ร่างสัญญาให้รอบคอบตั้งแต่แรก ดีกว่าแก้ไขทีหลัง ทำไมนักธุรกิจควรให้ทนายความมืออาชีพร่างสัญญาภาษาอังกฤษให้?

ในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและการแข่งขันสูง “สัญญา” คือหัวใจสำคัญของทุกข้อตกลง ไม่ว่าจะเป็นการร่วมลงทุน ซื้อขายระหว่างประเทศ การจ้างงาน หรือการเป็นคู่ค้าทางธุรกิจ การร่างสัญญา จึงไม่ใช่เรื่องเล็กที่ใครก็เขียนได้ เพราะแม้เพียงถ้อยคำที่คลาดเคลื่อน หรือใช้คำศัพท์ทางกฎหมายไม่ถูกต้อง ก็อาจสร้างความเสียหายทางธุรกิจมูลค่ามหาศาลในอนาคตได้

หลายบริษัท โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก มักเริ่มต้นด้วยการให้ “คนในบริษัท” หรือ “ฝ่ายเอกสาร” เป็นผู้ร่างสัญญาเอง โดยอ้างเหตุผลว่า “เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย” แต่สิ่งที่มักเกิดขึ้นตามมาคือ สัญญาเหล่านั้นกลับกลายเป็น ระเบิดเวลา ที่สร้างปัญหาย้อนกลับในภายหลัง เมื่อเกิดข้อพิพาท หรือพบว่าข้อความในสัญญาไม่ครอบคลุม ไม่ชัดเจน หรือไม่สามารถบังคับใช้ได้จริงตามกฎหมาย

ทำไมการร่างสัญญาเองภายในองค์กรจึงเสี่ยง?

1.ใช้ภาษากฎหมายไม่ถูกต้อง
สัญญาภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศมักมีศัพท์เฉพาะ (Legal Terms) ที่ดูเหมือนเข้าใจง่าย แต่มีนัยทางกฎหมายต่างจากความหมายทั่วไป เช่นคำว่า “Shall”, “May”, “Best Efforts” หรือ “Time is of the essence” ซึ่งหากใช้ผิดแม้เพียงคำเดียว อาจเปลี่ยนความหมายของพันธะในสัญญาไปโดยสิ้นเชิง

2.ขาดการวิเคราะห์ผลทางกฎหมาย
การร่างสัญญาไม่ใช่แค่แปลข้อความจากภาษาไทยเป็นอังกฤษ แต่ต้องเข้าใจระบบกฎหมายของแต่ละประเทศ เช่น กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยอาจไม่เหมือนกับกฎหมายอังกฤษหรือสหรัฐฯ ทนายความจึงต้องร่างโดยคำนึงถึงความสอดคล้องของกฎหมายทั้งสองระบบ เพื่อให้สัญญาใช้ได้จริง ไม่ขัดต่อข้อบังคับของประเทศคู่สัญญา

3.สัญญาไม่ครอบคลุมสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
คนทั่วไปมักเขียนสัญญาตาม “สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้น” แต่ทนายความจะเขียนสัญญาโดยคำนึงถึง “สิ่งที่อาจเกิดขึ้น” เช่น การผิดสัญญา การเลิกจ้างก่อนกำหนด การส่งมอบงานล่าช้า หรือการไม่ชำระเงินตรงเวลา เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต

4.แก้ภายหลังยากและเสียเวลา
หลายองค์กรที่พยายามร่างสัญญาเอง สุดท้ายเมื่อเกิดปัญหาก็ต้องนำสัญญานั้นกลับมาให้ทนายความ “แก้ไข” หรือ “รีวิว” อยู่ดี แต่จุดที่เสียหายไปแล้ว เช่น การตีความผิดหรือขาดข้อกำหนดสำคัญ มักไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ได้ทันที การร่างสัญญาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก จึงช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้มากกว่า

ตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นจากการร่างสัญญาเอง

  • สัญญาซื้อขายระหว่างประเทศ ที่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่ากฎหมายประเทศใดจะใช้บังคับ เมื่อเกิดข้อพิพาท ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิตามกฎหมายของตนเอง ทำให้คดีต้องขึ้นศาลต่างประเทศและเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล
  • สัญญาว่าจ้างชาวต่างชาติ ที่ใช้คำว่า “Contractor” แทน “Employee” โดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ภายหลังบริษัทไม่สามารถใช้กฎหมายแรงงานคุ้มครองสิทธิของตนเองได้
  • สัญญาร่วมทุน (Joint Venture) ที่ไม่กำหนดชัดเจนเรื่องการแบ่งผลกำไรหรือการตัดสินใจทางธุรกิจ ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ถือหุ้นในภายหลัง

ปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดจาก “การร่างสัญญาโดยไม่มีทนายความ” และสุดท้ายก็ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหลายเท่า เพื่อให้ทนายความดำเนินการแก้ไขหรือสู้คดีในภายหลัง

ทำไมควรให้ “ทนายความ” เป็นผู้ร่างสัญญา ?

1.เข้าใจทั้งภาษาและกฎหมาย
ทนายความที่เชี่ยวชาญด้านการร่างสัญญาภาษาอังกฤษ จะเข้าใจทั้งบริบททางกฎหมายและการใช้ถ้อยคำทางธุรกิจที่เหมาะสม สามารถสื่อสารเจตนาของคู่สัญญาได้อย่างชัดเจนและเป็นทางการ

2.ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย
ทนายจะร่างสัญญาโดยคำนึงถึงทุกมิติ ทั้งข้อกฎหมาย ข้อบังคับของหน่วยงาน และหลักการตีความในทางศาล ทำให้สัญญาที่ได้มีความรัดกุมและปลอดภัยจากการตีความที่ผิดพลาด

3.เพิ่มความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ
คู่ค้าต่างชาติจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นหากเห็นว่าสัญญาถูกจัดทำโดยสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง เพราะแสดงถึงความเป็นมืออาชีพและการเคารพข้อตกลงระหว่างกัน

4.ปรับแต่งให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ
ทนายความจะออกแบบสัญญาให้เหมาะกับลักษณะเฉพาะของแต่ละธุรกิจ เช่น สัญญาซัพพลายเออร์ สัญญาแฟรนไชส์ หรือสัญญาบริการ เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานจริงขององค์กรคุณ

ร่างเองวันนี้ แก้ไขกับทนายวันหน้า บทเรียนที่นักธุรกิจหลายคนต้องเจอ

หลายบริษัทเริ่มจากการร่างสัญญาเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปัญหาที่ไม่คาดคิดเริ่มเกิดขึ้น-ข้อพิพาทกับคู่ค้า, ลูกค้าปฏิเสธชำระเงิน, หรือพนักงานเรียกร้องสิทธิตามสัญญาที่เขียนไม่รัดกุม สุดท้ายสัญญานั้นก็ต้องกลับมาอยู่ในมือของทนายความ เพื่อให้ทนาย “รีวิว” หรือ “แก้ไข” ให้ถูกต้องตามกฎหมาย

ดังนั้น แทนที่จะเสียเวลาแก้ภายหลัง การให้ทนายความร่างสัญญาตั้งแต่แรกคือทางเลือกที่ชาญฉลาดกว่า เพราะจะสามารถทำให้ธุรกิจของคุณเดินหน้าอย่างมั่นใจโดยไม่ต้องคอยหวาดระแวงปัญหาทางกฎหมายในอนาคต

อย่ารอให้ต้องเสียเวลาแก้ไขภายหลัง ให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ดูแลตั้งแต่ขั้นตอนแรก

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ให้บริการ ร่างสัญญา อย่างมืออาชีพ ครอบคลุมทั้ง

  • ร่างสัญญาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน
  • สัญญาทางธุรกิจทุกประเภท เช่น สัญญาซื้อขายสินค้า, สัญญาบริการ, สัญญาร่วมทุน, สัญญาเช่า, สัญญาว่าจ้างพนักงานต่างชาติ ฯลฯ
  • บริการตรวจร่าง (Review) และแก้ไขสัญญาเดิมให้ถูกต้องตามหลักกฎหมาย
  • ที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจแบบครบวงจร

เรามีทีมทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายธุรกิจระหว่างประเทศ เข้าใจทั้งระบบกฎหมายไทยและต่างประเทศ พร้อมสื่อสารได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาจีน เพื่อให้สัญญาของคุณมีความถูกต้อง ครบถ้วน และสามารถใช้บังคับได้จริงในทุกเขตอำนาจศาล

“การร่างสัญญา” ไม่ใช่แค่เรื่องเอกสาร แต่คือการป้องกันความเสี่ยงทางธุรกิจล่วงหน้า เพราะสัญญาที่ดีคือเกราะป้องกันชั้นแรกขององค์กร หากคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณเดินหน้าอย่างมั่นคง โปร่งใส และปลอดภัยจากข้อพิพาทในอนาคต อย่ารอให้ต้องเสียเวลาแก้ไขภายหลัง ให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ดูแลตั้งแต่ขั้นตอนแรก

 สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ พร้อมให้บริการ ร่างสัญญา ภาษาไทย อังกฤษ และจีน โดยทีมทนายมืออาชีพที่เข้าใจทั้งกฎหมายและธุรกิจของคุณ

“อาจารย์ลักษณ์ โหราธิบดี” แต่งตั้งสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เป็นทนายความที่ปรึกษา 

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา นับเป็นอีกหนึ่งความไว้วางใจครั้งสำคัญของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ภายใต้การนำของ ทนายอาร์ม – ศุภสิทธิ์ ศิริ กรรมการผู้จัดการ ที่ได้รับเกียรติจาก อาจารย์ลักษณ์ ราชสีห์ โหราจารย์ชื่อดังของประเทศไทย แต่งตั้งให้เป็น ทนายความที่ปรึกษา ดูแลคดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิผ่านโลกออนไลน์

สืบเนื่องจากการที่มีผู้ไม่หวังดีสร้าง บัญชี TikTok ปลอม และเผยแพร่เนื้อหาที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของอาจารย์ลักษณ์ ทางสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จึงได้รับมอบหมายให้ดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรีของผู้เสียหายอย่างเต็มที่

ทนายอาร์มและทีมงานยืนยันว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ รอบคอบ และใช้ทุกศักยภาพทางกฎหมายที่มี เพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นอย่างแท้จริง พร้อมทั้งรักษาความเชื่อมั่นที่อาจารย์ลักษณ์ได้มอบให้กับสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

การแต่งตั้งครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความไว้วางใจในความสามารถของสำนักงานฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มุ่งมั่นทำงานเพื่อพิทักษ์สิทธิและความยุติธรรมให้แก่ทุกคนที่ประสบปัญหาทางกฎหมาย

ลูกจ้างลาออกแล้วลบอีเมลบริษัท ผิดกฎหมายหรือไม่? แล้วนายจ้างควรทำอย่างไรดี?

ในยุคที่ธุรกิจส่วนใหญ่ดำเนินการผ่านระบบดิจิทัล ข้อมูลที่เก็บอยู่ในอีเมลของบริษัทถือเป็นทรัพย์สินทางธุรกิจที่สำคัญอย่างมาก ปัญหาที่พบได้บ่อยคือ เมื่อพนักงานลาออกแล้วลบอีเมลหรือไฟล์ข้อมูลของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า คู่ค้า หรือโครงการสำคัญ ซึ่งอาจทำให้นายจ้างสูญเสียประโยชน์ทางธุรกิจ

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “การกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายหรือไม่?” และ “นายจ้างควรดำเนินการอย่างไรภายใต้กรอบกฎหมาย?”

การลบอีเมลบริษัทเกี่ยวข้องกับกฎหมายใดบ้าง?

1.      กฎหมายแรงงาน
หากลูกจ้างลบข้อมูลขณะยังเป็นพนักงานอยู่ การกระทำดังกล่าวอาจถือเป็นความผิดร้ายแรงตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 ที่ระบุว่า นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย หากลูกจ้างจงใจทำให้นายจ้างเสียหายอย่างร้ายแรง

แต่ถ้าลูกจ้างทำหลังพ้นสภาพการเป็นพนักงานแล้ว จะไม่ถือเป็นความผิดตามกฎหมายแรงงานโดยตรง เพราะไม่อยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างอีกต่อไป

2.      กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การลบข้อมูลบริษัทที่ก่อให้เกิดความเสียหาย เช่น สูญเสียสัญญากับลูกค้า อาจเข้าข่ายการ “ละเมิด” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ซึ่งกำหนดให้ผู้ทำละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหาย

3.      กฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
หากอดีตลูกจ้างเข้าไปในระบบอีเมลบริษัทแล้วลบข้อมูลโดยมิชอบ อาจผิด พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 9 ซึ่งกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ตัวอย่างกรณีศึกษาและคำพิพากษาศาล

1.      คำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
มีคดีหนึ่งที่ลูกจ้างลบข้อมูลการขายและรายชื่อลูกค้าก่อนลาออก ศาลแรงงานเห็นว่าเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อนายจ้าง จึงพิพากษาว่านายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน

2.      คดีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ในอีกกรณีหนึ่ง อดีตพนักงานแอบใช้รหัสผ่านเข้าไปในอีเมลบริษัทหลังลาออก แล้วลบไฟล์เอกสารโครงการที่กำลังจะเซ็นสัญญากับลูกค้า ศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี แต่ให้รอลงอาญา และปรับ 50,000 บาท เพราะถือว่าเป็นการเข้าถึงระบบและทำให้ข้อมูลเสียหายโดยมิชอบตามกฎหมายอาญา

นายจ้างจะทำอย่างไรได้บ้างภายใต้กฎหมาย?

เมื่อนายจ้างพบว่าลูกจ้างที่ลาออกไปได้ลบอีเมลหรือไฟล์สำคัญของบริษัท ควรดำเนินการตามขั้นตอนภายใต้กฎหมายอย่างระมัดระวัง

1.      เก็บหลักฐาน
สิ่งสำคัญที่สุดคือการเก็บข้อมูลและหลักฐานการกระทำ เช่น Log การเข้าใช้งานอีเมล, วันที่และเวลาที่ข้อมูลถูกลบ, ข้อความอีเมลที่ถูกทำลาย หลักฐานเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้สิทธิทางกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา

2.      ตรวจสอบสัญญาจ้างและข้อตกลงภายใน
หากบริษัทมีข้อตกลงการใช้ระบบไอทีหรือข้อห้ามเกี่ยวกับข้อมูลลับ ควรตรวจสอบว่า การกระทำของลูกจ้างเข้าข่ายผิดข้อตกลงดังกล่าวหรือไม่ เพื่อประกอบการดำเนินการทางกฎหมาย

3.      ใช้สิทธิตามกฎหมายแพ่ง
หากการลบอีเมลก่อให้เกิดความเสียหายจริง นายจ้างสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากอดีตลูกจ้างได้ โดยต้องแสดงหลักฐานว่ามีการละเมิดและมีความเสียหายเกิดขึ้นจริง

4.      ใช้สิทธิตามกฎหมายอาญา
หากเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นายจ้างสามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดีอาญากับอดีตลูกจ้างได้

แนวทางปฏิบัติสำหรับนายจ้าง

เพื่อป้องกันและรับมือกับปัญหานี้ นายจ้างควรดำเนินการดังต่อไปนี้

1.      จัดทำข้อตกลงการใช้ระบบสารสนเทศ
บริษัทควรกำหนดนโยบายหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้อีเมลและข้อมูล เช่น ห้ามลบอีเมลหรือไฟล์งานที่เกี่ยวข้องกับบริษัท เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากเกิดกรณีพิพาท

2.      จัดการระบบเข้าถึงข้อมูล
เมื่อลูกจ้างยื่นใบลาออก ควรมีขั้นตอนการระงับสิทธิ์การเข้าถึงระบบไอทีอย่างเป็นทางการทันทีเมื่อพ้นสภาพ เพื่อป้องกันการเข้ามาลบข้อมูลภายหลัง

3.      เก็บบันทึกการใช้งาน (Log file)
บริษัทควรเก็บ Log การใช้งานระบบคอมพิวเตอร์และอีเมลไว้เป็นหลักฐานทางกฎหมาย หากต้องฟ้องร้องในอนาคต

4.      ใช้สิทธิตามกฎหมายอย่างถูกต้อง

o    หากยังเป็นลูกจ้าง → ใช้สิทธิตาม กฎหมายแรงงาน เลิกจ้างด้วยเหตุร้ายแรง

o    หากพ้นจากการเป็นลูกจ้างแล้ว → ฟ้องเรียกค่าเสียหายตาม กฎหมายแพ่ง และ/หรือ แจ้งความตาม กฎหมายอาญาและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

5.      ปรึกษาทนายความก่อนดำเนินการ
การฟ้องร้องคดีที่เกี่ยวข้องกับหลายกฎหมายอาจซับซ้อน นายจ้างไม่ควรจัดการเองโดยปราศจากความรู้ เพราะอาจเสี่ยงทำผิดกฎหมายเสียเอง การมีทนายความช่วยตรวจสอบหลักฐานและวางกลยุทธ์จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด

ทำไมนายจ้างควรปรึกษาทนายความในเรื่องนี้?

ในกรณีซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับทั้งกฎหมายแรงงาน กฎหมายแพ่ง และกฎหมายอาญา การตัดสินใจผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้นายจ้างเสียเปรียบหรือเสี่ยงผิดกฎหมายเสียเอง การปรึกษาทนายความจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด เพราะ

  • ทนายความสามารถประเมินว่าควรใช้กฎหมายใดในการดำเนินการ
  • ช่วยตรวจสอบหลักฐานให้ครบถ้วน ลดความเสี่ยงการฟ้องร้องไม่สำเร็จ
  • วางกลยุทธ์ที่รัดกุมและป้องกันการละเมิดสิทธิแรงงานหรือสิทธิส่วนบุคคล

อย่างที่กล่าวไป แม้ว่านายจ้างมีสิทธิ์ตามกฎหมาย แต่การดำเนินการโดยไม่เข้าใจรายละเอียดของกฎหมายอาจสร้างความเสี่ยง เช่น

  • อาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูกจ้างโดยไม่ตั้งใจ เช่น การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • อาจใช้สิทธิไม่ถูกต้อง เช่น การฟ้องร้องโดยไม่มีหลักฐานเพียงพอ ซึ่งอาจทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น
  • อาจมีผลกระทบด้านแรงงานสัมพันธ์ หากมีลูกจ้างคนอื่นมองว่านายจ้างใช้อำนาจเกินขอบเขตกฎหมาย

ปรึกษาทนายความ ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดของนายจ้าง

กรณีลูกจ้างลาออกแล้วลบอีเมลบริษัท แม้จะไม่ผิดตาม กฎหมายแรงงาน หากกระทำหลังพ้นสภาพลูกจ้าง แต่ยังอาจผิดกฎหมายอื่น เช่น กฎหมายแพ่ง และ กฎหมายอาญา โดยเฉพาะ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่มีบทลงโทษชัดเจน

นายจ้างควรมีมาตรการป้องกัน เช่น การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล และการกำหนดข้อตกลงการใช้อีเมลของบริษัท หากเกิดเหตุขึ้นจริง ควรเก็บหลักฐานและใช้สิทธิทางกฎหมายให้ถูกต้อง และเหนือสิ่งอื่นใด การปรึกษาทนายความถือเป็นทางเลือกที่รอบคอบที่สุด เพราะจะช่วยให้นายจ้างใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงที่จะพลาดพลั้งจนทำผิดกฎหมายเสียเอง และขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในกระบวนการเกี่ยวกับเรื่องนี้คือการปรึกษาทนายความเพื่อการดำเนินการทางกฎหมายที่เหมาะสมและถูกต้องที่สุดสำหรับนายจ้าง คลิก >>ติดต่อเรา<<

ทำไมธุรกิจควรมี “ทนายความที่ปรึกษา” และ “ที่ปรึกษาทางกฎหมาย” ไว้ตั้งแต่วันนี้?

การทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือธุรกิจที่กำลังเติบโต ล้วนต้องเผชิญกับความซับซ้อนทางกฎหมายที่มากขึ้นทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการทำสัญญากับคู่ค้า การบริหารจัดการแรงงาน การเสียภาษี หรือแม้กระทั่งการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา หลายธุรกิจอาจเลือกพึ่งพาทนายความเฉพาะเมื่อเกิดปัญหาแล้วเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว การมี ทนายความที่ปรึกษา หรือ ที่ปรึกษาทางกฎหมาย คอยดูแลตั้งแต่แรก ย่อมช่วยลดความเสี่ยง ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างมั่นคง

ในบทความนี้ เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า “ที่ปรึกษา” โดยเฉพาะ ทนายความที่ปรึกษา มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจอย่างไร และทำไมธุรกิจที่ยังไม่มีควรเริ่มพิจารณาอย่างจริงจัง

“ที่ปรึกษา” คืออะไร และแตกต่างจาก “ทนายความที่ปรึกษา” อย่างไร?

คำว่า ที่ปรึกษา ในมุมของการทำธุรกิจ หมายถึงผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำแนะนำและแนวทางการแก้ไขปัญหาในเรื่องเฉพาะด้าน เช่น ที่ปรึกษาทางการตลาด ที่ปรึกษาทางบัญชี หรือที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและมีข้อมูลรองรับ

ในขณะที่ ทนายความที่ปรึกษา เป็นผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทางกฎหมายโดยตรง สามารถให้คำแนะนำ ป้องกันปัญหาทางกฎหมาย และแทนตัวธุรกิจในการจัดทำสัญญา การเจรจา หรือแม้แต่การดำเนินการในชั้นศาล หากจำเป็น ความแตกต่างจึงอยู่ที่ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่ทนายความมีมากกว่าที่ปรึกษาทั่วไป และสามารถทำงานได้ทั้งในเชิง “ป้องกัน” และ “แก้ไขปัญหา”

ทำไมธุรกิจควรมี “ทนายความที่ปรึกษา”?

1. ป้องกันปัญหาก่อนเกิด

หลายธุรกิจมักคิดว่าการจ้างทนายมีไว้เพื่อสู้คดีในชั้นศาล แต่ความจริงแล้ว ทนายความที่ปรึกษา จะช่วยป้องกันไม่ให้ธุรกิจต้องเจอปัญหาทางกฎหมายตั้งแต่แรก เช่น การตรวจสอบสัญญาให้รอบคอบก่อนเซ็น การให้คำปรึกษาเรื่องการจ้างงาน หรือการจัดตั้งธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย

2. ประหยัดต้นทุนในระยะยาว

ค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างทนายความเพื่อแก้ไขปัญหาหลังเกิดข้อพิพาท มักสูงกว่าการมี ที่ปรึกษาทางกฎหมาย คอยดูแลตั้งแต่ต้น การลงทุนเล็กน้อยในการมีทนายความที่ปรึกษา จึงเป็นการลงทุนที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายมหาศาลในอนาคต

3. เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ

เมื่อธุรกิจมี ทนายความที่ปรึกษา คอยดูแลและตรวจสอบเอกสารสัญญาอย่างมืออาชีพ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับคู่ค้า นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจ ว่าการทำงานของคุณมีความโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมาย

4. มีที่ปรึกษาใกล้ตัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

ในกรณีที่ธุรกิจต้องเผชิญกับข้อพิพาททางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องร้อง การถูกตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐ หรือปัญหาภายในองค์กร หากมี ทนายความที่ปรึกษา อยู่แล้ว จะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ทันที

ตัวอย่างปัญหาที่ธุรกิจอาจเจอ หากไม่มี “ทนายความที่ปรึกษา”

1. สัญญาไม่รัดกุม → คู่ค้าอาจใช้ช่องโหว่ของสัญญามาเอาเปรียบ

2. ปัญหาด้านแรงงาน → การเลิกจ้างไม่ถูกต้องอาจทำให้ถูกฟ้องร้องและเสียค่าชดเชยสูง

3. การเสียภาษีผิดพลาด → ธุรกิจอาจถูกปรับหรือตรวจสอบย้อนหลัง

4. ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา → การใช้โลโก้หรือเครื่องหมายการค้าโดยไม่ตรวจสอบ อาจทำให้ถูกฟ้องร้อง

5. ข้อพิพาทภายในองค์กร → ผู้ถือหุ้นหรือพาร์ทเนอร์อาจมีความขัดแย้งที่ไม่สามารถแก้ไขได้

ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่สามารถป้องกันได้ หากมี ทนายความที่ปรึกษา ช่วยกำกับดูแลตั้งแต่ต้น

จะเลือก “ทนายความที่ปรึกษา” อย่างไรให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ?

การมี ทนายความที่ปรึกษา ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยจากความเสี่ยงทางกฎหมาย แต่การเลือกทนายความที่เหมาะสมก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแต่ละธุรกิจมีลักษณะและความต้องการแตกต่างกัน หากเลือกผิดอาจทำให้ไม่ได้รับคำแนะนำที่ตรงจุด หรือเกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่คุ้มค่า ดังนั้น ก่อนตัดสินใจควรพิจารณาอย่างรอบคอบว่าทนายความที่ปรึกษาแบบไหนจึงจะตอบโจทย์ธุรกิจของคุณได้ดีที่สุด ดังนี้

1. มีประสบการณ์ตรงในธุรกิจของคุณ – เช่น หากเป็นธุรกิจโลจิสติกส์ ควรเลือกทนายที่เข้าใจกฎหมายด้านการขนส่ง

2. มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน – เช่น กฎหมายแรงงาน กฎหมายภาษี หรือกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา

3. ให้คำปรึกษาเชิงรุก – ไม่ใช่รอให้ปัญหาเกิด แต่ช่วยวางระบบป้องกันก่อน

4.  ค่าบริการที่ชัดเจน – ควรเลือกทนายความที่มีรูปแบบการคิดค่าบริการที่เข้าใจง่าย ไม่ซ่อนเร้น

ที่ปรึกษาที่ดี จะทำให้ธุรกิจคุณเดินหน้าอย่างมั่นใจ

การมีที่ปรึกษา โดยเฉพาะ ทนายความที่ปรึกษา ไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลือง แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปอย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยง ป้องกันปัญหา และเพิ่มความน่าเชื่อถือ หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่ยังไม่มีทนายความที่ปรึกษาไว้ดูแลธุรกิจของคุณ นี่คือเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเริ่มต้น

อย่ารอให้ปัญหาเกิดแล้วค่อยหาทางแก้ แต่ควรมี ทนายความที่ปรึกษา คอยอยู่เคียงข้าง เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ต้องการปรึกษาทนายความคลิกที่ >>ติดต่อเรา<<

ชาวต่างชาติซื้อที่ดินในไทยได้ไหม? ขั้นตอนและเหตุผลที่ควรมีทนายความเป็นที่ปรึกษา

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเสน่ห์ดึงดูดชาวต่างชาติมากมาย ทั้งเพื่อการท่องเที่ยว การทำงาน การเกษียณ หรือแม้กระทั่งการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อพูดถึง “ที่ดิน” คำถามยอดฮิตที่มักถูกถามคือ “ชาวต่างชาติสามารถซื้อที่ดินในประเทศไทยได้หรือไม่?” คำตอบคือ โดยทั่วไปแล้วชาวต่างชาติ “ไม่มีสิทธิ” เป็นเจ้าของที่ดินในประเทศไทยโดยตรง ยกเว้นบางกรณีที่มีกฎหมายอนุญาตเป็นพิเศษ ดังนั้น หากคุณเป็นชาวต่างชาติที่ต้องการลงทุนในที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ในไทย คุณควรเข้าใจข้อกฎหมาย ขั้นตอนที่ถูกต้อง และเหตุผลว่าทำไมควรมีทนายความคอยเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายให้

กฎหมายไทยเกี่ยวกับการถือครองที่ดินโดยชาวต่างชาติ

ตามพระราชบัญญัติที่ดิน พ.ศ. 2497 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ชาวต่างชาติไม่สามารถถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ ยกเว้นในกรณีดังต่อไปนี้

1. ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ในกรณีที่ชาวต่างชาติลงทุนในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 40 ล้านบาท และต้องการซื้อที่ดินไม่เกิน 1 ไร่เพื่ออยู่อาศัย โดยต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด

2. ถือครองผ่านนิติบุคคลไทย
เช่น การตั้งบริษัทจำกัดที่มีผู้ถือหุ้นคนไทยไม่น้อยกว่า 51% และบริษัทนั้นซื้อที่ดินเพื่อประกอบกิจการ

3. การได้รับที่ดินโดยมรดกจากคู่สมรสที่เป็นคนไทย
หากคู่สมรสเป็นคนไทยและยกที่ดินให้โดยพินัยกรรม แต่ต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และถือครองได้ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด

4. การเช่าที่ดินระยะยาว (Leasehold)
ชาวต่างชาติสามารถทำสัญญาเช่าที่ดินได้สูงสุด 30 ปี และสามารถต่ออายุได้ตามกฎหมาย วิธีนี้เป็นที่นิยมมากเพราะไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างกรรมสิทธิ์

ขั้นตอนสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการใช้สิทธิในที่ดินในไทย

แม้ข้อกฎหมายจะจำกัดการถือครองโดยตรง แต่ชาวต่างชาติก็สามารถใช้สิทธิในที่ดินได้ตามวิธีที่กฎหมายอนุญาต โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้

1. ตรวจสอบคุณสมบัติและรูปแบบการถือครองที่เหมาะสม
เช่น เลือกเช่าระยะยาว หรือจัดตั้งนิติบุคคลไทย

2. ทำสัญญาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ต้องมีเอกสารที่ชัดเจน ระบุสิทธิ หน้าที่ และเงื่อนไขของคู่สัญญาอย่างครบถ้วน

3. จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่สำนักงานที่ดิน
การโอนสิทธิหรือการเช่าเกิน 3 ปี ต้องจดทะเบียนที่กรมที่ดินเพื่อให้มีผลตามกฎหมาย

4. ชำระค่าธรรมเนียมและภาษีที่เกี่ยวข้อง
เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน ภาษีธุรกิจเฉพาะ หรืออากรแสตมป์

ปัญหาที่ชาวต่างชาติมักพบเมื่อทำธุรกรรมที่ดินในไทย

ทำไมชาวต่างชาติควรมีทนายความเมื่อต้องทำธุรกรรมที่ดิน?

การซื้อ-ขาย หรือเช่าที่ดินในไทยสำหรับชาวต่างชาติไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายหลายด้าน เช่น กฎหมายที่ดิน กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายภาษี รวมถึงข้อกำหนดเฉพาะของสำนักงานที่ดินแต่ละพื้นที่ การมีทนายความที่มีประสบการณ์สามารถช่วยได้ในหลายด้าน ได้แก่

1. ให้คำแนะนำด้านกฎหมายอย่างถูกต้อง
เพื่อเลือกวิธีการถือครองที่เหมาะสมและถูกต้องตามกฎหมาย

2. ตรวจสอบเอกสารและสิทธิในที่ดิน
เช่น ตรวจโฉนด ตรวจสอบภาระผูกพัน หรือข้อจำกัดที่อาจส่งผลต่อการใช้ประโยชน์

3. ร่างและตรวจสัญญาให้รัดกุม
เพื่อป้องกันข้อพิพาทในอนาคต และรักษาผลประโยชน์ของชาวต่างชาติ

4. เป็นตัวแทนดำเนินการที่สำนักงานที่ดิน
ลดความยุ่งยากด้านขั้นตอนและภาษา

กรณีตัวอย่าง: ชาวต่างชาติซื้อที่ดินผ่านการเช่าระยะยาว

นายเดวิด ชาวอังกฤษ ต้องการสร้างบ้านพักตากอากาศในจังหวัดเชียงใหม่ หลังจากปรึกษาทนายความ ได้รับคำแนะนำให้ทำสัญญาเช่าที่ดินระยะยาว 30 ปี พร้อมสิทธิต่ออายุอีก 30 ปี รวมถึงจดทะเบียนสิทธิการเช่าที่สำนักงานที่ดิน ทำให้เขามีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดินได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และสามารถตกลงให้ทายาทสืบสิทธิต่อได้ตามสัญญา

ไม่ว่าชาวต่างชาติจะลงทุนหรือทำธุรกิจในไทย ควรมีทนายความเป็นที่ปรึกษาตั้งแต่แรก

การมีทนายความคือความปลอดภัยของการลงทุนในที่ดิน

การมาลงทุนหรือทำธุรกิจในประเทศไทย โดยเฉพาะธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ ที่ดิน มีขั้นตอนทางกฎหมายและข้อกำหนดที่ซับซ้อน ซึ่งแตกต่างจากประเทศต้นทางของชาวต่างชาติ การมีทนายความที่เชี่ยวชาญกฎหมายไทยตั้งแต่เริ่มวางแผน ไม่เพียงช่วยป้องกันความผิดพลาดทางกฎหมาย แต่ยังช่วยออกแบบโครงสร้างการถือครองและการลงทุนให้สอดคล้องกับข้อจำกัดที่มีอยู่ ทนายความสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้อง ตรวจสอบเอกสารสัญญา และเป็นตัวแทนในการติดต่อหน่วยงานราชการ ทำให้การลงทุนเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาในอนาคต

สำหรับ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาและดำเนินการธุรกรรมด้านที่ดินให้กับชาวต่างชาติหลายสัญชาติ ทั้งจากยุโรป เอเชีย และอเมริกา เราพร้อมดำเนินการให้คุณได้เข้าใจกฎหมายไทย ดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง และคุ้มครองผลประโยชน์ของคุณอย่างสูงสุด หากคุณต้องการคำปรึกษา คลิก >>ติดต่อเรา<<

กฎหมายธุรกิจกับเจ้าของกิจการมือใหม่ ทำไมควรมีที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้น?

เจ้าของธุรกิจมือใหม่ทำไมควรรู้สิ่งเหล่านี้?

การเริ่มต้นธุรกิจในยุคปัจจุบันอาจดูง่ายจากภายนอก บางคนอาจจะคิดว่าแค่มีเงินหรือมีทุนทรัพย์ในการที่จะเริ่มต้นธุรกิจก็อาจจะเพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงในการที่จะทำธุรกิจสักอย่างหนึ่งนั้นมีรายละเอียดทางกฎหมายจำนวนมากที่เจ้าของกิจการจำเป็นต้องเข้าใจและรับมือให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เริ่มต้นกิจการใหม่ ๆ ความรู้ด้านกฎหมายธุรกิจคือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้กิจการดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ไม่สะดุดกลางทาง และหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ความท้าทายของเจ้าของธุรกิจมือใหม่ มีอะไรบ้าง?

เจ้าของกิจการจำนวนไม่น้อยเริ่มต้นธุรกิจจากความสามารถเฉพาะทาง เช่น เชฟที่เปิดร้านอาหาร, นักออกแบบที่เปิดสตูดิโอ, หรือโปรแกรมเมอร์ที่เปิดบริษัทซอฟต์แวร์ แต่กลับไม่มีพื้นฐานในเรื่อง กฎหมายธุรกิจ ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น

  • ทำสัญญาโดยไม่ได้อ่านรายละเอียดครบถ้วน หรือไม่ได้เข้าใจข้อผูกพันทางกฎหมาย
  • การว่าจ้างลูกจ้างโดยไม่มีสัญญาจ้างหรือผิดกฎหมายแรงงาน
  • จดทะเบียนบริษัทผิดรูปแบบ ภาษีไม่เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจ
  • ข้อพิพาทกับหุ้นส่วนหรือผู้ร่วมทุน
  • ปัญหาการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ลิขสิทธิ์, โลโก้, หรือเครื่องหมายการค้า

ปัญหาเหล่านี้อาจดูเล็กน้อยในตอนแรก แต่หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง ก็อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นต้องปิดกิจการหรือถูกฟ้องร้องได้ในอนาคต

ที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจ ผู้ช่วยคนสำคัญที่เจ้าของกิจการควรมี

ที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจ หรือ “ทนายความที่ปรึกษาประจำบริษัท” คือบุคคลที่คอยให้คำแนะนำ ควบคุมความเสี่ยง และจัดการเรื่องทางกฎหมายตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยหน้าที่ของที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจ ได้แก่

  • ตรวจสอบและร่างสัญญาทางธุรกิจ เช่น สัญญาจ้าง สัญญาซื้อขาย สัญญาหุ้นส่วน ฯลฯ
  • ให้คำปรึกษาเรื่องการจดทะเบียนธุรกิจ จัดโครงสร้างบริษัทให้เหมาะสมกับกิจการ
  • ดูแลเรื่องภาษีและข้อกำหนดทางกฎหมายเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม
  • ช่วยเจรจาและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ ก่อนจะกลายเป็นคดีความ
  • ป้องกันไม่ให้บริษัทถูกละเมิดสิทธิหรือถูกฟ้องร้องโดยไม่จำเป็น

การมีทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายตั้งแต่แรกจะช่วยให้เจ้าของกิจการตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดที่อาจมีต้นทุนสูงในอนาคต

ทำไมต้องมีที่ปรึกษากฎหมายประจำบริษัทตั้งแต่เริ่มต้น?

หลายคนมักคิดว่า “ค่อยจ้างทนายตอนมีปัญหาก็ได้” แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะในทางปฏิบัติ ทนายความไม่ใช่เพียงคนที่แก้ปัญหาเมื่อเกิดเหตุ แต่เป็นผู้วางรากฐานที่มั่นคงให้กับธุรกิจ

การมี ที่ปรึกษากฎหมายประจำบริษัท จะช่วยให้ผู้บริหารไม่ต้องกังวลกับปัญหาจุกจิกทางกฎหมาย และสามารถโฟกัสไปที่การพัฒนาธุรกิจได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่กฎหมายเปลี่ยนแปลงบ่อย การมีมืออาชีพคอยอัปเดตกฎหมายและให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นความได้เปรียบทางธุรกิจ

ปัญหาที่นายจ้างมักเจอ เมื่อไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย

ตัวอย่างปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับเจ้าของกิจการที่ไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย เช่น:

  • ถูกพนักงานฟ้องร้องเรื่องสัญญาจ้าง ไม่ได้รับค่าจ้างหรือสวัสดิการตามกฎหมาย
  • ข้อพิพาทกับลูกค้าเรื่องการส่งมอบสินค้า/บริการไม่เป็นไปตามสัญญา
  • ถูกกรมสรรพากรตรวจสอบและเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจำนวนมาก
  • ใช้เครื่องหมายการค้าโดยไม่รู้ว่าละเมิดสิทธิของผู้อื่น

หากเจ้าของกิจการมีที่ปรึกษากฎหมายตั้งแต่ต้น ปัญหาเหล่านี้จะสามารถป้องกันหรือจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลา หรือเสียชื่อเสียง

ลงทุนกับความมั่นคงทางกฎหมาย คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด

การเริ่มต้นธุรกิจอาจใช้เงินทุนจำนวนมาก แต่การลงทุนกับ ที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจ นั้น ใช้งบประมาณไม่มาก แต่ให้ผลตอบแทนมหาศาลในแง่ของความมั่นใจ ความมั่นคง และความพร้อมในการเผชิญปัญหาในอนาคต

หากคุณกำลังเริ่มต้นธุรกิจ หรือกำลังมองหาทนายความที่ปรึกษาประจำบริษัท เราขอเชิญให้ติดต่อ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เพื่อรับคำปรึกษา

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจที่คุณไว้วางใจได้

ที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามีทีมทนายความและที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจที่พร้อมให้บริการตั้งแต่การวางแผนเริ่มต้นกิจการ ไปจนถึงการจัดการข้อพิพาทหรือวางแผนการขยายธุรกิจ เราเข้าใจดีว่าเจ้าของกิจการต้องการ “คู่คิดทางกฎหมาย” ที่ไว้วางใจได้ ไม่ใช่แค่ที่ปรึกษาชั่วคราว เราให้บริการทั้งในรูปแบบรายครั้ง, รายเดือน, หรือเป็นที่ปรึกษาประจำตามความต้องการของลูกค้า

ด้วยประสบการณ์ในฐานะทนายความที่ปรึกษาธุรกิจหลากหลายประเภท สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ไม่เพียงให้บริการแก่ผู้ประกอบการชาวไทยเท่านั้น แต่ยังได้รับความไว้วางใจจากบริษัทต่างชาติ เช่น จีน, โปรตุเกส, อังกฤษ, รัสเซีย, และเกาหลี ซึ่งล้วนแต่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ด้วยความเข้าใจในข้อกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายธุรกิจไทยอย่างลึกซึ้ง ทำให้เราสามารถวางแผน ป้องกัน และแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ ดังนั้น การมีทนายความที่ปรึกษาประจำบริษัทจึงไม่ใช่แค่ความสะดวกในการเข้าถึงกฎหมายเท่านั้น แต่คือรากฐานสำคัญในการพาธุรกิจไปสู่ความยั่งยืนในยุคที่การแข่งขันสูงและกฎหมายมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เริ่มต้นธุรกิจให้ถูกทาง เริ่มต้นด้วยการมี “ทนายความที่ไว้ใจได้” คือก้าวแรกที่ดีที่สุด คลิก >>ติดต่อเรา<< เพื่อรับคำปรึกษาในเบื้องต้น

ทำไมธุรกิจยุคใหม่ต้องมี “ทนายความที่ปรึกษา” ประจำบริษัท?

ในยุคที่โลกธุรกิจหมุนเร็ว กฎหมายก็มีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับเกณฑ์เงื่อนไขอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแน่นอนว่าความเสี่ยงทางธุรกิจก็สามารถเกิดขึ้นได้จากทุกทิศทางที่พร้อมจะส่งผลกระทบต่อหลาย ๆ ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ต่างเผชิญกับปัญหาทางกฎหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งการทำสัญญา การจัดการข้อพิพาท การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา หรือแม้แต่การปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน ซึ่งหากไม่มีผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายคอยให้คำปรึกษา ก็อาจทำให้ธุรกิจเกิดความเสียหายอย่างคาดไม่ถึง ด้วยเหตุนี้ “ทนายความที่ปรึกษา” หรือ “ที่ปรึกษาประจำบริษัท” จึงกลายเป็นหนึ่งในบุคลากรสำคัญที่ธุรกิจไทยยุคใหม่ไม่ควรมองข้าม

ธุรกิจไทยในยุคกฎหมายซับซ้อน

ประเทศไทยในปัจจุบันมีการบังคับใช้กฎหมายจำนวนมาก ครอบคลุมทั้งด้านภาษี การค้าระหว่างประเทศ กฎหมายแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ยิ่งไปกว่านั้น หลายหน่วยงานรัฐยังมีระเบียบปฏิบัติแยกย่อยอีกมาก หากผู้ประกอบการไม่เข้าใจข้อกฎหมายอย่างแท้จริง อาจละเมิดกฎโดยไม่ตั้งใจ และนำไปสู่คดีความหรือค่าปรับจำนวนมากได้ ยิ่งธุรกิจเติบโต ความรับผิดชอบทางกฎหมายก็ยิ่งมากขึ้น เช่น การจัดทำสัญญาซื้อขายกับคู่ค้า การตั้งเงื่อนไขการชำระเงิน การกำหนดบทลงโทษในกรณีผิดสัญญา หากไม่มีทนายดำเนินการตรวจสอบและวางกลยุทธ์ อาจทำให้ธุรกิจเสียเปรียบ หรือเสียผลประโยชน์จำนวนมากในระยะยาว

หน้าที่ของทนายความที่ปรึกษาประจำบริษัท

ทนายความที่ปรึกษา” หรือ “ที่ปรึกษาประจำบริษัท” คือผู้ที่มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและสนับสนุนธุรกิจในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมาย อาจมีขอบเขตของงานที่แตกต่างกันไปแล้วแต่กรณี เช่น

  • ร่าง, ตรวจ, และปรับแก้สัญญาทางธุรกิจ
  • ให้คำแนะนำเรื่องกฎหมายแรงงาน, การจ้างงาน, และเลิกจ้าง
  • ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารก่อนส่งราชการ รวมถึงการส่งเอกสารถึงคู่ค้าทางธุรกิจ
  • วางแผนและป้องกันความเสี่ยงทางกฎหมาย
  • เป็นตัวแทนในการเจรจาข้อพิพาทกับคู่ค้า หรือลูกจ้าง
  • สนับสนุนการดำเนินคดี หากมีคดีความเกิดขึ้น

นอกจากนี้ ทนายความที่ปรึกษาประจำบริษัท ยังสามารถประสานงานกับหน่วยงานราชการ แปลกฎหมายที่ซับซ้อนให้ผู้บริหารเข้าใจง่าย และมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบให้ธุรกิจดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ

เปรียบเทียบบริษัทที่มีทนายความที่ปรึกษาประจำ กับบริษัทที่ไม่มีทนายความที่ปรึกษา

ข้อดีของการมีทนายความที่ปรึกษาประจำบริษัท

1. ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย: ทนายสามารถคาดการณ์และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

2. เพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ: เจ้าของธุรกิจสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ โดยมีข้อมูลทางกฎหมายสนับสนุน

3. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในระยะยาว: ดีกว่าการแก้ปัญหาเมื่อเกิดคดีแล้ว ซึ่งมักใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง

4. ช่วยให้การเจรจาธุรกิจมีพลังมากขึ้น: ทนายสามารถวางเงื่อนไขในสัญญาให้รัดกุม ไม่เสียเปรียบคู่ค้า

5. สร้างภาพลักษณ์มืออาชีพให้ธุรกิจ: การมีทีมกฎหมายสนับสนุนแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ และน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้า

ข้อเสีย หากไม่มีทนายประจำบริษัท

1. ความเสี่ยงสูงต่อการถูกฟ้องร้องหรือเสียเปรียบในสัญญา

2.  เสียเวลาในการแก้ปัญหาที่เกิดจากความผิดพลาดทางกฎหมาย

3.  ต้องพึ่งพาทนายภายนอกแบบรายครั้ง ซึ่งอาจไม่เข้าใจธุรกิจของคุณอย่างแท้จริง

4.  ขาดแนวทางป้องกันปัญหาในระยะยาว

การมีทนายความที่ปรึกษาประจำบริษัทเหมาะกับใครบ้าง?

  • ผู้ประกอบการ SME: ที่เริ่มมีการทำสัญญากับคู่ค้า หรือเริ่มจ้างพนักงานจำนวนมาก
  • บริษัทขนาดกลาง – ใหญ่: ที่มีการขยายกิจการ เปิดบริษัทลูก หรือมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายด้าน
  • ผู้ลงทุนต่างชาติ: ที่ต้องการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย

ทำไมต้องใช้บริการทนายความที่ปรึกษาจากเรา?

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ โดยทนายอาร์มมีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษากฎหมายเชิงธุรกิจอย่างครอบคลุม เรามีทีมทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านสัญญาไม่ว่าจะเป็นการร่างสัญญา, ตรวจสัญญาฯลฯ ยังครอบคลุมการค้าระหว่างประเทศ กฎหมายแรงงาน และทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมให้บริการทั้งแบบรายครั้ง และแบบรายเดือนตามความเหมาะสมของธุรกิจคุณ

ลูกค้าของเราครอบคลุมตั้งแต่กิจการ SME, บริษัทสตาร์ทอัป, จนถึงบริษัทมหาชน และได้รับความไว้วางใจในการร่างสัญญา ตรวจสัญญา และให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์เพื่อเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคง

หากคุณเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ว่าธุรกิจจะเพิ่งเริ่มต้นหรือดำเนินการมานานแล้ว การมี ทนายความที่ปรึกษา ประจำบริษัทจะสามารถดำเนินการให้คุณวางแผนธุรกิจได้มั่นคง ลดความเสี่ยง และเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณต้องการคำปรึกษาที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ยินดีให้บริการเต็มที่ ด้วยความเป็นมืออาชีพ ใส่ใจในผลประโยชน์ของลูกค้าเสมอ ต้องการปรึกษาทนายความ คลิก >>ติดต่อเรา<<

อย่าเปิดบริษัท หากคุณยังไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย เพราะความเสี่ยงทางธุรกิจอาจเริ่มตั้งแต่วันแรกที่คุณจดทะเบียน

ธุรกิจที่ดีต้องเริ่มจากพื้นฐานทางกฎหมายที่มั่นคง

ปัจจุบันนี้การเปิดบริษัทหรือเริ่มต้นธุรกิจใหม่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญที่สุดในชีวิตของผู้ประกอบการก็ว่าได้ แต่ในความตื่นเต้นของการได้ทำในสิ่งที่ฝัน เจ้าของธุรกิจหลายคนกลับมองข้ามสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง นั่นคือ ที่ปรึกษากฎหมาย

มีนักธุรกิจหลายคนกำลังเข้าใจว่า การจดทะเบียนบริษัทคือการจัดการเอกสารไม่กี่แผ่นแล้วจบ แต่ในความเป็นจริง การก่อตั้งธุรกิจคือการก้าวเข้าสู่โลกของข้อกฎหมาย, สัญญา, ความเสี่ยงต่าง ๆ  และข้อผูกพันมากมายที่สามารถส่งผลเสียต่อธุรกิจในระยะยาวได้

เปรียบเทียบให้เห็นภาพแล้วในการก่อตั้งบริษัท หากคุณยังไม่มีที่ปรึกษากฎหมายก่อนเปิดบริษัท อาจหมายความว่าคุณกำลังเดินเข้าสู่สนามรบ โดยไม่มีชุดเกราะใด ๆ ป้องกันตัว


เปิดบริษัทโดยไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย = เปิดประตูรับปัญหา


การเริ่มต้นธุรกิจไม่ใช่แค่การมีไอเดียดีหรือมีเงินทุนพร้อม แต่ยังต้องมี “พื้นฐานทางกฎหมาย” ที่มั่นคงด้วย เพราะทันทีที่คุณจดทะเบียนบริษัท นั่นคือจุดเริ่มต้นของความรับผิดทางกฎหมายในหลายมิติ ตั้งแต่การจัดโครงสร้างองค์กร การทำสัญญากับลูกค้าและพาร์ตเนอร์ ไปจนถึงเรื่องบุคลากร, แรงงาน, และภาษี แต่เจ้าของกิจการหลายรายกลับเลือกเดินคนเดียวโดยไม่มี “ที่ปรึกษากฎหมาย” ซึ่งเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการเกิดปัญหาในอนาคต ทั้งที่ความเสียหายหลายอย่างสามารถ “ป้องกันไว้ได้ตั้งแต่ต้น” หากมีผู้รู้กฎหมายอยู่เคียงข้าง

การไม่มีที่ปรึกษากฎหมายตั้งแต่เริ่มต้นอาจนำมาสู่ผลเสียอย่างไรบ้าง?

1. ไม่เข้าใจโครงสร้างบริษัทที่เหมาะสม
 หลายคนจดทะเบียนแบบห้างหุ้นส่วนจำกัด ทั้งที่ควรเป็นบริษัทจำกัด หรือในบางรายเลือกตั้งกรรมการแบบไม่มีข้อตกลงชัดเจน จนเกิดปัญหาในภายหลัง การมีที่ปรึกษากฎหมายจะช่วยวางโครงสร้างบริษัทให้เหมาะกับเป้าหมายทางธุรกิจและการบริหารความเสี่ยง

2.  ขาดความรู้เรื่องสัญญา
 ธุรกิจทุกประเภทย่อมมีการทำสัญญา ไม่ว่าจะเป็นสัญญาเช่า สัญญาจ้าง สัญญาแฟรนไชส์ หรือสัญญาร่วมทุน หากคุณลงนามโดยไม่มีการปรึกษาทนาย อาจเสี่ยงต่อการเสียเปรียบ หรือถึงขั้นถูกฟ้องร้องได้ในอนาคต

3. ละเลยกฎหมายแรงงาน
 หลายบริษัทเริ่มต้นโดยไม่มีระเบียบพนักงาน ไม่มีสัญญาจ้าง หรือไม่เข้าใจกฎหมายแรงงานไทย ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการฟ้องร้องโดยลูกจ้าง หรือเสียค่าชดเชยจำนวนมากโดยไม่รู้ตัว

4. ไม่รู้สิทธิของตนเองในทางกฎหมาย
 หากไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย ธุรกิจของคุณอาจถูกเอาเปรียบจากคู่ค้า หรือเสียผลประโยชน์โดยไม่สามารถเรียกร้องได้

5. เสียภาษีเกินจำเป็น
 ที่ปรึกษากฎหมายสามารถทำงานร่วมกับนักบัญชี เพื่อวางโครงสร้างภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมายและประหยัดที่สุด

ที่ปรึกษากฎหมาย มีบทบาทอย่างไรในการทำธุรกิจ?

  • ให้คำแนะนำเรื่องการจดทะเบียนและโครงสร้างธุรกิจ
  • ตรวจร่างและวิเคราะห์สัญญาก่อนลงนาม
  • เป็นตัวแทนในการเจรจาข้อพิพาทหรือไกล่เกลี่ย
  • ให้คำปรึกษากฎหมายแรงงานและภาษี
  • คอยอัปเดตกฎหมายใหม่ที่อาจมีผลกระทบต่อธุรกิจ
  • เตรียมรับมือกับกรณีฟ้องร้องหรือละเมิดลิขสิทธิ์

อย่าเสี่ยงทำธุรกิจแบบไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย เพราะคุณอาจต้องจ่ายแพงกว่าที่คิดในภายหลัง

✅ ไม่เข้าใจโครงสร้างบริษัท = เสี่ยงขัดแย้งหุ้นส่วน
✅ ไม่รู้หลักสัญญา = อาจถูกเอาเปรียบหรือฟ้องร้อง
✅ ไม่เข้าใจกฎหมายแรงงาน = เสี่ยงโดนลูกจ้างฟ้อง
✅ ไม่รู้สิทธิของตัวเอง = เสียประโยชน์โดยไม่รู้ตัว
✅ ไม่วางแผนภาษี = จ่ายภาษีเกินจำเป็น

การมี ที่ปรึกษากฎหมาย ไม่ใช่แค่เพื่อป้องกันความผิดพลาด แต่ยังช่วยให้ธุรกิจของคุณ “แข็งแรงและเติบโตอย่างยั่งยืน” ได้จริง

ตัวอย่างความเสียหายจากการไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย

ธุรกิจสตาร์ทอัปรายหนึ่งเซ็นสัญญากับบริษัทต่างชาติ โดยไม่มีทนายร่วมตรวจสอบ เอกสารกำหนดให้หากมีข้อพิพาทต้องไปฟ้องศาลในประเทศคู่สัญญา ซึ่งส่งผลให้เจ้าของธุรกิจไทยต้องเสียค่าทนายและค่าเดินทางมหาศาล แถมไม่สามารถดำเนินคดีได้จริง

หรืออีกกรณี บริษัท SME แห่งหนึ่งถูกร้องเรียนเรื่องการเลิกจ้างโดยไม่แจ้งล่วงหน้า และต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวนมาก ทั้งที่หากมีที่ปรึกษากฎหมายตั้งแต่แรกก็สามารถวางแนวทางการเลิกจ้างอย่างถูกกฎหมายได้

ถ้าคุณยังไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย นี่คือเวลาที่ควรเริ่มต้น

อย่ารอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยหาทนาย เพราะปัญหาทางกฎหมายหลายอย่างสามารถ “ป้องกัน” ได้ตั้งแต่ต้น หากมีคนที่รู้จริงอยู่ข้างคุณ โดยเฉพาะในยุคที่กฎหมายเปลี่ยนแปลงบ่อย การมีที่ปรึกษากฎหมายประจำธุรกิจ จะช่วยให้คุณไม่ต้องวิ่งตามแก้ปัญหา แต่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้อย่างเป็นระบบ

ให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้คุณ

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ให้บริการด้านที่ปรึกษากฎหมายอย่างครบวงจร โดยเฉพาะสำหรับเจ้าของกิจการ SME, Startups และบริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรม

เราเข้าใจว่าทุกธุรกิจมีความเฉพาะตัวเราจึงให้คำปรึกษาโดยอิงจากลักษณะธุรกิจจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎีกฎหมาย

จุดเด่นของเรา

  • ให้คำปรึกษาแบบรายเดือน / รายปี
  • ทีมทนายผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายธุรกิจ
  • พร้อมลงพื้นที่ช่วยตรวจสอบเอกสาร สัญญา และปัญหาหน้างาน
  • รายงานผลชัดเจนทุกขั้นตอน ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง

การมี “ที่ปรึกษากฎหมาย” ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายเกินจำเป็น แต่คือการลงทุนเพื่อความปลอดภัยของธุรกิจในระยะยาว หากคุณกำลังวางแผนเปิดบริษัท หรือมีธุรกิจอยู่แล้วแต่ยังไม่มีที่ปรึกษาทางกฎหมายที่ไว้ใจได้ ติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรายินดีเป็นทีมสนับสนุนให้คุณเดินธุรกิจอย่างมั่นคง พร้อมรับมือทุกปัญหาทางกฎหมาย

คนไทยในต่างประเทศ ต้องจัดการทรัพย์สินในไทยอย่างไร? กับทางออกที่คุณอาจยังไม่รู้

ชีวิตใหม่ในต่างแดน แต่ทรัพย์สินยังอยู่ไทย แล้วใครจะดูแล?

เมื่อคนไทยจำนวนไม่น้อยได้ย้ายถิ่นฐานไปใช้ชีวิตต่างประเทศ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของการเรียนต่อ การทำงาน หรือการแต่งงานกับชาวต่างชาติ หลายคนก็ยังคงมีทรัพย์สินในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน คอนโด หรือบัญชีเงินฝาก

คำถามสำคัญคือ…

 หากคุณเป็นคนไทยในต่างประเทศ แล้วต้องการจัดการทรัพย์สินในไทย จะทำอย่างไรดี?
โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่สามารถเดินทางกลับไทยได้ทันที หรือไม่มีญาติพี่น้องที่ไว้ใจให้ดำเนินการแทน

ตัวอย่างสถานการณ์จริงที่คนไทยในต่างประเทศมักเผชิญ

  • คุณเมย์ แต่งงานกับชาวออสเตรเลีย มีลูกเล็ก เดินทางกลับไทยไม่ได้ แต่มีที่ดินในสมุทรปราการที่ถูกเพื่อนบ้านบุกรุก
  • คุณกอล์ฟ ไปทำงานที่เยอรมนี มีบ้านในนนทบุรีปล่อยเช่า แต่ผู้เช่าหยุดจ่ายค่าเช่า ต้องการฟ้องขับไล่
  • คุณพลอย ใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นกับสามีชาวญี่ปุ่น ต้องการโอนรถยนต์ที่เมืองไทยให้พี่สาว แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง

หากคุณเป็น “คนไทยในต่างประเทศ” ที่มีทรัพย์สินในไทย และอยากจัดการบางอย่างให้เรียบร้อย การมอบอำนาจให้ทนายความไทย จึงเป็นทางออกที่ทั้งปลอดภัยและถูกกฎหมาย

รู้หรือไม่ ? สามารถมอบอำนาจให้ทนายความในไทยเป็นผู้แทนทางกฎหมายดำเนินการแทนได้

การจัดการทรัพย์สินโดยตรงเมื่อคุณไม่สามารถอยู่ในไทยได้ ต้องอาศัย “ผู้แทนทางกฎหมาย” ที่สามารถดำเนินการแทนคุณได้ตามขั้นตอนต่าง ๆ เช่น

  • ติดต่อหน่วยงานราชการ
  • ต่อสัญญาเช่า / ฟ้องผู้เช่า
  • ขายทรัพย์สิน / โอนกรรมสิทธิ์
  • ดูแลทรัพย์สินไม่ให้ถูกบุกรุก
  • ตรวจสอบภาษี หรือยื่นแบบภาษีที่ดิน
  • ดำเนินคดีแทนในศาลไทย

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ของเรามีประสบการณ์ในการดำเนินเรื่องในธุระทางกฎหมายต่าง ๆ จากคนไทยในต่างประเทศมาแล้วหลายกรณี โดยดำเนินการแทนเจ้าของทรัพย์สินตามเงื่อนไขที่ชัดเจน โปร่งใส มีหลักฐานทุกขั้นตอน

ขั้นตอนการมอบอำนาจจากต่างประเทศทำอย่างไร?

1.ติดต่อทนายความ เพื่อขอคำปรึกษาและระบุความต้องการ

2.จัดทำหนังสือมอบอำนาจ (Power of Attorney) โดยสามารถขอรับรองเอกสารได้ที่สถานทูตไทยในประเทศที่คุณพำนัก

3.ส่งเอกสารกลับมาที่ไทย โดยไปรษณีย์ด่วนพิเศษ หรือ DHL

4.ทนายความไทยดำเนินการแทนตามอำนาจ เช่น โอนทรัพย์ แจ้งความ เจรจาข้อพิพาท

5.ติดตามผลผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น อีเมล วิดีโอคอล หรือ LINE

การทำทุกขั้นตอนนี้จะช่วยให้คุณไม่ต้องกังวล หรือเสียเวลาบินกลับไทยให้ยุ่งยาก

ทำไมคนไทยในต่างประเทศควรเตรียมการไว้ล่วงหน้า?

“ทรัพย์สินในไทยคือสิ่งมีค่า ถ้าไม่มีคนดูแล อาจกลายเป็นปัญหา”

เหตุผลที่ควรให้ความสำคัญในการจัดการทรัพย์สิน ได้แก่

  • ป้องกันการบุกรุกจากบุคคลอื่น
  • ป้องกันคดีความที่อาจเกิดโดยไม่รู้ตัว
  • วางแผนการเงินและภาษีอย่างถูกต้อง
  • สะดวกหากต้องการโอนให้ทายาทหรือขายทรัพย์ในอนาคต
  • รักษาผลประโยชน์ของตัวคุณและครอบครัวไว้ให้ครบถ้วน

ไม่ไว้ใจใครในครอบครัว จะทำอย่างไร?

หลายคนอาจไม่มีญาติหรือคนสนิทที่สามารถไว้วางใจให้ดูแลทรัพย์สินแทนได้ การมอบอำนาจให้ทนายความเป็นบุคคลกลาง จึงถือเป็นทางเลือกที่น่าเชื่อถือและเป็นกลาง เพราะ

  • ดำเนินงานตามกฎหมายทุกขั้นตอน
  • มีความรับผิดชอบทางวิชาชีพ
  • มีระบบตรวจสอบ โปร่งใส
  • รายงานผลอย่างต่อเนื่อง
  • ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน

ปรึกษาสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ตัวช่วยของคนไทยในต่างแดน

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เข้าใจปัญหาของคนไทยในต่างประเทศโดยเฉพาะ ให้บริการดูแลและจัดการทรัพย์สินแทนคุณอย่างมืออาชีพ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น หรือประเทศใดในโลก เราให้บริการตั้งแต่ขั้นตอนการให้คำปรึกษา ร่างเอกสาร รับมอบอำนาจ ไปจนถึงดำเนินการแทนคุณจนแล้วเสร็จ หากคุณกำลังมองหา “ที่ปรึกษากฎหมายในไทย” ที่ไว้ใจได้ เรายินดีเป็นตัวแทนดูแลสิทธิ์ของคุณเสมือนคุณอยู่เมืองไทย

คนไทยในต่างประเทศ ต้องบริหารจัดการทรัพย์สินในไทยอย่างมีแผน

  • ถ้าคุณแต่งงานกับชาวต่างชาติ แล้วไม่สามารถกลับไทยบ่อย ๆ
  • ถ้าคุณมีทรัพย์สินในประเทศไทยที่ต้องบริหาร
  • ถ้าคุณต้องการโอน ขาย หรือดูแลทรัพย์ แต่ไม่สามารถทำเอง

มอบอำนาจให้ทนายที่ไว้ใจได้ คือคำตอบ คลิก >>ปรึกษาทนายความ<<

เลือก “ทนายความที่ปรึกษา” อย่างไรให้มั่นใจ? เหตุผลที่ชาวต่างชาติไว้วางใจสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

ในยุคที่การดำเนินธุรกิจหรือใช้ชีวิตในต่างแดนเต็มไปด้วยความเสี่ยงทางกฎหมาย การมี “ทนายความที่ปรึกษา” ที่ไว้ใจได้และมีความรู้ความเข้าใจในระบบกฎหมายของประเทศนั้น ๆ จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และนั่นคือเหตุผลที่ชาวต่างชาติจำนวนมากให้ความไว้วางใจเลือกใช้บริการจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา สำนักงานของเราได้รับเกียรติจากชาวต่างชาติรายหนึ่ง
ซึ่งได้เดินทางเข้ามาขอคำปรึกษาทางกฎหมายทันทีที่ทราบว่าตนประสบปัญหาทางกฎหมายในประเทศไทย โดยไม่ได้ติดต่อสำนักงานกฎหมายอื่นใดมาก่อนเลย สิ่งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญและชื่อเสียงของเราในฐานะ “ที่ปรึกษากฎหมาย” ที่มีความเป็นมืออาชีพ และพร้อมดูแลทุกปัญหาของลูกความอย่างเต็มที่

ทนายความที่ปรึกษา ไม่ใช่แค่แก้ปัญหา แต่คือคนที่วางแผนป้องกันปัญหาให้คุณ

หลายคนมักเข้าใจว่า ทนายความมีหน้าที่เพียงแค่ดำเนินการด้านกฎหมายในเวลาถูกฟ้องร้อง หรือดำเนินคดีในชั้นศาลเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว “ทนายความที่ปรึกษา” มีบทบาทที่สำคัญยิ่งกว่า เพราะเราคือผู้ให้บริการทางกฎหมายเพื่อให้คุณหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทางกฎหมาย วางแผนรับมือกับความเสี่ยง และสร้างแนวทางการดำเนินชีวิตหรือธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่แรกเริ่ม

ในกรณีของชาวต่างชาติที่เข้ามาปรึกษาเรานั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถบานปลายและสร้างความเสียหายอย่างมากได้ หากเขาไม่รีบเข้ามาขอคำแนะนำตั้งแต่ต้น ซึ่งนี่คือสิ่งที่เราพยายามสื่อสารกับผู้คนอยู่เสมอว่า “การปรึกษาทนายความเร็วเท่าไหร่ ยิ่งสามารถทำให้คุณได้รับความเป็นธรรมหรือได้รับการแก้ไขปัญหาเร็วมากขึ้นเท่านั้น”

ทำไมต้องเลือกที่ปรึกษากฎหมายจาก “สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์”?

1.ประสบการณ์และความชำนาญเฉพาะทาง ทนายของเรามีประสบการณ์ทั้งในคดีแพ่ง อาญา ธุรกิจ ครอบครัว ไปจนถึงคดีระหว่างประเทศ เราเข้าใจในบริบททั้งของคนไทยและชาวต่างชาติ

2.ให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา เราให้ความสำคัญกับความโปร่งใส ซื่อสัตย์ และการให้ข้อมูลที่ถูกต้องไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่

3.การสื่อสารเข้าใจง่าย โดยเฉพาะในเคสของชาวต่างชาติ เรามีทีมงานที่สามารถสื่อสารได้หลากหลายภาษา พร้อมอธิบายข้อกฎหมายที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย4.ความไว้วางใจจากลูกความ กรณีของชาวต่างชาติที่เข้ามาปรึกษาโดยตรงกับเราโดยไม่ผ่านคนแนะนำ หรือไม่ติดต่อที่อื่นก่อน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่สำนักงานกฎหมายของเราได้รับอย่างแท้จริง

ที่ปรึกษากฎหมาย จำเป็นสำหรับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะคนที่มีปัญหา

ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจ บุคคลธรรมดา หรือแม้แต่ชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือพำนักในประเทศไทย การมี “ที่ปรึกษากฎหมาย” ส่วนตัวคือการลงทุนในความมั่นคงทางชีวิตและธุรกิจ

  • อยากเซ็นสัญญาเช่าคอนโด หรือซื้อขายทรัพย์สิน? ทนายความสามารถตรวจสอบเงื่อนไขให้คุณไม่เสียเปรียบ
  • ทำธุรกิจในไทย ไม่แน่ใจว่าเอกสารทุกอย่างถูกต้องไหม? ปรึกษาทนายก่อนจะดีกว่าแก้ไขภายหลัง
  • ถูกฟ้องร้อง หรือมีปัญหาข้อพิพาท? ยิ่งมีทนายที่รู้จักคุณอยู่แล้ว ยิ่งแก้ไขได้เร็วและตรงจุด

ความมั่นใจ เริ่มต้นจากการตัดสินใจที่ถูกต้องสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ไม่เพียงให้คำแนะนำทางกฎหมายเท่านั้น แต่เรายังมุ่งมั่นที่จะเป็น “ผู้ให้บริการด้านกฎหมาย” ที่คุณวางใจได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติ หากคุณมองหา ทนายความที่ปรึกษา ที่พร้อมเคียงข้างคุณในทุกก้าวของชีวิตและธุรกิจ — เรายินดีต้อนรับเสมอ

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ที่ปรึกษากฎหมายที่คุณวางใจได้

ในโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมี “ทนายความที่ปรึกษา” ที่เข้าใจคุณ รู้กฎหมาย และพร้อมให้บริการด้านกฎหมายทันทีเมื่อเกิดปัญหา คือสิ่งสำคัญไม่แพ้การมีแพทย์ประจำตัว

หากคุณกำลังมองหา “ที่ปรึกษากฎหมาย” ที่พร้อมดูแลคุณอย่างจริงใจและมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นคดีความ ธุรกิจ หรือปัญหาส่วนตัว ติดต่อเราวันนี้ที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ แล้วคุณจะเข้าใจว่า ทำไมลูกค้าหลายรายถึงไว้วางใจเราโดยไม่ลังเล