คำว่า “บาดเจ็บสาหัส” ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่งเป็นอย่างไร บริษัทประกันภัยจ่ายค่าเสียหายส่วนไหนให้บ้าง

1 บาดเจ็บสาหัส ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง

ถ้าหากกล่าวถึงในกรณี “บาดเจ็บสาหัส” แล้ว ในทางกฎหมายนั้นมีข้อกฎหมายรองรับทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง เพราะในทางอาญานั้นเป็นการลงโทษผู้กระทำความผิด ส่วนในทางแพ่งนั้นเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้กระทำความผิดนั่นเอง ดังนั้นเราจะมากล่าวถึงการบาดเจ็บสาหัสในทางกฎหมายทั้งทางอาญาและทางแพ่งกันค่ะ

2 บาดเจ็บสาหัส ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง

บาดเจ็บสาหัสในกฎหมายอาญา

หากกล่าวกันในทางอาญานั้นมีไว้เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดให้ได้รับโทษฐานทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ อัตราของโทษขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอุบัติเหตุนั้น ๆ โดยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560) โดยตามแนวฎีกา “บาดเจ็บสาหัส” นั้นจะต้องรักษาตัวไม่น้อยกว่า 20 วัน เพราะถือว่าเป็นอันตรายสาหัส ตัวอย่างเช่น กระโหลกศีรษะร้าว ปวดศีรษะในระยะเวลา 1 เดือน นั่งขายของปกติไม่ได้เกิน 20 วันเป็นทุขเวทนา ถือว่าเป็นการเจ็บป่วยด้วยอาการทุขเวทนาเกินกว่า 20 วันเป็นอันตรายสาหัส ซึ่งความผิดฐานทำให้บาดเจ็บนั้นจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบภายนอก และ องค์ประกอบภายใน

ซึ่งองค์ประกอบภายนอกมีดังนี้ 1.กระทำการโดยประการใด ๆ 2. เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส 

ส่วนองค์ประกอบภายในคือ การกระทำความผิดตามมาตรานี้ มีลักษณะเช่นเดียวกับการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291 แต่ต่างกันตรงที่ผลของกระทำ ในมาตรานี้เอาผิดถ้ากระทำให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญาได้แก่ ตาบอด หูหนวก เสียอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น 

ฎีกา 491/2507 รถยนต์โดยสารสองคันแล่นตามหลังกันมา คันหนึ่งขอทางจะแซงขึ้นหน้า อีกคันหนึ่งไม่ยอมกลับเร่งความเร็วเพื่อแกล้งรถยนต์คันที่ขอทาง รถยนต์ทั้งสองคันจึงได้แล่นแข่งกันมาด้วยความเร็วสูงเกินกว่ากฎหมายกำหนดในถนนซึ่งแคบและเป็นทางโค้ง เป็นการเสี่ยงอันตราย รถยนต์คันขอทางเฉี่ยวกับรถบรรทุกคันหนึ่ง ซึ่งจอดแอบข้างทางและเซไปปะทะกับรถยนต์คันที่แข่งกันมานั้นตกถนนพลิกคว่ำ คนโดยสารได้รับอันตรายสาหัส ต้องถือว่าคนขับรถยนต์โดยสารของทั้งสองคันนั้นกระทำโดยประมาท

การขับรถโดยประมาทมีโทษตามกฎหมาย ดังนี้คือ

1. ชนกันธรรมดา ไม่มีคนบาดเจ็บหรือคนตาย ผิดฐานขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 400 บาท ถึง 1,000 บาท ตามพระราชบัญญติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 43 (4) และมาตรา 157

2. ชนกันบาดเจ็บนิดหน่อย ผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390

3. ชนกันจนคู่กรณีบาดเจ็บสาหัส พิการ สูญเสียอวัยวะ หรือต้องรักษาตัวเกิน 20 วัน ผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300

4. ชนกันจนคู่กรณีถึงแก่ความตาย ผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่น  ถึงแก่ความตาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291

3 บาดเจ็บสาหัส ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง

บาดเจ็บสาหัสในกฎหมายแพ่ง

นอกจากโทษทางอาญาแล้ว ผู้กระทำความผิดยังต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายแก่ผู้บาดเจ็บทางแพ่งด้วย เช่นความเสียหายต่อร่างกาย ต่อบุคคลอื่น ตลอดจนทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งตามมาตรา 240 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” ทั้งนี้ การจะเข้าข่าย “ประมาท” ต้องมิใช่ “เจตนา” ขับรถชนคู่กรณี (ข้อมูลจาก: พระราชบัญญติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 43 (4) และมาตรา 157 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 มาตรา 300 และมาตรา 390)

4 บาดเจ็บสาหัส ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง

ค่าเสียหายที่สามารถเบิกได้จาก พ.ร.บ. รถยนต์ (ภาคบังคับ) 

พ.ร.บ. รถยนต์นับเป็นประกันภัยภาคบังคับที่รถยนต์ทุกคันต้องทำเอาไว้ ดังนั้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนและต้องเบิกค่าชดเชย สามารถเบิกค่าชดเชยจาก พ.ร.บ. รถยนต์ได้ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งค่าชดเชยของ พ.ร.บ. รถยนต์นั้นจะคุ้มครองเฉพาะคน ก็คือในกรณีบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเท่านั้น สามารถเบิกค่าชดเชยได้ดังนี้ 

สำหรับค่าเสียหายเบื้องต้น จะได้รับทันทีโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด ดังนี้ 

– ค่ารักษาพยาบาล พ.ร.บ. จะจ่ายให้ตามจริง โดยจ่ายให้สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท หากต่อมาพิการหรือทุพพลภาพ จะจ่ายเพิ่มเติมโดยรวมแล้วไม่เกิน 65,000 บาทต่อคน – ในกรณีสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพถาวรทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ พ.ร.บ. จะจ่ายให้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อคน 

– ในกรณีที่เกิดการเสียชีวิต หากเสียชีวิตทันทีหลังจากเกิดอุบัติเหตุ พ.ร.บ. จะจ่ายค่าทำศพเป็นจำนวน 35,000 บาทต่อคน 

– แต่หากเสียชีวิตภายหลังจะจ่ายให้แบบเหมารวมกับค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 65,000 บาทต่อคน 

สำหรับค่าเสียหายส่วนเกินที่สามารถเบิกได้จาก พ.ร.บ. รถยนต์ หลังจากพิสูจน์ความผิดแล้ว โดยบริษัทประกันของฝ่ายที่กระทำผิดจะชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ประสบภัยหรือทายาท ดังนี้ 

– ในส่วนของค่ารักษาพยาบาลกรณีได้รับบาดเจ็บ จะมีการจ่ายเงินชดเชยรวมค่าสินไหมทดแทนให้ไม่เกิน 80,000 บาท 

– ในกรณีสูญเสียอวัยวะ ได้แก่ หูหนวก เป็นใบ้ เสียความสามารถในการพูด สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์ มือ แขน ขา เท้า ตา หนึ่งอย่างหรือหนึ่งข้าง จะจ่ายชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 250,000 บาท 

– ในกรณีสูญเสียอวัยวะ ได้แก่ มือ แขน เท้า ขา ตา ตั้งแต่สองอย่างหรือสองข้างขึ้นไป หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จะมีการจ่ายชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท 

– ในกรณีทุพพลภาพถาวร จะมีการจ่ายเงินชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท กรณีเสียชีวิต จะมีการจ่ายเงินชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาล (ในกรณีเสียชีวิตภายหลัง) สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท 

– นอกจากนี้จะมีการจ่ายเงินชดเชยเมื่อต้องนอนโรงพยาบาล (ผู้ป่วยใน) โดยจ่ายชดเชยให้วันละ 200 บาท รวมไม่เกิน 20 วัน 

ค่าเสียหายที่สามารถเบิกได้จากประกันภัยรถยนต์ (ภาคสมัครใจ) 

หากผู้บาดเจ็บ หรือคู่กรณีได้ทำประกันภัยภาคสมัครใจเพิ่มเติมเอาไว้ในส่วนนี้ ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจไม่ว่าจะเป็น ประกันภัยชั้น 1, ชั้น 2, ชั้น 3 หรือประกันภัยประเภท 1, ประเภท 2, ประเภท 3 นั้น ในกรมธรรม์ประกันภัยของแต่ละบริษัทจะให้ความคุ้มครองในรายละเอียดหลักเหมือนกัน แต่ในเรื่องของจำนวนวงเงินอาจต่างกัน ซึ่งค่าชดเชยที่สามารถเบิกได้ในกรณีรถชนนั้น มีดังนี้ 

– ค่ารักษาพยาบาล ในส่วนที่เกินจากวงเงินของ พ.ร.บ. รถยนต์ จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ 

– ค่าทนทุกข์ทรมานจากอาการบาดเจ็บ จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ 

– ค่าชดเชยจากสินทรัพย์ที่เสียหรือสูญหายเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ 

– ค่าชดเชยความเสียหายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นขณะรักษาตัว เช่น ค่าขาดโอกาสในการเดินทางหรือการทำงาน ค่าขาดไร้อุปการะ ค่าชดเชยรายได้ ค่าขาดประโยชน์ระหว่างซ่อม จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ 

สำหรับประกันประเภท 1 หรือประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 นั้น นอกจากค่าชดเชยข้างต้นที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังสามารถเบิกค่าชดเชยเนื่องจากอุบัติเหตุรถชนได้เพิ่มเติม ดังนี้ 

– ค่าประกันตัวผู้ขับขี่ในกรณีที่ถูกควบคุมตัวจากความผิด 

– ค่าซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์คันที่เอาประกัน ไม่ว่าจะมีคู่กรณีหรือไม่ก็ตาม 

ในส่วนของรายละเอียดเพิ่มเติมและวงเงินคุ้มครองนั้น สามารถเช็กได้กับกรมธรรม์ประกันภัยที่คุณทำเอาไว้ว่าได้รับความคุ้มครองในวงเงินเท่าไร และจะได้ค่าชดเชยแต่ละส่วนเท่าไรถ้าหากเกิดอุบัติเหตุรถชน ซึ่งค่าชดเชยดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับจำนวนเบี้ยประกันที่คุณจ่ายไปว่าได้รับวงเงินที่เท่าไร

จะเห็นได้ว่ากรมธรรม์ประกันภัยนั้นมีเนื้อหาที่ค่อนข้างละเอียด ซึ่งคนทั่วไปน้อยมากที่จะสามารถเข้าใจเนื้อหาของกรมธรรม์ได้อย่างเข้าใจอย่างถ่องแท้ เมื่อเกิดปัญหาการเรียกร้องค่าเสียหายจากกรมธรรม์จึงควรอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจในเนื้อหาของสัญญากรมธรรม์ หรือข้อกฎหมายอย่างทนายความดีกว่า นอกจากทนายความจะอำนวยความสะดวกในด้านการดำเนินการในทุกขั้นตอนแล้ว ยังช่วยเรียกร้องค่าเสียหายที่เราควรจะได้รับอย่างเหมาะสมให้อีกด้วย ปรึกษาทนาย

พ.ร.บ. จ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างไร หากประสบภัยจากรถจนนิ้วขาด

Cover พ.ร.บ. ค่าสินไหมนิ้วขาด

อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นคนที่ประมาทแต่ก็อาจมีบุคคลอื่นที่ไม่ระวังขับขี่มาชนเราได้ และเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วบางครั้งบริษัทประกันตัวดีมักหาเหตุผลบ่ายเบี่ยงในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โดยการยกเหตุผลต่างๆ นานาขึ้นมาอ้างเพื่อปัดการจ่ายค่าเสียหายนั้น หรือเพื่อให้จ่ายน้อยลง ซึ่งความจริงแล้ว พ.ร.บ. นั้นคุ้มครองการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ และการสูญเสียอวัยวะ หรือที่เรียกว่า “ทุพพลภาพ” รวมถึงกรณีการเสียชีวิต แต่วันนี้จะขอมาพูดถึงกรณี “ทุพพลภาพ” ว่ามีลักษณะอย่างไร

โดยทุพพลภาพ คือการสูญเสียอวัยะ หรือสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะ หรือของร่างกาย หรือสูญเสียสภาวะปกติของจิตใจ จนทำให้ความสามารถในการทำงานลดลง จนถึงขนาดไม่อาจประกอบการงานได้เหมือนปกติได้ ในทางประกันภัยมีด้วยกัน 4 รูปแบบดังนี้

1. ทุพพลภาพอย่างถาวรสิ้นเชิง

เป็นอาการทุพพลภาพที่หนักที่สุด คือต้องเกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยอย่างหนัก จนสูญเสียอวัยวะ หรือร่างกายไม่อยู่ในสภาวะที่จะประกอบอาชีพเดิม รวมถึงประกอบอาชีพอื่นได้ตลอดไป เช่น เกิดอุบัติเหตุรถชนจนสูญเสียมือเท้าทั้งสองข้าง, สูญเสียการมองเห็นอย่างสิ้นเชิง, เป็นอัมพาตต้องนอนติดเตียงไปตลอด สมองได้รับความกระทบกระเทือนไม่มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าอีกต่อไป

2. ทุพพลภาพอย่างถาวรบางส่วน

เป็นการทุพพลภาพที่ร่างกายไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตลอดไป แต่ยังสามารถประกอบอาชีพอื่นได้ เช่น การสูญเสียแขนหนึ่งข้างจนไม่สามารถประกอบอาชีพขับรถได้เหมือนเดิม แต่สามารถใช้อวัยวะอื่นทำอาชีพอื่นทดแทนได้

3. ทุพพลภาพชั่วคราวสิ้นเชิง

คืออาการทุพพลภาพจนสามารถประกอบอาชีพเดิมหรืออาชีพอื่นได้อย่างสิ้นเชิงในระยะเวลาชั่วคราว เมื่อได้รับการรักษาจนสามารถกลับไปประกอบอาชีพได้ เช่น การได้รับบาดเจ็บจนต้องเข้าเฝือกทั้งตัวจนไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้เป็นระยะเวลา 3 เดือนเป็นต้น

4. ทุพพลภาพชั่วคราวบางส่วน

คือการทุพพลภาพจนเป็นอุปสรรคกระทบต่อการทำงานประจำ แต่เมื่อทำการรักษาแล้วสามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ เช่น อุบัติเหตุรถล้มขาหักจนต้องเข้าเฝือก ไม่สามารถไปทำงานตามปกติได้ แต่ยังสามารถหารายได้อยู่ที่บ้านได้เป็นต้น

Cover พ.ร.บ. ค่าสินไหมนิ้วขาด 2

กรณีนิ้วขาดจะได้รับค่าสินไหมทดแทนเท่าไหร่

กรณีที่ประสบอุบัติเหตุทางจราจรแล้วเป็นฝ่ายถูก หากนิ้วขาดเกิน 1 ข้อขึ้นไปไม่ว่าจะนิ้วเดียวหรือหลายนิ้ว บริษัทที่รับประกันภัยจะต้องจ่ายค่าสินไหมเป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท/คน แต่หากสูญเสียนิ้วไม่เกิน 1 ข้อสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 80,000 บาท โดยต้องเตรียมเอกสาร คือ 1.ใบรับรองแพทย์ยืนยันว่าได้ถูกตัดนิ้ว 2.ฟิล์มเอ็กซเรย์ 3.บัตรประชาชน

Cover พ.ร.บ. ค่าสินไหมนิ้วขาด 3

คำว่าทุพพลภาพอยู่ในประกันประเภทไหนบ้าง?

1. ประกันอุบัติเหตุ มักปรากฎคำว่าทุพพลภาพในรูปแบบแผนประกันภัยนั่นคือ

  • ประกันอุบัติเหตุแบบ อ.บ.1 ที่จะให้คุ้มครองทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง, ทุพพลภาพชั่วคราวสิ้นเชิง, และทุพพลภาพชั่วคราวบางส่วน
  • ประกันอุบัติเหตุแบบ อ.บ.2 จะให้ความคุ้มครองเพิ่มจาก อบ. 1 ในส่วนของการทุพพลภาพถาวรบางส่วน อย่างการสูญเสียนิ้ว การสูญเสียการรับฟัง เป็นต้น

2. พ.ร.บ. รถยนต์/พ.ร.บ. มอเตอร์ไซค์ จะปรากฎเงื่อนไขทุพพลภาพในรูปแบบของเงินชดเชยเมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ได้แก่

  • เงินชดเชยเบื้องต้น(ไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิด) เมื่อทุพพลภาพอย่างถาวรสิ้นเชิง เป็นจำนวนเงิน 35,000 บาท
  • เงินชดเชยส่วนเกินค่าเสียหายเบื้องต้น เมื่อทุพพลภาพอย่างถาวรสิ้นเชิง เป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท
  • เงินชดเชยส่วนเกินค่าเสียหายเบื้องต้น เมื่อทุพพลภาพถาวรบางส่วน  เป็นจำนวนเงิน 300,000 บาท

3. ประกันการเดินทาง จะปรากฏคำว่าทุพพลภาพอยู่ในเงื่อนไขของเงินชดเชย เมื่อผู้ทำประกันได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุขณะเดินทาง โดยส่วนมากประกันเดินทางมักจะคุ้มครองกรณีทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงตามวงเงินที่ระบุไว้ ซึ่งผู้ทำประกันต้องอ่านรายละเอียดให้ดีก่อนทำประกัน

4. ประกันทุพพลภาพ บางบริษัทฯ ได้ออกแผนประกันทุพพลภาพมาโดยเฉพาะ ซึ่งจะให้ความคุ้มครองกรณีที่ผู้เอาประกันภัยตกเป็นบุคคลทุพพลภาพจากสาเหตุต่าง ๆ 

เห็นไหมคะว่า พ.ร.บ ประกันภัยรถนั้น นอกจากจะคุ้มครองต่อการบาดเจ็บแล้วยังคุ้มครองกรณีที่ต้องสูญเสียอวัยวะด้วย ซึ่งเราควรจะต้องศึกษาและทราบข้อมูลเหล่านี้เอาไว้เพื่อประโยชน์ของตัวเราเองไม่ให้ถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบ หรือหากเกิดประสบอุบัติเหตุแนะนำให้มีทนายความเอาไว้ดีกว่า เพราะทนายความผู้เชี่ยวชาญจะสามารถเรียกร้องค่าเสียหายให้เราได้มากกว่าที่เราจะต้องไปดำเนินการด้วยตัวเอง ปรึกษาทนาย

ประกันภัยภาคสมัครใจคืออะไร แล้วทำไมควรต้องมี?

ประกันภัยภาคสมัครใจคืออะไร

โดยปกติแล้วผู้ขับขี่รถยนต์ทุกประเภทจะต้องทำประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 หรือที่บริษัทประกันภัยเรียกกันว่า “ประกันภัยภาคบังคับ” ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต ร่างกาย และอนามัยของผู้ประสบภัยจากรถเนื่องมาจากอุบัติเหตุทางรถเท่านั้น แต่เราสามารถซื้อประกันภัยเพิ่มเติมเพื่อให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายของทรัพย์สินได้ ซึ่งประกันภัยประเภทนี้เรียกว่า “ประกันภัยภาคสมัครใจ” ผู้ขับขี่สามารถทำเพิ่มเติมนอกจาก พ.ร.บ. ปกติได้ เพราะเป็นประกันภัยที่กฎหมายไม่ได้ระบุว่าต้องทำ

ประกันภัยภาคสมัครใจคืออะไร

ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เป็นการทำประกันภัยรถยนต์โดยที่กฎหมายไม่ได้บังคับ แต่เจ้าของรถยนต์เลือกที่จะทำเอง โดยที่ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจนี้จะมีแผนประกันให้เลือก ทั้งแบบประกันชั้น 1 ที่คุ้มครองความเสียหาย และการเกิดอุบัติเหตุทุกกรณี และประกันชั้น 2+, 2, 3+ และ 3 ซึ่งจะให้การคุ้มครองที่ลดหลั่นกันลงมา ทำให้มีราคาแตกต่างกันไป นอกจากนั้น ยี่ห้อ รุ่น และอายุของรถยนต์ที่เอาประกันก็ยังมีผลต่อค่างวดประกันด้วยเช่นกัน การมีประกันรถยนต์ภาคสมัครใจจะช่วยให้ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ มากกว่าประกันภาคบังคับหรือ พ.ร.บ. ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองค่าเสียหายของรถคู่กรณี รถตนเอง หรือค่ารักษาพยาบาลคู่กรณี และผู้ขับ นอกจากนั้นประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจอาจให้สิทธิประโยชน์อื่น ๆ เช่น บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. บริการรถยกและลากจูง หรือบริการรถทดแทนขณะซ่อมรถที่เกิดอุบัติเหตุด้วย

ประกันภัยภาคสมัครใจคุ้มครองอะไรบ้าง 2

ประกันภาคสมัครใจคุ้มครองอะไรบ้าง?

ประกันรถยนต์จะให้ความคุ้มครองทางการเงินของผู้เอาประกันภัยที่ระบุบนกรมธรรม์ หากเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุไม่คาดฝันอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้บนท้องถนน โดยทั่วไป ความคุ้มครองพื้นฐานของประกันรถยนต์ คือ คุ้มครองคุณในกรณีเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ นอกจากนี้ยังอาจคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน ค่าประกันตัว และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ทางกฎหมาย ความคุ้มครองการชน หรือการคุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก คุ้มครองคุณในกรณีที่เกิดการชน โดยให้ทุนประกันสำหรับการซ่อมและเปลี่ยนอะไหล่รถของคุณ ความคุ้มครองการชนอาจคุ้มครองคุณในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุโดยไม่มีคู่กรณี เช่น ชนต้นไม้หรือชนอาคาร ประกันรถยนต์ให้ความคุ้มครองทางการเงินทั้งในกรณีที่ความเสียหายเกิดจากการชนและกรณีอื่น ๆ โดยขึ้นอยู่เงื่อนไขตามหน้ากรมธรรม์ ซึ่งความคุ้มครองนี้อาจรวมถึงรถยนต์ถูกโจรกรรม สภาพอากาศ การก่อกวน ความเสี่ยงต่าง ๆ และภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่น ๆ เป็นต้น

ข้อดีของการทำประกันภัยภาคสมัครใจ 3

ข้อดีของการทำประกันภัยภาคสมัครใจ

  • แบ่งเบาภาระค่าซ่อม 

ทั้งรถผู้เอาประกันและคู่กรณี หนึ่งในประโยชน์ของการประกันภัยภาคสมัครใจก็คือ การช่วยแบ่งเบาภาระค่าซ่อมบำรุงรถคู่กรณี และรถผู้เอาประกันกรณีเกิดอุบัติเหตุได้นั่นเอง เนื่องจากค่าซ่อมแซมรถ ค่าอะไหล่ต่าง ๆ มักมีราคาที่สูง ดังนั้นการมีประกันรถยนต์ภาคสมัครใจจะช่วยให้ไม่ต้องควักเงินก้อนใหญ่เพื่อซ่อมรถด้วยตัวเอง จึงหมดกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถได้ 

  • ไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล 

นอกจากจะคุ้มครองความเสียหายต่อรถของผู้เอาประกัน และรถของคู่กรณีแล้ว ประกันภัยรถยนต์บางแผนยังให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในกรณีบาดเจ็บด้วย ทำให้คุณไม่จำเป็นต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเอง และคู่กรณี เพราะค่ารักษาพยาบาลโดยเฉพาะเมื่อบาดเจ็บหนักนั้น ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงไม่แพ้ค่าซ่อมรถยนต์เลยทีเดียว 

  • มีตัวแทนประกันช่วยเจรจาให้ 

มีเจ้าหน้าที่มาช่วยเคลียร์ให้ เมื่อมีประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ หากเกิดอุบัติเหตุแบบมีคู่กรณีจะช่วยลดการปะทะระหว่างเจ้าของรถได้ เนื่องจากจะมีเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันรถยนต์มาช่วยเจรจา ไกล่เกลี่ย และดำเนินการเรื่องความคุ้มครองต่าง ๆ ให้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการปะทะด้วยวาจา หรือการทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้น 

  • รถหายก็ได้รับความคุ้มครอง 

หากเลือกทำประภัยรถยนต์ภาคสมัครใจชั้น 1 ซึ่งเป็นแผนที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด จะได้รับความคุ้มครองในกรณีที่รถหาย หรือถูกโจรกรรมด้วย โดยวงเงินที่คุ้มครองจะขึ้นอยู่กับแผนประกันที่เลือก ซึ่งถือเป็นประโยชน์ของการประกันภัยภาคสมัครใจที่ไม่ควรพลาด 

  • น้ำท่วม ไฟไหม้ 

หากเลือกทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจชั้น 1 รถของผู้เอาประกันจะได้รับความคุ้มครองในกรณีที่ไม่มีคู่กรณี อย่างการชนต้นไม้ ต้นไม้หล่นทับ ถอยหลังชนกำแพง รวมถึงกรณีน้ำท่วม ไฟไหม้ และภัยธรรมชาติต่าง ๆ ด้วย ทำให้วางใจในเรื่องค่าใช้จ่ายซ่อมแซมรถได้ 

  • มีบริการให้ความช่วยตลอด 24 ชั่วโมง 

การมีประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ จะช่วยให้คุณสามารถรับความช่วยเหลือ และเรียกใช้บริการบริษัทประกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้วางใจได้ไม่ว่าจะใช้รถใช้ถนนในเวลาใดก็ตาม

เคล็ดลับในการเลือกซื้อประกันภัยภาคสมัครใจ 4

เคล็ดลับในการเลือกซื้อประกันภัยภาคสมัครใจ

การเลือกซื้อประกันภัยรถเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่า หรือตรงกับความคุ้มครองที่เราต้องการ เพราะแต่ละบริษัทย่อมมีออฟชั่นหรือราคาเบี้ยประกันที่ต่างกัน ตลอดจนเงื่อนไขในการคุ้มครอง ดังนั้นการจะเลือกซื้อประกันภัยกับบริษัทไหนควรศึกษาเงื่อนไขของกรมธรรม์และความคุ้มครองให้ดี เพื่อให้ได้ความคุ้มครองที่ดีที่สุด เคล็ดลับการเลือกซื้อกรมธรรม์มีดังนี้

  • เปรียบเทียบราคาจากบริษัทประกันภัยหลายๆ แห่ง แล้วค่อยตัดสินใจเลือกบริษัทประกันภัยที่ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุด
  • ก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อประกันภัย ควรดูชื่อเสียงของบริษัทประกันภัยที่น่าเชื่อถือ ดูฟีดแบคจากลูกค้า ดูวิธีการและขั้นตอนการเคลม
  • การจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกเพิ่มเติม หมายถึงคุณจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้ง เพื่อรักษาเบี้ยประกันในราคาต่ำ
  • รักษาประวัติการขับขี่ปลอดภัย ขับขี่รถให้ถูกกฎจราจรหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ เพื่อนำประวัติตรงส่วนนี้ไปขอลดเบี้ยประกันในปีถัดไปได้
  • เลือกซื้อกรมธรรม์แบบแพ็คเกจ เพราะบริษัทประกันภัยบางบริษัทจะมีส่วนลดเพิ่มเติมหากซื้อประกันภัยอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย
  • เลือกเฉพาะความคุ้มครองที่จำเป็น หรือเหมาะสำหรับคุณ พิจารณาเลือกซื้อประกันภัยให้เหมาะกับการขับขี่ของคุณ และหากรถของคุณมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยสูง จะส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันภัยลดลง

จะเห็นว่าการมีประกันภาคสมัครใจไว้เพื่อคุ้มครองความเสียหายเพิ่มเติมเป็นเรื่องดีเพราะประกันภัยภาคสมัครใจนั้นให้ความคุ้มครองในส่วนของทรัพย์สินด้วย ถือว่าช่วยลดภาระ ลดความเสียหายต่อตัวผู้เอาประกันภัยไปได้ส่วนหนึ่ง ดังนั้นถ้าหากอยากเลือกทำประกันภัยเพิ่มเติมแนะนำว่าควรเลือกบริษัทประกันภัยที่เชื่อถือได้ และควรดูกรมธรรม์ให้ละเอียดว่าตอบโจทย์ความต้องการของเราหรือไม่ค่ะ

บริษัทประกันภัยหัวใส! ผู้บาดเจ็บประสบภัยจนเป็นผู้ป่วยติดเตียง แต่บ่ายเบี่ยงไม่จ่ายเหตุทุพพลภาพถาวร อ้าง! ต้องใช้การไม่ได้ทั้งหมด

เคยไหมที่เวลาเกิดอุบัติแล้วไม่รู้ต้องทำอะไรก่อน เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้ขอบเขตของข้อกฎหมายเพื่อเอาไว้ปกป้องสิทธิที่ตัวเองควรจะได้รับ เพราะส่วนใหญ่เมื่อเวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วผู้บาดเจ็บมักจะถูกบริษัทประกันภัยหลอกให้เซ็นหนังสือประนีประนอมยอมเพื่อลดการจ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้บาดเจ็บ ดังนั้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุสิ่งที่ต้องทำคืออย่าเซ็นเอกสารใดๆ ที่บริษัทประกันภัยยื่นมาให้เด็ดขาด เพราะอาจถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหาก บาดเจ็บทุพพลภาพ หากสะดวกควรหาทนายเอาไว้เพื่อให้คำแนะนำปรึกษาจะดีที่สุด

อย่างเคสที่จะนำมาเล่าให้ฟังต่อไปนี้ ถือว่าเป็นเคราะห์หามยามร้ายของผู้เสียหายอย่างแท้จริง เพราะนอกจากจะบาดเจ็บจากอุบัติอย่างหนักหนาสาหัสแล้ว ยังถึงขั้นบาดเจ็บทุพพลภาพถาวร แต่บริษัทประกันภัยยังพยายามเตะถ่วงบ่ายเบี่ยงค่าเสียหายตามความเหมาะสม ทำให้ผู้บาดเจ็บรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากบริษัทประกันภัยเท่าที่ควร โดยบริษัทประกันภัยใช้คำกล่าวอ้างว่าผู้เสียหายตกอยู่ในภาวะ “ทุพพลภาพถาวร” จริงหรือ?? ทั้งที่แพทย์ลงความเห็นว่าผู้บาดเจ็บนั้นได้รับบาดเจ็บทุพพลภาพถาวร เกริ่นมาขนาดนี้แล้วหลายคนคงอยากทราบว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ผู้บาดเจ็บได้รับผลกระทบในการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง และสิ่งที่หลายคนคงอยากทราบคือบริษัทประกันภัยเสนอจ่ายค่าเยียวยาเหตุทุพพลภาพถาวรเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ เราไปเริ่มลำดับเหตุการณ์กันเลยค่ะ

ประสบอุบัติเหตุสาหัสจนทุพพลภาพ บริษัทประกันภัยบ่ายเบี่ยงจ่าย!!

รถคว่ำ

โดยอุบัติเหตุในครั้งนี้เกิดขึ้นขณะที่ผู้บาดเจ็บซึ่งเป็นผู้โดยสารข้างคนขับ กำลังเดินทางกลับจากการไปทำธุระรายงานตัว ซึ่งก่อนเกิดเหตุได้มีฝนตกลงมาจนเป็นสาเหตุให้ถนนลื่น ทำให้กระบะที่ผู้บาดเจ็บขับมานั้นเกิดเสียหลักลื่นไถลตกลงไปข้างทาง ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บอาการสาหัสจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ โดยได้รับบาดเจ็บกระดูกบริเวณคอหัก หลังจากรักษาตัวมาได้ระยะหนึ่ง ผู้บาดเจ็บได้ถูกส่งตัวไปรักษาอีกโรงพยาบาลและต้องนอนพักรักษาตัวอีกราวประมาณ 1 เดือน และต่อมาได้ถูกส่งตัวไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งเพื่อพักรักษาตัวอีกประมาณครึ่งเดือนเศษ ซึ่งเป็นการรักษาที่ยาวนานและทรมานมาก ผู้บาดเจ็บได้รับข่าวร้ายว่าต้องกลายเป็นผู้ทุพพลภาพถาวร แต่บริษัทประกันภัยหัวใสยังไม่ยอมจ่ายค่าสินไหมทดแทนกรณีทุพพลภาพตามที่ระบุเอาไว้ในประกัน

ใบรับรองแพทย์แจ้งทุพพลภาพถาวร แต่บริษัทประกันภัยไม่เชื่อ!!

กระดูกหัก

หลังจากนั้นผู้บาดเจ็บยังเกิดภาวะติดเชื้อทำให้ต้องเข้า-ออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ หลังจากต้องนอนป่วยติดเตียงมาเป็นเวลานานเกิดก็ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำให้ไม่สามารถเดินเหินใช้ชีวิตได้ตามปกติ แถมยังเกิดเป็นแผลกดทับลึกขนาดใหญ่จนไม่สามารถนอนหงายได้ ต้องคอยนอนตะแคงอยู่ตลอดเวลา และต้องเดินทางไปล้างแผลที่โรงพยาบาลทุกวัน ด้วยภาวะที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ด้วยตัวเอง ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปได้อย่างยากลำบาก จึงเป็นอะไรที่ทรมานมากทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ เมื่อต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้กลายเป็นผู้ทุพพลภาพภาวร ทำให้ขาดรายได้ในการจุนเจือครอบครัว

บาดเจ็บทุพพลภาพ

จากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตคนคนหนึ่งไปตลอดกาล แน่นอนว่าบริษัทประกันภัยต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายตามที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์ แต่บริษัทประกันภัยหัวใสใช้ช่องโหว่ยังไม่ยอมจ่ายค่าเสียหายที่ระบุตามความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับ ซึ่งบริษัทประกันภัยขอเสนอจ่ายเบื้องต้นแค่ค่าสินไหมเป็นเงิน 60,506 บาท และค่านอนรักษาตัวเป็นเงินเพียงแค่ 2,800 บาท ส่วนในกรณีทุพพลภาพถาวรนั้น บริษัทประกันภัยใช้คำกล่าวอ้างว่าทุพพลภาพนั้นจะต้องไม่สามารถใช้งานอวัยวะในร่างกายเพื่อการทำงานใดๆ ได้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าบริษัทประกันภัยเชื่อว่าผู้ได้รับบาดเจ็บนั้นอาจไม่ได้มีภาวะทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ผู้บาดเจ็บรู้สึกได้ถึงการไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงตัดสินใจยื่นฟ้องบริษัทประกันภัย และได้มอบอำนาจให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกรณีทุพพลภาพ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เห็นถึงการไร้ความรับผิดชอบต่อผู้บาดเจ็บที่ซื้อประกันภัยเพื่อความคุ้มครอง แต่บริษัทประกันภัยนั้นกลับไม่ยอมจ่ายค่าชดเชยตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ภาคบังคับ แถมกลับต้องมาเจอคำพูดบั่นทอนจิตใจกันแบบนี้เมื่อเกิดกรณีอุบัติเหตุ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จึงต้องดำเนินการทวงความยุติธรรมให้แก่ผู้บาดเจ็บอย่างถึงที่สุด ป่วยกายก็นับว่าทุกข์ใจแสนสาหัสอยู่แล้ว ยังมาเจอบริษัทประกันภัยพูดแบบนี้น่าเห็นใจผู้บาดเจ็บเสียจริงๆ

มีทนายไว้คอยให้คำปรึกษาหรือสู้คดีจะดีที่สุด

ประกันภัยหัวใส! ผู้บาดเจ็บประสบภัยจนเป็นผู้ป่วยติดเตียง แต่บ่ายเบี่ยงไม่จ่ายเหตุทุพพลภาพถาวร อ้าง! ต้องใช้การไม่ได้ทั้งหมด

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่า “ทำไมเราควรต้องมีทนายความผู้เชี่ยวชาญ” ไว้คอยช่วยเหลือดูแลเมื่อเกิดอุบัติขึ้น อย่างน้อยยังอุ่นใจได้ว่าเราจะไม่ถูกบริษัทประกันภัยเอารัดเอาเปรียบแบบกรณีนี้ หากท่านไหนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎหมาย หรืออยากปรึกษาคดีด้านไหนติดต่อมาได้ที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามีทนายความผู้เชี่ยวชาญไว้คอยช่วยเหลือให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพ