ในยุคที่บริษัทประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองผู้ใช้รถใช้ถนน ความเชื่อมั่นในระบบประกันภัยควรเป็นรากฐานสำคัญของสังคม แต่เมื่อความรับผิดชอบนั้นกลับถูกละเลย ผู้บริโภคจึงต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของตนเองอย่างถึงที่สุด เช่นเดียวกับกรณีของ นางสาว A และ นางสาว B ผู้เสียหายจากอุบัติเหตุรุนแรง ที่จุดจบของเรื่องราวนี้กลายเป็นบทเรียนสำคัญให้กับสังคมทั้งในด้านกฎหมาย และการปกป้องสิทธิผู้บริโภคอย่างแท้จริง
อุบัติเหตุที่เปลี่ยนชีวิต
วันที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นคือช่วงเย็นของวันหนึ่ง เมื่อรถยนต์ที่ น.ส. A และ น.ส. B โดยสารมาด้วยความเร็วสูง เกิดเสียหลักตกข้างทางและพุ่งชนเข้ากับเสาไฟฟ้าอย่างรุนแรง ส่งผลให้ทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงต้องเผชิญกับผลกระทบทางร่างกายและจิตใจในระยะยาว
พยายามขอความเป็นธรรม แต่กลับถูกเพิกเฉย

หลังจากพักฟื้นพอมีแรงต่อสู้ น.ส. A และ น.ส. B เริ่มดำเนินการเจรจากับบริษัทประกันภัยของรถที่เกิดเหตุ โดยหวังว่าจะได้รับค่าสินไหมทดแทนอย่างเป็นธรรม เพื่อชดเชยความเสียหายที่ได้รับ ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง ค่าขาดรายได้ รวมถึงค่าทุกข์ทรมานทางร่างกายและจิตใจ
แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น บริษัทประกันภัยกลับเสนอจำนวนเงินชดเชยที่ต่ำกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างมาก แม้ผู้เสียหายจะพยายามดำเนินเรื่องด้วยตนเอง ทั้งการยื่นเอกสารหลักฐาน และติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเหมาะสม
เมื่อทนายความกลายเป็นความหวัง

เมื่อเห็นว่าความพยายามด้วยตนเองไม่เกิดผล ทั้งสองจึงตัดสินใจแต่งตั้งทนายความให้เข้ามาดำเนินเรื่องแทน โดยทนายความได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งภายหลังเจ้าหน้า คปภ. ได้มีคำสั่งชัดเจนให้บริษัทประกันภัยทบทวนและประเมินค่าเสียหายใหม่อย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม บริษัทประกันภัยกลับเพิกเฉยและหรือฝ่าฝืนต่อคำสั่งของ คปภ. และยังคงยืนยันจำนวนเงินเดิมที่ต่ำเกินไป โดยไม่มีความคืบหน้าหรือความตั้งใจในการเจรจาที่เป็นธรรม
จากโต๊ะเจรจาสู่ศาล

เมื่อไม่สามารถหาข้อยุติได้ด้วยวิธีการเจรจา คดีจึงถูกส่งเข้าสู่กระบวนการทางศาล โดยทนายความได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายรวมเป็นจำนวนเงิน 1,540,000 บาท แบ่งเป็นของ น.ส. A จำนวน 1,050,000 บาท และของ น.ส. B จำนวน 490,000 บาท ซึ่งครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดรายได้ ค่าพาหนะในการเดินทางไปโรงพยาบาล ค่าสูญเสียความสามารถในการทำงาน รวมถึงค่าทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ
นอกจากนี้ ยังมีการเรียกร้องค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) ซึ่งเป็นบทลงโทษทางแพ่งต่อบริษัทประกันภัย เนื่องจากมีพฤติกรรมละเมิดสิทธิของผู้บริโภค และฝ่าฝืนคำสั่งของหน่วยงานรัฐอย่าง คปภ.
ศาลมีคำพิพากษาเป็นธรรม

ท้ายที่สุด ศาลได้พิจารณาอย่างรอบคอบ และมีคำพิพากษาให้ บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าเสียหายให้กับ น.ส. A และ น.ส. B ตามที่เรียกร้อง พร้อมทั้งกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษเพิ่มเติมให้กับผู้เสียหายทั้งสอง คนละ 30,000 บาท โดยชี้ชัดว่าพฤติกรรมของบริษัทประกันภัยเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของหน่วยงานรัฐ และไม่แสดงความจริงใจในการชดเชยความเสียหาย
บทเรียนสำคัญจากกรณีนี้
กรณีนี้สะท้อนภาพให้เห็นว่า สิทธิของผู้บริโภคในระบบประกันภัยไม่ควรถูกมองข้าม และไม่ควรปล่อยให้ถูกละเมิดโดยไม่มีการตอบโต้ การมีทนายความที่มีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการทางกฎหมาย และกลไกของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น คปภ. จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งสำคัญคือ “อย่าเกรงกลัวเมื่อถูกริดรอนสิทธิ” เพราะกฎหมายยังคงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเรียกร้องความยุติธรรม และหากใช้ให้ถูกต้องก็สามารถพลิกสถานการณ์จากผู้เสียหายที่เคยถูกมองข้าม ให้กลับมายืนหยัดได้อย่างภาคภูมิ
การเพิกเฉยต่อคำสั่งของ คปภ. และการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัทประกันภัย ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อผู้บริโภค แต่ยังนำไปสู่บทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง การตัดสินใจของศาลในครั้งนี้คือเครื่องยืนยันว่า “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย” และ ผู้บริโภคที่ลุกขึ้นสู้ด้วยความรู้และความถูกต้อง ย่อมได้รับความเป็นธรรมในที่สุด อย่ารอให้คุณถูกเอาเปรียบจากบริษัทประกันภัย เพราะบริษัทประกันภัยมีทนายความตั้งแต่รถยังไม่ชน ดังนั้น หากเกิดอุบัติเหตุประชาชนคนธรรมดาก็สามารถมีทนายความเพื่อนเดินเรื่องให้ได้เช่นเดียวกัน ปรึกษาทนาย >>ติดต่อเรา<<