เมินคำสั่ง คปภ. สุดท้ายศาลสั่งชดใช้! พร้อมค่าเสียหายเชิงลงโทษคนละ 30,000 บาท

ในยุคที่บริษัทประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองผู้ใช้รถใช้ถนน ความเชื่อมั่นในระบบประกันภัยควรเป็นรากฐานสำคัญของสังคม แต่เมื่อความรับผิดชอบนั้นกลับถูกละเลย ผู้บริโภคจึงต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของตนเองอย่างถึงที่สุด เช่นเดียวกับกรณีของ นางสาว A และ นางสาว B ผู้เสียหายจากอุบัติเหตุรุนแรง ที่จุดจบของเรื่องราวนี้กลายเป็นบทเรียนสำคัญให้กับสังคมทั้งในด้านกฎหมาย และการปกป้องสิทธิผู้บริโภคอย่างแท้จริง

อุบัติเหตุที่เปลี่ยนชีวิต

วันที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นคือช่วงเย็นของวันหนึ่ง เมื่อรถยนต์ที่ น.ส. A และ น.ส. B โดยสารมาด้วยความเร็วสูง เกิดเสียหลักตกข้างทางและพุ่งชนเข้ากับเสาไฟฟ้าอย่างรุนแรง ส่งผลให้ทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงต้องเผชิญกับผลกระทบทางร่างกายและจิตใจในระยะยาว

พยายามขอความเป็นธรรม แต่กลับถูกเพิกเฉย

หลังจากพักฟื้นพอมีแรงต่อสู้ น.ส. A และ น.ส. B เริ่มดำเนินการเจรจากับบริษัทประกันภัยของรถที่เกิดเหตุ โดยหวังว่าจะได้รับค่าสินไหมทดแทนอย่างเป็นธรรม เพื่อชดเชยความเสียหายที่ได้รับ ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง ค่าขาดรายได้ รวมถึงค่าทุกข์ทรมานทางร่างกายและจิตใจ

แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น บริษัทประกันภัยกลับเสนอจำนวนเงินชดเชยที่ต่ำกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างมาก แม้ผู้เสียหายจะพยายามดำเนินเรื่องด้วยตนเอง ทั้งการยื่นเอกสารหลักฐาน และติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเหมาะสม

เมื่อทนายความกลายเป็นความหวัง

เมื่อเห็นว่าความพยายามด้วยตนเองไม่เกิดผล ทั้งสองจึงตัดสินใจแต่งตั้งทนายความให้เข้ามาดำเนินเรื่องแทน โดยทนายความได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งภายหลังเจ้าหน้า คปภ. ได้มีคำสั่งชัดเจนให้บริษัทประกันภัยทบทวนและประเมินค่าเสียหายใหม่อย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม บริษัทประกันภัยกลับเพิกเฉยและหรือฝ่าฝืนต่อคำสั่งของ คปภ. และยังคงยืนยันจำนวนเงินเดิมที่ต่ำเกินไป โดยไม่มีความคืบหน้าหรือความตั้งใจในการเจรจาที่เป็นธรรม

จากโต๊ะเจรจาสู่ศาล

เมื่อไม่สามารถหาข้อยุติได้ด้วยวิธีการเจรจา คดีจึงถูกส่งเข้าสู่กระบวนการทางศาล โดยทนายความได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายรวมเป็นจำนวนเงิน 1,540,000 บาท แบ่งเป็นของ น.ส. A จำนวน 1,050,000 บาท และของ น.ส. B จำนวน 490,000 บาท ซึ่งครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดรายได้ ค่าพาหนะในการเดินทางไปโรงพยาบาล ค่าสูญเสียความสามารถในการทำงาน รวมถึงค่าทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ
นอกจากนี้ ยังมีการเรียกร้องค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) ซึ่งเป็นบทลงโทษทางแพ่งต่อบริษัทประกันภัย เนื่องจากมีพฤติกรรมละเมิดสิทธิของผู้บริโภค และฝ่าฝืนคำสั่งของหน่วยงานรัฐอย่าง คปภ.

ศาลมีคำพิพากษาเป็นธรรม

ท้ายที่สุด ศาลได้พิจารณาอย่างรอบคอบ และมีคำพิพากษาให้ บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าเสียหายให้กับ น.ส. A และ น.ส. B ตามที่เรียกร้อง พร้อมทั้งกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษเพิ่มเติมให้กับผู้เสียหายทั้งสอง คนละ 30,000 บาท โดยชี้ชัดว่าพฤติกรรมของบริษัทประกันภัยเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของหน่วยงานรัฐ และไม่แสดงความจริงใจในการชดเชยความเสียหาย

บทเรียนสำคัญจากกรณีนี้

กรณีนี้สะท้อนภาพให้เห็นว่า สิทธิของผู้บริโภคในระบบประกันภัยไม่ควรถูกมองข้าม และไม่ควรปล่อยให้ถูกละเมิดโดยไม่มีการตอบโต้ การมีทนายความที่มีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการทางกฎหมาย และกลไกของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น คปภ. จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งสำคัญคือ “อย่าเกรงกลัวเมื่อถูกริดรอนสิทธิ” เพราะกฎหมายยังคงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเรียกร้องความยุติธรรม และหากใช้ให้ถูกต้องก็สามารถพลิกสถานการณ์จากผู้เสียหายที่เคยถูกมองข้าม ให้กลับมายืนหยัดได้อย่างภาคภูมิ
การเพิกเฉยต่อคำสั่งของ คปภ. และการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัทประกันภัย ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อผู้บริโภค แต่ยังนำไปสู่บทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง การตัดสินใจของศาลในครั้งนี้คือเครื่องยืนยันว่า “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย” และ ผู้บริโภคที่ลุกขึ้นสู้ด้วยความรู้และความถูกต้อง ย่อมได้รับความเป็นธรรมในที่สุด อย่ารอให้คุณถูกเอาเปรียบจากบริษัทประกันภัย เพราะบริษัทประกันภัยมีทนายความตั้งแต่รถยังไม่ชน ดังนั้น หากเกิดอุบัติเหตุประชาชนคนธรรมดาก็สามารถมีทนายความเพื่อนเดินเรื่องให้ได้เช่นเดียวกัน ปรึกษาทนาย >>ติดต่อเรา<<

รถชนเจ็บหนักนอนติดเตียง ประกันภัยและคู่กรณีปล่อยเบลอทำนิ่ง ตัดสินใจไม่รอรักษาตัวให้หายดี โร่ปรึกษาทนาย

เรื่องราวที่สะเทือนใจและเป็นอุทาหรณ์สำหรับใครหลาย ๆ คนเกิดขึ้นกับสาววัย 24 ปี ผู้มีอาชีพขายหมูปิ้งในย่านท้องถิ่นของเธอ วันที่เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เธอกำลังทำงานตามปกติ จู่ ๆ รถกระบะตู้ทึบขับพุ่งเข้าชนอย่างรุนแรง ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งกระดูกซี่โครงหักแทงปอด ตับฉีก มีเลือดออกในช่องท้อง รวมถึงกระดูกสะโพกขวาหัก ต้องดามเหล็กจนไม่สามารถขยับตัวได้ สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เธอต้องนอนติดเตียงและทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดที่เกินบรรยาย

อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดทางร่างกายที่เธอประสบไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่นั้น ความเจ็บปวดทางใจและความเครียดจากการดำเนินเรื่องกับบริษัทประกันภัยที่ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ได้เข้ามาทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเคสที่ไม่ธรรมดา

อุบัติเหตุรุนแรง ที่มาพร้อมกับการเอาเปรียบของประกัน #รักษาตัวให้หายดีก่อน

การถูกชนครั้งนี้ส่งผลให้สาววัย 24 ปีต้องเผชิญกับความบาดเจ็บที่รุนแรงถึงขีดสุด กระดูกซี่โครงหักและแทงเข้าที่ปอดทำให้เกิดภาวะหายใจลำบาก อีกทั้งตับฉีกที่ส่งผลให้มีเลือดออกในช่องท้องต้องได้รับการผ่าตัดด่วน การบาดเจ็บของกระดูกสะโพกขวาที่หักจนต้องดามเหล็กทำให้เธอต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียง ไม่สามารถปรับเตียงได้ เนื่องจากหากขยับตัวอาจทำให้เหล็กหลุดและเพิ่มความเสี่ยงในการบาดเจ็บซ้ำ

สภาพร่างกายที่บาดเจ็บอย่างหนักนี้ ทำให้เธอต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานเป็นเวลานาน ต้องอาศัยการดูแลจากบุคคลอื่นและไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เอง ขณะเดียวกัน ความรู้สึกของการเสียอิสรภาพและความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการเป็นผู้ป่วยติดเตียงนั้น ส่งผลต่อสภาพจิตใจอย่างมาก

ฝ่ายหนึ่งที่รอการช่วยเหลือกับอีกฝ่ายที่ละเลยทำนิ่งนอนใจไร้การเยียวยา

แม้เธอจะมีประกันภัยคุ้มครองอยู่ แต่ความคาดหวังที่จะได้รับการดูแลและการชดเชยกลับกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก เนื่องจากบริษัทประกันภัยที่เธอใช้บริการนั้นไม่ได้แสดงความใส่ใจต่อกรณีของเธอ การดำเนินเรื่องล่าช้าจนเกินไป ทำให้เธอและครอบครัวต้องรับภาระทางการเงินที่หนักหน่วงมากขึ้น 

ความไม่เป็นธรรมในกรณีนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของการบาดเจ็บที่รุนแรงเท่านั้น แต่ยังเป็นการที่บริษัทประกันภัยไม่ปฏิบัติตามสัญญา และไม่ใยดีต่อสภาพจิตใจและร่างกายของผู้เอาประกัน แม้ว่าจะมีการเรียกร้องและติดต่อไปยังบริษัทหลายครั้ง แต่เรื่องก็ยังคงถูกดองไว้เป็นเวลานาน 

การตัดสินใจที่เด็ดขาด !  ปรึกษาทนายแม้ขณะนอนติดเตียง

ด้วยความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น เธอจึงไม่รอให้เสียเวลา และแม้จะยังนอนติดเตียงด้วยสภาพร่างกายที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เธอก็ตัดสินใจที่จะปรึกษาทนายความเพื่อหาทางต่อสู้กับบริษัทประกันภัยที่ละเลยการดูแล

การตัดสินใจนี้นับว่าเป็นการก้าวเดินที่สำคัญ เนื่องจากในหลาย ๆ กรณี ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุมักรอจนกว่าจะรักษาตัวให้หายดีก่อนหรือให้บริษัทประกันดำเนินการก่อน ซึ่งในบางครั้งการรอคอยนี้อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ การที่เธอเลือกที่จะปรึกษาทนายความตั้งแต่เริ่มต้นนั้น ช่วยให้การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีทิศทางที่ชัดเจน

ประกันภัยหัวหมอกับเล่ห์เหลี่ยมที่ต้องรู้เท่าทัน

กรณีของสาววัย 24 ปีนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงปัญหาที่เกิดจากการดำเนินงานของบริษัทประกันภัยที่ไม่เป็นธรรม บ่อยครั้งที่บริษัทประกันภัยพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบหรือดำเนินเรื่องล่าช้าเพื่อให้ผู้เสียหายยอมแพ้หรือเลิกล้มการเรียกร้อง

การใช้ “เล่ห์เหลี่ยม” เพื่อประวิงเวลาในการชดเชยค่าเสียหายนั้นเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในระบบประกันภัย ผู้ที่ประสบเหตุการณ์เช่นนี้มักไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิทธิ์ที่ตนเองมีอยู่ หรืออาจไม่ได้เข้าใจเงื่อนไขของกรมธรรม์อย่างละเอียด จึงทำให้บริษัทประกันสามารถใช้จุดอ่อนนี้ในการเอาเปรียบผู้เอาประกัน

กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้ที่ใช้บริการประกันภัยทุกคนว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับบริษัทประกัน ไม่ควรรอให้บริษัทประกันดำเนินการเองโดยไม่มีการตรวจสอบ การปรึกษาทนายความตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และสามารถเดินเรื่องได้อย่างรวดเร็วและตรงตามสิทธิ์ที่คุณพึงได้รับ

ทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องประกันภัยสามารถช่วยตรวจสอบเงื่อนไขของกรมธรรม์และให้คำแนะนำในการดำเนินการที่ถูกต้อง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสภาพร่างกายที่พร้อมหรือไม่พร้อมในการต่อสู้คดี การมีทนายความเป็นที่ปรึกษาจะช่วยป้องกันไม่ให้คุณถูกเอาเปรียบจากบริษัทประกัน

บทสรุปสุดท้ายก่อนจากกัน

จากกรณีนี้ สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้คือความสำคัญของการมีทนายความคอยช่วยเหลือในการดำเนินการกับบริษัทประกันภัย การรอให้ประกันดำเนินการเองอาจทำให้คุณเสียสิทธิ์ในการได้รับการชดเชยที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีที่ประกันภัยไม่ใยดีต่อความเสียหายที่คุณได้รับ

หากคุณประสบอุบัติเหตุรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บทางร่างกายหรือการเสียหายทางทรัพย์สิน การปรึกษาทนายความทันทีจะช่วยให้คุณได้รับการดูแลที่ถูกต้องและป้องกันไม่ให้ถูกประกันภัยเอาเปรียบ อย่างที่เคสนี้ได้แสดงให้เห็นว่า การต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมไม่ควรรอจนสายเกินไป

คำว่า “บาดเจ็บสาหัส” ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่งเป็นอย่างไร บริษัทประกันภัยจ่ายค่าเสียหายส่วนไหนให้บ้าง

1 บาดเจ็บสาหัส ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง

ถ้าหากกล่าวถึงในกรณี “บาดเจ็บสาหัส” แล้ว ในทางกฎหมายนั้นมีข้อกฎหมายรองรับทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง เพราะในทางอาญานั้นเป็นการลงโทษผู้กระทำความผิด ส่วนในทางแพ่งนั้นเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้กระทำความผิดนั่นเอง ดังนั้นเราจะมากล่าวถึงการบาดเจ็บสาหัสในทางกฎหมายทั้งทางอาญาและทางแพ่งกันค่ะ

2 บาดเจ็บสาหัส ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง

บาดเจ็บสาหัสในกฎหมายอาญา

หากกล่าวกันในทางอาญานั้นมีไว้เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดให้ได้รับโทษฐานทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ อัตราของโทษขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอุบัติเหตุนั้น ๆ โดยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560) โดยตามแนวฎีกา “บาดเจ็บสาหัส” นั้นจะต้องรักษาตัวไม่น้อยกว่า 20 วัน เพราะถือว่าเป็นอันตรายสาหัส ตัวอย่างเช่น กระโหลกศีรษะร้าว ปวดศีรษะในระยะเวลา 1 เดือน นั่งขายของปกติไม่ได้เกิน 20 วันเป็นทุขเวทนา ถือว่าเป็นการเจ็บป่วยด้วยอาการทุขเวทนาเกินกว่า 20 วันเป็นอันตรายสาหัส ซึ่งความผิดฐานทำให้บาดเจ็บนั้นจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบภายนอก และ องค์ประกอบภายใน

ซึ่งองค์ประกอบภายนอกมีดังนี้ 1.กระทำการโดยประการใด ๆ 2. เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส 

ส่วนองค์ประกอบภายในคือ การกระทำความผิดตามมาตรานี้ มีลักษณะเช่นเดียวกับการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291 แต่ต่างกันตรงที่ผลของกระทำ ในมาตรานี้เอาผิดถ้ากระทำให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญาได้แก่ ตาบอด หูหนวก เสียอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น 

ฎีกา 491/2507 รถยนต์โดยสารสองคันแล่นตามหลังกันมา คันหนึ่งขอทางจะแซงขึ้นหน้า อีกคันหนึ่งไม่ยอมกลับเร่งความเร็วเพื่อแกล้งรถยนต์คันที่ขอทาง รถยนต์ทั้งสองคันจึงได้แล่นแข่งกันมาด้วยความเร็วสูงเกินกว่ากฎหมายกำหนดในถนนซึ่งแคบและเป็นทางโค้ง เป็นการเสี่ยงอันตราย รถยนต์คันขอทางเฉี่ยวกับรถบรรทุกคันหนึ่ง ซึ่งจอดแอบข้างทางและเซไปปะทะกับรถยนต์คันที่แข่งกันมานั้นตกถนนพลิกคว่ำ คนโดยสารได้รับอันตรายสาหัส ต้องถือว่าคนขับรถยนต์โดยสารของทั้งสองคันนั้นกระทำโดยประมาท

การขับรถโดยประมาทมีโทษตามกฎหมาย ดังนี้คือ

1. ชนกันธรรมดา ไม่มีคนบาดเจ็บหรือคนตาย ผิดฐานขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 400 บาท ถึง 1,000 บาท ตามพระราชบัญญติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 43 (4) และมาตรา 157

2. ชนกันบาดเจ็บนิดหน่อย ผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390

3. ชนกันจนคู่กรณีบาดเจ็บสาหัส พิการ สูญเสียอวัยวะ หรือต้องรักษาตัวเกิน 20 วัน ผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300

4. ชนกันจนคู่กรณีถึงแก่ความตาย ผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่น  ถึงแก่ความตาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291

3 บาดเจ็บสาหัส ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง

บาดเจ็บสาหัสในกฎหมายแพ่ง

นอกจากโทษทางอาญาแล้ว ผู้กระทำความผิดยังต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายแก่ผู้บาดเจ็บทางแพ่งด้วย เช่นความเสียหายต่อร่างกาย ต่อบุคคลอื่น ตลอดจนทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งตามมาตรา 240 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” ทั้งนี้ การจะเข้าข่าย “ประมาท” ต้องมิใช่ “เจตนา” ขับรถชนคู่กรณี (ข้อมูลจาก: พระราชบัญญติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 43 (4) และมาตรา 157 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 มาตรา 300 และมาตรา 390)

4 บาดเจ็บสาหัส ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง

ค่าเสียหายที่สามารถเบิกได้จาก พ.ร.บ. รถยนต์ (ภาคบังคับ) 

พ.ร.บ. รถยนต์นับเป็นประกันภัยภาคบังคับที่รถยนต์ทุกคันต้องทำเอาไว้ ดังนั้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนและต้องเบิกค่าชดเชย สามารถเบิกค่าชดเชยจาก พ.ร.บ. รถยนต์ได้ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งค่าชดเชยของ พ.ร.บ. รถยนต์นั้นจะคุ้มครองเฉพาะคน ก็คือในกรณีบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเท่านั้น สามารถเบิกค่าชดเชยได้ดังนี้ 

สำหรับค่าเสียหายเบื้องต้น จะได้รับทันทีโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด ดังนี้ 

– ค่ารักษาพยาบาล พ.ร.บ. จะจ่ายให้ตามจริง โดยจ่ายให้สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท หากต่อมาพิการหรือทุพพลภาพ จะจ่ายเพิ่มเติมโดยรวมแล้วไม่เกิน 65,000 บาทต่อคน – ในกรณีสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพถาวรทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ พ.ร.บ. จะจ่ายให้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อคน 

– ในกรณีที่เกิดการเสียชีวิต หากเสียชีวิตทันทีหลังจากเกิดอุบัติเหตุ พ.ร.บ. จะจ่ายค่าทำศพเป็นจำนวน 35,000 บาทต่อคน 

– แต่หากเสียชีวิตภายหลังจะจ่ายให้แบบเหมารวมกับค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 65,000 บาทต่อคน 

สำหรับค่าเสียหายส่วนเกินที่สามารถเบิกได้จาก พ.ร.บ. รถยนต์ หลังจากพิสูจน์ความผิดแล้ว โดยบริษัทประกันของฝ่ายที่กระทำผิดจะชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ประสบภัยหรือทายาท ดังนี้ 

– ในส่วนของค่ารักษาพยาบาลกรณีได้รับบาดเจ็บ จะมีการจ่ายเงินชดเชยรวมค่าสินไหมทดแทนให้ไม่เกิน 80,000 บาท 

– ในกรณีสูญเสียอวัยวะ ได้แก่ หูหนวก เป็นใบ้ เสียความสามารถในการพูด สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์ มือ แขน ขา เท้า ตา หนึ่งอย่างหรือหนึ่งข้าง จะจ่ายชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 250,000 บาท 

– ในกรณีสูญเสียอวัยวะ ได้แก่ มือ แขน เท้า ขา ตา ตั้งแต่สองอย่างหรือสองข้างขึ้นไป หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จะมีการจ่ายชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท 

– ในกรณีทุพพลภาพถาวร จะมีการจ่ายเงินชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท กรณีเสียชีวิต จะมีการจ่ายเงินชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาล (ในกรณีเสียชีวิตภายหลัง) สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท 

– นอกจากนี้จะมีการจ่ายเงินชดเชยเมื่อต้องนอนโรงพยาบาล (ผู้ป่วยใน) โดยจ่ายชดเชยให้วันละ 200 บาท รวมไม่เกิน 20 วัน 

ค่าเสียหายที่สามารถเบิกได้จากประกันภัยรถยนต์ (ภาคสมัครใจ) 

หากผู้บาดเจ็บ หรือคู่กรณีได้ทำประกันภัยภาคสมัครใจเพิ่มเติมเอาไว้ในส่วนนี้ ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจไม่ว่าจะเป็น ประกันภัยชั้น 1, ชั้น 2, ชั้น 3 หรือประกันภัยประเภท 1, ประเภท 2, ประเภท 3 นั้น ในกรมธรรม์ประกันภัยของแต่ละบริษัทจะให้ความคุ้มครองในรายละเอียดหลักเหมือนกัน แต่ในเรื่องของจำนวนวงเงินอาจต่างกัน ซึ่งค่าชดเชยที่สามารถเบิกได้ในกรณีรถชนนั้น มีดังนี้ 

– ค่ารักษาพยาบาล ในส่วนที่เกินจากวงเงินของ พ.ร.บ. รถยนต์ จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ 

– ค่าทนทุกข์ทรมานจากอาการบาดเจ็บ จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ 

– ค่าชดเชยจากสินทรัพย์ที่เสียหรือสูญหายเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ 

– ค่าชดเชยความเสียหายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นขณะรักษาตัว เช่น ค่าขาดโอกาสในการเดินทางหรือการทำงาน ค่าขาดไร้อุปการะ ค่าชดเชยรายได้ ค่าขาดประโยชน์ระหว่างซ่อม จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ 

สำหรับประกันประเภท 1 หรือประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 นั้น นอกจากค่าชดเชยข้างต้นที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังสามารถเบิกค่าชดเชยเนื่องจากอุบัติเหตุรถชนได้เพิ่มเติม ดังนี้ 

– ค่าประกันตัวผู้ขับขี่ในกรณีที่ถูกควบคุมตัวจากความผิด 

– ค่าซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์คันที่เอาประกัน ไม่ว่าจะมีคู่กรณีหรือไม่ก็ตาม 

ในส่วนของรายละเอียดเพิ่มเติมและวงเงินคุ้มครองนั้น สามารถเช็กได้กับกรมธรรม์ประกันภัยที่คุณทำเอาไว้ว่าได้รับความคุ้มครองในวงเงินเท่าไร และจะได้ค่าชดเชยแต่ละส่วนเท่าไรถ้าหากเกิดอุบัติเหตุรถชน ซึ่งค่าชดเชยดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับจำนวนเบี้ยประกันที่คุณจ่ายไปว่าได้รับวงเงินที่เท่าไร

จะเห็นได้ว่ากรมธรรม์ประกันภัยนั้นมีเนื้อหาที่ค่อนข้างละเอียด ซึ่งคนทั่วไปน้อยมากที่จะสามารถเข้าใจเนื้อหาของกรมธรรม์ได้อย่างเข้าใจอย่างถ่องแท้ เมื่อเกิดปัญหาการเรียกร้องค่าเสียหายจากกรมธรรม์จึงควรอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจในเนื้อหาของสัญญากรมธรรม์ หรือข้อกฎหมายอย่างทนายความดีกว่า นอกจากทนายความจะอำนวยความสะดวกในด้านการดำเนินการในทุกขั้นตอนแล้ว ยังช่วยเรียกร้องค่าเสียหายที่เราควรจะได้รับอย่างเหมาะสมให้อีกด้วย ปรึกษาทนาย

การเรียกค่าสินไหมทดแทนจากคู่กรณีต้องทำอย่างไร และเรียกค่าเสียหายอะไรได้บ้าง

เรียกค่าเสียหายอะไรได้บ้าง copy

อุบัติเหตุทางจราจรสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาเราสามารถเรียก ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายได้หากเราเป็นผู้เสียหายจากอุบัตินั้น เพราะประกันภัยจะให้ความคุ้มครองในเรื่องของความบาดเจ็บทางร่างกาย ค่าพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ รวมถึงความเสียหายในเรื่องของทรัพย์สิน และค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ เหล่านี้เราสามารถเรียกร้องเอาจากประกันของฝ่ายคู่กรณีได้ มาดูกันว่าค่าสินไหมทดแทนคืออะไร และนอกจากเราจะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากคู่กรณีแล้ว เรายังสามารถเรียกร้องค่าเสียหายอะไรจากคู่กรณีอีกได้บ้าง 

เรียกค่าเสียหายอะไรได้บ้าง1 copy

ค่าสินไหมทดแทนคืออะไร

ค่าสินไหมทดแทน หมายถึง “เงินที่ต้องชดใช้เพื่อทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินหรือแก่บุคคลอันเนื่องมาจากการละเมิด หรือการผิดสัญญา รวมทั้งทรัพย์สินที่ต้องคืนให้แก่ผู้เสียหายด้วย เช่น ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด ค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้” และตามหลักของคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ระบุไว้ว่า ค่าสินไหมทดแทน คือการชดใช้ความเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดโดยการคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายได้เสียหายไปหรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น ในเมื่อไม่อาจคืนทรัพย์สินได้รวมทั้งค่าเสียหายอย่างใด ๆ เพื่อให้ผู้เสียหายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมหรือใกล้เคียงกับฐานะเดิมเท่าที่จะสามารถทำได้

เรียกค่าเสียหายอะไรได้บ้าง2 copy

สามารถเรียกร้องค่าเสียหายอะไรได้บ้างจากคู่กรณี

1. ค่าเสียหายต่อตัวรถ

เมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแน่นอนว่ายานพาหนะต้องเกิดความเสียหายอยู่แล้ว ซึ่งในส่วนนี้คู่กรณีที่เป็นฝ่ายถูกจะเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้ ถ้าหากมีประกันก็สามารถตกลงกันง่ายกว่ารถที่ไม่มีประกัน เพราะกรณีรถที่ไม่มีประกันก็ต้องมาคุยกันว่าฝ่ายผิดจะทำการชดใช้ค่าเสียหายอย่างไร เมื่อเรียกประกันมาเพื่อคุยกันแล้ว ต่อไปก็เป็นขั้นตอนในการนำรถเข้าซ่อม โดยการส่งรถเข้าซ่อมจากความเสียหายเนื่องจากอุบัติเหตุสามารถทำได้ 2 ช่องทางคือ

– นำรถไปซ่อมกับอู่ที่บริษัทประกันคู่กรณีกำหนด หรืออู่ในเครือบริษัทประกัน

– นำรถไปซ่อมกับอู่ที่ติดต่อเอง แต่จะต้องแจ้งรายละเอียดการซ่อมต่างๆ ให้กับบริษัทประกันคู่กรณีก่อน เพื่อให้บริษัทประเมินราคาเบื้องต้น หรือให้ทางบริษัทเข้ามาดูสภาพความเสียหายของรถด้วยตัวเอง เพื่อพิจารณาค่าซ่อมที่เหมาะสม

2. ค่าลากรถ/ขนย้ายรถไปที่อู่ซ่อมรถ

เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ นอกจากเงื่อนไขที่ประกันต้องชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมแล้ว ยังเป็นหน้าที่ของประกันที่ต้องชดใช้ค่าขนย้าย และค่าดูแลรักษาในระหว่างที่ซ่อมด้วย ตามจำนวนที่จ่ายไปจริง แต่ไม่เกิน 20% ของค่าซ่อมแซม เช่น รถยนต์เกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหาย ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ พนักงานสอบสวนลากรถไปสถานีตำรวจ เมื่อใช้เป็นหลักฐานทางคดีเสร็จแล้ว ได้ลากรถไปที่อู่เพื่อซ่อมแซม ค่าลากรถทั้งสองช่วงนี้ บริษัทประกันเป็นคนจ่ายหรือรับผิดชอบตามที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 20% ของค่าซ่อม 

กรณีใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบเกิน 20%

ลากไปอู่หนึ่งแล้ว ทางประกันคุมราคาค่าซ่อมต่ำกว่าความจริง (เกิดจากประกันเอง) ทำให้ต้องลากไปอีกอู่ ค่าลากไปที่อื่นตรงนี้ประกันก็ต้องรับผิดชอบแม้รวมกับครั้งแรกจะเกิน 20% ของค่าซ่อม  

ข้อควรรู้ 

– ค่าดูแลขนย้ายนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่ประกันต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับจำนวนเงินเอาประกันที่ระบุไว้ 

– ค่าซ่อม จะทราบจำนวนค่าซ่อมที่แท้จริง เมื่อซ่อมรถเสร็จ เพราะตอนเกิดเหตุยากที่จะตีราคาค่าซ่อมได้ทันที 

3. ค่าเสียหายต่อชีวิตและร่างกาย

– ค่ารักษาพยาบาล

– เงินชดเชยกรณีสูญเสียอวัยวะ

– ทุพพลภาพ

– ค่าปลงศพ (กรณีเสียชีวิต)

– ค่าขาดประโยชน์ในการหารายได้ (กรณีต้องพักรักษาตัวนาน)

– ค่าขาดได้อุปการะ (กรณีเสียชีวิตและเกิดผลกระทบต่อการเลี้ยงดูบุตร)

4. ค่าเสียหายต่อทรัพย์สิน

ในที่นี้หมายถึงทรัพย์สินสิ่งของมีค่าที่อยู่ภายในรถ เช่น โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงิน โน้ตบุ๊ค หรือสิ่งของมีค่าอื่นๆ ที่อยู่ภายในรถ ซึ่งถ้าเกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุบริษัทประกันของคู่กรณีจะต้องจ่ายชดเชยให้ด้วย แต่จะพิจารณาเป็นในส่วนของค่าเสื่อมสภาพแทนไม่ใช่มูลค่าของทรัพย์สินที่เราซื้อมาในตอนแรก และทรัพย์สินนั้นผู้เสียหายจะต้องเป็นเจ้าของตัวจริงเท่านั้น โดยจะได้รับการชดเชยไม่เกินวงเงินที่ระบุเอาไว้ในประกัน

5. ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ/ค่าขาดประโยชน์ระหว่างซ่อมรถ

ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.62 เป็นต้นมา คปภ.ได้กำหนดอัตราขั้นต่ำในการชดเชยค่าขาดประโยชน์ (สำหรับรถยนต์ที่มีการทำประกันตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.62 ดังนี้)

– รถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 7 คน (รวมคนขับ) อัตราไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท

– รถยนต์รับจ้างสาธารณะที่มีที่นั่งไม่เกิน 7 คน (รวมคนขับ) อัตราไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท

– รถยนต์ที่มีที่นั่งเกิน 7 คน (รวมคนขับ) อัตราไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท

อย่างไรก็ดี หากกรณีเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วอย่างไรควรหาทนายความผู้เชี่ยวชาญเอาไว้คอยแนะนำขั้นตอนในการเรียกร้องค่าเสียหาย หากอุบัติเหตุนั้นมีความเสียหายไม่ว่าจะร่างกายหรือทรัพย์สิน เพราะการมีทนายความช่วยเดินเรื่องให้ช่วยให้เรารู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของบริษัทประกันภัยได้เพื่อรักษาสิทธิ์ที่พึงมีของเรา สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นสำนักงานทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของคดีประกันภัย หากท่านใดที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อกฎหมายในเรื่องของประกันภัย หรือข้อกฎหมายในเรื่องอื่นๆ ติดต่อเรา สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์พร้อมให้บริการในทุกปัญหากฎหมายของคุณ

ถูกรถบรรทุกพ่วงชนขาหัก แผลลึกถึงกระดูก บริษัทประกันภัยตีมึนชดใช้ค่าเสียหายหลักหมื่น!

ถูกรถพ่วงชนขาหัก copy

ในทุกวันจะมีคดีอุบัติเหตุทางจราจรเกิดขึ้นทุกวัน แต่ยังมีผู้บาดเจ็บจากคดีเกี่ยวกับจราจรอีกหลายคนที่ไม่ทราบถึงสิทธิ์ของตนเองเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับการประกันภัย จึงทำให้บางท่านเสียสิทธิ์ที่จะเรียกร้องค่าเสียหายที่ตนเองควรจะได้รับจาก พ.ร.บ. หรือ เฉกเช่นกรณีนี้ที่ผู้เสียหายท่านนี้ต้องประสบอุบัติเหตุถูกรถบรรทุกพ่วงเฉี่ยวชนจน ขาหัก เรื่องราวจะเป็นอย่างไรมาติดตามกันเลยค่ะ 

ขี่รถมาอยู่ดีๆ ก็ถูกรถบรรทุกพ่วงชนเข้าอย่างจัง

เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่ผู้บาดเจ็บกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์มาตามเส้นทางปกติ แต่ได้ถูกรถบรรทุกหัวลากพ่วงคัน ซึ่งขับขี่มาเฉี่ยวชนเข้ากับรถจักรยานยนต์ของผู้บาดเจ็บ เป็นเหตุให้ผู้บาดเจ็บได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส มีบาดแผลฉีกขาดขนาดใหญ่และลึกบริเวณขาขวา ลึกชนิดที่ว่าเห็นกระดูก และขาขวายังหักอีกด้วย รวมทั้งยังมีบาดแผลและรอยฟกช้ำทั่วร่างกายอีกหลายแห่ง รวมทั้งมีทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ ซึ่งอุบัติเหตุในครั้งนี้เกิดจากความไม่ระมัดระวังของผู้ขับขี่รถบรรทุกพ่วงคันดังกล่าว และรถบรรทุกพ่วงหัวลากคันดังกล่าวได้ทำประกันภัยภาคในส่วนภาคบังคับ และภาคสมัครใจ ผู้ขับขี่รถบรรทุกได้ลงลายมือยอมรับความผิดนั้นต่อหน้าเจ้าพนักงานสวนแล้ว โดยปกติแล้วการทำประกันภัยรถบรรทุกที่มีส่วนต่อพ่วงอย่างรถบรรทุกหัวลากกับหางพ่วงการทำประกันภัยนั้นจะแยกคนละส่วนกัน ดังนั้นการเรียกค่าเสียหายจากประกันภัยรถบรรทุกพ่วงจะสามารถเรียกได้มากกว่า 2 ฉบับ

ถูกรถพ่วงชนขาหัก copy

ถูกรถบรรทุกพ่วงชนขาหัก แผลลึกจนเห็นถึงกระดูก!

จากเหตุการณ์อุบัติเหตุร้ายแรงในครั้งนี้ ทำให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บกระดูกขาขวาหัก และมีบาดแผลฉีกขาดที่บริเวณขาขวาขนาดใหญ่มาก ลึกจนเห็นถึงกระดูกสร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นอย่างมาก ผู้บาดเจ็บต้องทำการพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เป็นเวลากว่า 43 วันเพื่อรักษาบาดแผล ที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และยังต้องเดินทางไปล้างแผลที่โรงพยาบาลอยู่เป็นประจำทุกวัน จากบาดแผลของผู้บาดเจ็บที่มีขนาดใหญ่และลึกจนเห็นถึงกระดูก ทำให้ผู้บาดเจ็บต้องพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน แล้วยังต้องทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ช่วงที่ต้องพักรักษาตัวผู้บาดเจ็บต้องสูญเสียรายได้ไป เพราะไม่สามารถดำเนินชีวิตได้เฉกเช่นปกติ โดยผู้บาดเจ็บประกอบอาชีพทำนาเกลือเมื่อได้รับบาดเจ็บจึงส่งผลกระทบต่อการหารายได้สร้างความลำบากให้แก่ผู้บาดเจ็บและครอบครัวเป็นอย่างมาก ทั้งคนในครอบครัวยังต้องผลัดเปลี่ยนกันมาพาผู้บาดเจ็บไปพบแพทย์อย่างต่อเนื่องในการรักษา

บริษัทประกันภัยหัวใสโยกโย้ด้วยการบอกเอกสารไม่ครบ

บริษัทประกันภัยภาคบังคับได้มีการโยกโย้ด้วยการทำหนังสือจะจ่ายค่าสินไหมทดแทน แต่ไม่ยอมระบุจำนวนเงินที่จะชดใช้ลงมาในเอกสาร ซึ่งถือว่าเป็นการไม่จริงใจที่จะชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แถมยังกล่าวอ้างยกเหตุขึ้นมาว่าผู้บาดเจ็บนั้นส่งเอกสารยื่นขอพิจารณาค่าสินไหมไม่ครบ แต่ทางบริษัทประกันภัยเองกลับไม่ยอมแจ้งเป็นหนังสือว่าทางบริษัทประกันภัยนั้นต้องการเอกสารใดจากผู้บาดเจ็บ นับว่าเป็นอีกลูกเล่นที่นำมาใช้เพื่อถ่วงเวลาการจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้น

ในส่วนของบริษัทประกันภัยภาคสมัครใจ ถึงแม้ว่าจะมีอีเมลแจ้งผลการพิจารณาค่าเสียหายในส่วนของค่าซ่อมแซมรถจักรยานยนต์ของผู้บาดเจ็บ แต่ค่าเสียหายนั้นช่างต่ำกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงต่อผู้บาดเจ็บ ทั้งยังไม่ยอมมีหนังสือแจ้งการชดใช้ค่าเสียหายต่อร่างกายและทรัพย์สินของผู้บาดเจ็บ ตามหลักเกณฑ์และกรอบเงื่อนไขระยะของการประกอบธุรกิจประกันภัย ถือว่าเป็นการประวิงเวลาในการชดใช้ค่าเสียหายต่อผู้บาดเจ็บ และปัจจุบันผู้บาดเจ็บก็ยังไม่ได้รับเงินชดใช้ค่าเสียหายทั้งต่อร่างกายและทรัพย์สินที่เหมาะสม สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ผู้บาดเจ็บเป็นอย่างมาก

ถูกรถพ่วงชนขาหัก2 copy

เมื่อถูกเอาเปรียบจากบริษัทประกันรีบปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญดีที่สุด

ผู้บาดเจ็บรู้สึกมืดแปดด้านไม่รู้จะต้องทำอย่างไร จึงได้เข้ามาปรึกษา สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ และมอบอำนาจให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เป็นผู้ดำเนินการเรียกค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยทั้ง 2 บริษัทเพิ่มเติม โดยบริษัทภาคบังคับยินยอมจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นแล้วเป็นเงินจำนวน 138,000 บาท แต่บริษัทประกันภัยที่ 2 เสนอจำนวนเงินไม่คุ้มค่าต่อความเสียหายที่ผู้บาดเจ็บควรจะได้รับ ทีมทนายที่มีประสบการณ์ของสำนักงานวงศกรณ์จึงได้ใช้สิทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมโดยการยื่นขอคำเสนอต่ออนุญาโตตุลาการ เพื่อให้บริษัทประกันภัยภาคสมัครใจทำการจ่ายค่าเสียหายตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์เป็นจำนวนเงิน 500,000 บาทแก่ผู้เสียหาย เพื่อความยุติธรรมต่อผู้เสียหายที่ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส และยังไม่ทราบว่าจะหายกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติหรือไม่

เห็นไหมคะว่าการมีทนายความผู้เชี่ยวชาญไว้คอยให้ความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาทางด้านกฎหมายเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่เริ่มมีปัญหาด้านกฎหมาย เพราะความไม่รู้กฎหมายอาจทำให้บริษัทประกันภัยฉวยโอกาสใช้ตรงนี้เพื่อเอาเปรียบในสิทธิ์ที่คุณควรจะได้รับ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามีทีมนักกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญและมากด้วยประสบการณ์ไว้คอยบริการทุกปัญหากฎหมายของคุณ หากคุณกำลังมีปัญหาในเรื่องของกฎหมาย ติดต่อเรา

外国受害者的车被撞,颈椎骨折,右肩骨折!保险公司拖延不愿意赔偿,律师帮助搞定,索赔超过一百万泰铢!

ผู้เสียหายชาวต่างชาติรถถูกชน

这是一个关于汽车保险的案例。当我们购买汽车保险时,自然希望保险公司能为我们的生命提供全面的保障,因为我们只有一条生命。但如果我们信任的保险公司,在发生事故后,却试图推诿支付赔偿,不履行自愿险和强制险合同中明确规定的责任,比如在这个案例中,Wongsakorn 律师事务所 受到了来自一位遭遇车祸的外国伤者的信任。事故导致这位外国伤者严重受伤,车辆被撞坏,肩膀骨折需要进行钢板手术!但保险公司却以被保险人是外国人,不懂得泰国的保险法以及不了解保护自己权益的流程为由,推脱赔偿。当保险公司试图拖延和解时,受害者不知如何应对,因此决定求助于 Wongsakorn  律师事务所来帮助他们维护正义。

车辆被撞,导致颈椎骨折和肩膀骨折,需休养超过三个月,却没有收到保险公司的任何赔偿。

此次事故发生时,受害者驾驶的车辆与一辆轿车发生擦碰,但随后受害者的车辆又被另一辆汽车从后方撞击,导致受害者的车辆严重损坏。受害者与保险公司投保的车辆内共有两名乘客受伤,其中一名受害者伤势严重,颈椎骨折及右肩骨折,不得不接受肩部钢板固定手术,并需休养3个月。手术取出钢板后,仍需进行物理治疗。目前,受害者仍在持续治疗,受伤处时常带来痛苦,严重影响日常生活。

已支付超过 200,000 泰铢,但保险公司仍拒绝赔偿

受害者已经预先支付了超过 200,000 泰铢的必要医疗费用,还未包括因失去每月收入而造成的 150,000 泰铢的损失。受害者是公司高级管理人员,这次的严重受伤需要长时间治疗,导致收入损失巨大,并对公司管理产生了严重影响。受害者不得不进行右肩钢板固定手术,并需要再次手术取出钢板,手术及术后治疗费用高达 80,000 泰铢。这个金额是医生初步评估的费用,还不包括治疗过程中可能出现的其他并发症及其他医疗费用。

肩膀骨折未愈,需飞往国外治疗。

在受伤期间,受害者在泰国接受治疗时,频繁往返于家与医院之间,产生了不少治疗期间的费用。然而,受伤的肩膀状况并未好转,骨折的肩膀骨头未能愈合。因此,受害者不得不飞往台湾接受进一步治疗,并进行二次手术,手术费用为 158,080 台币,折合泰铢为 161,241 泰铢。此外,受害者还支付了 14,300 泰铢的机票费用,以前往国外接受治疗。手术后,受害者还需要持续进行长时间的物理治疗,治疗费用高昂。实际上,这些费用受害者完全可以向保险公司提出赔偿,即便受害者是在国外接受治疗。

ประกันเสนอจ่ายค่ารักษา 4

保险公司提出的赔偿金额低于实际损失!

在发生的事故中,保险公司(自愿险)和保险公司(强制险)尚未支付赔偿,而是试图进行调解。由于受害者是外国人,不了解保险法律,因此不敢索要过高的赔偿,担心会被保险公司反诉。尽管受害者右臂骨折,必须植入钢板,并根据医生建议需要休养超过90天。如果受害者能够正常工作,原本可以获得 450,000 泰铢的收入。然而,在 90 天的停工期间,保险公司仅提议支付 150,000 泰铢,而对方保险公司则提议支付受害者仅 100,000 泰铢。总的来说,保险公司仅提出了约 300,000 泰铢的赔偿,这远远低于实际损失,严重低估了受害者的损失和伤痛。这样的赔偿远不足以弥补受害者的伤害,也无法确定未来是否能够完全恢复正常。

在这种情况下,必须要有律师来防止被保险公司占便宜。

Wongsakorn 律师事务所认识到,不论受害者是泰国人还是外国人,如果他们在与保险公司的纠纷中被欺负,律师的帮助是至关重要的。就像这位受了重伤的中国受害者一样,他感到两家保险公司都不愿真诚承担责任,所提出的赔偿金额与实际伤害不符。此外,保险公司还试图通过要求调解和谈判赔偿金来拖延时间。因此,受害者委托 Wongsakorn 律师事务所为其提起诉讼,要求保险公司赔偿损失。由于 Wongsakorn 的法律团队意识到这位外国受害者所遭遇的不公正,遂决定向这两家保险公司提出超过百万泰铢的索赔金额,这个金额是保险公司最初提议的三倍多,以弥补受害者的损失并安慰其心理创伤。最终,法院判决这两家保险公司支付超过一百万泰铢的赔偿金给受害者!

无论是泰国人还是外国人,Wongsakorn 律师事务所都愿意提供服务。

Wongsakorn 律师事务所重视每一位受害者的权益,无论其是泰国人还是外国人。如果受害者感到没有得到保险公司的公正对待,Wongsakorn 律师事务所将乐意提供帮助。在发生事故时,拥有一位律师是非常重要的,不仅可以保护受害者免受保险公司各种手段的伤害,还能帮助受害者按照法律程序有效地提出索赔。Wongsakorn 律师事务所专注于处理与保险相关的诉讼案件,我们有一支专业的律师团队,随时准备提供咨询和服务。如果您正在面临保险公司不公的对待,请随时联系我们

ขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนกับการปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญหลังเกิดเหตุ

ขั้นตอน การฟ้องคดีรถชน รู้ไว้ไม่เสียหาย…เมื่อเกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุรถชน ไม่ว่าจะเป็นการชนที่มีผู้บาดเจ็บหรือเพียงแค่ความเสียหายทางทรัพย์สิน เช่น รถยนต์ ผู้ประสบอุบัติเหตุหลายท่านคงตั้งตัวกันไม่ถูกว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ แต่วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพามาทำความเข้าใจในขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนกันว่าเมื่อเรื่องมาถึงมือทนายแล้วมีขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและสิทธิที่ตนพึงมีอย่างไร ในบทความนี้เราจะกล่าวถึงขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนอย่างละเอียด เพื่อให้ผู้ที่ประสบภัยหรือประสบเหตุการณ์รถชนสามารถดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องและสามารถเป็นประโยชน์สูงสุดให้กับท่านอื่น ๆ ที่ต้องการรู้เรื่องนี้อีกด้วย

ขั้นตอนการฟ้องคดีรถชน

1. รวบรวมหลักฐาน

หลังจากเกิดเหตุการณ์รถชน สิ่งแรกที่ควรทำ คือ การรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น

– ถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุ ภาพรถที่ชนกัน , ภาพความเสียหาย , และภาพบาดแผลความเจ็บปวด (ถ้ามี)

– เก็บข้อมูลของผู้ขับขี่ทุกฝ่าย รวมถึงพยานที่เห็นเหตุการณ์

– บันทึกเวลาที่เกิดเหตุและสภาพอากาศในขณะนั้น

– รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทประกันภัยของทุกฝ่าย

2. แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

หลังจากรวบรวมหลักฐานเรียบร้อยแล้ว ควรแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สถานีตำรวจที่ใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ เพื่อให้ตำรวจทำการบันทึกเหตุการณ์และหรือทำบันทึกรายงานประจำวัน ซึ่งเอกสารดังกล่าวที่ออกโดยเจ้าหน้าที่จะสามารถเป็นเอกสารสำคัญในการฟ้องคดีได้

3. ติดต่อบริษัทประกันภัย

หากผู้ประสบภัยมีการประกันภัย ควรติดต่อบริษัทประกันภัยของตนเองและของคู่กรณี เพื่อแจ้งเหตุการณ์และเริ่มกระบวนการเคลมประกัน ทั้งนี้ควรเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องเช่น บันทึกประจำวัน ใบขับขี่ และบัตรประชาชนของผู้ประสบภัย

4. การประเมินค่าเสียหาย

ประเมินค่าซ่อมแซมรถยนต์ , ค่ารักษาพยาบาล (ในกรณีมีผู้ได้รับบาดเจ็บ) และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ควรได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญหรืออู่ซ่อมรถที่ได้รับการรับรองที่สามารถเชื่อถือได้

5. ติดต่อทนายความ

ขั้นตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นขั้นตอนสำคัญขั้นตอนหนึ่ง เพราะสำหรับผู้ประสบภัยที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อจากเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น การมีทนายความหลังเกิดอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด เพื่อจะได้ลดความเสี่ยงที่จะถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบ หรือพลาดไปเจอ ทะแนะก่อนเจอทนาย ดังนั้นจึงต้องรีบปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในคดีอุบัติเหตุรถยนต์ เพื่อให้คำปรึกษาและคำแนะนำขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนเพื่อเตรียมเอกสารการฟ้องคดี นอกจากนี้ทนายความจะสามารถประเมินคดีของคุณ รวมไปถึงดำเนินการรวบรวมหลักฐาน และเตรียมเอกสารที่จำเป็นให้กับคดีของคุณได้

6. การฟ้องคดีในศาล

ทนายความจะดำเนินการตามขั้นตอน การฟ้องคดีรถชน เพื่อยื่นฟ้องคดีในศาลที่มีเขตอำนาจ โดยการฟ้องคดีสามารถเป็นการฟ้องคดีทางแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย หรือการฟ้องคดีทางอาญาหากมีความผิดทางอาญาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและความเชี่ยวชาญของทนายความด้วย

7. กระบวนการพิจารณาคดี

เมื่อยื่นฟ้องคดีแล้ว ศาลจะมีการพิจารณาคดี ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ เช่น

– การสอบพยานฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลย

– การนำเสนอหลักฐานต่าง ๆ

– การไต่สวนข้อเท็จจริง

ทั้งนี้การพิจารณาคดีอาจใช้เวลานานขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดี และการตอบโต้จากฝ่ายจำเลย

8. การตัดสินคดี

หลังจากกระบวนการพิจารณาคดีเสร็จสิ้น ศาลจะมีการตัดสินคดี โดยศาลจะพิจารณาข้อเท็จจริงและหลักฐานที่นำเสนอ แล้วออกคำพิพากษาตามข้อกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นการสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย หรือสั่งลงโทษทางอาญา

9. การปฏิบัติตามคำพิพากษา

หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว ผู้ชนะคดีสามารถดำเนินการตามคำพิพากษาได้ เช่น การเรียกเก็บเงินชดใช้ค่าเสียหายจากฝ่ายที่แพ้คดี หรือการนำคำพิพากษาไปใช้ในการเรียกร้องเงินประกัน

10. การอุทธรณ์ (ถ้ามี)

หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พอใจกับคำพิพากษาของศาล ในขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนก็สามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาได้ตามกฎหมาย ซึ่งจะต้องทำภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยการอุทธรณ์จะต้องมีเหตุผลที่สมควรและมีหลักฐานเพิ่มเติม

ข้อควรระวัง

ในขั้นตอน การฟ้องคดีรถชน สำหรับทนายความมือใหม่ควรระมัดระวังเรื่องระยะเวลาฟ้องคดีและการจัดเตรียมหลักฐานที่ครบถ้วนและถูกต้อง เพื่อให้การฟ้องคดีเป็นไปอย่างราบรื่นและเพื่อให้ผู้ประสบภัยหรือลูกความได้รับความยุติธรรมที่สมควร นอกจากนี้ก็ยังมีข้อควรระวังอีกมาก หากไม่มีความเชี่ยวชาญก็อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของผู้เสียหายหรือลูกความได้เช่นเดียวกัน

ปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญ

สุดท้ายแล้วขั้นตอน การฟ้องคดีรถชน เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องการความรู้และความเข้าใจในกฎหมาย การปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณได้รับความยุติธรรมและสิทธิที่พึงมี แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด ควรปรึกษาทนายตั้งแต่เกิดเรื่อง เพื่อให้ได้คำแนะนำที่ถูกต้องและมีการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างเหมาะสมและรวดเร็ว ทนายจะช่วยในการเจรจาและดำเนินการฟ้องคดีอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คุณได้รับสิทธิและความยุติธรรมที่สมควรและการปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินคดีอย่างราบรื่นและประสบผลสำเร็จ หากต้องการปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์ต้องปรึกษาทนายสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ >> ติดต่อเรา << 

ทุพพลภาพ”จากอุบัติเหตุ! ประกันภัยเล่นแง่ปฏิเสธจ่ายแค่หนึ่งแสน แทนค่านิ้วที่ถูกตัด!

ทุพพลภาพจากอุบัติเหตุ! ประกันภัยเล่นแง่ปฏิเสธจ่ายแค่หนึ่งแสน

อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นได้ทุกวันทุกเวลา หากว่าเราประมาทก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติจนได้รับบาดเจ็บได้ แต่ถ้าหากเราขับขี่อย่างระมัดระวังแล้ว แต่บุคคลอื่นกลับไม่ได้มีความรับผิดชอบต่อผู้อื่นมากพอ ขับขี่ยานพาหนะอย่างไม่ระมัดระวังจนเกิดอุบัติแก่บุคคลอื่น นั่นเป็นการหยิบยื่นความเดือดร้อนไปให้แก่บุคคลอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นผู้ที่เป็นต้นเหตุควรมีความรับผิดชอบต่อผู้ที่บาดเจ็บหรือเสียหายที่ต้องมาเดือนร้อนจากการกระทำของเราด้วย เฉกเช่นกับผู้บาดเจ็บท่านนี้ที่ประสบอุบัติเหตุจากความประมาทของผู้อื่น จนต้องถูกตัดนิ้วต้องสูญเสียอวัยวะกลายเป็นผู้ ทุพพลภาพ ไปอย่างถาวร เรื่องราวของผู้เสียหายจะเป็นอย่างไร มาติดตามกันเลยค่ะ 

ต้องกลายเป็นผู้ “ทุพพลภาพ”

ต้องกลายเป็นผู้ “ทุพพลภาพ” จากอุบัติเหตุที่ไม่ได้ก่อ!

โดยอุบัติเหตุไม่คาดฝันนี้ที่ต้องทำให้ผู้บาดเจ็บกลายเป็นบุคคลทุพพลภาพ เริ่มจากผู้บาดเจ็บได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาด้วยความระมัดระวัง และปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างดีแล้ว แต่ได้ถูกรถยนต์ซึ่งขับด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังมาเฉี่ยวชนเข้ากับรถจักรยานยนต์ของผู้บาดเจ็บ ทำให้รถของผู้บาดเจ็บเสียหลักล้มลงตัวกระเด็นไปอยู่บริเวณใต้ท้องรถของคู่กรณี จนได้รับบาดเจ็บหนักหลายแห่ง แต่ที่หนักที่สุดคือต้องถูกตัดนิ้ว! กลายเป็นผู้ทุพพลภาพไปอย่างถาวร ซึ่งหลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นความผิดของคู่กรณีผู้ขับขี่รถยนต์ดังกล่าว และผู้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวได้ยอมรับในที่เกิดเหตุว่าเป็นความผิดของตนเองจริง

อาการสาหัสจนต้องตัดนิ้วทิ้ง

อาการสาหัสจนต้องตัดนิ้วทิ้ง! จากความประมาทของผู้อื่น

จากอุบัติเหตุในครั้งนี้ ส่งผลให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลฉีกขาดอย่างรุนแรงบริเวณนิ้วก้อยข้างซ้าย กระดูกนิ้วหายไปบางส่วนลึกเข้าข้อนิ้วก้อยทั้ง 2 ข้าง แพทย์ลงความเห็นว่าจำเป็นต้องตัดนิ้วก้อยข้างซ้ายทิ้งไป ทำให้ผู้เสียหายต้องกลายเป็นผู้ทุพพลภาพ นอกจากนี้ผู้บาดเจ็บยังมีบาดแผลฉีกขาดลึกบริเวณข้อมือซ้าย ฟันล่างโยก รวมทั้งมีบาดแผลถลอกขนาดใหญ่และลึกอีกหลายแห่ง และผู้บาดเจ็บต้องเดินทางไปโรงพยาบาลทุกวันเพื่อทำการล้างแผลและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง สร้างความลำบากให้แก่ผู้บาดเจ็บเป็นอย่างมาก

จากคนปกติสู่ผู้ทุพพลภาพขาดอวัยวะ

จากคนปกติสู่ผู้ทุพพลภาพขาดอวัยวะ

ผู้บาดเจ็บต้องสูญเสียอวัยวะกลายเป็นผู้ทุพพลภาพ ก็เป็นสิ่งที่สร้างความสะเทือนในให้แก่ผู้บาดเจ็บเป็นอย่างมากแล้ว ผู้บาดเจ็บยังต้องสูญเสียรายได้จากการพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ ซึ่งหากผู้บาดเจ็บยังสามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ผู้บาดเจ็บจะมีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 120,000 บาท เพราะผู้บาดเจ็บเป็นคนขยัน นอกจากอาชีพประจำทำแซนวิสขายแล้ว ผู้บาดเจ็บยังทำอาชีพเสริมมีรายได้อีกกว่า 50,000 บาทต่อเดือน เมื่อต้องประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเช่นนี้ จึงส่งผลกระทบต่อการขาดรายได้ตรงนี้ไป และยังไม่สามารถคาดได้ว่าจะยังสามารถกลับมาทำแบบเดิมได้อีกหรือไม่ เนื่องจากความทุพพลภาพที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้การใช้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ค่าเสียหายหลักแสนก็แทนนิ้วที่หายไปไม่ได้

แต่กระถึงกระนั้น บริษัทประกันภัยของคู่กรณียังสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ผู้บาดเจ็บเป็นอย่างมาก โดยพิจารณาค่าสินไหมทดแทนให้ผู้บาดเจ็บที่ต้องสูญเสียนิ้วมือกลายเป็นผู้ทุพพลภาพต่ำกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงไปมาก บริษัทประกันภัยของคู่กรณีเสนอจ่ายค่าสินไหมทดแทน ค่ารักษาพยาบาลในอนาคต ค่าสูญเสียรายได้ ค่าอนามัย ค่าทุขเวทนาให้แก่ผู้บาดเจ็บ รวมแล้วเป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท และเสนอค่าสินไหมทดแทนให้เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท ซึ่งความจริงแล้วบริษัทประกันภัยของคู่กรณีนั้นจะต้องจ่ายค่าเสียหายตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย (ภาคบังคับ) เป็นจำนวนเงิน 600,000 บาท ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ทั้งบริษัทประกันภัยเองยังพยายามประวิงเวลาไม่ยอมแจ้งผลการพิจารณาค่าเสียหายให้แก่ผู้บาดเจ็บออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้ปัจจุบันนี้ผู้เสียหายก็ยังไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยของคู่กรณีเลย

ควรมีทนายเอาไว้เพื่อรักษาสิทธิ์ของตนเอง

ควรมีทนายเอาไว้เพื่อรักษาสิทธิ์ของตนเอง

ผู้บาดเจ็บรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากบริษัทประกันภัย เพราะตนเองต้องกลายเป็นผู้ทุพพลภาพจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ที่ตัวเองต้องเป็นผู้ประสบเหตุ จึงทำการติดต่อให้ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ที่มีชื่อเสียงด้านการฟ้องร้องคดีบาดเจ็บมาแล้วหลายคดี เป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมจากบริษัทประกันภัย ทีมงานกฎหมายของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มองเห็นแล้วว่าคดีนี้ผู้บาดเจ็บยังได้รับค่าเสียหายที่ไม่เหมาะสมกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นจริง ทีมทนายจึงได้ดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายอย่างเต็มที่ เพื่อให้ผู้บาดเจ็บได้รับค่าเยียวยาอย่างเหมาะสมที่สุด เมื่อเทียบกับนิ้วที่ต้องถูกตัดทิ้งไป ซึ่งเป็นความเสียหายร้ายแรงไม่อาจกลับคืนมาได้ และยังส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างถาวร

ในปัจจุบันนี้บริษัทประกันภัยส่วนใหญ่มักพยายามเล่นแง่กับผู้บาดเจ็บ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบริษัทตัวเองจนลืมเรื่องความมีมนุษยธรรมไป ซึ่งเป็นสิ่งที่อยุติธรรมต่อผู้เสียหาย สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เราเชี่ยวชาญด้านการฟ้องร้องคดีประกันภัย เพราะเรามีทีมทนายที่แข็งแกร่งพร้อมดำเนินการทุกขั้นตอนจนเสร็จสิ้นให้แก่ผู้เสียหาย หากท่านกำลังประสบปัญหาถูกเอาเปรียบจากบริษัทประกันภัย ติดต่อเรา

ผู้เสียหายชาวต่างชาติรถถูกชนกระดูกต้นคอแตก ไหล่ขวาหัก! บริษัทประกันภัยยึกยักขอไกล่เกลี่ย ทนายช่วยเคลียร์เรียกค่าเสียหายกว่าล้านบาท!

ผู้เสียหายชาวต่างชาติรถถูกชนกระดูกต้นคอแตก ไหล่ขวาหัก! บริษัทประกันภัยยึกยักขอไกล่เกลี่ย ทนายช่วยเคลียร์เรียกค่าเสียหายกว่าล้านบาท!

เมื่อเราทำประกันภัยรถยนต์แน่นอนว่าเราต้องหวังการคุ้มครองจากบริษัทประกันภัยอย่างครอบคลุม เพราะชีวิตของเรามีแค่ชีวิตเดียว แต่หากบริษัทประกันภัยที่เราให้ความไว้วางใจซื้อประกันภัยเพื่อความคุ้มครองนั้น เมื่อเวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วพยายามบ่ายเบี่ยงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งภาคสมัครใจ และภาคบังคับตามที่กรมธรรม์ได้ระบุเอาไว้ในสัญญากรมธรรม์ อย่างเช่นกรณีอุบัติเหตุเคสนี้ ที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ได้รับความไว้วางใจจากผู้เสียหายชาวต่างชาติที่ประสบอุบัติเหตุจนได้รับบาดเจ็บสาหัส รถถูกชน จนไหล่หักต้องผ่าตัดใส่เหล็ก! แต่บริษัทประกันยังบ่ายเบี่ยงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ด้วยเหตุผู้เอาประกันภัยเป็นชาวต่างชาติที่ไม่รู้กฎหมายการประกันภัยในบ้านเรา รวมถึงไม่ทราบกระบวนการที่จะเรียกร้องเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง เมื่อบริษัทประกันภัยพยายามยื้อขอเจรจาค่าเสียหาย ผู้เสียหายเลยไม่รู้ต้องทำอย่างไร จึงตัดสินใจมาพึ่งสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ให้ช่วยดำเนินการเรียกร้องความเป็นธรรม 

รถถูกชนจนบาดเจ็บกระดูกต้นคอแตก ไหล่หัก ต้องพักรักษาตัวนานกว่า 3 เดือน ไร้ค่าเสียหายจากบริษัทประกัน

เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดจากผู้เสียหายได้ขับขี่รถยนต์แล้วเกิดการเฉี่ยวชนกับรถเก๋งคันหนึ่ง แต่รถยนต์ที่ผู้บาดเจ็บขับขี่นั้นถูกชนท้ายโดยรถยนต์อีกคันหนึ่ง เป็นเหตุทำให้รถของผู้บาดเจ็บที่มีการทำประกันภัยเอาไว้กับบริษัทประกันภัยเกิดความเสียหาย มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ 2 คน โดยผู้บาดเจ็บที่ 1 ได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกต้นคอหัก และกระดูกไหล่ขวาหัก จนต้องเข้ารับการผ่าตัดดามเหล็กไว้ที่หัวไหล่ และต้องพักรักษาตัวเป็นเวลา 3 เดือน หลังผ่าตัดเอาเหล็กออกยังต้องเข้าทำกายภาพบำบัด ปัจจุบันผู้บาดเจ็บยังต้องรักษาอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่องและมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตอย่างมาก 

ผู้เสียหายชาวต่างชาติรถถูกชน 2

สำรองจ่ายไปแล้วกว่า 200,000 บาท แต่บริษัทประกันยังไม่ยอมจ่ายค่าเสียหาย!

ทั้งนี้ผู้บาดเจ็บได้สำรองจ่ายค่ารักษาอันจำเป็นไปแล้วกว่า 200,000 บาท ยังไม่รวมถึงค่าขาดประโยชน์จากรายได้ต่อเดือนอีก 150,000 บาท จากการที่ผู้บาดเจ็บดำรงอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทของบริษัท การได้รับบาดเจ็บสาหัสจากในครั้งนี้ต้องรักษาตัวเป็นเวลานาน ทำให้สูญเสียรายได้เป็นจำนวนมากและส่งผลกระทบต่อการบริหารบริษัท ผู้บาดเจ็บต้องทำการผ่าตัดดามเหล็กเอาไว้ที่ไหล่ขวา และต้องผ่าตัดเพื่อเอาเหล็กออก ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด รวมค่ารักษาพยาบาลหลังการผ่าตัดเป็นจำนวนเงินกว่า 80,000 บาท ซึ่งราคานี้เป็นค่าใช้จ่ายที่แพทย์ได้ประเมินการรักษาในเบื้องต้น ยังไม่รวมหากเกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ขณะทำการรักษา รวมถึงค่าเวชภัณฑ์อื่นๆ 

ผู้เสียหายชาวต่างชาติรถถูกชน 3

ไหล่ต่อไม่ติด ต้องบินไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ

ระหว่างที่ผู้บาดเจ็บต้องรักษาตัวอยู่ในประเทศไทย ผู้บาดเจ็บต้องเดินทางไปมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง ทำให้มีค่าใช้จ่ายระหว่างที่ต้องรักษาตัว แต่ว่าอาการบาดเจ็บที่หัวไหล่ไม่ดีขึ้น กระดูกบริเวณหัวไหล่ที่หักไม่เชื่อมติดกัน ผู้บาดเจ็บจึงต้องทำการบินไปรักษาตัวที่ประเทศไต้หวัน และต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดอีกเป็นจำนวนเงิน 158,080 ดอลลาร์ไต้หวัน คิดเป็นเงินไทย 161,241 บาท อีกทั้งยังต้องเสียค่าเครื่องบินเพื่อบินไปรักษาเป็นจำนวนเงิน 14,300 บาท และหลังจากผ่าตัดผู้บาดเจ็บยังต้องเข้าทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการรักษาที่กินระยะเวลานาน และเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งความจริงแล้วค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ผู้บาดเจ็บสามารถเรียกร้องได้กับบริษัทประกันภัย แม้ว่าผู้บาดเจ็บจะเดินทางไปรักษาตัวที่ต่างประเทศก็ตาม

ผู้เสียหายชาวต่างชาติรถถูกชน 4

ประกันเสนอจ่ายค่ารักษา และค่าเสียหายน้อยกว่าความเป็นจริง!

จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบริษัทประกันภัยของรถผู้เอาประกัน (ภาคสมัครใจ) และบริษัทประกันภัย (ภาคบังคับ) ยังไม่ยอมจ่ายค่าเสียหายแต่พยายามขอไกล่เกลี่ย ในขณะที่ผู้บาดเจ็บเองก็เป็นชาวต่างชาติไม่รู้เรื่องกฎหมายประกันภัย ผู้บาดเจ็บจึงไม่กล้าเรียกค่าเสียหายที่สูงจนเกินไป เพราะกลัวว่าจะถูกบริษัทประกันภัยฟ้องกลับ ทั้งที่ผู้บาดเจ็บนั้นได้รับบาดเจ็บกระดูกต้นแขนขวาหัก จนต้องดามเหล็ก แถมต้องพักรักษาตัวตามความเห็นแพทย์เป็นเวลากว่า 90 วัน ซึ่งหากผู้บาดเจ็บยังสามารถทำงานได้ตามปกติ ผู้บาดเจ็บจะมีรายได้ 450,000 บาท แต่จากระยะเวลา 90 วันที่ต้องหยุดงานไป แต่บริษัทประกันภัยของรถผู้เอาประกันเสนอจ่ายเพียงแค่ 150,000 บาท ส่วนบริษัทประกันภัยของรถคู่กรณีที่มาชนรถยนต์ของผู้เอาประกัน เสนอจ่ายให้ผู้บาดเจ็บที่ 1 เป็นจำนวนเงินแค่ 100,000 บาท รวมแล้วบริษัทประกันเสนอจ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้บาดเจ็บแค่ราวๆ 3 แสนบาทเท่านั้นเอง ซึ่งน้อยกว่าความเป็นจริงไปมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ผู้บาดเจ็บได้รับ เป็นการเอาเปรียบผู้เสียหายอย่างที่สุด พิจารณาดูแล้วไม่คุ้มค่าต่อความบาดเจ็บที่ไม่อาจทราบได้ว่าในอนาคตจะหายดีกลับมาเป็นปกติได้หรือไม่ 

ผู้เสียหายชาวต่างชาติรถถูก 5

เจอแบบนี้ต้องมีทนายไว้เพื่อไม่ให้ถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบ

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เล็งเห็นถึงความสำคัญของผู้เสียหายไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากบริษัทประกันภัย ดังเช่นผู้เสียหายชาวจีนท่านนี้ที่ได้บาดเจ็บอย่างหนัก รู้สึกว่าบริษัทประกันภัยทั้ง 2 บริษัทไม่บริสุทธิ์ใจในการรับผิดชอบ เสนอจ่ายค่าเสียหายไม่สมกับอาการบาดเจ็บจริงที่ผู้เสียหายได้รับ ทั้งบริษัทประกันภัยยังพยายามยื้อเวลาโดยขอไกล่เกลี่ยเจรจาต่อรองค่าสินไหมทดแทน ผู้เสียหายจึงมอบหมายให้ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัย ด้วยทางทีมกฎหมายวงศกรณ์เห็นถึงความไม่ยุติธรรมที่ผู้เสียหายที่เป็นชาวต่างชาติได้รับ ทางทีมกฎหมายวงศกรณ์จึงได้ดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยทั้ง 2 บริษัทเป็นจำนวนเงินกว่าล้านบาท ซึ่งมากกว่าที่บริษัทประกันภัยเสนอให้ผู้บาดเจ็บกว่า 3 เท่า เพื่อชดเชยความเสียหายและเยียวยาจิตใจให้แก่ผู้บาดเจ็บ ท้ายที่สุดแล้วศาลได้มีคำพิพากษาให้บริษัทประกันภัยทั้ง 2 บริษัทต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนเงินกว่าล้านบาท! 

ผู้เสียหายชาวต่างชาติรถถูก 6

ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ยินดีให้บริการ

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ให้ความสำคัญไม่ว่าผู้เสียหายนั้นจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ หากผู้เสียหายรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากบริษัทประกันภัย สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ยินดีพร้อมให้บริการ ความสำคัญของการมีทนายความไว้ในกรณีหากเกิดอุบัติเหตุนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก นอกจากเพื่อปกป้องผู้เสียหายจากเล่ห์เหลี่ยมของบริษัทประกันภัยแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อการเดินเรื่องเรียกร้องค่าความเสียหายตามกระบวนการ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นสำนักงานกฎหมายที่เชี่ยวชาญในการฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับการประกันภัย เรามีทีมทนายที่มีความเชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการ หากท่านกำลังประสบปัญหาต้องเจอกับบริษัทประกันภัยที่กำลังเอารัดเอาเปรียบ ติดต่อเรา   

ประกันภัยหัวแพทย์! ถ่วงเวลาขอเอกสารเพิ่ม ทั้งที่ผู้บาดเจ็บกระเพาะปัสสาวะฉีก ขาหักผิดรูปจนต้องดามเหล็ก!

บริษัทประกันภัยกับทนายความถือเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอยู่มาตลอด เพราะทุกครั้งที่ผู้บาดเจ็บมักประสบกับปัญหาการถูกเอารัดเอาเปรียบจากบริษัทประกันภัย ทำให้ผู้บาดเจ็บไม่ได้รับความเป็นธรรมจากบริษัทประกันภัยอย่างที่ควรจะเป็น เพราะนอกจากบริษัทประกันภัยหัวแพทย์มักจะงัดไม้เด็ดต่างๆ มาเพื่อยืดระยะเวลาการจ่ายค่าเสียหายออกไป ตลอดจนการตุกติกไม่ยอมจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ สร้างความเดือดร้อนเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ผู้เสียหายเป็นอย่างมากเฉกเช่นผู้เสียหายท่านนี้ที่ได้รับบาดเจ็บกระเพาะปัสสาวะฉีก ขาหักผิดรูป นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงจำเป็นต้องมีทนายเอาไว้เพื่อรักษาสิทธิ์ที่เราควรจะได้รับไม่ให้บริษัทประกันภัยมาเอารัดเอาเปรียบ

บาดเจ็บสาหัสจนสลบ! ขาหักผิดรูป! แต่ประกันเสนอจ่ายแค่หลักหมื่น!

ขาหักผิดรูป

อย่างเช่นในกรณีอุบัติเหตุเคสนี้ ผู้บาดเจ็บได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาแล้วเกิดการชนเข้ากับรถพ่วงเทรลเลอร์ที่กำลังจะเข้าซอย ทำให้รถจักรยานยนต์ของผู้บาดเจ็บชนเข้ากับท้ายรถพ่วงอย่างจัง เป็นเหตุให้ผู้บาดเจ็บสลบไปในทันที ในขณะที่ผู้ขับรถพ่วงได้ยอมรับกับตำรวจในที่เกิดเหตุว่าตนเองนั้นได้ขับรถโดยประมาท จนทำให้เกิดอุบัติเหตุจริง จากอุบัติเหตุดังกล่าว ผู้บาดเจ็บถูกจัดอยู่ในเกณฑ์ผู้ป่วยฉุกเฉินขั้นวิกฤต เพราะผู้บาดเจ็บสลบไปหลังจากเกิดอุบัติเหตุและจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย จากเอกสารการรักษาผู้ป่วยเสียเลือดมากจนถึงขนาดต้องให้เลือดอย่างเร่งด่วน อีกทั้งยังกระดูกเชิงกรานหัก ขาหักผิดรูป แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือการได้รับบาดเจ็บที่หน้าท้องบริเวณกระเพราะปัสสาวะ ทำให้มีเลือดออก และไม่สามารถปัสสาวะได้ตามปกติ สร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ผู้บาดเจ็บเป็นอย่างมาก ผู้บาดเจ็บต้องผ่าตัดหน้าท้องมากกว่า 2 ครั้งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนขาหักผิดรูปยังไม่ทราบว่าจะสามารถหายกลับมาเป็นปกติหรือไม่  

ต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการฉี่ไม่ออก ต้องเข้าผ่าตัดกว่า 2 ครั้ง!

ผ่าตัด

นอกจากนี้ กระเพาะปัสสาวะยังฉีกขาดจนได้รับบาดเจ็บแล้ว ผู้บาดเจ็บยังขาหักผิดรูป จนต้องเข้ารับทำการผ่าตัดใส่เหล็กดามเอาไว้ เมื่อเวลาอากาศเย็นก็จะเผชิญกับอาการเจ็บปวด แถมสะโพกร้าว และปวดสะบักขวา ไม่สามารถเดินได้สะดวกต้องใช้ไม้ค้ำยันช่วยพยุงในการเคลื่อนไหว เวลาเดินจะเจ็บที่บริเวณเท้าทั้ง 2 ข้าง และไม่สามารถยืนได้นาน นับว่าเป็นความทรมานอย่างแสนสาหัสของผู้บาดเจ็บจริงๆ  

ตลอดระยะเวลาการรักษา ผู้บาดเจ็บต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกว่า 24 วัน แถมต้องย้ายโรงพยาบาลมากกว่า 3 ครั้งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ หลังจากกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านต่อ ยังต้องเดินทางไปล้างแผลที่อนามัยทุกวันจนถึงปัจจุบัน ทำให้มีค่าใช้จ่าย 1,050 บาท/วัน และต้องเดินทางไปโรงพยาบาลติดตามอาการเพื่อการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะทางกว่า 23 กิโล ด้วยสะโพกที่ร้าวและขาหักจึงเป็นอุปสรรคอย่างมาก หากวันไหนไม่มีใครไปส่งผู้บาดเจ็บจะต้องขอให้คนข้างบ้านช่วยเหลือเป็นคนพาไปส่งที่โรงพยาบาล และแม่น้องจำเป็นต้องลางานไปดูแลน้อง ทำให้ขาดรายได้ในส่วนนี้ เพราะผู้บาดเจ็บขาหักผิดรูป สะโพกร้าว เคลื่อนไหวร่างกายได้ไม่สะดวก    

บริษัทประกันภัยยื้อเต็มที่ แม้ผู้กระทำความผิดยอมรับเองว่าประมาท

เอกสาร

ความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่ผู้บาดเจ็บได้รับจากความประมาทของผู้ขับรถพ่วง ทั้งกระเพาะปัสสาวะฉีกขาดต้องผ่าตัดกว่า 2 ครั้ง และขาหักผิดรูปจนต้องดามเหล็ก นับว่าสาหัสสากรรจ์มากเลยทีเดียว แต่เชื่อหรือไม่ว่า! บริษัทประกันพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมถ่วงเวลาที่จะยังไม่ยอมจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามที่ผู้ขับขี่ฝ่ายประมาทได้ทำกับบริษัทประกันภัยเอาไว้ พยายามยื้อขอเอกสารจากผู้บาดเจ็บเพิ่มเติมเช่น เอกสารใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล หรือหนังสือรับรองเงินเดือน ซึ่งเป็นการถ่วงเวลาให้ผู้บาดเจ็บและครอบครัวต้องไปเดินเรื่องขอเอกสารเองทั้งหมด

เจอบริษัทประกันภัยหัวหมอแบบนี้ ต้องมีทนายไว้ดีที่สุด

บริษัทประกันภัยยังมีทนายได้ แล้วทำไมคนธรรมดาจะมีทนายไม่ได้

ความจริงแล้วบริษัทประกันภัยจะต้องจ่ายเงินตามที่ระบุเอาไว้ในประกันทั้งภาคบังคับ และภาคสมัครใจ แต่บริษัทประกันภัยพยายามที่จะเตะถ่วงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้บาดเจ็บ ทั้งที่ผู้บาดเจ็บต้องสำรองจ่ายเองไปเป็นจำนวนเงิน 30,000 บาท แถมยังไม่รู้ว่าในอนาคตผู้บาดเจ็บจะสามารถหายกลับมาเป็นปกติได้หรือไม่ โดยเฉพาะบริเวณอวัยวะที่ใช้สำหรับปัสสาวะ และขาหักผิดรูปจนต้องดามเหล็ก การที่ต้องมาบาดเจ็บตรงนี้นับว่าเป็นสิ่งที่สะเทือนใจแก่ผู้บาดเจ็บและครอบครัวอย่างที่สุดแล้ว เมื่อเทียบกับจำนวนเงินอันน้อยนิดที่บริษัทประกันภัยเสนอจะจ่ายให้ผู้บาดเจ็บและครอบครัว จึงรู้สึกถึงการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากบริษัทประกันภัย จึงตัดสินใจจะฟ้องบริษัทประกันภัยทั้ง 2 บริษัท โดยมอบอำนาจให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องกับบริษัทประกันภัย สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เล็งเห็นถึงความไม่เป็นธรรมที่ผู้บาดเจ็บได้รับ จึงจะดำเนินการฟ้องร้องค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยให้ผู้เสียหายให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการเยียวยาจิตใจให้แก่ผู้บาดเจ็บและครอบครัว

เห็นหรือไม่คะ ว่าการมีทนายความผู้เชี่ยวชาญเอาไว้คอยให้คำปรึกษา หรือช่วยดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยนับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะบริษัทประกันภัยโดยส่วนใหญ่มักหาช่องโหว่ที่จะเอาเปรียบผู้บาดเจ็บเสมออย่างเช่นวลี “ให้ไปรักษาตัวให้หายดีก่อน” สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามีทนายความที่เชี่ยวชาญในเรื่องการเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทประกัยภัย รวมถึงคดีอื่นๆ หากท่านรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องไหน ติดต่อเรา เรามีทนายผู้เชี่ยวชาญไว้คอยให้บริการทุกขั้นตอนอย่างถึงที่สุด