“นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ไม่ใช่ข้ออ้างในการปฏิเสธสินไหม คำพิพากษาชี้ชัดประกันภัยต้องชดใช้!

ในโลกของการประกันภัย โดยเฉพาะกรณีอุบัติเหตุจราจร การตีความเงื่อนไขกรมธรรม์ถือเป็นประเด็นสำคัญที่อาจสร้างความขัดแย้งระหว่างบริษัทประกันภัยกับผู้เอาประกัน ซึ่งคดีหนึ่งที่สะท้อนปัญหานี้ได้ชัดเจน คือ กรณีบริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิดโดยอ้าง “การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ทั้งที่ผลตรวจจริงไม่เกินค่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นการปฏิเสธที่ไม่ชอบธรรม พร้อมสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมตามเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างครบถ้วน

เหตุการณ์อุบัติเหตุ และข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น : คำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

คดีนี้เริ่มต้นจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 รถยนต์กระบะทะเบียน 2 XX 3456 กรุงเทพมหานคร ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ทำให้ตัวรถได้รับความเสียหาย มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 ราย และเสียชีวิต 1 ราย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรถและเป็นผู้เอาประกันภัยได้สำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าปลงศพให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ

รถคันดังกล่าวมีประกันภัยทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ โดยจำเลยที่ 1 คือบริษัทผู้รับประกันภัยภาคบังคับ มีหน้าที่ดูแลความเสียหายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ส่วนจำเลยที่ 2 คือบริษัท 1234 จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยภาคสมัครใจ มีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมในส่วนของความเสียหายตัวรถ, ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ, ค่ารักษาพยาบาล, และค่าชดเชยกรณีเสียชีวิตตามกรมธรรม์

แต่เมื่อโจทก์ยื่นขอสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 กลับถูกปฏิเสธ โดยบริษัทอ้างว่า ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยอาศัยการ “คำนวณย้อนหลัง” จากข้อมูลบางส่วน ทั้งที่ผลตรวจจากสถานพยาบาลแสดงชัดเจนว่าผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์เพียง 37 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าค่ากำหนดของกฎหมายคือ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

ข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริง

โจทก์ได้โต้แย้งการปฏิเสธนี้ว่าไม่มีมูลทางกฎหมายหรือวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน โดยชี้ว่า

  • จำเลยไม่มีผลตรวจย้อนหลังที่ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง
  • ไม่มีข้อมูลด้านดัชนีมวลกายหรือข้อมูลทางสุขภาพของผู้ขับขี่ที่สามารถนำมาคำนวณย้อนหลังได้
  • พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อหาเมาสุราต่อผู้ขับขี่ ซึ่งแสดงว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้เห็นว่าผู้ขับขี่เมาในขณะเกิดเหตุ

โจทก์จึงมองว่าการนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อเลี่ยงความรับผิด ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงและข้อกฎหมาย จึงแต่งตั้งทนายความติดตามทวงถามและขอเอกสารประกอบจากจำเลย แต่จำเลยกลับเพิกเฉย ไม่ตอบกลับ ไม่แสดงหลักฐาน โจทก์จึงนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาล

คำพิพากษาที่ชี้ชัดถึงความรับผิดของประกันภัย

ศาลได้พิจารณาพยานหลักฐานและวินิจฉัยอย่างละเอียด ก่อนมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 2 คือบริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) ต้องชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามรายละเอียด ดังนี้:

1.ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายต่อรถยนต์ ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ภาคสมัครใจ หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ ภายในวงเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้

oหรือเลือก จัดซ่อมรถให้อยู่ในสภาพเดิม

2.ชำระค่ายกรถ จำนวน 10,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2566 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น

3.ชำระค่าเก็บรักษารถ เดือนละ 10,000 บาท นับจากวันฟ้อง (18 มิถุนายน 2567) จนกว่าจะชำระค่าสินไหมครบ หรือมีการนำรถออกจากสถานที่เก็บรักษา

oแต่บริษัทประกันภัยจะต้องรับผิดในค่ายกรถและค่าเก็บรักษา ไม่เกิน 20% ของค่าซ่อมแซม

4.ชำระค่าทนายความ จำนวน 5,000 บาท ให้แก่โจทก์

5.ชำระค่าธรรมเนียมศาล ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี

6.คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 (บริษัทประกันภัยภาคบังคับ): ศาล ยกฟ้อง โดยให้แต่ละฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเอง7.คำขออื่น ๆ ของโจทก์ ศาล ยกคำขอ

อย่ารอให้ตกเป็นเหยื่อ ! ปรึกษาทนายคดีประกันภัย หากถูกนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

คดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนถึงการใช้ “การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” โดยไม่มีหลักฐานรองรับอย่างเป็นทางการ เป็นแนวปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง และอาจขัดต่อหลักความเป็นธรรม

หากผลตรวจแอลกอฮอล์ในร่างกายจากหน่วยงานทางการระบุว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และไม่มีการตั้งข้อหาจากพนักงานสอบสวน บริษัทประกันภัยไม่สามารถอ้าง “การคำนวณย้อนหลัง” เป็นเหตุปฏิเสธความรับผิดได้

นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง จึงไม่ควรเป็นเครื่องมือที่บริษัทประกันภัยนำมาใช้ในลักษณะลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับอย่างชัดเจน เพราะนอกจากจะทำให้ผู้เอาประกันเสียสิทธิ์ ยังอาจนำไปสู่ความเสียหายทางกฎหมายแก่บริษัทเอง

คดีนี้ยืนยันว่าการตีความสัญญาประกันภัยต้องอยู่บนพื้นฐานของ “ข้อเท็จจริง” และ “พยานหลักฐาน” ไม่ใช่การคาดคะเนหรือประเมินจากสมมุติฐานที่ไม่มีที่มารองรับ

บริษัทประกันภัยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างเคร่งครัด ไม่เลือกปฏิบัติหรือเลี่ยงความรับผิดโดยไม่มีมูล หากมีข้อสงสัยเรื่อง ประกันภัย หรือการ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ขอแนะนำให้ปรึกษาทนายความที่เชี่ยวชาญ เพื่อปกป้องสิทธิของคุณอย่างถูกต้องตามกฎหมายหากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยเจอกรณีคล้ายกัน อย่าลังเลที่จะขอคำปรึกษาจากทนายความ เพราะบางครั้ง “ความเงียบของเรา” อาจกลายเป็นการยอมรับในความไม่เป็นธรรมโดยไม่รู้ตัว ปรึกษากฎหมายแอดไลน์ @Wongsakorn หรือคลิก ติดต่อเรา

ประกันภัยนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ปัดจ่าย เจอทนายฟ้องศาล ชนะคดี!

ในโลกของการประกันภัยรถยนต์ ผู้เอาประกันคงคาดหวังว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น บริษัทประกันภัยจะดำเนินการตามหน้าที่เพื่อช่วยเหลือและชดเชยความเสียหายให้ตรงไปตรงมา ทว่าความจริงอาจไม่สวยงามเช่นนั้น กรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจคือเหตุการณ์ที่บริษัทประกันภัยใช้วิธี นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง มาเป็นเหตุผลในการ ปฏิเสธจ่ายค่าสินไหมทดแทน ทั้งที่ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน และสุดท้ายต้องจบลงด้วยการฟ้องร้องในชั้นศาล

เคสอุทาหรณ์ เหตุการณ์เริ่มต้น : อุบัติเหตุและการปฏิเสธจากประกัน

เหตุการณ์เริ่มต้นจากผู้เสียหายรายหนึ่งขับรถยนต์จนเกิดอุบัติเหตุขึ้น ทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก โดยตามหน้าที่ของบริษัทประกันภัยแล้ว จำเป็นต้องเข้ามาสำรวจและประเมินความเสียหาย พร้อมจัดซ่อมให้คืนสภาพเดิมภายในระยะเวลาที่สมควร

แต่บริษัทประกันภัยกลับมีหนังสือปฏิเสธความคุ้มครอง โดยให้เหตุผลว่า “ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์เกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ในขณะเกิดเหตุ”

เมื่อหลักฐานคลุมเครือ ไม่มีผลตรวจจริงในขณะเกิดเหตุ

แม้จะฟังดูเหมือนบริษัทประกันภัยปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ แต่เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงจะพบความคลุมเครือในหลายประเด็น บริษัทฯ ไม่สามารถแสดงหลักฐานการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในขณะเกิดเหตุได้อย่างชัดเจน ทั้งไม่สามารถยืนยันว่าเครื่องมือที่ใช้ผ่านการรับรองมาตรฐาน และไม่มีลายเซ็นของผู้ขับขี่ในเอกสารยืนยันผลตรวจ

ประเด็นหลักของคดี ! นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังโดยไม่มีหลักฐาน

ประเด็นสำคัญของคดีนี้คือบริษัทประกันภัยกับการ “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” โดยไม่มีหลักฐานแสดงผลการวัดแอลกอฮอล์ที่เกิดขึ้น ณ ขณะเกิดเหตุจริง ซึ่งสวนทางกับคำสั่งของนายทะเบียนที่ 66/2563 ที่ระบุชัดว่า การยกเว้นความรับผิดตามเงื่อนไขแอลกอฮอล์ ต้องพิจารณาที่ “ขณะเกิดเหตุ” เท่านั้น

ไม่รอถูกเอาเปรียบนาน ให้ทนายความเดินเรื่องทันที

เมื่อผู้เสียหายเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจาก สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เพื่อให้ทนายความดำเนินการเรียกร้องสิทธิในฐานะผู้เอาประกัน โดยทนายความได้ยื่นหนังสือเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัย พร้อมอ้างอิงระเบียบของ คปภ. ว่าการเพิกเฉยหรือประวิงเวลาการพิจารณาเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย พ.ศ. 2566

ศาลชี้ชัด! บริษัทประกันภัยต้องชดใช้

ในที่สุด คดีความนี้จึงถูกนำขึ้นสู่ชั้นศาล ซึ่งศาลได้พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดและมีคำพิพากษาให้บริษัทประกันภัยแพ้คดี โดยศาลชี้ชัดว่าการอ้างผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังโดยไม่มีหลักฐานยืนยันสถานะในขณะเกิดเหตุ ถือเป็นการปฏิเสธความรับผิดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลสั่งชดใช้ค่าเสียหายรวมเกือบ 620,000 บาท ได้แก่

  • ค่าซ่อมรถยนต์ 550,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 15% ต่อปี
  • ค่ายกลากรถ 4,500 บาท
  • ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ 50,000 บาท
  • ค่ารักษาพยาบาล 5,506.69 บาท
  • ค่าทนายความ 10,000 บาท

บทเรียนสำคัญจากเคสนี้ คือ ผู้บริโภคควรปรึกษาทนายทันทีหลังเกิดเหตุ

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้บริโภคยังคงเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบเมื่อเจอกับบริษัทประกันภัยที่มุ่งหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบด้วยเหตุผลอันคลุมเครืออย่างการ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง โดยปราศจากหลักฐานสนับสนุนที่ถูกต้องและชัดเจนนี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ยืนยันว่า ผู้เอาประกันควรมี ทนายความที่เข้าใจด้านประกันภัย คอยให้คำแนะนำและช่วยดำเนินคดีหากถูกเอาเปรียบ

ทนายความที่มีประสบการณ์คดีประกันภัย กรณีประกันภัยอ้างผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง – สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นสำนักงานกฎหมายที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านคดีประกันภัย โดยเฉพาะกรณีที่บริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิด โดยอ้างผลตรวจแอลกอฮอล์ย้อนหลังแบบไม่มีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์รองรับ ซึ่งตลอดมาทางจากประสบการณ์สำนักงานฯ ยังไม่เคยแพ้คดีลักษณะนี้ หากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยเจอปัญหาแบบเดียวกัน อย่าเพิ่งยอมแพ้ขอแนะนำให้ปรึกษาทนายความก่อนเป็นอันดับแรกดีที่สุด เพื่อที่คุณจะสามารถใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมได้เต็มที่ นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรมีทนายความตั้งแต่เริ่มต้น เพราะในความเป็นจริง บริษัทประกันภัยมีทนายเตรียมพร้อมต่อสู้ตั้งแต่รถยังไม่ทันชน แล้วเหตุใดเราจึงไม่ควรมีทนายตั้งแต่วันเกิดเหตุ?

อย่ารอจนสายเกินไป จนไม่ได้อะไรเลยแม้แต่บาทเดียว — ปรึกษาทนายตั้งแต่แรกคือทางออกที่ดีที่สุด >>ติดต่อเรา<<

ซื้อประกันภัย เท่ากับ ซื้อทนายความ อย่าลืมกันเมื่อเกิดปัญหา

ในยุคที่ความเสี่ยงเกิดขึ้นได้ทุกวัน การมี “ประกันภัย” ถือเป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ช่วยลดภาระและความวิตกกังวลเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน หลายคนเข้าใจว่าการซื้อประกันภัยคือการโอนภาระทางการเงินไปยังบริษัทประกัน แต่แท้จริงแล้ว หากมองให้ลึกกว่านั้น การซื้อประกันภัยกับทนายที่มี ทนายความคอยเป็นที่ปรึกษาด้วย ก็เปรียบได้กับการซื้อความอุ่นใจในเรื่องคดีความไว้ล่วงหน้า

การซื้อประกันภัยเพียงอย่างเดียว อาจยังไม่เพียงพอในสถานการณ์ที่มีข้อพิพาทเกิดขึ้น เช่น บริษัทประกันไม่ยอมจ่ายเงิน หรือมีข้อพิพาทเกี่ยวกับเงื่อนไขในกรมธรรม์ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไม “การซื้อประกันภัย” ที่มาพร้อม “ทนายความ” จึงสำคัญกว่าที่คิด

ทำไมการมีทนายความไว้ปรึกษายามเดือดร้อนจึงสำคัญ?

การมีทนายความเป็นที่ปรึกษาทันทีเมื่อทำ “ประกันภัย” จะช่วยสร้างความมั่นใจได้ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยวิ่งหาทนายความ เพราะบางครั้งการขาดการวางแผนทางกฎหมายที่ดี อาจทำให้เราเสียเปรียบตั้งแต่เริ่มต้น

ทนายความที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญคดีความในด้านประกันภัยจะสามารถอำนวยความสะดวกให้กับคุณ ดังนี้

  • เมื่อคุณรู้สึกสงสัยว่ากรมธรรม์มีข้อกำหนดที่ไม่เป็นธรรม ทนายความสามารถตรวจสอบเงื่อนไขในกรมธรรม์ ว่ามีข้อกำหนดที่ไม่เป็นธรรม หรือมีช่องโหว่อะไรบ้างให้กับคุณได้
  • ให้คำแนะนำพร้อมคำปรึกษาในเบื้องต้นได้ว่าหากเกิดเหตุขึ้น ควรปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อไม่ให้เสียสิทธิ
  • เมื่อเกิดอุบัติเหตุทนายความจะเป็นตัวแทนในการดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทประกัน
  • ติดตามคดีความและเรียกเงินชดเชยที่ควรได้รับอย่างครบถ้วน

ทำไมเกิดอุบัติเหตุ ต้องมีทนายความทันที?

เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน บริษัทประกันบางแห่งอาจมีการตีความเงื่อนไขต่างจากที่เราคาดหวังไว้ บางกรณีอาจมีการปฏิเสธความรับผิด หรือจ่ายเงินชดเชยไม่ครบตามสัญญา นี่เองที่ทำให้บทบาทของทนายความมีความสำคัญอย่างมากการมีทนายความที่เข้าใจสัญญาประกันภัยอยู่เคียงข้าง ช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าสิทธิของเราจะไม่ถูกละเมิด และสามารถดำเนินการเรียกร้องได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาไกล่เกลี่ย ร้องเรียนต่อสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค หรือดำเนินคดีในชั้นศาล รวมไปถึงขั้นตอนอื่นๆด้วย

ซื้อประกันภัยกับทนายความ ดีกว่าอย่างไร?

หลายคนอาจคิดว่าซื้อ “ประกันภัย” จากที่ไหนก็เหมือนกัน แต่หากเลือกซื้อประกันภัยที่มี “ทนายความ” คอยดูแลจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากความคุ้มครองตามกรมธรรม์แล้ว เรายังได้รับการสนับสนุนทางกฎหมายแบบครบวงจร

ตัวอย่างเช่น หากเกิดปัญหาไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธจ่ายสินไหม การล่าช้าในการดำเนินการ หรือการตีความเงื่อนไขที่ไม่ตรงกัน ทนายความจะสามารถให้คำปรึกษาและหรือให้บริการได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาไปหาทนายใหม่ในช่วงที่สถานการณ์คับขัน

การมีที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัวตั้งแต่แรกยังช่วยลดโอกาสการเสียสิทธิ เพราะทนายจะคอยเตือนในเรื่องสำคัญ เช่น ระยะเวลาแจ้งเหตุ ระยะเวลาการร้องเรียน และเงื่อนไขพิเศษที่อาจมีผลกระทบต่อการรับเงินชดเชย

อย่าลืมกันเมื่อถึงเวลาต้องการความช่วยเหลือ

การซื้อ “ประกันภัย” ก็เหมือนการวางรากฐานการคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สิน แต่การมี ทนายความที่พร้อมดูแล คอยให้คำปรึกษา และต่อสู้เพื่อสิทธิของเรายามจำเป็น ถือเป็นการเสริมเกราะป้องกันที่แข็งแรงยิ่งขึ้น

อย่ารอให้เกิดปัญหาก่อนแล้วค่อยนึกถึงทนายความ เพราะเมื่อถึงเวลานั้น สถานการณ์อาจบานปลายจนแก้ไขยาก การมีทนายประจำตัวตั้งแต่วันที่ซื้อประกันกับทนายถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และสร้างความสบายใจได้ตลอดเส้นทาง

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ พร้อมให้บริการครบวงจร

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ มีความเชี่ยวชาญทั้งในเรื่องการให้คำปรึกษาด้าน “ประกันภัย” และการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้อง ด้วยทีมงาน ทนายความมืออาชีพ ที่พร้อมดูแลลูกความตั้งแต่วันแรกที่ซื้อประกันไปจนถึงการต่อสู้ในชั้นศาลหากจำเป็น

เรามุ่งมั่นเป็นที่พึ่งให้แก่ลูกค้าทุกคน เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ในวันที่เกิดปัญหา คุณจะไม่ได้เผชิญกับมันเพียงลำพัง เพราะเราจะอยู่เคียงข้างคุณทุกขั้นตอน

ไม่ว่าจะเป็นประกันภัยรถยนต์ ประกันคอนโด ประกันชีวิต หรือประกันภัยอื่น ๆ ทีมทนายของเราพร้อมวิเคราะห์สัญญา ให้คำแนะนำ และดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อสิทธิของคุณ

อย่าลืมว่า “การซื้อประกันภัย เท่ากับการซื้อทนายความ” ไปพร้อมกัน ถ้าเลือกอย่างรอบคอบ เลือกบริษัทที่มีทนายความที่เข้าใจในประกันภัยจริง ๆ ชีวิตคุณจะปลอดภัยทั้งในด้านการเงินและด้านกฎหมาย

เมื่อไม่ลืมกัน เมื่อไรที่มีปัญหาเกิดขึ้น คุณก็สามารถปรึกษาเราได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อพิพาท สินไหม หรือการดำเนินคดี เราพร้อมให้คำปรึกษาและหรือคำแนะนำให้คุณได้รับความเป็นธรรมสูงสุด

หากสนใจปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันภัยและบริการด้านกฎหมาย สามารถติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ได้ทุกวัน เราพร้อมดูแลคุณอย่างมืออาชีพ

เมินคำสั่ง คปภ. สุดท้ายศาลสั่งชดใช้! พร้อมค่าเสียหายเชิงลงโทษคนละ 30,000 บาท

ในยุคที่บริษัทประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองผู้ใช้รถใช้ถนน ความเชื่อมั่นในระบบประกันภัยควรเป็นรากฐานสำคัญของสังคม แต่เมื่อความรับผิดชอบนั้นกลับถูกละเลย ผู้บริโภคจึงต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของตนเองอย่างถึงที่สุด เช่นเดียวกับกรณีของ นางสาว A และ นางสาว B ผู้เสียหายจากอุบัติเหตุรุนแรง ที่จุดจบของเรื่องราวนี้กลายเป็นบทเรียนสำคัญให้กับสังคมทั้งในด้านกฎหมาย และการปกป้องสิทธิผู้บริโภคอย่างแท้จริง

อุบัติเหตุที่เปลี่ยนชีวิต

วันที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นคือช่วงเย็นของวันหนึ่ง เมื่อรถยนต์ที่ น.ส. A และ น.ส. B โดยสารมาด้วยความเร็วสูง เกิดเสียหลักตกข้างทางและพุ่งชนเข้ากับเสาไฟฟ้าอย่างรุนแรง ส่งผลให้ทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงต้องเผชิญกับผลกระทบทางร่างกายและจิตใจในระยะยาว

พยายามขอความเป็นธรรม แต่กลับถูกเพิกเฉย

หลังจากพักฟื้นพอมีแรงต่อสู้ น.ส. A และ น.ส. B เริ่มดำเนินการเจรจากับบริษัทประกันภัยของรถที่เกิดเหตุ โดยหวังว่าจะได้รับค่าสินไหมทดแทนอย่างเป็นธรรม เพื่อชดเชยความเสียหายที่ได้รับ ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง ค่าขาดรายได้ รวมถึงค่าทุกข์ทรมานทางร่างกายและจิตใจ

แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น บริษัทประกันภัยกลับเสนอจำนวนเงินชดเชยที่ต่ำกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างมาก แม้ผู้เสียหายจะพยายามดำเนินเรื่องด้วยตนเอง ทั้งการยื่นเอกสารหลักฐาน และติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเหมาะสม

เมื่อทนายความกลายเป็นความหวัง

เมื่อเห็นว่าความพยายามด้วยตนเองไม่เกิดผล ทั้งสองจึงตัดสินใจแต่งตั้งทนายความให้เข้ามาดำเนินเรื่องแทน โดยทนายความได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งภายหลังเจ้าหน้า คปภ. ได้มีคำสั่งชัดเจนให้บริษัทประกันภัยทบทวนและประเมินค่าเสียหายใหม่อย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม บริษัทประกันภัยกลับเพิกเฉยและหรือฝ่าฝืนต่อคำสั่งของ คปภ. และยังคงยืนยันจำนวนเงินเดิมที่ต่ำเกินไป โดยไม่มีความคืบหน้าหรือความตั้งใจในการเจรจาที่เป็นธรรม

จากโต๊ะเจรจาสู่ศาล

เมื่อไม่สามารถหาข้อยุติได้ด้วยวิธีการเจรจา คดีจึงถูกส่งเข้าสู่กระบวนการทางศาล โดยทนายความได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายรวมเป็นจำนวนเงิน 1,540,000 บาท แบ่งเป็นของ น.ส. A จำนวน 1,050,000 บาท และของ น.ส. B จำนวน 490,000 บาท ซึ่งครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดรายได้ ค่าพาหนะในการเดินทางไปโรงพยาบาล ค่าสูญเสียความสามารถในการทำงาน รวมถึงค่าทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ
นอกจากนี้ ยังมีการเรียกร้องค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) ซึ่งเป็นบทลงโทษทางแพ่งต่อบริษัทประกันภัย เนื่องจากมีพฤติกรรมละเมิดสิทธิของผู้บริโภค และฝ่าฝืนคำสั่งของหน่วยงานรัฐอย่าง คปภ.

ศาลมีคำพิพากษาเป็นธรรม

ท้ายที่สุด ศาลได้พิจารณาอย่างรอบคอบ และมีคำพิพากษาให้ บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าเสียหายให้กับ น.ส. A และ น.ส. B ตามที่เรียกร้อง พร้อมทั้งกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษเพิ่มเติมให้กับผู้เสียหายทั้งสอง คนละ 30,000 บาท โดยชี้ชัดว่าพฤติกรรมของบริษัทประกันภัยเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของหน่วยงานรัฐ และไม่แสดงความจริงใจในการชดเชยความเสียหาย

บทเรียนสำคัญจากกรณีนี้

กรณีนี้สะท้อนภาพให้เห็นว่า สิทธิของผู้บริโภคในระบบประกันภัยไม่ควรถูกมองข้าม และไม่ควรปล่อยให้ถูกละเมิดโดยไม่มีการตอบโต้ การมีทนายความที่มีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการทางกฎหมาย และกลไกของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น คปภ. จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งสำคัญคือ “อย่าเกรงกลัวเมื่อถูกริดรอนสิทธิ” เพราะกฎหมายยังคงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเรียกร้องความยุติธรรม และหากใช้ให้ถูกต้องก็สามารถพลิกสถานการณ์จากผู้เสียหายที่เคยถูกมองข้าม ให้กลับมายืนหยัดได้อย่างภาคภูมิ
การเพิกเฉยต่อคำสั่งของ คปภ. และการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัทประกันภัย ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อผู้บริโภค แต่ยังนำไปสู่บทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง การตัดสินใจของศาลในครั้งนี้คือเครื่องยืนยันว่า “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย” และ ผู้บริโภคที่ลุกขึ้นสู้ด้วยความรู้และความถูกต้อง ย่อมได้รับความเป็นธรรมในที่สุด อย่ารอให้คุณถูกเอาเปรียบจากบริษัทประกันภัย เพราะบริษัทประกันภัยมีทนายความตั้งแต่รถยังไม่ชน ดังนั้น หากเกิดอุบัติเหตุประชาชนคนธรรมดาก็สามารถมีทนายความเพื่อนเดินเรื่องให้ได้เช่นเดียวกัน ปรึกษาทนาย >>ติดต่อเรา<<

เกือบแล้ว!!! ถ้าไม่มีทนาย ไม่ได้สักบาท เหตุประกันนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

กรณีพิพาทเกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์มักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อบริษัทประกันพยายามปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการตีความเงื่อนไขกรมธรรม์แบบเข้าข้างตัวเอง หรือการอ้างเหตุผลที่คลุมเครือเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ขอยกกรณีของคุณ A เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหานี้ได้อย่างชัดเจนกับความหัวหมอและเอาเปรียบของบริษัทประกันภัย

เคสตัวอย่าง ชนท้ายไม่จ่าย งัดมุกนับผลแอลฯ ย้อนหลัง ยืนยันปฏิเสธท่าเดียว

เคสนี้คุณ A ขับรถไปชนท้ายรถคันหน้า เนื่องจากเปลี่ยนช่องทางโดยไม่ระมัดระวัง หลังเกิดเหตุ พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุของบริษัทประกันภัยได้เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุและดำเนินการตามขั้นตอนตามปกติ รวมถึงตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ของคุณ A ซึ่งพบว่าอยู่ที่ 39 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่ง ไม่เกินค่าที่กฎหมายกำหนด (50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์) และยังอยู่ในเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย

เมื่อพนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุเห็นว่าไม่มีข้อผิดพลาดที่ขัดต่อเงื่อนไขกรมธรรม์ จึงออกใบติดต่อให้บริษัทประกันภัยรับผิดชอบต่อความเสียหาย โดยในขณะนั้น บริษัทประกันไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการสอบสวน และแจ้งข้อหากับคุณ A เพียง ข้อหาขับรถโดยประมาท ซึ่งเป็นความผิดตามปกติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่ได้ตั้งข้อหาขับขี่ขณะมึนเมา เนื่องจากปริมาณแอลกอฮอล์ของคุณ A ไม่เกินค่าที่กฎหมายกำหนด

บริษัทประกันภัยกลับคำปฏิเสธความรับผิดชอบ

หลังจากที่ทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนปกติ จู่ๆ บริษัทประกันภัยกลับเปลี่ยนท่าที ปฏิเสธการรับผิดชอบค่าสินไหมทดแทนและค่าซ่อมรถ โดยอ้างว่าคุณ A มีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ ผลตรวจในวันเกิดเหตุชี้ชัดว่าอยู่ที่ 39 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

การกลับคำของบริษัทประกันภัยในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับคุณ A เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง ความไม่เป็นธรรมของบริษัทประกันภัยบางแห่งที่พยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบโดยการอ้างเหตุผลที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง

ไม่รอให้ประกันเอาเปรียบ ตัดสินใจเข้าพบทนายอาร์มทันที!

เมื่อต้องเผชิญกับการปฏิเสธความรับผิดชอบโดยไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผล คุณ A จึงตัดสินใจปรึกษาทนายความ และได้เข้ามาติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เพื่อให้ช่วยดำเนินการเรียกร้องสิทธิ์ที่ควรได้รับ

ขั้นตอนดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม

1.การส่งหนังสือทวงถาม

o ทางสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ได้ทำการส่งหนังสือทวงถามไปยังบริษัทประกันภัยเพื่อให้แสดงความรับผิดชอบตามเงื่อนไขของกรมธรรม์

o อย่างไรก็ตาม บริษัทประกันภัยยังคงปฏิเสธโดยอ้างเหตุผลเดิม คือ ปริมาณแอลกอฮอล์เกิน

2.การร้องเรียนไปยัง คปภ. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย)

o ทางสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ได้นำเรื่องไปร้องเรียนที่ คปภ. ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลบริษัทประกันภัย

o มีการนัดเจรจาชี้แจง แต่ บริษัทประกันภัยยังคงยืนยันปฏิเสธความรับผิดชอบ

3.การฟ้องร้องต่อศาล

o เมื่อการเจรจากับ คปภ. ไม่เป็นผล สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จึงตัดสินใจยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนและค่าซ่อมรถให้กับคุณ A

o ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ บริษัทประกันภัยกลับยอมจ่ายเงินชดใช้ให้อย่างง่ายดาย หลังจากที่คดีถูกนำขึ้นสู่กระบวนการพิจารณาของศาล

อย่าปล่อยให้ถูกเอาเปรียบ! ปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญคดีประกันภัยดีที่สุด

จากกรณีของคุณ A ทำให้เห็นได้ชัดว่า หากไม่มีทนายความเดินเรื่องดำเนินคดี บริษัทประกันอาจปฏิเสธความรับผิดชอบโดยไม่มีเหตุผล และผู้เอาประกันอาจไม่ได้รับการชดใช้แม้แต่บาทเดียว

หากคุณถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบ อย่าปล่อยให้เรื่องเงียบ!
✅ ควรตรวจสอบเอกสารและหลักฐานให้ครบถ้วน
✅ หากพบว่าบริษัทประกันปฏิเสธความรับผิดชอบโดยไม่มีเหตุผลสมควร ควรปรึกษาทนายความทันที
✅ การร้องเรียนไปยัง คปภ. และการดำเนินคดีในชั้นศาล เป็นช่องทางที่สามารถใช้กดดันให้บริษัทประกันภัยปฏิบัติตามข้อตกลงในกรมธรรม์

บริษัทประกันภัยควรมีหน้าที่ดูแลและให้ความคุ้มครองตามข้อตกลงที่ระบุไว้ ไม่ใช่หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบโดยการบิดเบือนข้อเท็จจริง!

กรณีของคุณ A เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ยืนยันว่า เมื่อถูกบริษัทประกันเอาเปรียบ การมีทนายความที่เชี่ยวชาญด้านคดีประกันภัยสามารถช่วยให้คุณได้รับความเป็นธรรม

หากคุณต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่บริษัทประกันภัยใช้ข้ออ้างเรื่อง การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบ ทั้งที่ผลตรวจในวันเกิดเหตุชัดเจนว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด อย่าปล่อยให้ตัวเองเสียเปรียบ เพราะกรณีแบบนี้มักเกิดขึ้นบ่อยและอาจนำไปสู่การเสียสิทธิ์โดยไม่เป็นธรรม การปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญด้าน คดีประกันภัยและข้อพิพาทเรื่องแอลกอฮอล์ จะช่วยให้คุณมีแนวทางในการเรียกร้องสิทธิ์ที่ถูกต้อง พร้อมดำเนินการโต้แย้งข้อกล่าวอ้างของบริษัทประกันภัยอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณได้รับการคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ ไม่ใช่ถูกเอาเปรียบโดยไม่มีทางต่อสู้ ปรึกษาทนาย >> ติดต่อเรา <<

อุทาหรณ์ ! ประกันภัย “หัวหมอ” ปฏิเสธจ่ายค่าสินไหมฯ ด้วยกระดาษแผ่นเดียว

ในปัจจุบัน หลายคนเลือกที่จะทำประกันภัยแบบ “เปิด-ปิด” เพราะคิดว่าคุ้มค่าและสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ตามความต้องการ แต่เคสที่เรานำมาวันนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการทำประกันในรูปแบบนี้อาจมีข้อเสียที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบริษัทประกันภัยพยายามจะ “ตีความเข้าข้างตัวเอง” จนทำให้ผู้เอาประกันเสียสิทธิ์และเกิดความเดือดร้อนมากกว่าที่คิด

จากความเชื่อใจสู่ความผิดหวัง

เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้เสียหายในเคสนี้ได้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะเดียวกันก็ได้ทำประกันภัยรถยนต์แบบเปิด-ปิดไว้กับบริษัทประกันภัยชื่อดัง ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปตามขั้นตอนปกติ แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อผู้เสียหายยื่นขอค่าสินไหมทดแทน บริษัทประกันภัยกลับปฏิเสธการชดใช้ค่าสินไหมด้วยกระดาษเพียงแผ่นเดียว?? โดยให้เหตุผลว่า “ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้เปิดแอปพลิเคชันประกันภัย” ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการคุ้มครองตามกรมธรรม์แบบเปิด-ปิด

ทั้ง ๆ ที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นจริง เกิดเหตุขณะเปิดแอปพลิเคชันจริง และผู้เสียหายได้ทำการติดต่อบริษัทประกันภัยในทันทีหลังเกิดเหตุ แต่บริษัทประกันกลับบอกว่า ขณะเกิดเหตุไม่ได้เปิดแอปพลิเคชันซะอย่างนั้น

สุดท้ายศาลพิพากษา : ประกันภัยต้องชดใช้เกือบ 4 แสนบาท

เมื่อเรื่องนี้ถูกฟ้องไปยังชั้นศาล ศาลจึงมีคำพิพากษาที่ชัดเจนว่า บริษัทประกันภัยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกือบ 400,000 บาทให้กับผู้เสียหาย เนื่องจากการปฏิเสธการชดใช้ของบริษัทประกันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลได้วิเคราะห์ว่าบริษัทประกันไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอที่จะพิสูจน์ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นขณะไม่ได้เปิดแอปพลิเคชัน หรือหลักฐานที่เพียงพอที่จะอ้างสิทธิ์ในการปฏิเสธความรับผิดชอบ

นอกจากนี้ ศาลยังมีการพิจารณาเพิ่มเติมให้บริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษเป็นจำนวน 150,000 บาท เนื่องจากบริษัทมีการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม โดยไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม และมีเพียงแค่หนังสือปฏิเสธเพียงแผ่นเดียวมาอ้างปฏิเสธเท่านั้น

ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะความไม่รอบคอบของบริษัทประกันภัย ซึ่งอาจมีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนด้วยการตีความสัญญาในทางที่เอาเปรียบผู้เอาประกัน สิ่งนี้ทำให้ผู้เสียหายต้องประสบปัญหาทางการเงินและการขาดความเชื่อมั่นในระบบการประกันภัย

จากเหตุการณ์นี้ เราสามารถเห็นได้ว่าบริษัทประกันภัยบางแห่งอาจใช้เงื่อนไขที่ซับซ้อนและตีความเข้าข้างตัวเองเพื่อลดความรับผิดชอบต่อผู้เอาประกัน หากไม่มีการทบทวนสัญญาและเงื่อนไขที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น ผู้เสียหายอาจต้องรับผิดชอบต่อผลเสียหายทางการเงินเองอย่างไม่เป็นธรรม

อย่านิ่งนอนใจ ประกันภัยหัวหมอมีอยู่จริง

เรื่องราวนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าผู้ที่ทำประกันภัยแบบ “เปิด-ปิด” ต้องระมัดระวังและศึกษารายละเอียดสัญญาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำประกัน อย่าไว้ใจเฉพาะคำโฆษณาหรือข้อเสนอที่ดูน่าดึงดูด แต่ต้องอ่านข้อกำหนดต่าง ๆ ของกรมธรรม์อย่างละเอียด เพราะหากเกิดปัญหา บริษัทประกันบางแห่งอาจใช้เงื่อนไขที่ซับซ้อนเพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบ และผู้เอาประกันอาจต้องเสียสิทธิ์ในการได้รับค่าสินไหมอย่างไม่เป็นธรรม

ในเคสนี้ การที่ผู้เสียหายต้องประสบกับความเดือดร้อนมากมายเพราะการปฏิเสธของบริษัทประกันภัย แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทำประกันภัยจำเป็นต้องระมัดระวังและเตรียมพร้อมเสมอ อย่าปล่อยให้ถูกบริษัทประกันเอาเปรียบ

อย่ารอจนสาย ปรึกษาทนายความคือทางออก

เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดไม่ว่าจะรถชนได้รับบาดเจ็บสาหัส เสียชีวิต หรือทรัพย์สินเสียหาย ฯลฯ ควรดำเนินการอย่างรวดเร็วในการติดต่อประกันภัยเพื่อรายงานเหตุการณ์ แต่อย่าเพิ่งไว้วางใจจนเกินไป หากรู้สึกว่ามีการปฏิเสธความรับผิดชอบหรือการใช้เงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม อาทิ กรณีบาดเจ็บสาหัส แล้วถูกประกันบอกว่าให้ไป รักษาตัวให้หายดีก่อน หรือกรณีทรัพย์สินเสียหาย ถูกประกันงัดมุกเด็ด นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ฯลฯ แบบนี้ควรปรึกษาทนายความทันที

การมีทนายความอยู่เคียงข้างจะช่วยให้คุณได้รับการดูแลและคำปรึกษาที่ถูกต้องในการดำเนินคดีหรือเจรจากับบริษัทประกัน เพื่อปกป้องสิทธิ์ของคุณอย่างเต็มที่ เพราะในหลายกรณี การต่อสู้ทางกฎหมายอาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คุณได้รับความยุติธรรมและการชดใช้ที่เป็นธรรม

จากกรณีดังกล่าว เราควรตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสอบรายละเอียดสัญญาประกันภัยอย่างรอบคอบและไม่ละเลยการปรึกษาทนายความเมื่อเกิดปัญหา แม้ว่าการทำประกันภัยจะเป็นการป้องกันความเสี่ยง แต่หากเกิดการปฏิเสธการชดใช้จากบริษัทประกัน การมีทนายความผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณสามารถรักษาสิทธิ์ของตนเองและได้รับการชดใช้ที่ถูกต้องและเป็นธรรม

รถชน…แต่ใบขับขี่หมดอายุ ประกันคุ้มครองหรือไม่?

1-3 ใบขับขี่หมดอายุ

การขับขี่ยานพาหนะสิ่งที่ทุกคนจำเป็นจะต้องมีและพกติดตัวไว้เสมอคือ “ใบขับขี่” เพราะถ้าหากถูกเรียกตรวจแล้วไม่มี หรือถ้าหากใบขับขี่ของเรานั้นหมดอายุอาจโดนโทษปรับ 1,000 – 2,000 บาท หรืออาจโดนโทษทั้งจำทั้งปรับเลยทีเดียว นอกเหนือจากนั้นแล้ว ยังมีในส่วนของเรื่อง พ.ร.บ. และประกันภัยรถยนต์ ซึ่งอาจมีหลายคนสงสัยว่า ถ้าหากเราขับขี่ยานพาหนะแบบที่ไม่มีใบขับขี่ หรือมีแต่ใบขับขี่หมดอายุ แล้วไปเกิดอุบัติเหตุบริษัทประกันจะคุ้มครองหรือไม่ วันนี้จะมาให้ความรู้กันค่ะ

ใบขับขี่หมดอายุ แล้วเกิดอุบัติเหตุ ประกันคุ้มครองหรือเปล่า?

กรณีที่หากขับขี่ยานพาหนะแล้วเกิดอุบัติเหตุแต่บังเอิญว่าใบขับขี่ดันหมดอายุพอดิบพอดี จะต้องบอกว่าประกันจะยังคุ้มครองแต่ว่าเงื่อนไขในกรมธรรม์จะต้องครอบคลุมกรณีนี้ด้วย ซึ่งหากประกันครอบคลุมกรณีนี้ก็สามารถเคลมประกันได้ แต่ว่าประกันที่ครอบคลุมในส่วนนี้มักจะเป็นประกันภัยประเภท 1 หรือ ประกันภัยชั้น 1 ตามความเข้าใจของคนทั่วไปนั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกบริษัทประกันภัยจะมีเงื่อนไขครอบคลุมกรณี ฉะนั้นควรศึกษารายละเอียดของกรมธรรม์ให้ดีก่อน แล้วถ้าขณะเกิดเหตุไม่มีใบขับขี่ประกันจะยังคุ้มครองอยู่หรือไม่ จะแยกออกเป็น 2 กรณีดังนี้

คนขับไม่มีใบขับขี่ แต่เป็นฝ่ายถูก

กรณีนี้ หากทำประกันประเภท 1 2+ หรือ 3+ เอาไว้ แม้ไม่มีใบขับขี่ เราจะยังได้รับการชดเชยค่าเสียหายจากบริษัทประกันเพื่อซ่อมรถเราเอง และยังเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิดได้ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความผิดโทษฐานที่ไม่พกใบขับขี่ หรือใบขับขี่หมดอายุขณะขับรถตามกฎหมายยังคงมีอยู่

คนขับไม่มีใบขับขี่ และเป็นฝ่ายผิด

คำว่าไม่มีใบขับขี่นี่ก็มีที่มาจากหลายสาเหตุ ซึ่งแต่ละสาเหตุก็จะส่งผลถึงความคุ้มครองของประกันแตกต่างกันไป เช่น

มีใบขับขี่ แต่ไม่ได้พก: บริษัทประกันจะจ่ายให้ทั้งรถเรา รถเขา 

ไม่มีใบขับขี่เลย ไม่ได้ทำไว้ แต่มาขับรถ: บริษัทประกันจะจ่ายให้เฉพาะคู่กรณีเท่านั้น ส่วนรถเราบริษัทประกันจะไม่รับผิดชอบทุกกรณี 

มีใบขับขี่แต่หมดอายุ: ยังได้รับความคุ้มครองตามปกติ 

ถูกยึดใบขับขี่: กรณีนี้เราจะยังได้รับความคุ้มครองจากบริษัทประกันอยู่ เพียงแต่ว่าเราต้องมีหลักฐานเป็นการคัดลอกสำนวนว่าถูกยึดใบขับขี่จริง ๆ

2 ใบขับขี่หมดอายุ

หากไม่มีใบขับขี่ สามารถเบิก ... ได้หรือไม่?

อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องมาคู่กับการมีรถก็คือ พ.ร.บ. ซึ่งย่อมาจาก “พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ” นับเป็นประกันรถยนต์ภาคบังคับที่ผู้มีรถทุกคนจะต้องทำเอาไว้ นั่นหมายความว่า หากเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น เราสามารถเรียกร้องความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. ได้ ขณะที่ประกันตามบริษัทต่าง ๆ จัดเป็นประกันแบบภาคสมัครใจ สำหรับ พ.ร.บ. หากไม่ทำก็จะถือว่าผิดกฎหมาย เจ้าของรถที่ไม่ทำ พ.ร.บ. จะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และปรับการใช้รถที่ไม่มี พ.ร.บ อีก 10,000 บาท นั่นหมายความว่าหากเราเป็นทั้งเจ้าของรถและขับรถคันที่ไม่มี พ.ร.บ. ก็จะถูกปรับรวมกันไม่เกิน 20,000 บาท แล้วถ้าหากเราขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ หรือใบขับขี่หมดอายุ พ.ร.บ. จะยังคุ้มครองเราไหม? คำตอบคือ พ.ร.บ. จะยังคงให้ความคุ้มครองเหมือนเดิมเพราะเป็นประกันภาคบังคับ โดยเราจะได้รับการคุ้มครองจาก พ.ร.บ. ดังนี้ 

  • ค่าเสียหายเบื้องต้น ได้รับโดยยังไม่ต้องพิสูจน์ว่าเราผิดหรือเขาผิด แต่ต้องแจ้งภายใน 180 วันหลังเกิดอุบัติเหตุ  

– ค่ารักษาพยาบาล (ตามจริง) สูงสุดคนละ 30,000 บาท 

– กรณีเสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือสูญเสียอวัยวะ ได้รับเงินชดเชยคนละ 35,000 บาท 

  • ค่าสินไหมทดแทน เมื่อพิสูจน์แล้วว่าเราเป็นฝ่ายถูก เราสามารถเรียกเงินในส่วนนี้ได้อีก  

– ค่ารักษาพยาบาล (ตามจริง)สูงสุดคนละ 80,000 บาท 

– กรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ได้รับเงินชดเชยคนละ 500,000 บาท 

– กรณีสูญเสียนิ้ว ตั้งแต่ข้อนิ้วขึ้นไป ได้รับเงินชดเชยคนละ 200,000 บาท 

– กรณีสูญเสียอวัยวะ 1 ส่วน ได้รับเงินชดเชยคนละ 250,000 บาท 

– กรณีสูญเสียอวัยวะ 2 ส่วนขึ้นไป ได้รับเงินชดเชยคนละ 500,000 บาท 

– กรณีนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน จะได้รับเงินชดเชยวันละ 200 บาท แต่จะต้องไม่เกิน 20 วัน 

จะเห็นได้ว่าพ.ร.บ.นั้นมีความสำคัญมาก ที่เป็นประกันภาคบังคับก็เพราะว่าเราจะเรียกร้องค่าเสียหายได้เลย แม้ว่าจะมีหรือไม่มีใบขับขี่ก็ตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ใบขับขี่ก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะมีผลทางกฎหมายด้วย ต่อให้เราได้รับความคุ้มครองจากพ.ร.บ. แต่หากไม่มีใบขับขี่ ยังไงก็ต้องถูกปรับอยู่ดี  

3 ใบขับขี่หมดอายุ

กรณีไหนบ้างที่ประกันรถยนต์ไม่คุ้มครอง แม้จะมีใบขับขี่ก็ตาม 

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ใบขับขี่รถยนต์ ประกันรถยนต์ และพ.ร.บ.จะเป็นสิ่งที่ต้องมีติดรถเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองหากเกิดอุบัติเหตุอย่างเต็มที่ แต่ก็จะมีบางกรณีที่บริษัทประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครองแม้เราจะมีใบขับขี่อยู่ก็ตาม  

1. ใช้รถอย่างผิดกฎหมาย  
แน่นอนเลยว่าหากเรานำรถไปใช้อย่างผิดกฎหมาย ต่อให้มีใบขับขี่ บริษัทประกันก็คงไม่ยอมจ่ายให้เป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็น  กรณีเมาแล้วขับ เพราะกฎหมายก็บอกไว้อยู่แล้วว่าห้ามดื่มสุราขณะขับรถ การขับรถขณะครองสติไม่อยู่ นับเป็นการเสี่ยงก่อให้เกิดอุบัติเหตุแก่ผู้อื่น อย่าดื่มแล้วขับกันเชียว เพราะเกิดอะไรขึ้นมาคงไม่คุ้ม ขนของผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะยาเสพติด หรืออะไรก็ตามที่ผิดกฎหมายแล้วมาอยู่ในรถเรา บริษัทจะไม่คุ้มครองรถที่ขนสิ่งของผิดกฎหมายทุกกรณี การดัดแปลงสภาพรถเพื่อแข่งขันความเร็ว เพราะบริษัทประกันมองว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุโดยใช่เหตุ 

2. กรณีบรรทุกของน้ำหนักเกิน 
หากเรานำรถไปบรรทุกของจนเกิน แล้วรถเกิดเสียหาย กรณีนี้บริษัทประกันจะไม่ให้ความคุ้มครอง แต่หากบรรทุกน้ำหนักเกินแล้วเกิดอุบัติเหตุ ก็อาจจะยังได้รับความคุ้มครองซึ่งจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทอีกที  

3. ตั้งใจให้เกิดอุบัติเหตุ 
การตั้งใจให้เกิดอุบัติเหตุ แสดงถึงเจตนาชัด ๆ เลยว่าเราจงใจจะเอาเงินประกัน ซึ่งหากเป็นอย่างนี้เท่ากับบริษัทประกันได้รับความเสียหายไปเต็ม ๆ ดังนั้นบริษัทประกันจึงมีสิทธิฟ้องร้องค่าเสียหายจากเราได้ นอกจากจะต้องจ่ายค่าเสียหายเองแล้ว ยังเสี่ยงติดคุกอีก แบบนี้ไม่คุ้มเลย  

4. เหตุก่อการร้าย หรือสงคราม 
ไม่ว่าจะเหตุระเบิด สงครามกลางเมือง หรือความเสียหายจากอาวุธ ฯลฯ แน่นอนว่าหากรับประกันกรณีนี้ด้วย บริษัทประกันคงมีแต่เสียกับเสีย แต่ก็อาจจะมียกเว้น เช่น ประกันชั้น 1 บางกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองอยู่บ้าง อาจจะต้องตรวจสอบแผนประกันให้ดีก่อนซื้อ  

5. การใช้รถผิดประเภท 
กรณีนี้ก็นับว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่น จดทะเบียนเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล แต่เอาไปใช้เป็นรถสาธารณะ แบบนี้บริษัทประกันก็มองว่าเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้นเหมือนกัน  

6. รถเก่าหรือรถที่ไม่ได้ใช้นาน 
รถที่เก่าเกินไป หรือจอดทิ้งไว้จนสึกหรอไปเอง แบบนี้มีโอกาสที่บริษัทประกันจะไม่ให้ความคุ้มครอง โดยส่วนมากแล้วอายุรถที่จะยังได้รับความคุ้มครองอยู่คือ 1-5 ปี บางบริษัทอาจเพิ่มไปถึง 10 ปี  จะเห็นได้ว่าการขับขี่รถอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยให้เราใช้สิทธิ์ตามประกันรถยนต์ประเภทต่าง ๆ ที่เราทำไว้ได้อย่างอุ่นใจ หากใครที่ยังไม่มีใบขับขี่ หรือใบขับขี่หมดอายุ ก็ควรไปจัดการให้เรียบร้อย เดี๋ยวนี้การทำใบขับขี่ หรือต่ออายุทำได้ง่ายขึ้นมาก จะได้ไม่ต้องทำผิดกฎหมาย แถมยังได้รับความคุ้มครองจากประกันรถยนต์อย่างอุ่นใจ ควรจำไว้เลยว่าใบขับขี่ ประกันรถยนต์ และพ.ร.บ. นับเป็น 3 สิ่งที่ควรจะต้องมี และขาดไม่ได้สำหรับคนมีรถ

เห็นไหมคะว่าการมี พ.ร.บ. และประกันภัยรถนั้นสำคัญมากค่ะ เพราะถึงแม้ว่าใบขับขี่ของเราจะหมดอายุ แต่ พ.ร.บ. ยังคงคุ้มครองความบาดเจ็บของเราอยู่ และประกันภัยบางประเภทก็ยังคงให้ความคุ้มครองอยู่คะในกรณีที่เราเป็นทั้งฝ่ายถูกและฝ่ายผิดยกเว้นแต่ในกรณีที่ระบุเอาไว้ตามในกรมธรรม์ว่าไม่คุ้มครอง อย่างไรเสียควรหมั่นตรวจสอบใบขับขี่อยู่เสมอเพื่อไม่ให้หมดอายุ เพราะถึงอย่างไรก็มีความผิดต้องเสียค่าปรับอยู่ดีหากถูกเจ้าหน้าที่ขอเรียกตรวจ และควรพกติดตัวอยู่เอาไว้ตลอดเวลาค่ะ หากท่านใดมีปัญหาเกี่ยวกับประกันไม่ยอมจ่ายอ้างว่าใบขับขี่หมดอายุ ปรึกษาเราค่ะ

คำว่า “บาดเจ็บสาหัส” ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่งเป็นอย่างไร บริษัทประกันภัยจ่ายค่าเสียหายส่วนไหนให้บ้าง

1 บาดเจ็บสาหัส ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง

ถ้าหากกล่าวถึงในกรณี “บาดเจ็บสาหัส” แล้ว ในทางกฎหมายนั้นมีข้อกฎหมายรองรับทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง เพราะในทางอาญานั้นเป็นการลงโทษผู้กระทำความผิด ส่วนในทางแพ่งนั้นเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้กระทำความผิดนั่นเอง ดังนั้นเราจะมากล่าวถึงการบาดเจ็บสาหัสในทางกฎหมายทั้งทางอาญาและทางแพ่งกันค่ะ

2 บาดเจ็บสาหัส ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง

บาดเจ็บสาหัสในกฎหมายอาญา

หากกล่าวกันในทางอาญานั้นมีไว้เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดให้ได้รับโทษฐานทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ อัตราของโทษขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอุบัติเหตุนั้น ๆ โดยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (อัตราโทษ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560) โดยตามแนวฎีกา “บาดเจ็บสาหัส” นั้นจะต้องรักษาตัวไม่น้อยกว่า 20 วัน เพราะถือว่าเป็นอันตรายสาหัส ตัวอย่างเช่น กระโหลกศีรษะร้าว ปวดศีรษะในระยะเวลา 1 เดือน นั่งขายของปกติไม่ได้เกิน 20 วันเป็นทุขเวทนา ถือว่าเป็นการเจ็บป่วยด้วยอาการทุขเวทนาเกินกว่า 20 วันเป็นอันตรายสาหัส ซึ่งความผิดฐานทำให้บาดเจ็บนั้นจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบภายนอก และ องค์ประกอบภายใน

ซึ่งองค์ประกอบภายนอกมีดังนี้ 1.กระทำการโดยประการใด ๆ 2. เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส 

ส่วนองค์ประกอบภายในคือ การกระทำความผิดตามมาตรานี้ มีลักษณะเช่นเดียวกับการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291 แต่ต่างกันตรงที่ผลของกระทำ ในมาตรานี้เอาผิดถ้ากระทำให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญาได้แก่ ตาบอด หูหนวก เสียอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น 

ฎีกา 491/2507 รถยนต์โดยสารสองคันแล่นตามหลังกันมา คันหนึ่งขอทางจะแซงขึ้นหน้า อีกคันหนึ่งไม่ยอมกลับเร่งความเร็วเพื่อแกล้งรถยนต์คันที่ขอทาง รถยนต์ทั้งสองคันจึงได้แล่นแข่งกันมาด้วยความเร็วสูงเกินกว่ากฎหมายกำหนดในถนนซึ่งแคบและเป็นทางโค้ง เป็นการเสี่ยงอันตราย รถยนต์คันขอทางเฉี่ยวกับรถบรรทุกคันหนึ่ง ซึ่งจอดแอบข้างทางและเซไปปะทะกับรถยนต์คันที่แข่งกันมานั้นตกถนนพลิกคว่ำ คนโดยสารได้รับอันตรายสาหัส ต้องถือว่าคนขับรถยนต์โดยสารของทั้งสองคันนั้นกระทำโดยประมาท

การขับรถโดยประมาทมีโทษตามกฎหมาย ดังนี้คือ

1. ชนกันธรรมดา ไม่มีคนบาดเจ็บหรือคนตาย ผิดฐานขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 400 บาท ถึง 1,000 บาท ตามพระราชบัญญติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 43 (4) และมาตรา 157

2. ชนกันบาดเจ็บนิดหน่อย ผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390

3. ชนกันจนคู่กรณีบาดเจ็บสาหัส พิการ สูญเสียอวัยวะ หรือต้องรักษาตัวเกิน 20 วัน ผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300

4. ชนกันจนคู่กรณีถึงแก่ความตาย ผิดฐานขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่น  ถึงแก่ความตาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291

3 บาดเจ็บสาหัส ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง

บาดเจ็บสาหัสในกฎหมายแพ่ง

นอกจากโทษทางอาญาแล้ว ผู้กระทำความผิดยังต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายแก่ผู้บาดเจ็บทางแพ่งด้วย เช่นความเสียหายต่อร่างกาย ต่อบุคคลอื่น ตลอดจนทรัพย์สิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งตามมาตรา 240 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” ทั้งนี้ การจะเข้าข่าย “ประมาท” ต้องมิใช่ “เจตนา” ขับรถชนคู่กรณี (ข้อมูลจาก: พระราชบัญญติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 43 (4) และมาตรา 157 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 มาตรา 300 และมาตรา 390)

4 บาดเจ็บสาหัส ในกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง

ค่าเสียหายที่สามารถเบิกได้จาก พ.ร.บ. รถยนต์ (ภาคบังคับ) 

พ.ร.บ. รถยนต์นับเป็นประกันภัยภาคบังคับที่รถยนต์ทุกคันต้องทำเอาไว้ ดังนั้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนและต้องเบิกค่าชดเชย สามารถเบิกค่าชดเชยจาก พ.ร.บ. รถยนต์ได้ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งค่าชดเชยของ พ.ร.บ. รถยนต์นั้นจะคุ้มครองเฉพาะคน ก็คือในกรณีบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเท่านั้น สามารถเบิกค่าชดเชยได้ดังนี้ 

สำหรับค่าเสียหายเบื้องต้น จะได้รับทันทีโดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด ดังนี้ 

– ค่ารักษาพยาบาล พ.ร.บ. จะจ่ายให้ตามจริง โดยจ่ายให้สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท หากต่อมาพิการหรือทุพพลภาพ จะจ่ายเพิ่มเติมโดยรวมแล้วไม่เกิน 65,000 บาทต่อคน – ในกรณีสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพถาวรทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ พ.ร.บ. จะจ่ายให้ไม่เกิน 35,000 บาทต่อคน 

– ในกรณีที่เกิดการเสียชีวิต หากเสียชีวิตทันทีหลังจากเกิดอุบัติเหตุ พ.ร.บ. จะจ่ายค่าทำศพเป็นจำนวน 35,000 บาทต่อคน 

– แต่หากเสียชีวิตภายหลังจะจ่ายให้แบบเหมารวมกับค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 65,000 บาทต่อคน 

สำหรับค่าเสียหายส่วนเกินที่สามารถเบิกได้จาก พ.ร.บ. รถยนต์ หลังจากพิสูจน์ความผิดแล้ว โดยบริษัทประกันของฝ่ายที่กระทำผิดจะชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ประสบภัยหรือทายาท ดังนี้ 

– ในส่วนของค่ารักษาพยาบาลกรณีได้รับบาดเจ็บ จะมีการจ่ายเงินชดเชยรวมค่าสินไหมทดแทนให้ไม่เกิน 80,000 บาท 

– ในกรณีสูญเสียอวัยวะ ได้แก่ หูหนวก เป็นใบ้ เสียความสามารถในการพูด สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์ มือ แขน ขา เท้า ตา หนึ่งอย่างหรือหนึ่งข้าง จะจ่ายชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 250,000 บาท 

– ในกรณีสูญเสียอวัยวะ ได้แก่ มือ แขน เท้า ขา ตา ตั้งแต่สองอย่างหรือสองข้างขึ้นไป หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จะมีการจ่ายชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท 

– ในกรณีทุพพลภาพถาวร จะมีการจ่ายเงินชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาลสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท กรณีเสียชีวิต จะมีการจ่ายเงินชดเชยรวมกับค่ารักษาพยาบาล (ในกรณีเสียชีวิตภายหลัง) สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท 

– นอกจากนี้จะมีการจ่ายเงินชดเชยเมื่อต้องนอนโรงพยาบาล (ผู้ป่วยใน) โดยจ่ายชดเชยให้วันละ 200 บาท รวมไม่เกิน 20 วัน 

ค่าเสียหายที่สามารถเบิกได้จากประกันภัยรถยนต์ (ภาคสมัครใจ) 

หากผู้บาดเจ็บ หรือคู่กรณีได้ทำประกันภัยภาคสมัครใจเพิ่มเติมเอาไว้ในส่วนนี้ ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจไม่ว่าจะเป็น ประกันภัยชั้น 1, ชั้น 2, ชั้น 3 หรือประกันภัยประเภท 1, ประเภท 2, ประเภท 3 นั้น ในกรมธรรม์ประกันภัยของแต่ละบริษัทจะให้ความคุ้มครองในรายละเอียดหลักเหมือนกัน แต่ในเรื่องของจำนวนวงเงินอาจต่างกัน ซึ่งค่าชดเชยที่สามารถเบิกได้ในกรณีรถชนนั้น มีดังนี้ 

– ค่ารักษาพยาบาล ในส่วนที่เกินจากวงเงินของ พ.ร.บ. รถยนต์ จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ 

– ค่าทนทุกข์ทรมานจากอาการบาดเจ็บ จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ 

– ค่าชดเชยจากสินทรัพย์ที่เสียหรือสูญหายเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ 

– ค่าชดเชยความเสียหายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นขณะรักษาตัว เช่น ค่าขาดโอกาสในการเดินทางหรือการทำงาน ค่าขาดไร้อุปการะ ค่าชดเชยรายได้ ค่าขาดประโยชน์ระหว่างซ่อม จะสามารถมาเบิกจ่ายเพิ่มเติมได้ตามจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ 

สำหรับประกันประเภท 1 หรือประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 นั้น นอกจากค่าชดเชยข้างต้นที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังสามารถเบิกค่าชดเชยเนื่องจากอุบัติเหตุรถชนได้เพิ่มเติม ดังนี้ 

– ค่าประกันตัวผู้ขับขี่ในกรณีที่ถูกควบคุมตัวจากความผิด 

– ค่าซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์คันที่เอาประกัน ไม่ว่าจะมีคู่กรณีหรือไม่ก็ตาม 

ในส่วนของรายละเอียดเพิ่มเติมและวงเงินคุ้มครองนั้น สามารถเช็กได้กับกรมธรรม์ประกันภัยที่คุณทำเอาไว้ว่าได้รับความคุ้มครองในวงเงินเท่าไร และจะได้ค่าชดเชยแต่ละส่วนเท่าไรถ้าหากเกิดอุบัติเหตุรถชน ซึ่งค่าชดเชยดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับจำนวนเบี้ยประกันที่คุณจ่ายไปว่าได้รับวงเงินที่เท่าไร

จะเห็นได้ว่ากรมธรรม์ประกันภัยนั้นมีเนื้อหาที่ค่อนข้างละเอียด ซึ่งคนทั่วไปน้อยมากที่จะสามารถเข้าใจเนื้อหาของกรมธรรม์ได้อย่างเข้าใจอย่างถ่องแท้ เมื่อเกิดปัญหาการเรียกร้องค่าเสียหายจากกรมธรรม์จึงควรอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจในเนื้อหาของสัญญากรมธรรม์ หรือข้อกฎหมายอย่างทนายความดีกว่า นอกจากทนายความจะอำนวยความสะดวกในด้านการดำเนินการในทุกขั้นตอนแล้ว ยังช่วยเรียกร้องค่าเสียหายที่เราควรจะได้รับอย่างเหมาะสมให้อีกด้วย ปรึกษาทนาย

รถบรรทุกพ่วงถอยชน ซี่โครงหัก! แขนหักดามเหล็ก! ประกันภัยปัดจ่ายค่าเสียหายตามอาการบาดเจ็บจริง 

1 รถบรรทุกพ่วงถอยชน ซี่โครงหัก!

เวลาเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้งนั้น ผู้บาดเจ็บมักจะถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบด้วยการจ่ายค่าสินไหมทดแทน รวมถึงค่าเสียหายทั้งทางร่างกายและทรัพย์สินที่ต่ำกว่าความเป็นจริงอยู่เสมอ โดยการยกข้ออ้างต่างๆ นานาขึ้นมา เช่น ขอเอกสารเพิ่มเติมที่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเอกสารอะไรเพราะไม่มีการแจ้งบอก หรือข้ออ้างขอใบเสร็จค่านั่นค่านี่ เพื่อประวิงเวลาในการจ่ายค่าเสียหาย หรือจะเป็นมุกพูดจาหว่านล้อมให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ อย่างเช่น ไปรักษาตัวให้ดีก่อน เอารถไปซ่อมก่อนค่อยว่ากัน เพื่อเป็นลูกเล่นในการชดใช้ค่าเสียหายในจำนวนที่ต่ำลง ซึ่งถือว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างที่สุด 

ผู้เสียหายจึงควรมีทนายไว้ตั้งแต่เกิดเรื่องเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด อย่างเช่นกรณีอุบัติในเคสนี้บริษัทประกันขอจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงินที่ผู้เสียหายมองว่าไม่เหมาะสมกับอาการบาดเจ็บของตนเอง ผู้เสียหายจึงเลือกให้ทนายความเป็นผู้เดินเรื่องให้ เพียงแค่มีทนายความเป็นผู้ออกหน้าดำเนินการให้เท่านั้นบริษัทประกันภัยก็รีบยื่นข้อเสนอขอใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินที่เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะยังไม่เต็มตามจำนวนวงเงินก็ตาม เรื่องราวของผู้เสียหายเคสนี้ซึ่งพอมีทนายปุ๊ป! บริษัทประกันภัยก็จ่ายปั๊บ! เป็นอย่างไรมาติดตามกันเลยค่ะ

2 รถบรรทุกพ่วงถอยชน ซี่โครงหัก!

ถูกรถบรรทุกพ่วงถอยมาชนจนบาดเจ็บกระดูกหักหลายจุด

โดยเคสนี้อุบัติเหตุเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ในขณะที่ผู้เสียหายกำลังทำงานอยู่ในบริเวณลานจอดรถตู้คอนเทนนเนอร์ขนส่งสินค้า ขณะที่ผู้เสียหายอยู่บริเวณหลังรถนั้นได้มีรถบรรทุกพ่วงขนส่งสินค้ากำลังถอยไม่ทันได้ดูอย่างระมัดระวัง เป็นเหตุให้รถบรรทุกพ่วงนั้นได้ถอยไปชนผู้เสียหายที่กำลังเดินอยู่บริเวณท้ายรถจนได้รับบาดเจ็บกระดูกซี่โครงหักจำนวน 4 ซี่ และแขนขวาหักต้องทำการผ่าตัดดามเหล็ก หลังได้รับอุบัติเหตุผู้เสียหายต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลทันทีเป็นเวลา 4 วัน ซึ่งอุบัติเหตุในครั้งนี้พนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วว่าเกิดจากความประมาทของผู้ขับขี่รถบรรทุกพ่วงเป็นเหตุให้ผู้เสียหายบาดเจ็บ และผู้เสียหายเองยอมรับว่าตนเองเป็นฝ่ายประมาท

3 รถบรรทุกพ่วงถอยชน ซี่โครงหัก!

ซี่โครงหัก 4 ซี่ แขนหักดามเหล็ก! แพทย์ลงความเห็นพัก 3 เดือน

หลังจากประสบอุบัติเหตุในครั้งนี้ ผู้เสียหายต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเบื้องต้นเป็นเวลา 5 วัน ด้วยอาการบาดเจ็บกระดูกแขนขวาหักต้องผ่าตัดใส่เหล็กดามเพื่อยึดกระดูกที่แตกให้สมานตัวกัน และต้องผ่าตัดเอาเหล็กออกในอนาคต นอกจากแขนขวาที่หักแล้ว ยังมีกระดูกซี่โครงขวาหักอีก 4 ซี่ ซึ่งยังต้องติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องจากแพทย์ และแพทย์ลงความเห็นว่าให้พักรักษาตัวเป็นเวลากว่า 3 เดือน เมื่อต้องประสบอุบัติเหตุดังกล่าวทำให้ต้องหยุดพักรักษาตัวอยู่เป็นเวลานาน จากอาการบาดเจ็บเนื่องด้วยกระดูกหักทั้งบริเวณซี่โครงและแขนขวา ทำให้ส่งผลกระทบต่องานประจำที่ทำอยู่ โดยผู้เสียหายนั้นดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ มีรายได้รวมเบี้ยเลี้ยงอยู่ที่ 40,000 บาท และนอกจากนี้ ผู้เสียหายยังประกอบอาชีพเสริมรับจ้างซ่อมรถเพื่อหารายได้เสริมอีกทาง หลังจากประสบอุบัติผู้เสียหายต้องหยุดพักรักษาตัวหลังออกจากโรงพยาบาลเป็นเวลากว่า 3 เดือน ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวผู้เสียหายต้องสูญเสียรายได้จากปกติแล้วสามารถหารายได้จากการซ่อมรถ

4 รถบรรทุกพ่วงถอยชน ซี่โครงหัก!

ประกันเสนอจ่ายน้อยเกินไป มีทนายไว้คอยเรียกร้องสิทธิ์ให้ดีที่สุด

ด้วยจากอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายนั้น บริษัทประกันภัยเสนอจ่ายค่าเสียหายที่ไม่เหมาะสมกับความบาดเจ็บที่เกิดขึ้น โดยบริษัทประกันภัยยื่นข้อเสนอขอจ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 220,000 บาท ซึ่งทางผู้เสียหายเองและครอบครัวรู้สึกว่ายังน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับความบาดเจ็บที่เกิดขึ้น เพราะกระดูกหักหลายจุดอย่างไรเสียร่างกายที่ต้องได้รับบาดเจ็บนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้เหมือนเดิม ผู้เสียหายและครอบครัวจึงคิดว่าจำเป็นที่จะต้องให้ทนายความดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายที่เหมาะสมมากกว่านี้ให้แก่ตนเอง ในที่สุดผู้เสียหายและครอบครัวจึงตัดสินใจให้ ทนายความเดินเรื่องให้ ซึ่งเมื่อทีมทนายจาก สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินการแทนเพียงเท่านั้น บริษัทประกันจึงยินยอมเพิ่มจำนวนเงินให้อีกเกือบเท่าตัวตั้งแต่เรื่องยังอยู่แค่ในชั้น คปภ. ทำนองเดียวกับกรณีที่ทีมทนายของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เคยเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทประกัยภัยให้แก่ผู้เสียหายชาวจีนที่ได้รับบาดเจ็บ กระดูกหัก เช่นกัน จนได้รับค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยมากกว่าหนึ่งล้านบาท!

เห็นหรือไม่คะว่า ถึงอย่างไรเสียควรมีทนายความเอาไว้เพื่อดำเนินการเรียกร้องสิทธิ์ที่เราสมควรจะได้รับ ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะในยุคสมัยนี้บริษัทประกันภัยหลายเจ้ามักเลือกที่จะฉกฉวยผลประโยชน์จากความไม่รู้เท่าทันของผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายจำนวนไม่น้อยหลงกลเชื่อคำพูดบริษัทประกันภัยจนต้องเสียผลประโยชน์ที่ตนเองสมควรจะได้รับอย่างถูกต้องไปค่ะ หากท่านใดที่กำลังมีปัญหาในเรื่องของข้อกฎหมาย หรือต้องการใช้บริการด้านกฎหมายไม่ว่าเรื่องใด ติดต่อเรา

พ.ร.บ. จ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างไร หากประสบภัยจากรถจนนิ้วขาด

Cover พ.ร.บ. ค่าสินไหมนิ้วขาด

อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นคนที่ประมาทแต่ก็อาจมีบุคคลอื่นที่ไม่ระวังขับขี่มาชนเราได้ และเมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วบางครั้งบริษัทประกันตัวดีมักหาเหตุผลบ่ายเบี่ยงในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โดยการยกเหตุผลต่างๆ นานาขึ้นมาอ้างเพื่อปัดการจ่ายค่าเสียหายนั้น หรือเพื่อให้จ่ายน้อยลง ซึ่งความจริงแล้ว พ.ร.บ. นั้นคุ้มครองการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ และการสูญเสียอวัยวะ หรือที่เรียกว่า “ทุพพลภาพ” รวมถึงกรณีการเสียชีวิต แต่วันนี้จะขอมาพูดถึงกรณี “ทุพพลภาพ” ว่ามีลักษณะอย่างไร

โดยทุพพลภาพ คือการสูญเสียอวัยะ หรือสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะ หรือของร่างกาย หรือสูญเสียสภาวะปกติของจิตใจ จนทำให้ความสามารถในการทำงานลดลง จนถึงขนาดไม่อาจประกอบการงานได้เหมือนปกติได้ ในทางประกันภัยมีด้วยกัน 4 รูปแบบดังนี้

1. ทุพพลภาพอย่างถาวรสิ้นเชิง

เป็นอาการทุพพลภาพที่หนักที่สุด คือต้องเกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยอย่างหนัก จนสูญเสียอวัยวะ หรือร่างกายไม่อยู่ในสภาวะที่จะประกอบอาชีพเดิม รวมถึงประกอบอาชีพอื่นได้ตลอดไป เช่น เกิดอุบัติเหตุรถชนจนสูญเสียมือเท้าทั้งสองข้าง, สูญเสียการมองเห็นอย่างสิ้นเชิง, เป็นอัมพาตต้องนอนติดเตียงไปตลอด สมองได้รับความกระทบกระเทือนไม่มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าอีกต่อไป

2. ทุพพลภาพอย่างถาวรบางส่วน

เป็นการทุพพลภาพที่ร่างกายไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตลอดไป แต่ยังสามารถประกอบอาชีพอื่นได้ เช่น การสูญเสียแขนหนึ่งข้างจนไม่สามารถประกอบอาชีพขับรถได้เหมือนเดิม แต่สามารถใช้อวัยวะอื่นทำอาชีพอื่นทดแทนได้

3. ทุพพลภาพชั่วคราวสิ้นเชิง

คืออาการทุพพลภาพจนสามารถประกอบอาชีพเดิมหรืออาชีพอื่นได้อย่างสิ้นเชิงในระยะเวลาชั่วคราว เมื่อได้รับการรักษาจนสามารถกลับไปประกอบอาชีพได้ เช่น การได้รับบาดเจ็บจนต้องเข้าเฝือกทั้งตัวจนไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้เป็นระยะเวลา 3 เดือนเป็นต้น

4. ทุพพลภาพชั่วคราวบางส่วน

คือการทุพพลภาพจนเป็นอุปสรรคกระทบต่อการทำงานประจำ แต่เมื่อทำการรักษาแล้วสามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ เช่น อุบัติเหตุรถล้มขาหักจนต้องเข้าเฝือก ไม่สามารถไปทำงานตามปกติได้ แต่ยังสามารถหารายได้อยู่ที่บ้านได้เป็นต้น

Cover พ.ร.บ. ค่าสินไหมนิ้วขาด 2

กรณีนิ้วขาดจะได้รับค่าสินไหมทดแทนเท่าไหร่

กรณีที่ประสบอุบัติเหตุทางจราจรแล้วเป็นฝ่ายถูก หากนิ้วขาดเกิน 1 ข้อขึ้นไปไม่ว่าจะนิ้วเดียวหรือหลายนิ้ว บริษัทที่รับประกันภัยจะต้องจ่ายค่าสินไหมเป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท/คน แต่หากสูญเสียนิ้วไม่เกิน 1 ข้อสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 80,000 บาท โดยต้องเตรียมเอกสาร คือ 1.ใบรับรองแพทย์ยืนยันว่าได้ถูกตัดนิ้ว 2.ฟิล์มเอ็กซเรย์ 3.บัตรประชาชน

Cover พ.ร.บ. ค่าสินไหมนิ้วขาด 3

คำว่าทุพพลภาพอยู่ในประกันประเภทไหนบ้าง?

1. ประกันอุบัติเหตุ มักปรากฎคำว่าทุพพลภาพในรูปแบบแผนประกันภัยนั่นคือ

  • ประกันอุบัติเหตุแบบ อ.บ.1 ที่จะให้คุ้มครองทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง, ทุพพลภาพชั่วคราวสิ้นเชิง, และทุพพลภาพชั่วคราวบางส่วน
  • ประกันอุบัติเหตุแบบ อ.บ.2 จะให้ความคุ้มครองเพิ่มจาก อบ. 1 ในส่วนของการทุพพลภาพถาวรบางส่วน อย่างการสูญเสียนิ้ว การสูญเสียการรับฟัง เป็นต้น

2. พ.ร.บ. รถยนต์/พ.ร.บ. มอเตอร์ไซค์ จะปรากฎเงื่อนไขทุพพลภาพในรูปแบบของเงินชดเชยเมื่อเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ได้แก่

  • เงินชดเชยเบื้องต้น(ไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิด) เมื่อทุพพลภาพอย่างถาวรสิ้นเชิง เป็นจำนวนเงิน 35,000 บาท
  • เงินชดเชยส่วนเกินค่าเสียหายเบื้องต้น เมื่อทุพพลภาพอย่างถาวรสิ้นเชิง เป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท
  • เงินชดเชยส่วนเกินค่าเสียหายเบื้องต้น เมื่อทุพพลภาพถาวรบางส่วน  เป็นจำนวนเงิน 300,000 บาท

3. ประกันการเดินทาง จะปรากฏคำว่าทุพพลภาพอยู่ในเงื่อนไขของเงินชดเชย เมื่อผู้ทำประกันได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุขณะเดินทาง โดยส่วนมากประกันเดินทางมักจะคุ้มครองกรณีทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงตามวงเงินที่ระบุไว้ ซึ่งผู้ทำประกันต้องอ่านรายละเอียดให้ดีก่อนทำประกัน

4. ประกันทุพพลภาพ บางบริษัทฯ ได้ออกแผนประกันทุพพลภาพมาโดยเฉพาะ ซึ่งจะให้ความคุ้มครองกรณีที่ผู้เอาประกันภัยตกเป็นบุคคลทุพพลภาพจากสาเหตุต่าง ๆ 

เห็นไหมคะว่า พ.ร.บ ประกันภัยรถนั้น นอกจากจะคุ้มครองต่อการบาดเจ็บแล้วยังคุ้มครองกรณีที่ต้องสูญเสียอวัยวะด้วย ซึ่งเราควรจะต้องศึกษาและทราบข้อมูลเหล่านี้เอาไว้เพื่อประโยชน์ของตัวเราเองไม่ให้ถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบ หรือหากเกิดประสบอุบัติเหตุแนะนำให้มีทนายความเอาไว้ดีกว่า เพราะทนายความผู้เชี่ยวชาญจะสามารถเรียกร้องค่าเสียหายให้เราได้มากกว่าที่เราจะต้องไปดำเนินการด้วยตัวเอง ปรึกษาทนาย