยินยอม

หลายคนอาจตกใจเมื่อพบว่าชื่อของตนปรากฏในเอกสารของบริษัทที่ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้อง หรือเคยลงชื่อในเอกสารใดโดยไม่รู้เจตนา ซึ่งมักเกิดจากกรณีที่คนรู้จักนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้ เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน แล้วนำไปยื่นจดทะเบียนบริษัทโดยไม่ได้รับความยินยอมจริง

2. ชื่อหายจากรายชื่อผู้ถือหุ้น

ในอีกด้านหนึ่งก็มีผู้เสียหายที่ลงทุนจริง จ่ายเงินจริง และมีหุ้นจริง แต่กลับพบว่าชื่อตน “หายไป” จากบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ซึ่งอาจเกิดจากการตกแต่งบัญชี การโอนหุ้นโดยปลอมแปลงเอกสาร หรือบริษัทจงใจไม่ขึ้นทะเบียนให้

ตามกฎหมายแล้ว ทำอย่างไรได้บ้าง?

✅ ตรวจสอบเอกสารกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ผู้ที่สงสัยว่าตนเป็นผู้ถือหุ้นหรือไม่ สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้นได้ที่เว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือขอคัดสำเนาเอกสารจากสำนักงานโดยตรง เช่น แบบ บอจ.5 ซึ่งแสดงรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันประชุมใหญ่สามัญประจำปี

หากพบว่ามีความผิดปกติ เช่น ชื่อตนปรากฏเป็นผู้ถือหุ้นโดยไม่รู้ตัว หรือหายไปจากเอกสารโดยไม่มีคำอธิบาย ให้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

กรณีถูกใส่ชื่อเป็นผู้ถือหุ้นโดยไม่ยินยอม

🔹 แจ้งความร้องทุกข์

หากพบว่าชื่อของตนถูกใช้เป็นผู้ถือหุ้นโดยไม่ได้ยินยอม ให้รีบไปแจ้งความที่สถานีตำรวจในพื้นที่ เพื่อบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด

🔹 แจ้งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ยื่นคำร้องต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพื่อขอให้ตรวจสอบและเพิกถอนรายการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยแนบหลักฐาน เช่น บันทึกประจำวัน หนังสือปฏิเสธการถือหุ้น และเอกสารส่วนตัวที่ถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

🔹 ฟ้องคดีแพ่งหรืออาญา

หากกรณีร้ายแรง เช่น มีการปลอมลายมือชื่อ หรือปลอมแปลงเอกสาร อาจต้องยื่นฟ้องคดีอาญาฐานปลอมแปลงเอกสาร และคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายหรือเพิกถอนการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

กรณีชื่อหายจากผู้ถือหุ้น

🔸 เก็บหลักฐานการลงทุน

หากคุณเคยลงทุนในบริษัทนั้นจริง เช่น มีหลักฐานการโอนเงิน ซื้อขายหุ้น หรือเอกสารหุ้นกู้ ให้รวบรวมเอกสารทั้งหมดไว้ให้ครบถ้วน

🔸 ส่งหนังสือเรียกร้องไปยังบริษัท

ส่งหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรเรียกร้องให้บริษัทชี้แจงและแก้ไขรายชื่อ พร้อมแนบหลักฐานการลงทุนเพื่อแสดงสิทธิ์

🔸 ขอศาลมีคำสั่ง

หากบริษัทไม่ยอมแก้ไข หรือมีแนวโน้มปฏิเสธความรับผิดชอบ ผู้เสียหายสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้บริษัทแก้ไขรายชื่อผู้ถือหุ้นและรับรองสิทธิ์การถือหุ้นของตนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

บทลงโทษตามกฎหมาย

การปลอมแปลงเอกสารเพื่อแอบอ้างชื่อเป็นผู้ถือหุ้น หรือการลบชื่อผู้ถือหุ้นโดยมิชอบ อาจเข้าข่ายความผิดทางอาญา เช่น

  • ปลอมแปลงเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264
  • ใช้เอกสารปลอม ตามมาตรา 268
  • ฉ้อโกง ตามมาตรา 341
    ซึ่งมีโทษทั้งจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ 

ป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ

  • ไม่ให้เอกสารสำคัญกับผู้อื่นโดยไม่จำเป็น เช่น บัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน
  • ตรวจสอบสถานะตนเองสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหากเคยเกี่ยวข้องกับบริษัทใด ๆ
  • ปรึกษาทนายความ หากพบความผิดปกติ จะได้ดำเนินการอย่างถูกต้องทันเวลา

ระวังเสียสิทธิ์ทางกฎหมาย ควรปรึกษาทนายทันที

หุ้นไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นหนึ่ง แต่เป็นตัวแทนของสิทธิและผลประโยชน์ในธุรกิจ หากคุณถูกใส่ชื่อเป็นผู้ถือหุ้นโดยไม่รู้ตัว หรือชื่อหายจากรายชื่อผู้ถือหุ้นโดยไม่ชอบธรรม อย่าละเลย! เพราะปัญหานี้อาจส่งผลกระทบทั้งทางกฎหมายและทางการเงินอย่างรุนแรง การตรวจสอบเอกสารและดำเนินการทางกฎหมายอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ

หากคุณสงสัยว่าตนตกเป็นเหยื่อจากการปลอมแปลงหุ้น หรือการละเมิดสิทธิผู้ถือหุ้น ขอแนะนำให้รีบปรึกษาทนายความทันที เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์ของตนตามกฎหมาย >>ติดต่อเรา<<

“ยักยอก” หรือ “ลักทรัพย์” ต่างกันอย่างไร? มีโทษทางกฎหมายอย่างไร?

ในวงการธุรกิจ กรณีการขโมยทรัพย์สินหรือการฉ้อโกงมักเกิดขึ้นโดยเฉพาะภายในองค์กร และเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กรรมการหรือบุคลากรแอบถอนเงินจากบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาต สิ่งที่ต้องพิจารณาคือการกระทำนั้นเข้าข่าย “ยักยอก” หรือ “ลักทรัพย์” ซึ่งทั้งสองการกระทำนี้มีความแตกต่างกันทั้งในด้านการกระทำและโทษทางกฎหมาย วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะมาไขข้อข้องใจนี้กัน

ความหมายของการยักยอกและลักทรัพย์

1. ยักยอก

   การยักยอกทรัพย์ คือการที่บุคคลที่มีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ก่อน เช่น ผู้ดูแลทรัพย์สิน กรรมการบริษัท หรือลูกจ้าง แอบนำทรัพย์ของบริษัทไปใช้เป็นของตนเองโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ว่าในเบื้องต้นบุคคลนั้นจะได้รับความไว้วางใจในการจัดการหรือครอบครองทรัพย์สินอยู่แล้ว แต่การกระทำนี้ยังถือว่ามีเจตนาทุจริตและผิดกฎหมาย

2. ลักทรัพย์

   การลักทรัพย์ คือการแอบขโมยหรือแอบนำทรัพย์สินของบุคคลอื่นไปโดยที่ไม่มีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ก่อน เช่น การลักขโมยของที่อยู่ในร้านค้า หรือนำสิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตน การลักทรัพย์มักเกิดจากการแอบเข้าไปในพื้นที่โดยไม่มีสิทธิ์และไม่ได้รับความไว้วางใจในการครอบครองทรัพย์นั้น ๆ

ความแตกต่างระหว่าง “ยักยอก” กับ “ลักทรัพย์”
-สถานการณ์ครอบครองทรัพย์สิน : ในการยักยอก ผู้กระทำมีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินอยู่ก่อน แต่แอบนำไปเป็นของตนโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่การลักทรัพย์ ผู้กระทำไม่มีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินนั้นเลย

-การกระทำ : การยักยอกเกิดจากความไว้วางใจแต่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ส่วนการลักทรัพย์เป็นการขโมยที่ไม่เกี่ยวกับการได้รับความไว้วางใจแต่อย่างใด

โทษทางกฎหมายของการยักยอกและลักทรัพย์

1. โทษของการยักยอก 

   ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 การยักยอกมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากเป็นการยักยอกทรัพย์ที่ได้รับไว้ตามหน้าที่หรืออาชีพ เช่น กรรมการบริษัท ผู้จัดการ หรือผู้ดูแลทรัพย์สิน โทษจะรุนแรงขึ้นตามมาตรา 353 คือจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. โทษของการลักทรัพย์

   ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 การลักทรัพย์มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากการลักทรัพย์เกิดขึ้นในสถานการณ์หรือสถานที่พิเศษ เช่น ในเวลากลางคืนหรือในบ้านเรือน จะมีการเพิ่มโทษตามมาตรา 335 ซึ่งโทษสูงสุดอาจเพิ่มขึ้นได้ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด

กรณีมีคนแอบถอนเงินบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีผลทางกฎหมายอย่างไร?

เมื่อเกิดกรณีที่หนึ่งในกรรมการบริษัทซึ่งมีสิทธิ์จัดการทรัพย์สินของบริษัทแอบถอนเงินออกมาโดยที่บริษัทไม่ได้รับทราบและไม่ได้อนุญาต การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการ ยักยอกทรัพย์ มากกว่าลักทรัพย์ เนื่องจากกรรมการมีสิทธิ์ในการจัดการทรัพย์สินของบริษัทอยู่ก่อนแล้ว แต่เจตนาในการนำเงินออกมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและแสดงเจตนาทุจริต

การกระทำเช่นนี้ถือว่ามีความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 เพราะกรรมการบริษัทมีหน้าที่รับผิดชอบต่อทรัพย์สินของบริษัทอยู่แล้ว การที่นำทรัพย์สินออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัทหรือเจ้าของผู้ถือหุ้นอื่นๆ จึงถือเป็นการกระทำทุจริต ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลให้กรรมการถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งเพิ่มเติมได้อีกด้วย

วิธีป้องกันปัญหาการยักยอกหรือการทุจริตในองค์กร


1. การกำหนดระบบตรวจสอบภายในที่เข้มงวด : การมีระบบตรวจสอบภายในที่เข้มงวดช่วยลดโอกาสที่พนักงานหรือกรรมการบริษัทจะทุจริตได้ การกำหนดขั้นตอนอนุมัติการเบิกถอนเงินอย่างละเอียดจะช่วยให้บริษัททราบการเคลื่อนไหวของทรัพย์สินได้ตลอดเวลา

2. การกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงทรัพย์สินให้ชัดเจน : การกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงบัญชีและทรัพย์สินให้ชัดเจน เช่น การกำหนดให้ต้องมีการอนุมัติจากคณะกรรมการหรือตัวแทนทางกฎหมายก่อนการถอนเงินจะช่วยลดความเสี่ยงในการยักยอก

3. การตรวจสอบและติดตามการใช้ทรัพย์สินของบริษัท : การติดตามการใช้งานทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง การจัดทำรายงานการใช้ทรัพย์สินเป็นประจำจะทำให้ทราบการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติได้ทันที

4. การตรวจสอบบัญชีและรายงานทางการเงินโดยบริษัทภายนอก : การใช้บริการตรวจสอบบัญชีจากบริษัทภายนอกช่วยให้เกิดความโปร่งใสและเพิ่มความน่าเชื่อถือแก่ข้อมูลทางการเงินของบริษัท

สรุปแล้วการกระทำทุจริตในองค์กรเป็นสิ่งที่ทุกบริษัทควรให้ความสำคัญ การเข้าใจความแตกต่างระหว่างการยักยอกและลักทรัพย์จะช่วยให้สามารถระบุลักษณะความผิดได้ชัดเจนและดำเนินคดีได้อย่างถูกต้อง กรณีที่กรรมการบริษัทถอนเงินออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นถือเป็นการยักยอก ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การป้องกันการทุจริตในองค์กรสามารถทำได้ผ่านการกำหนดนโยบายการตรวจสอบและการจัดการทรัพย์สินอย่างเข้มงวด หากเกิดกรณีทุจริต การดำเนินคดีและการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งจึงเป็นแนวทางสำคัญในการปกป้องสิทธิ์ขององค์กร หากสงสัยว่ากำลังมีผู้ไม่หวังดีกำลังทุจริตองค์กรอยู่ควรมีทนายที่ปรึกษาดีที่สุด >>ติดต่อเรา<<