ฟ้องหุ้นต้องศาลที่ไหน? ไทยหรือจีน เมื่อหุ้นส่วนต่างชาติร่วมธุรกิจข้ามประเทศ

การจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ไม่ได้ซับซ้อนเฉพาะเรื่องเอกสารเท่านั้น แต่ในทางกฎหมายแล้ว หากหุ้นส่วนอยู่คนละประเทศ เช่น ชาวจีนกับชาวไทยร่วมกันทำธุรกิจ ก็อาจเกิดข้อสงสัยได้ว่า “หากเกิดปัญหาฟ้องร้องกัน ต้องขึ้นศาลประเทศไหน?” บทความนี้จะอธิบายให้เข้าใจง่าย พร้อมกรณีศึกษาที่พบได้จริงในทางปฏิบัติ

กรณีตัวอย่าง : หุ้นส่วนไทย–จีน ร่วมเปิดบริษัทในไทย แต่สัญญาธุรกิจทำที่จีน

นาย A ชาวจีน และนาย B ชาวไทย ร่วมกันทำธุรกิจโดยเริ่มต้น ทำสัญญาธุรกิจที่ประเทศจีน ก่อน ต่อมานาย A ได้มาตั้งบริษัทที่ประเทศไทย โดยให้นาย B ถือหุ้นบางส่วนเพื่อเป็นหุ้นส่วนในบริษัทไทยแห่งนี้

เวลาผ่านไป ธุรกิจเริ่มมีรายได้มากขึ้น แต่นาย A ในฐานะเจ้าของบริษัทตัวจริงกลับเห็นว่าควรได้ถือหุ้นทั้งหมด และต้องการ “ฟ้องเอาหุ้นคืน” จากนาย B ที่ถือหุ้นอยู่ในบริษัทไทย

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ
“แบบนี้ต้องฟ้องที่ศาลไทย หรือศาลจีน?”
คำตอบขึ้นอยู่กับ “ข้อเท็จจริงทางกฎหมาย” ที่เกี่ยวข้องกับ การจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท และ เขตอำนาจศาล ในแต่ละประเทศ

หลักกฎหมายว่าด้วย “เขตอำนาจศาล”

ในคดีลักษณะนี้ สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาคือ ข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับประเทศใดโดยตรง เช่น

  • หากเป็นเรื่องการทำสัญญา ที่จีน เช่น การร่วมลงทุน การแบ่งผลกำไร หรือการตกลงถือหุ้น ถือว่าเป็น “ข้อพิพาทเกิดขึ้นในประเทศจีน” ศาลจีนย่อมมีอำนาจพิจารณาคดี
  • แต่หากเป็นเรื่อง การถือหุ้นในบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ไม่ว่าจะผู้ถือหุ้นเป็นใครก็ตาม การฟ้องร้องเกี่ยวกับหุ้น บริษัท หรือการเพิกถอนชื่อในทะเบียนหุ้น จะถือว่าเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลไทย

กล่าวคือ ถ้า “หุ้น” ที่ฟ้องเรียกคืนอยู่ในบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย
แม้ว่าจะมีสัญญาเกิดขึ้นที่จีน หรือผู้ถือหุ้นบางส่วนเป็นชาวจีน ก็ยังต้อง “ฟ้องที่ศาลไทย” เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับนิติบุคคลที่จดทะเบียนในไทย ซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายไทย 

ความสำคัญของ “การจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท” ที่ถูกต้อง

กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าการจดทะเบียนบริษัทหรือการจดทะเบียนหุ้นส่วนอย่างถูกต้อง มีผลโดยตรงต่อเขตอำนาจศาลและสิทธิของผู้ถือหุ้น

หากตอนเริ่มต้น นาย A และนาย B มีการระบุเงื่อนไขการถือหุ้นและการโอนหุ้น ไว้ชัดเจนในสัญญา  เช่น กำหนดว่า หากมีข้อพิพาทให้ใช้ศาลใดเป็นผู้พิจารณา (เรียกว่า “ข้อกำหนดเขตอำนาจศาล” หรือ jurisdiction clause) ปัญหานี้จะสามารถตัดสินได้ง่ายขึ้น

แต่ในทางปฏิบัติ หลายคู่หุ้นส่วนไม่ได้ใส่เงื่อนไขนี้ในสัญญา ทำให้เมื่อเกิดข้อพิพาท ต้องมาพิสูจน์กันภายหลังว่า “ข้อพิพาทนี้เกิดขึ้นที่ไหน” และ “ศาลใดมีอำนาจรับฟ้อง”

ดังนั้น ในขั้นตอน การจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท โดยเฉพาะกรณีที่มีชาวต่างชาติร่วมลงทุน เช่น ชาวจีน ชาวสิงคโปร์ หรือชาวญี่ปุ่น จึงควรมีทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ เข้ามาดำเนินการตรวจร่างสัญญา เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลและสิทธิในหุ้นในอนาคต

การฟ้องร้องเรียกคืนหุ้นในบริษัทไทย

สำหรับกรณีของนาย A และนาย B ข้างต้น หากบริษัทที่มีหุ้นพิพาทนั้น จดทะเบียนในประเทศไทย การฟ้องร้องเรียกคืนหุ้นจะต้องยื่นฟ้องต่อศาลไทย โดยสามารถดำเนินคดีได้ในลักษณะคดีแพ่ง (civil case) เช่น

  • ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนชื่อผู้ถือหุ้นที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  • ฟ้องขอให้โอนหุ้นคืน
  • ฟ้องขอให้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากหุ้น

ศาลไทยจะพิจารณาตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวดบริษัทจำกัด รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนหุ้น เช่น หนังสือบริคณห์สนธิ รายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) และหลักฐานการชำระค่าหุ้น

ในขณะเดียวกัน หากนาย A เห็นว่ามีการละเมิดสัญญาที่ทำกันไว้ที่จีน ก็สามารถฟ้องที่ศาลจีนได้อีกคดีหนึ่ง แต่ผลของคดีที่จีนจะไม่มีผลโดยตรงต่อทะเบียนหุ้นในบริษัทไทย เว้นแต่จะมีการร้องขอให้ศาลไทยรับรองคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ (ซึ่งต้องผ่านกระบวนการพิเศษและใช้เวลา)

ธุรกิจข้ามชาติ จำเป็นต้องเข้าใจ “กฎหมายสองระบบ”

ธุรกิจที่มีผู้ถือหุ้นต่างชาติจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ให้ถูกต้องตามกฎหมายไทยเท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจ “ระบบกฎหมายของประเทศต้นทาง” ของผู้ถือหุ้นด้วย

เช่น หากผู้ถือหุ้นเป็นชาวจีน กฎหมายของจีนอาจมีเงื่อนไขเรื่องการถือหุ้น การลงทุนในต่างประเทศ หรือข้อจำกัดด้านสกุลเงิน ซึ่งแตกต่างจากของไทย การมีทีมทนายที่เข้าใจกฎหมายทั้งสองระบบ จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการวางโครงสร้างธุรกิจระหว่างประเทศอย่างปลอดภัย

พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินคดีให้คุณได้ทั้งประเทศไทยและประเทศจีน-สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

ในกรณีที่คุณหรือบริษัทของคุณมีหุ้นส่วนต่างชาติ หรือมีข้อพิพาทเกี่ยวกับหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทไทย แนะนำให้รีบปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท และกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อประเมินว่าควรดำเนินคดีในประเทศใด และต้องเตรียมเอกสารอย่างไร

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ (Wongsakorn Law Office)
มีทีมทนายความที่เชี่ยวชาญทั้งกฎหมายไทยและกฎหมายต่างประเทศ โดยเฉพาะทนายความชาวจีนประจำสำนักงาน ที่สามารถดำเนินคดีและประสานงานได้ทั้งในไทยและจีนอย่างมืออาชีพ

ไม่ว่าคดีของคุณจะเกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนบริษัท การโอนหุ้น การฟ้องเรียกคืนหุ้น หรือข้อพิพาทระหว่างผู้ถือหุ้นต่างชาติ
เราพร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินคดีให้คุณได้ทั้งที่ประเทศไทยและประเทศจีน

เมื่อมีข้อพิพาทเรื่องหุ้นในบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย แม้สัญญาธุรกิจจะทำกันที่ต่างประเทศก็ตาม คดีมักอยู่ในเขตอำนาจของศาลไทย เพราะเกี่ยวข้องกับนิติบุคคลที่จดทะเบียนในไทย
ดังนั้น ผู้ถือหุ้นต่างชาติหรือผู้ร่วมลงทุนควรทำความเข้าใจเรื่องการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น พร้อมร่างสัญญาให้ครอบคลุมเงื่อนไขเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลและการโอนหุ้น เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายในอนาคต

กฎหมายธุรกิจกับเจ้าของกิจการมือใหม่ ทำไมควรมีที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้น?

เจ้าของธุรกิจมือใหม่ทำไมควรรู้สิ่งเหล่านี้?

การเริ่มต้นธุรกิจในยุคปัจจุบันอาจดูง่ายจากภายนอก บางคนอาจจะคิดว่าแค่มีเงินหรือมีทุนทรัพย์ในการที่จะเริ่มต้นธุรกิจก็อาจจะเพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงในการที่จะทำธุรกิจสักอย่างหนึ่งนั้นมีรายละเอียดทางกฎหมายจำนวนมากที่เจ้าของกิจการจำเป็นต้องเข้าใจและรับมือให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เริ่มต้นกิจการใหม่ ๆ ความรู้ด้านกฎหมายธุรกิจคือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้กิจการดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ไม่สะดุดกลางทาง และหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ความท้าทายของเจ้าของธุรกิจมือใหม่ มีอะไรบ้าง?

เจ้าของกิจการจำนวนไม่น้อยเริ่มต้นธุรกิจจากความสามารถเฉพาะทาง เช่น เชฟที่เปิดร้านอาหาร, นักออกแบบที่เปิดสตูดิโอ, หรือโปรแกรมเมอร์ที่เปิดบริษัทซอฟต์แวร์ แต่กลับไม่มีพื้นฐานในเรื่อง กฎหมายธุรกิจ ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น

  • ทำสัญญาโดยไม่ได้อ่านรายละเอียดครบถ้วน หรือไม่ได้เข้าใจข้อผูกพันทางกฎหมาย
  • การว่าจ้างลูกจ้างโดยไม่มีสัญญาจ้างหรือผิดกฎหมายแรงงาน
  • จดทะเบียนบริษัทผิดรูปแบบ ภาษีไม่เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจ
  • ข้อพิพาทกับหุ้นส่วนหรือผู้ร่วมทุน
  • ปัญหาการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา เช่น ลิขสิทธิ์, โลโก้, หรือเครื่องหมายการค้า

ปัญหาเหล่านี้อาจดูเล็กน้อยในตอนแรก แต่หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง ก็อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นต้องปิดกิจการหรือถูกฟ้องร้องได้ในอนาคต

ที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจ ผู้ช่วยคนสำคัญที่เจ้าของกิจการควรมี

ที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจ หรือ “ทนายความที่ปรึกษาประจำบริษัท” คือบุคคลที่คอยให้คำแนะนำ ควบคุมความเสี่ยง และจัดการเรื่องทางกฎหมายตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยหน้าที่ของที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจ ได้แก่

  • ตรวจสอบและร่างสัญญาทางธุรกิจ เช่น สัญญาจ้าง สัญญาซื้อขาย สัญญาหุ้นส่วน ฯลฯ
  • ให้คำปรึกษาเรื่องการจดทะเบียนธุรกิจ จัดโครงสร้างบริษัทให้เหมาะสมกับกิจการ
  • ดูแลเรื่องภาษีและข้อกำหนดทางกฎหมายเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม
  • ช่วยเจรจาและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ ก่อนจะกลายเป็นคดีความ
  • ป้องกันไม่ให้บริษัทถูกละเมิดสิทธิหรือถูกฟ้องร้องโดยไม่จำเป็น

การมีทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายตั้งแต่แรกจะช่วยให้เจ้าของกิจการตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดที่อาจมีต้นทุนสูงในอนาคต

ทำไมต้องมีที่ปรึกษากฎหมายประจำบริษัทตั้งแต่เริ่มต้น?

หลายคนมักคิดว่า “ค่อยจ้างทนายตอนมีปัญหาก็ได้” แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะในทางปฏิบัติ ทนายความไม่ใช่เพียงคนที่แก้ปัญหาเมื่อเกิดเหตุ แต่เป็นผู้วางรากฐานที่มั่นคงให้กับธุรกิจ

การมี ที่ปรึกษากฎหมายประจำบริษัท จะช่วยให้ผู้บริหารไม่ต้องกังวลกับปัญหาจุกจิกทางกฎหมาย และสามารถโฟกัสไปที่การพัฒนาธุรกิจได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่กฎหมายเปลี่ยนแปลงบ่อย การมีมืออาชีพคอยอัปเดตกฎหมายและให้คำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นความได้เปรียบทางธุรกิจ

ปัญหาที่นายจ้างมักเจอ เมื่อไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย

ตัวอย่างปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับเจ้าของกิจการที่ไม่มีที่ปรึกษากฎหมาย เช่น:

  • ถูกพนักงานฟ้องร้องเรื่องสัญญาจ้าง ไม่ได้รับค่าจ้างหรือสวัสดิการตามกฎหมาย
  • ข้อพิพาทกับลูกค้าเรื่องการส่งมอบสินค้า/บริการไม่เป็นไปตามสัญญา
  • ถูกกรมสรรพากรตรวจสอบและเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจำนวนมาก
  • ใช้เครื่องหมายการค้าโดยไม่รู้ว่าละเมิดสิทธิของผู้อื่น

หากเจ้าของกิจการมีที่ปรึกษากฎหมายตั้งแต่ต้น ปัญหาเหล่านี้จะสามารถป้องกันหรือจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเสียเงิน เสียเวลา หรือเสียชื่อเสียง

ลงทุนกับความมั่นคงทางกฎหมาย คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด

การเริ่มต้นธุรกิจอาจใช้เงินทุนจำนวนมาก แต่การลงทุนกับ ที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจ นั้น ใช้งบประมาณไม่มาก แต่ให้ผลตอบแทนมหาศาลในแง่ของความมั่นใจ ความมั่นคง และความพร้อมในการเผชิญปัญหาในอนาคต

หากคุณกำลังเริ่มต้นธุรกิจ หรือกำลังมองหาทนายความที่ปรึกษาประจำบริษัท เราขอเชิญให้ติดต่อ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เพื่อรับคำปรึกษา

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจที่คุณไว้วางใจได้

ที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามีทีมทนายความและที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจที่พร้อมให้บริการตั้งแต่การวางแผนเริ่มต้นกิจการ ไปจนถึงการจัดการข้อพิพาทหรือวางแผนการขยายธุรกิจ เราเข้าใจดีว่าเจ้าของกิจการต้องการ “คู่คิดทางกฎหมาย” ที่ไว้วางใจได้ ไม่ใช่แค่ที่ปรึกษาชั่วคราว เราให้บริการทั้งในรูปแบบรายครั้ง, รายเดือน, หรือเป็นที่ปรึกษาประจำตามความต้องการของลูกค้า

ด้วยประสบการณ์ในฐานะทนายความที่ปรึกษาธุรกิจหลากหลายประเภท สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ไม่เพียงให้บริการแก่ผู้ประกอบการชาวไทยเท่านั้น แต่ยังได้รับความไว้วางใจจากบริษัทต่างชาติ เช่น จีน, โปรตุเกส, อังกฤษ, รัสเซีย, และเกาหลี ซึ่งล้วนแต่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ด้วยความเข้าใจในข้อกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายธุรกิจไทยอย่างลึกซึ้ง ทำให้เราสามารถวางแผน ป้องกัน และแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ ดังนั้น การมีทนายความที่ปรึกษาประจำบริษัทจึงไม่ใช่แค่ความสะดวกในการเข้าถึงกฎหมายเท่านั้น แต่คือรากฐานสำคัญในการพาธุรกิจไปสู่ความยั่งยืนในยุคที่การแข่งขันสูงและกฎหมายมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เริ่มต้นธุรกิจให้ถูกทาง เริ่มต้นด้วยการมี “ทนายความที่ไว้ใจได้” คือก้าวแรกที่ดีที่สุด คลิก >>ติดต่อเรา<< เพื่อรับคำปรึกษาในเบื้องต้น