รถชนจะเรียกค่าเสียหายกับบริษัทประกันภัยหรือคู่กรณีดี?

มุมมองจากทนายอาร์ม  ตั้งหลักให้ถูก เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนได้เหมาะสมกับความเสียหาย

อุบัติเหตุทางถนนเกิดขึ้นได้ทุกวัน ไม่ว่าจะขับรถระยะใกล้หรือไกล ความเสียหายที่ตามมานอกจากจะเป็นเรื่องของรถพังหรือทรัพย์สินเสียหายแล้ว ยังรวมถึง “ค่าเสียหายทางร่างกายและจิตใจ” ที่ผู้ประสบเหตุมีสิทธิจะเรียกร้องได้ด้วย แต่เมื่อถึงเวลาต้องเรียกค่าเสียหายจริง หลายคนกลับไม่แน่ใจว่าควรเรียกจากใคร? บริษัทประกันภัยหรือคู่กรณีที่เป็นเจ้าของรถอีกฝ่าย?

ในมุมมองของทนายอาร์มจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการเรียกค่าสินไหมทดแทนกรณีอุบัติเหตุรถชนให้ผู้เสียหายหลายเคส เห็นว่า “การเรียกกับบริษัทประกันภัย” มักเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าในทางปฏิบัติ ทั้งในแง่ความรวดเร็ว ความแน่นอน และโอกาสที่จะได้รับค่าสินไหมอย่างเหมาะสมกับความเสียหายทีได้รับ

รถชน ใครต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย?

เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ลงบันทึกประจำวันและตรวจสอบความผิดของแต่ละฝ่าย จากนั้นต้องดูว่าคู่กรณีมีประกันภัยหรือไม่?
เพราะถ้ามี บริษัทประกันภัยจะเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบค่าเสียหายแทนผู้เอาประกันภัย ตามขอบเขตที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เช่น

  • ค่าซ่อมรถของเรา
  • ค่ารักษาพยาบาล
  • ค่าขาดรายได้ระหว่างรักษาตัว
  • ค่าสินไหมทดแทนในกรณีบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต
  • ค่าเสียหายอื่น ๆ

ซึ่งในทุกกรณีนี้บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้ชำระหรือรับผิดชอบแทนคู่กรณี ตามวงเงินคุ้มครองที่ทำไว้

เรียกจาก “คู่กรณี” ได้ไหม? คำตอบคือ “ได้” แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด

ในทางกฎหมาย ผู้ที่เป็นฝ่ายผิดจากอุบัติเหตุย่อมต้องรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ดังนั้นหากคู่กรณีไม่มีประกันภัย หรือมีแต่ความคุ้มครองไม่พอ เราสามารถ เรียกค่าเสียหายจากเจ้าของรถหรือผู้ขับขี่โดยตรงได้

แต่ในความเป็นจริง การไปเรียกกับคู่กรณีโดยตรงนั้นไม่ง่าย
เพราะต้องเจอกับปัญหาต่าง ๆ เช่น

  • คู่กรณีไม่ยอมรับผิด
  • ติดต่อไม่ได้ หรือไม่มีทรัพย์สินให้บังคับคดี
  • ต้องใช้เวลาเข้าสู่กระบวนการศาล เพื่อพิสูจน์สิทธิและจำนวนค่าเสียหาย
  • แม้ชนะคดี แต่คู่กรณีไม่มีกำลังจ่ายจริง ก็ยังไม่ได้รับค่าสินไหมเต็มจำนวน

ดังนั้นแม้ “เรียกกับคู่กรณี” จะเป็นสิทธิที่ทำได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ยากที่จะได้รับค่าเสียหายตามจริงโดยรวดเร็ว

ทำไม “เรียกกับบริษัทประกันภัย” จึงดีกว่า?

ทนายอาร์มให้มุมมองไว้อย่างน่าสนใจว่า

“การเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย ไม่ได้แปลว่าง่ายกว่าเรียกจากคู่กรณี แต่ดีกว่าตรงที่บริษัทมีหน้าที่ตามกฎหมาย ต้องชำระและมีศักยภาพในการชดใช้จริง”

เพราะบริษัทประกันภัย โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่หรือจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ล้วนมีกองทุนสำรองและมีพันธะตามกฎหมายที่จะต้องรับผิดชอบความเสียหายภายใต้กรมธรรม์อยู่แล้ว
กล่าวคือ แม้จะต้องมีขั้นตอนตรวจสอบหรือเอกสารหลายอย่าง แต่โอกาสที่ผู้เสียหายจะได้รับเงินค่าสินไหมย่อมแน่นอนและปลอดภัยกว่า

อีกทั้งยังสามารถเจรจาได้ง่ายกว่า เพราะมีฝ่ายสินไหมและเจ้าหน้าที่คอยดูแลตลอดกระบวนการ ซึ่งต่างจากการเรียกกับบุคคลทั่วไปที่อาจหลบเลี่ยงความรับผิดได้ง่าย

ต้องเริ่มต้นอย่างไรเมื่อเกิดเหตุ?

ในวันที่เกิดเหตุ สิ่งสำคัญคือ
“อย่าลืมถามให้ชัดว่า คู่กรณีทำประกันภัยกับบริษัทอะไร”
ข้อมูลนี้จำเป็นมาก เพราะจะช่วยให้คุณสามารถติดต่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้อย่างถูกช่องทาง

หลังจากนั้นให้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

1.ขอเอกสารจากตำรวจ เช่น ใบลงบันทึกประจำวันหรือใบคู่กรณี

2.แจ้งบริษัทประกันภัย ของคู่กรณีว่าต้องการเรียกร้องค่าสินไหมในฐานะผู้เสียหาย

3.เตรียมเอกสารประกอบ เช่น ใบเสร็จค่าซ่อมรถ ใบรับรองแพทย์ ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล และหลักฐานความเสียหายอื่น ๆ

4.เจรจากับฝ่ายสินไหม เพื่อประเมินค่าเสียหายและวงเงินคุ้มครอง

5.หากตกลงกันไม่ได้ หรือบริษัทปฏิเสธความรับผิดสามารถดำเนินคดีในกระบวนการทางกฎหมาย โดยมีทนายเป็นผู้ดำเนินเรื่อง

ตั้งหลักให้ชัด “ใครต้องจ่ายเรา และเราจะเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่?”

ก่อนจะเรียกค่าสินไหม ไม่ว่าจะจากบริษัทประกันภัยหรือคู่กรณี
สิ่งที่ทนายอาร์มแนะนำเสมอคือ
ให้เริ่มจากการตั้งหลักว่า “เราต้องการเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ และใครคือผู้ที่มีหน้าที่ต้องชำระให้เรา”

การคิดวิเคราะห์ให้ชัดเจนจะสามารถให้คุณวางแผนได้ถูกต้อง ไม่สับสนระหว่างสิทธิและหน้าที่ เช่น

  • ส่วนของค่าเสียหายทรัพย์สิน ควรเรียกจากประกันภัยภาคสมัครใจ (ถ้ามี)
  • ส่วนของค่ารักษาพยาบาล อาจได้รับจากทั้งประกันภัยคู่กรณีและ พ.ร.บ. รถยนต์
  • ส่วนของค่าขาดรายได้หรือค่าสินไหมเพิ่มเติม อาจต้องใช้การเจรจาหรือฟ้องร้องเพิ่มเติม

การเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ได้ผล ต้องใช้ทั้ง “หลักฐานและความเข้าใจ”

การเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นเรื่องของสิทธิทางกฎหมายที่ผู้เสียหายพึงได้รับ
แต่การจะได้มาซึ่งสิทธินั้นอย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีทั้งหลักฐานเอกสารครบถ้วน และเข้าใจขั้นตอนกฎหมายให้ถูก

หากไม่มั่นใจในวิธีดำเนินการ ควรปรึกษาทนายความที่มีประสบการณ์ด้านคดีประกันภัย เพื่อดำเนินการตรวจสอบวงเงินคุ้มครอง การเจรจากับบริษัท หรือการยื่นฟ้องในกรณีที่จำเป็น

รถชนตั้งหลักง่าย ๆ ปรึกษาทนายตั้งแต่เกิดเหตุดีที่สุด

“เวลาเกิดอุบัติเหตุ อย่าเพิ่งรีบโทษใคร แต่ให้ตั้งหลักก่อนว่า ใครต้องมารับผิดชอบค่าเสียหาย และเราจะเรียกกับใครถึงจะได้ค่าเสียหายอย่างเหมาะสมกับความเสียหายที่เราได้รับ”

การเรียกจากบริษัทประกันภัยอาจต้องใช้เอกสารและเวลาเล็กน้อย แต่เป็นวิธีที่ ปลอดภัย มั่นคง และมีโอกาสได้รับค่าสินไหมมากที่สุด เพราะบริษัทมีหน้าที่ตามกฎหมาย ต้องชดใช้ตามกรมธรรม์ และมีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะชำระค่าเสียหาย

อย่าลืม ! ในวันที่เกิดเหตุ ให้ถามไว้ให้ชัดเจนว่า
“รถคู่กรณีทำประกันภัยกับบริษัทอะไร”
เพราะคำถามนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญ ที่ทำให้คุณได้รับ ค่าสินไหมทดแทนครบถ้วนและรวดเร็วที่สุดได้

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ พร้อมให้คำปรึกษาและยินดีให้บริการทางกฎหมายดำเนินการเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย โดยทีมทนายความผู้เชี่ยวชาญคดีประกันภัยและคดีอุบัติเหตุโดยเฉพาะ ปรึกษาทนายคลิก >>ติดต่อเรา<<

การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกรณีถูกรถชน อย่าหลงเชื่อคำว่า “รักษาตัวให้หายดีก่อน”

เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางถนน ผู้เสียหายมักเผชิญความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเยียวยาความเสียหายให้เร็วที่สุด แต่ในหลายกรณีบริษัทประกันภัยกลับมีกลยุทธ์เลี่ยงความรับผิดชอบ โดยมักใช้คำพูดที่ฟังดูดีว่า “รักษาตัวให้หายดีก่อน แล้วค่อยมาเรียก” ซึ่งในความจริงแล้วอาจทำให้ผู้เสียหายเสียสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกรณีถูกรถชน

กลยุทธ์ของประกันภัย: “รักษาตัวให้หายดีก่อน”

หลายคนอาจคิดว่าการฟังคำแนะนำนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะผู้เสียหายก็ต้องการพักฟื้นร่างกายให้หายดีอยู่แล้ว แต่ในทางกฎหมาย การรอจนหายดีก่อนจึงไปเรียกร้อง กลับเป็นการ ทำให้หลักฐานความบาดเจ็บเลือนหายตามกาลเวลา และเมื่อถึงขั้นตอนพิจารณาคดี บริษัทประกันมักย้อนกลับมาอ้างว่า

  • ผู้เสียหายรักษาหายแล้ว
  • ไม่มีความเสียหายที่ต่อเนื่อง
  • ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าสินไหมตามที่ร้องขอ

ดังนั้น คำว่า “รักษาตัวให้หายดีก่อน” ไม่ได้เป็นเพียงการเลื่อนเวลาเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์เพื่อให้ผู้เสียหายเสียเปรียบ ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกรณีถูกรถชน

กรณีศึกษา: เมื่อพ่อสั่งตรงจากไต้หวัน “ต้องทนายที่นี่เท่านั้น”

หนึ่งในเคสจริงที่เกิดขึ้นคือ ผู้เสียหายโดยสารรถตู้ซึ่งชนท้ายรถบรรทุกอ้อย ได้รับบาดเจ็บและพยายามติดต่อขอความช่วยเหลือจากบริษัทประกัน แต่กลับถูกปัดด้วยคำพูดเดิมว่า “รักษาตัวให้หายดีก่อน”

ในช่วงแรกเจ้าของรถยังรับปากว่าจะช่วยประสานงาน แต่ไม่นานก็เปลี่ยนท่าที ปล่อยให้ผู้เสียหายต้องจัดการเอง จนผู้เสียหายรู้สึกกังวลใจอย่างหนัก

โชคดีที่พ่อของผู้เสียหายทำงานอยู่ที่ไต้หวัน และเป็นผู้ติดตามคลิป YouTube ของทนายอาร์มจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์อยู่แล้ว จึงย้ำกับลูกสาวว่า “ถ้าเจอคำพูดนี้ ต้องติดต่อทนายอาร์มเท่านั้น” นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผู้เสียหายตัดสินใจหาที่ปรึกษากฎหมายอย่างมืออาชีพ

ทำไมต้องรีบปรึกษาทนายความ?

การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกรณีถูกรถชน ไม่ใช่แค่การยื่นเอกสาร แต่คือการต่อสู้กับบริษัทประกันที่มีทนายมืออาชีพคอยวางแผนรับมืออยู่แล้ว หากผู้เสียหายไม่มีทนายความ การเจรจาหรือการดำเนินคดีมักเต็มไปด้วยความเสียเปรียบ

สิ่งที่ทนายความสามารถทำได้ ได้แก่

  • ประเมินมูลค่าความเสียหายทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดประโยชน์ และค่าเสียหายในอนาคต
  • จัดทำเอกสารและหลักฐานทางการแพทย์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
  • ดำเนินคดีในชั้นศาลอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ป้องกันการถูกบริษัทประกันบิดพลิ้วหรือประวิงเวลา

ทนายอาร์มมักย้ำเสมอว่า บริษัทประกันมีทีมกฎหมายตั้งแต่รถยังไม่ทันชน แต่ผู้เสียหายกลับไม่มีใครช่วย หากยังหลงเชื่อคำแนะนำผิด ๆ จาก “ทะแนะ” หรือคนรอบข้างที่ไม่รู้กฎหมาย ยิ่งทำให้เสียเปรียบมากขึ้น

ผลเสียของการ “รักษาตัวให้หายดีก่อน”

ผู้เสียหายหลายรายที่รอจนหายดีก่อนกลับมาพบว่า

  • ประกันใช้การหายดีมาเป็นข้อต่อสู้ในศาล
  • ค่าเสียหายที่ควรได้กลับถูกลดหรือไม่จ่ายเลย
  • เวลาที่เสียไปทำให้ขาดหลักฐานสำคัญ เช่น ใบรับรองแพทย์ ภาพถ่ายบาดแผล หรือเอกสารค่าใช้จ่าย

สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้เสียหายเสียโอกาสเรียกร้องสิทธิอย่างเต็มจำนวน ทั้งที่กฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่าผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าเสียหายในปัจจุบันและอนาคตได้

จะเป็นไรอย่างไรเมื่อคนข้างบ้านอยากเป็น “ทนาย” แต่แนะนำผิดๆ

ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกรณีถูกรถชน ผู้เสียหายจำนวนไม่น้อยมักได้รับคำแนะนำจาก “คนรู้ดี” รอบตัว หรือที่เรียกกันเล่น ๆ ว่า ทะแนะ ซึ่งมักให้ข้อมูลผิด ๆ จนทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและเสียสิทธิไปโดยไม่รู้ตัว

ตัวอย่างเช่น มีผู้เสียหายเล่าว่าคนข้างบ้านบอกว่า

“ถ้าเราไปเรียกค่าเสียหายแล้ว เราจะเรียกอะไรอีกไม่ได้”

คำพูดนี้ฟังดูเหมือนจริง แต่ในทางกฎหมาย ไม่ถูกต้องเลย เพราะกฎหมายกำหนดให้ผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าเสียหายในอนาคตได้ และหากไปถึงศาล ศาลยังสงวนสิทธิให้ผู้เสียหายสามารถเรียกเพิ่มได้อีกด้วย จุดประสงค์ก็เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรมและการชดใช้ที่รวดเร็วที่สุด

บริษัทประกันมี “ทนาย” แต่ผู้เสียหายกลับมีแค่ “ทะแนะ”

สิ่งที่ผู้เสียหายต้องเข้าใจคือ บริษัทประกันภัยมักมีทีมทนายความมืออาชีพตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีความรู้ทางกฎหมาย เมื่อหลงเชื่อทะแนะที่แนะนำผิด ๆ จึงทำให้เสียเปรียบและถูกประกันภัยเอาเปรียบได้ง่าย

ตัวอย่างที่พบบ่อย คือ ประกันภัยชอบบอกผู้เสียหายว่า

“ให้ไปรักษาตัวให้หายดีก่อน แล้วค่อยมาเรียกร้องค่าเสียหาย”

พอผู้เสียหายทำตามจริงและรักษาตัวจนหายดีแล้ว เมื่อไปถึงศาล ประกันกลับใช้เป็นข้อโต้แย้งว่า

“ตอนนี้คุณก็หายดีแล้ว จะมาเรียกค่าเสียหายเพิ่มอีกไม่ได้”

นี่คือตัวอย่างกลยุทธ์ที่บริษัทประกันใช้เพื่อประวิงเวลา และลดจำนวนเงินค่าสินไหมที่ควรจ่าย

หลงเชื่อทะแนะ สุดท้ายก็ต้องพึ่ง “ทนาย” ตัวจริง

การเป็นทนายความไม่ใช่ใครก็เป็นได้ ต้องผ่านการเรียนและการสอบจนมีใบอนุญาตที่ถูกต้อง ต่างจากทะแนะที่แค่มี “ความเข้าใจผิด ๆ” ก็สามารถสวมบทผู้รู้ไปให้คำแนะนำได้แล้ว โดยเฉพาะในเรื่องใหญ่ ๆ อย่าง การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกรณีถูกรถชน หากผู้เสียหายเชื่อคำพูดเหล่านี้โดยไม่ตรวจสอบ ย่อมทำให้เสียสิทธิและเสียเปรียบทางคดี

บทเรียนที่ควรจำ

  • อย่าเชื่อคำแนะนำจากคนข้างบ้านหรือคนรู้ดีที่ไม่ใช่ทนาย
  • เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน ควรรีบปรึกษาทนายความที่มีประสบการณ์ทันที
  • อย่าปล่อยให้ประกันประวิงเวลา หรือใช้คำว่า “รักษาตัวให้หายดีก่อน” มาเป็นเครื่องมือเอาเปรียบ

การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกรณีถูกรถชน ไม่ใช่เรื่องเล็ก ผู้เสียหายต้องเข้าใจว่าประกันภัยมักมีทีมทนายคอยปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท ขณะที่ผู้เสียหายเองควรมีทนายความมืออาชีพคอยเดินเรื่องเพื่อป้องกันการถูกเอาเปรียบจากกลยุทธ์ที่ไม่เป็นธรรม และเพื่อให้ได้รับสิทธิและค่าชดเชยอย่างครบถ้วน

อย่าปล่อยให้คำพูดของประกันทำให้คุณเสียสิทธิ ปรึกษาทนายได้ตั้งแต่วันที่รถชน

กรณีถูกรถชน ไม่ว่าคุณจะบาดเจ็บมากหรือน้อย อย่ารอจนกว่าจะหายดีแล้วค่อยเรียกร้อง เพราะนั่นอาจทำให้คุณเสียเปรียบในทางคดีและเสียสิทธิใน การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกรณีถูกรถชน ทันทีที่เกิดเหตุ ควรเก็บหลักฐาน ติดต่อทนาย และดำเนินการเรียกร้องตามสิทธิของผู้เสียหาย

หากคุณหรือคนใกล้ตัวประสบอุบัติเหตุรถชน แล้วต้องเจอคำพูด “รักษาตัวให้หายดีก่อน” จากบริษัทประกัน อย่าหลงเชื่อ รีบปรึกษาทนายความมืออาชีพทันที ทีมงานสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ นำโดย ทนายอาร์ม พร้อมให้คำปรึกษาและสู้เคียงข้างคุณ เพื่อให้คุณได้รับความยุติธรรมและค่าสินไหมทดแทนอย่างเต็มที่ตามที่ควรได้รับ