อุทาหรณ์ผู้เอาประกันภัย! ขับรถชนคนเจ็บ แต่บริษัท “ประกันภัย” ไม่ช่วยอะไรเลยเมื่อความเชื่อใจในบริษัทประกันภัยกลายเป็นความเสียหายซ้ำซ้อน

ทนายอาร์มแนะ วิธีเรียกร้องสิทธิทางกฎหมายให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น

ในโลกของประกันภัยหลายคนเชื่อว่าการมีกรมธรรม์ไว้คือ “เกราะป้องกัน” ยามเกิดเหตุไม่คาดคิด โดยเฉพาะอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่ในความเป็นจริง หลายกรณีกลับพบว่า เมื่อถึงเวลาต้องใช้สิทธิจริง ๆ ผู้เอาประกันภัยกลับต้อง “เดินเรื่องเองทุกขั้นตอน” แถมบางครั้งบริษัทประกันภัยยัง “ปัดความรับผิดชอบ” จนผู้เอาประกันต้องรับภาระร่วมกับผู้บาดเจ็บเอง

เรื่องจริงนี้เกิดขึ้นกับชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์เขาได้ขับรถไปชนคนเจ็บจนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล เหตุการณ์นี้ตำรวจชี้ว่าเขาเป็นฝ่ายผิด ทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่ในขั้นตอนของการเคลมตามปกติ แต่ปัญหากลับเกิดขึ้นเมื่อบริษัทประกันภัย “ไม่ช่วยเหลือ” แม้แต่ในขั้นตอนสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล

บริษัทประกันภัย “ไม่สำรองจ่าย” ทั้งที่มีใบเคลม

ชายผู้เอาประกันภัยเล่าว่า เขามีเอกสารครบถ้วน ทั้งใบเคลมและหลักฐานการเกิดอุบัติเหตุ แต่บริษัทประกันภัยกลับให้เหตุผลว่า “ต้องให้ผู้เอาประกันและผู้ประสบภัยร่วมกันสำรองจ่ายก่อน” แม้จะมีใบเคลมอยู่ในมือ บริษัทก็ไม่ออกหนังสือรับรองให้โรงพยาบาลนำไปเบิกกับบริษัทได้โดยตรง ผลลัพธ์คือ ทั้งผู้เอาประกันภัยและผู้บาดเจ็บต้องร่วมกันควักเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลก่อนเอง ฟังดูอาจแปลก แต่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริง และเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ที่ทำประกันทุกคนต้องตระหนักว่า

“การมีประกันภัยไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้รับความคุ้มครองอัตโนมัติในทุกกรณี”

เมื่อผู้เอาประกันภัย “กลายเป็นผู้เสียหายซ้ำซ้อน”

หลังเกิดเหตุ ตำรวจชี้ชัดว่า ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด หมายความว่าเขามีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่คู่กรณีตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติ กลับกลายเป็นว่า ทั้งผู้เอาประกันและผู้บาดเจ็บต้องร่วมมือกันเรียกร้องสิทธิจากบริษัทประกันภัย แทนที่บริษัทจะเป็นผู้จัดการเรื่องเคลมและชดใช้ตรงตามเงื่อนไข กลับทำให้ผู้เอาประกันกลายเป็น “ผู้เสียหายซ้ำซ้อน” ทั้งเสียเงิน เสียเวลา และเสียความรู้สึก

 “ทนายอาร์ม” แนะนำ : ฟ้องศาลร่วมกันในคดีคุ้มครองผู้บริโภค

ทนายอาร์มแนะนำแนวทางว่า
หากผู้เอาประกันภัยและผู้บาดเจ็บร่วมมือกันฟ้องบริษัทประกันภัยต่อศาล สามารถดำเนินคดีในฐานะ “คดีคุ้มครองผู้บริโภค” ได้ เพราะทั้งคู่ถือเป็นผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากการให้บริการที่ไม่เป็นธรรม

สิ่งสำคัญคือ หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้บริโภคได้รับความเสียหายจริง

ผู้เอาประกันภัยสามารถเรียกคืนค่าเสียหายทั้งหมดได้ รวมถึงค่าทนายความด้วย

ในบางคดี ศาลมีคำสั่งให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าทนายความให้ผู้เสียหายด้วย แต่ก็มีบางกรณีที่ไม่ได้รับอนุมัติ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและดุลยพินิจของศาล

ดังนั้น การมีทนายความตั้งแต่เริ่มต้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะทนายจะสามารถดำเนินคดีให้เป็นระบบ ถูกต้องตามขั้นตอน และลดโอกาสเสียสิทธิ์โดยไม่รู้ตัว

ทนายสามารถรับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ได้อย่างถูกกฎหมาย

หลายคนอาจไม่รู้ว่ากฎหมายทนายความไทยอนุญาตให้ทนายเรียกค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์จากทุนทรัพย์ที่บังคับคดีได้
ดังนั้น ผู้เอาประกันภัยสามารถตกลงกับทนายได้อย่างโปร่งใส เช่น

  • กำหนดเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งจากยอดเงินที่เรียกคืนได้
  • หรือจ่ายค่าทนายแบบเหมาเพื่อให้ดำเนินคดีจนจบ

การพูดคุยกันตั้งแต่ต้นจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน และทำให้คดีดำเนินไปได้เร็วขึ้นโดยไม่เกิดความขัดแย้งเรื่องผลตอบแทนในภายหลัง

อย่ารอให้เรื่องผ่านไปนาน ถึงจะหาทนาย

อีกหนึ่งข้อเตือนใจจากทนายอาร์มคือ

“อย่ารอให้เรื่องผ่านไปหลายปีหรืออาการบาดเจ็บหายก่อน ถึงจะเริ่มฟ้อง เพราะเมื่อคุณหายแล้ว คุณอาจหมดสิทธิ์เรียกร้องค่าพิการหรือค่าเสียหายเพิ่มเติมได้”

ในทางปฏิบัติ มีหลายกรณีที่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้บาดเจ็บรอจนหายดีแล้วค่อยดำเนินคดี ทำให้ศาลพิจารณาว่า “ไม่มีความเสียหายต่อเนื่อง” ส่งผลให้ได้รับเพียงค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น

ดังนั้น หากเกิดเหตุ ควรปรึกษาทนายความทันทีหลังอุบัติเหตุเกิดขึ้น เพื่อให้ทนายดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์และเอกสารตั้งแต่แรก

บริษัทประกันภัย “ขายประกัน” ง่าย แต่ตอนเคลมกลับยาก

ในมุมของผู้เอาประกัน หลายคนเลือกทำประกันกับบริษัทที่โฆษณาว่าบริการดี เคลมง่าย
แต่ในความเป็นจริง เมื่อเกิดเหตุจริง หลายบริษัทกลับมีข้ออ้าง เช่น

  • “งานเยอะ ยังไม่ถึงคิวตรวจสอบ”
  • “ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายนี้ ต้องให้ลูกค้าไปทำเองก่อน”
  • “ต้องรอเอกสารจากโรงพยาบาลก่อนเบิกได้”

สุดท้าย ผู้เอาประกันภัยต้องเป็นฝ่ายรับภาระมาดำเนินการเอง ทั้งโทรตาม ทั้งยื่นเอกสารซ้ำ ๆ กลายเป็นว่าการขายประกันง่าย แต่การให้บริการหลังการขายกลับยากเย็น

นี่คือเหตุผลที่ ทนายอาร์มย้ำเสมอว่า

“เวลาขายประกันภัย คุณขายความเชื่อมั่นของลูกค้าได้ แต่เวลาลูกค้าเกิดเหตุ คุณต้องเซอร์วิสลูกค้า ไม่ใช่หาข้ออ้าง”

คำแนะนำสำคัญสำหรับผู้เอาประกันภัยทุกคน

1.เก็บหลักฐานทุกอย่างให้ครบ – ใบเคลม, ใบแจ้งความ, ใบรับรองแพทย์, ใบเสร็จค่ารักษา

2.แจ้งบริษัทประกันภัยทันทีหลังเกิดเหตุ และขอเลขเคลมเป็นหลักฐาน

3.อย่าเซ็นเอกสารใด ๆ โดยไม่เข้าใจ โดยเฉพาะเอกสารยอมความหรือสละสิทธิ์

4.ปรึกษาทนายความทันที หากบริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิดชอบหรือไม่ได้รับความคืบหน้า

กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ชัดเจนว่า การมี “ประกันภัย” ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้รับการดูแลเสมอไป แต่หากคุณรู้จักใช้สิทธิ์อย่างถูกต้อง และมีทนายความที่ปรึกษา ให้คำแนะนำตั้งแต่ต้น คุณจะไม่เพียงแต่เรียกคืนสิ่งที่เสียไปได้ครบ แต่ยังอาจได้รับความเป็นธรรมมากกว่าที่คิด

เพราะในยุคที่บริษัทต่าง ๆ แข่งกัน “ขายประกัน” อย่าลืมว่า “ผู้เอาประกัน” เองก็ต้องรู้เท่าทันประกันเช่นกัน ปรึกษาทนายความวันนี้ เพื่อที่คุณจะไม่เสียรู้บริษัทประกันภัยอีกต่อไป

เรียกค่าสินไหมบาดเจ็บอย่างไรให้ไม่เสียเปรียบ? ทนายอาร์มเล่ากรณีจริง “ถูกรถชนแขนหัก ควรเรียกค่าสินไหมเท่าไหร่ดี?”

หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่มักมีคนมาปรึกษาทนายอาร์มอยู่เสมอ คือ “ถูกรถชน แขนหักแบบนี้ เรียกค่าสินไหมทดแทนกรณีบาดเจ็บได้เท่าไหร่?” ซึ่งคำถามนี้ฟังดูง่าย แต่คำตอบไม่ตายตัวเลยครับ เพราะการเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บนั้น มีองค์ประกอบหลายอย่างมาก ทั้งอายุ เพศ อาชีพ รายได้ และผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในอนาคต อย่างกรณีต่อไปนี้ที่ญาติของผู้เสียหายได้ติดต่อเข้ามาปรึกษาทนายอาร์ม

ตัวอย่างเคสจริง: สาววัย 37 ปี แขนหักต้องดามเหล็กจากอุบัติเหตุรถชน

โดยญาติของผู้เสียหายได้ทักข้อความ Inbox มาปรึกษาทนายอาร์มว่า ผู้หญิง (ตัวคนเจ็บ) อายุ 37 ปี ทำงานเจ้าหน้าที่บัญชี เงินเดือน 28,000 บาท เธอถูกรถชนจนแขนหักต้องใส่เหล็กดามกระดูก และอยากทราบว่า “ควรเรียกค่าสินไหมทดแทนกรณีบาดเจ็บเท่าไหร่ดี?”

ทนายอาร์มจึงเริ่มต้นจากการถามข้อมูลพื้นฐาน เช่น

“ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดเท่าไหร่?”

ญาติผู้เสียหายตอบว่า 340,000 บาท ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร

เมื่อทนายสอบถามต่อไป พบว่าคู่กรณีมีประกันภัยรถยนต์ที่คุ้มครองบุคคลภายนอกในวงเงิน 500,000 บาท และบริษัทประกันภัยได้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดไปจำนวน 340,000 บาท และยังเหลือวงเงินอีก 240,000 บาท (รวมความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. รถยนต์ 80,000 บาท) ที่สามารถใช้เรียกค่าสินไหมทดแทนส่วนอื่น ๆ ได้

อย่างไรก็ตาม หากค่าเสียหายรวมเกินกว่าวงเงินคุ้มครอง เช่น เกิน 500,000 บาท ส่วนเกินนี้จะต้องเรียกเอาจากตัวผู้ขับขี่โดยตรง เพราะถือว่าเป็นการกระทำละเมิด

เรียกค่าสินไหมกรณีบาดเจ็บอะไรได้บ้าง?

ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุสามารถเรียกค่าเสียหายได้หลายรายการ เช่น

ค่ารักษาพยาบาล – ครอบคลุมทั้งค่าหมอ ค่ายา ค่าผ่าตัด ค่ากายภาพบำบัด

ค่าเสียรายได้ระหว่างพักรักษาตัว – หากต้องหยุดงานหรือขาดรายได้ในช่วงรักษาตัว สามารถเรียกได้ตามจำนวนวันที่หยุดจริง

ค่าทำขวัญ – เป็นค่าสินไหมเพื่อชดเชยความเจ็บปวดทางกายและใจ

ค่าใช้จ่ายในการดูแลระหว่างบาดเจ็บ – เช่น ค่าพี่เลี้ยงหรือคนดูแลระหว่างรักษา

ค่าเสียหายระยะยาว – หากบาดเจ็บทำให้สูญเสียอวัยวะหรือทำงานไม่ได้เหมือนเดิม

ค่าทำขวัญด้านความสวยงาม – เช่น มีรอยแผลเป็นถาวร

จะเห็นได้ว่าการเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บนั้น ไม่ใช่แค่ค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น แต่รวมถึงผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตทั้งหมดหลังอุบัติเหตุ

ทำไมคนงานยกของบางคนเรียกค่าสินไหมได้มากกว่าพนักงานออฟฟิศ?

ทนายอาร์มอธิบายว่า การคำนวณค่าสินไหมบาดเจ็บไม่ได้ดูแค่ตัวเลขเงินเดือนเท่านั้น แต่ยังดู “ผลกระทบต่ออาชีพ” ด้วย เช่น ถ้าเป็นคนงานยกของแล้วแขนหัก ย่อมกระทบต่อการทำงานโดยตรง ทำให้รายได้หายไปทั้งหมดในช่วงเวลานั้น แต่ถ้าเป็น พนักงานออฟฟิศทั่ว ๆ ไป อาจยังสามารถทำงานเอกสารหรือทำงานจากบ้านได้บางส่วน

ดังนั้น ในบางกรณีคนงานใช้แรงงานอาจเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บได้มากกว่าพนักงานออฟฟิศ เพราะอาชีพของเขาขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายโดยตรง

อย่ารอให้หายดีก่อนค่อยเรียกร้อง เพราะ “คุณกำลังเสียเวลาและเสียเปรียบบริษัทประกันภัยโดยไม่รู้ตัว”

อย่างเคสผู้หญิงในกรณีนี้รักษาตัวนานถึง 9 เดือน ก่อนจะติดต่อทนายอาร์ม โดยบริษัทประกันภัยอ้างว่า “ต้องรอให้หายดีก่อน ถึงจะเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บได้” แต่ในความจริง นี่คือความเข้าใจผิดที่ทำให้ผู้เสียหายเสียเปรียบอย่างมาก เพราะกระบวนการเรียกค่าเสียหายเองก็ใช้เวลาอีกหลายเดือน หากเริ่มดำเนินการหลังหายดีแล้ว ก็จะกลายเป็นว่าเสียเวลาไปกว่า 1 ปีครึ่งกว่าจะได้เงิน

ทนายอาร์มจึงเตือนว่า “อย่ารอให้หายดีค่อยมาปรึกษา” ควรให้ทนายความดำเนินการตั้งแต่ช่วงเริ่มรักษา เพื่อให้สามารถรวบรวมหลักฐาน ใบรับรองแพทย์ และเอกสารสำคัญได้ครบถ้วนตั้งแต่ต้น

“หากเกิดอุบัติเหตุรถชน สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้หรือไม่?”

อีกประเด็นที่หลายคนมักสับสนคือ “หากเกิดอุบัติเหตุรถชน สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้หรือไม่?”

คำตอบคือ ใช้ได้ครับ กฎหมายพระราชบัญญัติประกันสังคม ไม่มีมาตราใดระบุว่า หากเกิดจากอุบัติเหตุรถยนต์ จะต้องใช้สิทธิ์ตาม พ.ร.บ. รถยนต์เท่านั้น เพียงแต่โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งอาจบอกว่า “ใช้สิทธิ์ไม่ได้” เพราะไม่อยากรับอัตราค่ารักษาของประกันสังคมซึ่งจ่ายน้อยกว่าอัตราปกติ แต่ในทางกฎหมาย คุณสามารถยืนยันสิทธิ์ของคุณได้เต็มที่ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายระหว่างการรักษา และยังคงสามารถเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บส่วนอื่นจากคู่กรณีได้ตามปกติ

ทำไมต้องรีบปรึกษาทนายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ?

จากประสบการณ์ของทนายอาร์ม พบว่าผู้เสียหายจำนวนมากมักจะคิดว่า “เดี๋ยวลองเรียกดูเองก่อน ถ้าไม่ได้ค่อยหาทนาย” ซึ่งนั่นคือจุดที่ทำให้เสียสิทธิ์ไปโดยไม่รู้ตัว เพราะบริษัทประกันภัยมีทีมกฎหมายและเจ้าหน้าที่มืออาชีพคอยเจรจาเพื่อลดวงเงินชดเชยให้มากที่สุด หากผู้เสียหายไม่มีความรู้ทางกฎหมายหรือไม่มีทนายคอยวางกลยุทธ์ตั้งแต่ต้น ก็แทบจะไม่มีทาง “รู้ทันบริษัทประกันภัย” ได้เลย

วิธีเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บอย่างไม่เสียเปรียบ

แจ้งเหตุและติดต่อบริษัทประกันภัยทันที พร้อมขอสำเนาตารางกรมธรรม์คู่กรณี เก็บหลักฐานทุกอย่าง เช่น ใบรับรองแพทย์ ใบเสร็จ ค่ารักษา และภาพถ่ายบาดแผล อย่ารอให้หายดีค่อยเรียกร้อง ควรให้ทนายดำเนินการระหว่างการรักษา ใช้สิทธิ์ประกันสังคมควบคู่ได้ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่าย ปรึกษาทนายความ เพื่อให้ทนายวางแนวทางการเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บได้อย่างถูกต้อง

อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่สิ่งสำคัญคือ อย่าปล่อยให้ตัวเองเสียเปรียบเพราะความไม่รู้

การเรียกค่าสินไหมบาดเจ็บไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเงิน แต่คือการรักษาสิทธิ์ของคุณในฐานะผู้ได้รับความเสียหาย และอย่าลืมว่า “บริษัทประกันภัยมีทนายอยู่ข้างเขาเสมอ แล้วคุณล่ะ…มีทนายอยู่ข้างคุณหรือยัง?” ปรึกษาทนายคลิก >>ติดต่อเรา<<

บริษัทประกันภัยนับผล “แอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่? เมื่อผู้บริโภคกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบจากการตีความฝ่ายเดียวของบริษัทประกันภัย

ในหลายปีที่ผ่านมา มีคดีจำนวนไม่น้อยที่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์ถูกบริษัทประกันภัยปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม ด้วยเหตุผลว่า “ขณะเกิดเหตุมีแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์” ซึ่งเป็นเงื่อนไขตามกฎหมายว่าด้วยพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522

แต่สิ่งที่สร้างความไม่เป็นธรรมให้กับผู้บริโภคคือ การที่บางบริษัทประกันภัย นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง โดยไม่ได้อ้างอิงค่าที่ตรวจได้จริงในขณะเกิดเหตุ หากแต่ใช้ “คู่มือตีความภายใน” มาคำนวณย้อนกลับว่า แอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่จะลดลงเฉลี่ย 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมง แล้วจึงตีความว่า ขณะเกิดเหตุผู้เอาประกันมีแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ ก่อให้เกิดคำถามใหญ่ในทางกฎหมายและความยุติธรรมของระบบประกันภัยว่า “บริษัทประกันภัยมีสิทธินับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังเองหรือไม่?”

กฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจน ขณะเกิดเหตุเท่านั้นที่สำคัญ

ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 43(2) ระบุชัดเจนว่า

“หากผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย”

นั่นหมายความว่า การพิจารณาว่าผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์เกินเกณฑ์หรือไม่ ต้องดูจาก ผลตรวจจริง “ขณะเกิดเหตุ” หรือใกล้เคียงกับเวลานั้นมากที่สุด
ไม่ใช่การคำนวณย้อนหลัง หรือสมมุติค่าแอลกอฮอล์จากสูตรเฉลี่ยตามคู่มือภายในของบริษัทประกันภัย

ดังนั้น การที่บริษัทประกันภัย “ตีความเอง” ว่าสามารถนับผลย้อนหลังได้ จึงเป็นการ ฝ่าฝืนข้อตกลงตามสัญญาประกันภัย และเป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายเอาเปรียบผู้บริโภค โดยไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดรองรับ

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ : การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง “เชื่อถือไม่ได้”

ในคดีหนึ่งที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ดูแล มี คำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค ที่น่าสนใจมาก
ศาลได้วินิจฉัยว่า การที่บริษัทประกันภัยนำเพียง “คู่มือตีความกรมธรรม์” มาอ้างว่า แอลกอฮอล์ในเลือดของผู้เอาประกันจะลดลง 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมง แล้วคำนวณย้อนหลังเพื่ออ้างว่าผู้เอาประกันมีปริมาณเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์นั้น

เป็นพยานหลักฐานที่ “มีน้ำหนักน้อย” และ “เชื่อถือไม่ได้”

ศาลเห็นว่า การคำนวณย้อนหลังลักษณะนี้เป็นการตีความฝ่ายเดียวของบริษัทประกันภัย และส่งผลให้ผู้บริโภคเสียเปรียบ ซึ่งขัดต่อหลักความเป็นธรรมในสัญญาผู้บริโภค

ศาลจึงวางหลักสำคัญไว้ว่า

“เมื่อบริษัทประกันภัยอ้างว่าผู้เอาประกันมีแอลกอฮอล์เกินเกณฑ์ ต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนและเป็นกลางมากกว่านี้ ไม่ใช่ใช้การคำนวณภายในฝ่ายเดียว”

กล่าวคือ หากไม่มีหลักฐานทางการแพทย์หรือผลตรวจจริงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ เวลาที่เกิดเหตุ บริษัทประกันภัยไม่สามารถปฏิเสธความคุ้มครองได้

ปัญหาใหญ่กว่าที่คิด คปภ. กลับไม่ลงโทษบริษัทประกันภัย

แม้จะมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วางหลักไว้ชัดเจน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงคือ
เมื่อบริษัทประกันภัยปฏิเสธจ่ายค่าสินไหมด้วยเหตุผลเรื่องแอลกอฮอล์ย้อนหลัง แล้วผู้บริโภคร้องเรียนต่อสำนักงาน คปภ. (คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย)

หลายกรณีกลับพบว่า คำสั่งของ คปภ. เองก็ยังยึดแนวทางเดียวกับบริษัทประกันภัย โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้รอบด้าน

ทนายอาร์มได้ตั้งคำถามสำคัญว่า “เมื่อศาลพิพากษาชัดว่าบริษัทประกันภัยทำผิด แต่ทำไม คปภ. ถึงไม่ลงโทษบริษัทเหล่านั้น?”

สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างในระบบกำกับดูแล ที่ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากถูกเอาเปรียบซ้ำซ้อน ทั้งจากบริษัทประกันภัย และจากหน่วยงานที่ควรคุ้มครองสิทธิของประชาชน

ผู้บริโภคควรทำอย่างไร หากถูกปฏิเสธเพราะประกันนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง?

อย่ากลัวที่จะปรึกษาทนายความ

หากบริษัทประกันภัยอ้างว่าผู้ขับขี่ “มีแอลกอฮอล์เกินกฎหมายกำหนดขณะขับขี่” แล้วปฏิเสธค่าสินไหมทดแทน ควรรีบปรึกษาทนายความทันที เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรต่อสู้ด้วยตัวเอง

หลายคนเข้าใจผิดว่า “แค่เราอธิบายความจริง เขาก็น่าจะเข้าใจ” หรือ “เรามีผลตรวจจากโรงพยาบาลอยู่แล้ว ก็น่าจะพอ” แต่ในความเป็นจริง บริษัทประกันภัยมีทีมกฎหมายและทนายความอยู่เบื้องหลัง พวกเขารู้ช่องว่างของสัญญา รู้แนวทางตีความในชั้นศาล และรู้แม้กระทั่งว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ “ไม่กล้า” ฟ้อง

หากคุณไม่มีทนายความที่เข้าใจระบบประกันภัยคอยวางรูปเรื่องตั้งแต่ต้น ไม่มีทางเลยที่คุณจะรู้ทันบริษัทประกันภัย และไม่มีทางที่จะไม่ถูกเอาเปรียบ

เพราะ ทุกถ้อยคำในสัญญา หรือ ทุกจุดเล็ก ๆ ในรายงานผลแอลกอฮอล์ สามารถถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการปฏิเสธความรับผิดได้ทั้งสิ้น
บริษัทประกันภัยอาจใช้ถ้อยคำคลุมเครือในสัญญา เช่น “หากมีแอลกอฮอล์ในเลือด” โดยไม่ระบุชัดว่า “ต้องวัด ณ เวลาที่เกิดเหตุ” ซึ่งเปิดช่องให้บริษัทนำมาใช้ตีความย้อนเวลาเองได้

หากไม่มีทนายความมาเดินเรื่องตั้งแต่ต้น ผู้บริโภคมักจะ “ตกหลุม” ทางกฎหมายโดยไม่รู้ตัว  จนสุดท้ายกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ทำผิดกฎหมายจริง

ไม่สนับสนุนให้ขับรถขณะมีแอลกอฮอล์ แต่ก็ไม่สนับสนุนให้บริษัทประกันภัยฉวยโอกาสเอาเปรียบประชาชนเช่นกัน

ทนายอาร์มยืนยันว่า

“เราไม่สนับสนุนให้ใครขับรถขณะมีแอลกอฮอล์ แต่เราก็ไม่สนับสนุนให้บริษัทประกันภัยฉวยโอกาสเอาเปรียบประชาชนเช่นกัน”

การตีความผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังนอกจากจะขัดต่อสัญญาประกันภัยแล้ว ยังเป็นการสร้าง “บรรทัดฐานที่ผิด” ให้กับระบบคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย เพราะจะเปิดช่องให้บริษัทประกันภัยสามารถปฏิเสธค่าสินไหมโดยอ้างเหตุผลใดก็ได้

ดังนั้น หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังถูกบริษัทประกันภัยปฏิเสธความคุ้มครองเพราะข้ออ้างเรื่อง “แอลกอฮอล์ย้อนหลัง”
อย่าปล่อยให้บริษัทประกันภัยเอาเปรียบ รีบปรึกษาทนายความที่เชี่ยวชาญด้านคดีผู้บริโภคและประกันภัยเพื่อให้กฎหมายคุ้มครองสิทธิของคุณอย่างเต็มที่

บริษัทประกันภัยมีทนายอยู่ข้างเขาเสมอ แล้วคุณล่ะมีทนายอยู่ข้างคุณหรือยัง?

หากถูกบริษัทประกันภัยอ้างว่า “มีแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” แล้วปฏิเสธค่าสินไหม อย่ารอให้เสียเวลาไปกับการไปเดินเรื่องด้วยตัวเอง เพราะสุดท้ายบริษัทจะใช้ข้อกฎหมายตีความให้คุณเสียเปรียบอยู่ดี รีบปรึกษาทนายความที่มีประสบการณ์ด้านคดีประกันภัย
เพื่อให้ทนาย “วางรูปเรื่อง” ตั้งแต่ต้น เพราะเพียงแค่ก้าวแรกที่ผิดพลาด คุณอาจเสียสิทธิ์ทั้งหมดที่ควรได้รับไปอย่างน่าเสียดาย

การนับผล “แอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ไม่ใช่หลักฐานที่กฎหมายยอมรับ บริษัทประกันภัยไม่มีสิทธิคำนวณย้อนหลังเพื่อปฏิเสธค่าสินไหม หากผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ ต้องต่อสู้ทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ที่พึงได้ เพราะกฎหมายอยู่ข้างผู้บริโภคที่ถูกต้องเสมอและ “การมีทนายอยู่ข้างคุณ” คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในโลกของสัญญาและการปฏิเสธค่าสินไหมทดแทนที่ไม่เป็นธรรม หากถูกบริษัทประกันภัยนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังมาปฏิเสธการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน คลิก >>>ติดต่อเรา<<< หรือโทรปรึกษาเบื้องต้น 062-195-1661

เมื่อบริษัทประกันภัยพูดว่าอยากได้ “ให้ไปฟ้องเอา” นี่คือความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นจริง

ประโยคนี้สะท้อนถึง “ช่องว่างของอำนาจ” ระหว่างผู้เสียหายซึ่งเป็นประชาชนธรรมดา กับบริษัทประกันภัยขนาดใหญ่ที่มีทีมทนายและฝ่ายกฎหมายครบเครื่อง

คำถามคือ…

  • ทำไมบริษัทประกันภัยที่มีรายได้ปีละหลายพันล้าน จึงปฏิเสธความรับผิดชอบกับผู้บาดเจ็บที่ต้องนอนโรงพยาบาลและยังไม่สามารถเดินได้ปกติ?
  • ทำไมต้องให้ผู้เสียหาย “ไปฟ้องเอาเอง” ทั้งที่รู้ว่าคนธรรมดาส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ทางกฎหมาย และไม่มีเงินหรือเวลามาฟ้องร้อง?

สิ่งเหล่านี้กลายเป็น “เครื่องมือทางอำนาจ” ที่บริษัทประกันภัยบางแห่งใช้ เพื่อบีบให้ผู้เสียหายยอมรับเงินชดเชยน้อย ๆ แล้วจบเรื่องไป

ความจริงทางกฎหมาย คือ ผู้เสียหายมีสิทธิมากกว่าที่บริษัทพยายามบอก

ตามหลักกฎหมายมูลละเมิดและกฎหมายประกันภัยผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ครบทุกส่วน ไม่ใช่แค่ค่าหยุดงานเท่านั้น

โดยกฎหมายกำหนดให้คู่กรณีหรือบริษัทประกันภัยต้องชดใช้ในส่วนต่อไปนี้

1. ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด
รวมถึงค่าเดินทางไปพบแพทย์ ค่ากายภาพบำบัด และค่าฟื้นฟูร่างกาย

2.  ค่าขาดรายได้จากการหยุดงาน
ต้องคิดตามรายได้จริง ไม่ใช่เพียง “วันละ 350 บาท” แบบที่บริษัทบางแห่งตั้งขึ้นเองโดยไม่มีหลักเกณฑ์

3.  ค่าทนทุกข์ทรมานจากการบาดเจ็บ
ศาลสามารถพิจารณาให้ได้ตามสภาพความเสียหาย เช่น ความเจ็บปวด ความพิการ หรือผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต

4.  ค่าขาดโอกาสทางอาชีพ
เช่น หากผู้เสียหายมีอาชีพอิสระ แล้วไม่สามารถรับงานได้ในช่วงพักฟื้น

ดังนั้น หากบริษัทประกันภัยบอกว่า “ไม่จ่าย” หรือ “ให้ไปฟ้องเอา” นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้เสียหายไม่มีสิทธิ แต่เป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบในทางที่ไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย

เหตุใดบริษัทประกันภัยจึงกล้าท้าให้ผู้เสียหายไป “ฟ้องเอา”?

เพราะพวกเขารู้ดีว่า

  • คนทั่วไป “ไม่มีความรู้ทางกฎหมาย”
  • ไม่รู้ขั้นตอนการฟ้องร้อง
  • คิดว่าทนายความแพง
  • และสุดท้ายเลือก “ยอมรับเงินเท่าที่ให้”

แต่นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นซ้ำ ๆ
บริษัทบางแห่งจึงกล้าพูดได้เต็มปากว่า “อยากได้มากกว่านี้ ไปฟ้องเอา” เพราะมั่นใจว่าเหยื่อส่วนใหญ่จะไม่กล้า

แต่สำหรับ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ และ ทนายอาร์ม เราเชื่อว่า “ความจริง” และ “สิทธิของประชาชน” ต้องมาก่อนผลประโยชน์ขององค์กร

ประกันภัยที่ดี ควรรับผิดชอบ ไม่ใช่ผลักภาระ

บริษัทประกันภัยมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องดูแล เยียวยา และจ่ายค่าชดเชยให้ผู้เสียหายอย่างเป็นธรรม
ไม่ใช่ใช้ความได้เปรียบทางกฎหมายมาข่มขู่ หรือบอกให้ประชาชนธรรมดา “ไปฟ้องเอาเอง”

เพราะในความเป็นจริง คนที่นอนเจ็บอยู่บ้าน คนที่ยังเดินไม่ได้ คนที่ต้องหยุดงานขาดรายได้
พวกเขาไม่ควรถูกทิ้งไว้ข้างหลังเพียงเพราะไม่มีทนายอยู่ข้างตัว

ถ้าเจอประกันท้าให้ฟ้องแบบนี้จะทำอย่างไรดี?

หลังเกิดอุบัติเหตุ หลายคนมักเลือกเชื่อบริษัทประกันภัยที่บอกว่า “รอให้ร่างกายหายดีก่อน” ค่อยว่ากันเรื่องเคลม แต่ในความเป็นจริงนี่คือความเข้าใจผิดที่อาจทำให้คุณเสียสิทธิ์โดยไม่รู้ตัว เพราะ “อีกฝ่าย” ไม่ว่าจะเป็นคู่กรณีหรือบริษัทประกันภัย เขามีทีมกฎหมายพร้อมตั้งแต่ “รถยังไม่ทันชนด้วยซ้ำ”

บริษัทประกันภัยมีฝ่ายทนายและเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านคดีโดยตรง ที่ถูกเตรียมไว้เพื่อ “ปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท” ตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับผู้เสียหาย การเรียกเอกสาร หรือแม้แต่การตีความข้อกฎหมาย ทุกขั้นตอนล้วนมีเป้าหมายเพื่อ “ลดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายให้ได้น้อยที่สุด”

ในขณะที่ประชาชนทั่วไปกลับต้อง “สู้ด้วยมือเปล่า” ทั้งเจ็บตัว เสียงาน และยังขาดความรู้ทางกฎหมายอีกด้วย ดังนั้น อย่ารอให้แผลหายก่อนถึงค่อยหาทนาย เพราะทุกนาทีหลังเกิดเหตุคือ “โอกาสสำคัญในการปกป้องสิทธิ์ของคุณ”

คุณสามารถมีทนายความอยู่ข้างตัวตั้งแต่วันแรกที่รถชนได้เช่นกัน เพื่อให้มีผู้เชี่ยวชาญดำเนินการทั้งด้านเอกสาร การเจรจากับบริษัทประกันภัย และคำนวณมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง  ไม่ใช่ตัวเลขที่บริษัทประกันภัยกำหนดอยู่ฝ่ายเดียว

1. อย่าเพิ่งยอมเซ็นยอมรับเงินชดเชยน้อย ๆ
เพราะเมื่อคุณเซ็นรับเงินและลงชื่อในเอกสารยอมความแล้ว จะถือว่าคดี “สิ้นสุดสิทธิ์เรียกร้อง” ทางกฎหมายในอนาคตทันที แม้ภายหลังจะพบว่าความเสียหายมากกว่านั้น คุณก็ไม่สามารถเรียกเพิ่มได้อีก

2. รวบรวมหลักฐานทุกอย่างไว้ให้ครบถ้วน
เช่น ใบรับรองแพทย์ ใบหยุดงาน ใบเสร็จค่ารักษาพยาบาล หลักฐานการเดินทาง หรือแม้แต่แชตที่พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ประกันภัย ทุกอย่างล้วนสำคัญ เพราะเอกสารเหล่านี้คือ “หลักฐานยืนยันสิทธิ์” ของคุณในการเรียกร้องค่าเสียหาย

3. ปรึกษาทนายความโดยเร็วที่สุด
อย่าปล่อยให้ตัวเองต่อรองตามลำพัง เพราะในขณะที่บริษัทมี “ทีมทนายตั้งแต่วันแรก” คุณก็ควรมี “ทนายของคุณเอง” ที่พร้อมดำเนินการเรียกค่าเสียหาย ตรวจสอบเอกสาร และดำเนินการเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายให้ครบถ้วน เพื่อให้คุณได้รับ “ความยุติธรรม ไม่ใช่แค่เงินเยียวยา”

กรณีที่ผู้เสียหายได้รับคำตอบว่า “อยากได้มากกว่านี้ให้ไปฟ้องเอา” เป็นตัวอย่างของความไม่เป็นธรรมที่ยังคงเกิดขึ้นในระบบประกันภัยของไทย และสะท้อนว่าบางบริษัทอาจลืมไปว่า “ลูกค้า” คือคนที่ไว้วางใจจ่ายเบี้ยให้ทุกปี เพื่อแลกกับ “ความคุ้มครองในวันที่ต้องการที่สุด”

ดังนั้น หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญเหตุการณ์แบบเดียวกัน อย่ายอมให้คำพูดเหล่านี้ทำให้สิทธิตามกฎหมายของคุณหายไป

บริษัทประกันภัยมีทนายไว้ก่อนเกิดเหตุ ถึงเวลาที่ผู้เสียหายต้องมีทนายไว้เช่นกัน

เมื่อเกิดอุบัติเหตุ รถพัง–คนเจ็บ–ชีวิตสะดุด บริษัทประกันภัยอาจเป็นชื่อแรกที่เรานึกถึงในฐานะ “ผู้ช่วยเหลือ” แต่ความจริงที่หลายคนเพิ่งได้รู้ คือ บริษัทประกันภัยไม่ใช่เพื่อนของผู้เสียหาย พวกเขาคือ “คู่สัญญาทางธุรกิจ” ที่มีหน้าที่จำกัดความรับผิดชอบให้ได้น้อยที่สุด และมีทีมทนายพร้อมตั้งแต่วันแรกที่เหตุเกิด

ในทางกลับกัน ผู้ประสบภัยกลับต้องสู้ตามลำพัง ทั้งที่เจ็บกาย เจ็บใจ และไม่รู้ว่ากฎหมายให้สิทธิ์อะไรบ้าง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คุณ ไม่ควรยอมรับตัวเลขชดเชยที่ไม่เป็นธรรม หรือคำพูดกดดันอย่าง “อยากได้มากกว่านี้ให้ไปฟ้องเอา”

เพราะ “คุณมีสิทธิ์ตามกฎหมาย” ที่จะได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสม ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดรายได้ ค่าทนทุกข์ทรมาน และค่าเสียหายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจริง และคุณมีสิทธิ์จะมี “ทนาย” เพื่อยืนหยัดต่อสู้บนความยุติธรรมเช่นเดียวกับพวกเขา

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ โดยทนายอาร์ม พร้อมอยู่เคียงข้างคุณตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ
ไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษา คำแนะนำ ตลอดไปจนถึงการตกลงให้ทนายความเดินเรื่องเรียกค่าเสียหาย เราพร้อมเป็น “เสียงของผู้เสียหาย” ที่จะไม่ปล่อยให้คำพูดของบริษัทประกันภัยมากำหนดคุณค่าของชีวิตคุณได้อีกต่อไป รถชนเรียกค่าเสียหาย คลิก >>ติดต่อเรา<<

ประกันภัยมีสิทธิ์เหมาซ่อมรถลูกค้าไหม?

คำตอบคือ “มี” แต่ไม่มีสิทธิ์ทำให้ลูกค้าเสียหายได้

เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลายคนที่มีประกันภัยรถยนต์ก็มักจะรู้สึกอุ่นใจว่า “ยังไงก็ซ่อมได้” เพราะมีบริษัทประกันคอยรับผิดชอบ แต่สิ่งที่ผู้เอาประกันจำนวนมากอาจไม่รู้ คือ บริษัทประกันภัยมีวิธีการจัดการซ่อมรถหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ “การเหมาซ่อม” หรือ “การตีเหมาซ่อม” ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้ลูกค้าหลายคนรู้สึกว่า “รถที่ได้กลับมาไม่เหมือนเดิม” หรือบางครั้ง “ซ่อมไม่ดี ซ่อมไม่ครบ”

คำถามที่ตามมาคือ แล้วประกันภัยมีสิทธิ์เหมาซ่อมรถของลูกค้าหรือไม่?
คำตอบตามกฎหมายคือ “มีสิทธิ์”
 แต่! สิทธินั้นต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของความชอบธรรม และไม่ทำให้ผู้เอาประกันหรือผู้เสียหาย “เสียหายเพิ่มเติม” เพราะการซ่อมรถของลูกค้าคือการ “คืนสู่สภาพเดิม” ไม่ใช่การซ่อมเพื่อลดต้นทุนของบริษัทประกันภัยเอง

ทำความเข้าใจคำว่า “เหมาซ่อม” ของบริษัทประกันภัย

“การเหมาซ่อม” หมายถึง การที่บริษัทประกันภัยประเมินค่าเสียหายทั้งหมดเป็นก้อนเดียว แล้วตกลงราคากับอู่ซ่อมหรือศูนย์บริการ เพื่อให้ซ่อมรถของลูกค้าในราคาที่กำหนดไว้ เช่น รถเสียหายจากการเฉี่ยวชน บริษัทประกันประเมินว่าความเสียหายอยู่ที่ 40,000 บาท แล้วเหมาซ่อมกับอู่ในราคาเท่านี้ โดยไม่ได้ให้ลูกค้าร่วมตัดสินใจในรายละเอียดการซ่อม

ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องปกติในเชิงธุรกิจ บริษัทประกันภัยย่อมต้องบริหารต้นทุนเพื่อไม่ให้ขาดทุน
แต่ปัญหาคือ การเหมาซ่อมมักกลายเป็นช่องทางที่บริษัทประกันภัยเลือกซ่อมแบบ “ประหยัดต้นทุน” มากกว่าการซ่อมให้ลูกค้าได้คุณภาพเดิมจริง ๆ

ลูกค้าหลายคนเจอปัญหา เช่น

  • ซ่อมไม่ครบตามจุดที่เสียหาย
  • ใช้อะไหล่เทียมหรืออะไหล่มือสอง
  • งานสีไม่เนียน ไม่ตรงกับของเดิม
  • หรือแย่ที่สุดคือ “ซ่อมไม่จบ” ต้องเข้าซ่อมซ้ำหลายรอบ

สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า แม้บริษัทประกันภัยจะมีสิทธิ์เหมาซ่อมจริง แต่ไม่ใช่สิทธิ์ที่จะ “ละเมิดสิทธิของลูกค้า”

สิทธิของลูกค้าตามกฎหมายคือ “ต้องได้รถคืนในสภาพเดิม”


ตามหลักของประกันภัยรถยนต์ การซ่อมรถหลังเกิดอุบัติเหตุ คือการ “คืนสู่สภาพก่อนเกิดเหตุ” นั่นหมายความว่า รถของคุณต้องกลับมาอยู่ในสภาพใกล้เคียงเดิมที่สุด ทั้งในด้านโครงสร้าง สี ความปลอดภัย และการใช้งาน

ดังนั้น หากบริษัทประกันเลือกซ่อมแบบเหมาที่ทำให้รถคุณเสียหายมากขึ้น หรือคุณภาพลดลง การกระทำนั้นอาจถือเป็น “การละเมิด” (Tort)
 เพราะบริษัทประกันภัยใช้อำนาจตามสัญญาโดยไม่สุจริตและทำให้ผู้เอาประกันได้รับความเสียหาย

ในทางกฎหมาย แม้บริษัทประกันจะเป็นคู่สัญญา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรก็ได้กับรถของลูกค้า สิทธิของลูกค้าคือการได้รับการซ่อมแซมอย่างเป็นธรรม และได้ผลลัพธ์ที่เทียบเท่ากับสภาพเดิม การคำนึงเพียงผลประโยชน์ของบริษัทเอง ไม่ใช่เหตุผลที่กฎหมายจะยอมรับได้

มุมมองจากทนายอาร์ม : เหมาซ่อมได้ แต่ต้อง “ไม่ทำให้คนอื่นเสียหาย”

ทนายอาร์มอธิบายว่า
“คำถามว่าประกันภัยมีสิทธิ์เหมาซ่อมไหม คำตอบคือมี แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำให้ลูกค้าเดือดร้อน”

สิทธิในการบริหารงานของบริษัทประกันภัยเป็นสิ่งที่กฎหมายรับรอง แต่สิทธินั้นต้องอยู่ภายใต้กรอบของความสุจริตและความรับผิดชอบ เช่นเดียวกับหลักในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ที่ว่า

“ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน”

นั่นหมายความว่า ถ้าการเหมาซ่อมของบริษัทประกันเป็นเหตุให้ลูกค้าได้รับความเสียหายเพิ่มเติม เช่น รถมีปัญหาหลังซ่อม สีไม่ตรง หรือประสิทธิภาพการใช้งานลดลง ก็เข้าข่าย “ละเมิด” ได้ทันที

และอย่าลืมว่า ในทางกฎหมาย “รถยนต์” ไม่ใช่แค่ทรัพย์สินที่มีมูลค่า แต่ยังเกี่ยวข้องกับ “ความปลอดภัยในการใช้งาน” หากซ่อมไม่ดีแล้วเกิดอุบัติเหตุซ้ำในอนาคต บริษัทประกันภัยอาจต้องรับผิดในทางแพ่งหรืออาญาได้ด้วย

ทำไมควรปรึกษาทนายตั้งแต่เริ่มเรียกร้องค่าเสียหาย?

เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วต้องมีการซ่อมรถ สิ่งที่เจ้าของรถควรทำทันทีคือ “ถามให้ชัดตั้งแต่ต้น” ว่า
บริษัทประกันจะซ่อมที่ไหน ซ่อมอย่างไร และมีสิทธิ์เลือกอู่หรือศูนย์บริการเองได้หรือไม่

เพราะหากคุณปล่อยให้บริษัทประกัน “เหมาซ่อมเองทั้งหมด” โดยไม่ตรวจสอบสัญญาหรือเงื่อนไข
ผลลัพธ์อาจคือการได้รถคืนในสภาพที่ไม่เหมือนเดิม แต่ต้องมานั่งเสียเวลาเรียกร้องภายหลัง ซึ่งทั้งเสียเวลา เสียเงิน และเสียความรู้สึก

การปรึกษาทนายความตั้งแต่แรกจะสามารถให้คุณ

  • เข้าใจสิทธิของตัวเองตามกรมธรรม์
  • รู้ว่าการซ่อมแบบใดที่คุณมีสิทธิ์เลือก
  • และหากบริษัทประกันทำผิดเงื่อนไข ทนายสามารถดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนหรือฟ้องร้องได้อย่างถูกวิธี

สิทธิ์ของประกันมีได้ แต่ต้องอยู่บนความเป็นธรรมของลูกค้า

สุดท้ายนี้ สิทธิของบริษัทประกันภัยในการเหมาซ่อมรถลูกค้าถือว่า “มีอยู่จริง”
แต่สิทธิ์นั้นต้องไม่ละเมิดสิทธิของผู้เอาประกันภัย
การซ่อมต้องคืนสภาพรถให้ใกล้เคียงเดิมที่สุด ไม่ใช่ซ่อมเพื่อลดต้นทุนจนลูกค้าเดือดร้อน

หากคุณเกิดอุบัติเหตุแล้วต้องซ่อมรถ อย่ารอให้เรื่องซับซ้อนหรือเสียหายหนักก่อนถึงจะมาหาทนาย
 ปรึกษาทนายตั้งแต่เริ่มต้น คือทางออกที่ดีที่สุดในการคุ้มครองสิทธิ์ของคุณ

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามีทีมทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยและการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการเรียกร้องกับบริษัทประกันภัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้คุณได้รับสิทธิ์เต็มจำนวน และรถของคุณกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยไม่เสียเปรียบ

ให้เรา “ซ่อมสิทธิ์ของคุณ” ให้กลับมาครบ เหมือนรถที่ซ่อมดีตั้งแต่แรก

ประกันภัยไม่จ่ายแถมท้าให้ฟ้อง อ้างนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ได้เหรอ?

กลับคำ!!! ปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม ทั้งที่ตอนแรกประกันบอกรับผิดชอบ และลูกความได้เอารถเข้าซ่อมระยะเวลาเป็นเดือน

สุดท้ายประกันโทรมา อ้างเรื่องการวัดผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ทั้งที่ลูกความเป่าได้เพียง 14 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันอ้างว่าก่อนที่จะเป่าปริมาณแอลกอฮอล์จะต้องมากกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

ซึ่งตามที่กฎหมายกำหนดจะต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และไม่รับผิดชอบอะไรเลย แถมประกันยังให้ลูกความหาทนายไปฟ้องร้องเอาถ้าอยากจะสู้คดี…

 นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังหลายเคสหลายเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายหลายท่านเจอบริษัทประกันภัยนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง นำมาอ้างปฏิเสธการจ่าย เรียกได้เป็นกลยุทธ์เด็ดกลยุทธ์หนึ่งของบริษัทที่มักนำมาใช้อ้างหลังจากเกิดอุบัติเหตุเป็นหลักเลยก็ว่าได้ แต่กรณีในคลิปด้านล่างนี้เป็นเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายไม่คิดว่าบริษัทประกันภัยที่ดูมีความน่าเชื่อถือ ที่เขาเชื่อใจซื้อประกันนภัยกับที่นี่ จะตอบแทนเขาด้วยการปฏิเสธการรับผิดชอบอย่างไม่ใยดีเกี่ยวกับปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่าย

เหตุการณ์ คือ ผู้เสียหายท่านนี้ไปเที่ยวและขับรถกลับประมาณ 03.00 น.  โดยขับรถออกจากสถานที่เที่ยวมาได้เพียง 100 เมตรเท่านั้น ด้วยความที่ถนนเป็นวันเวย์ไม่มีเลนสวน ประกอบกับบริเวณข้างทางได้มีรถกระบะคันหนึ่งท้ายกระบะยื่นออกมาจอดขวางอยู่ จึงทำให้รถผู้เสียหายเกี่ยวเข้ากับท้ายของรถกระบะคันดังกล่าว โดยตรงที่เบียดโดนรถกระบะคู่กรณีไม่เป็นอะไรเลย แต่รถของผู้เสียหายมีการครูดจากด้านหน้าไปจนถึงด้านหลัง และครูดด้านข้าง และตัวรถไม่ได้มีรอยยุบแต่อย่างใดปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่าย

ซ่อมไปแล้ว 1 เดือน อยู่ ๆ มาปฏิเสธกันดื้อ ๆ

หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุดังกล่าว บริษัทประกันก็ได้ดำเนินการจัดซ่อมรถของผู้เสียหายตามปกติ และรถของผู้เสียหายได้ซ่อมไปแล้วเป็นเวลา 1 เดือน แต่หลังจากนั้นประกันภัยได้โทรกลับมาบอกกับผู้เสียหายว่า “ไม่รับผิดชอบการซ่อมรถให้ผู้เสียหายแล้วนะ” นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังผู้เสียหายถึงกับงงจากที่ตอนแรกประกันภัยรับผิดชอบแล้ว อยู่ ๆ ก็โทรมาบอกว่าไม่รับผิดชอบแล้วซะอย่างนั้น ปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่าย ข้ออ้างที่ประกันโทรมาปฏิเสธผู้เสียหายอย่างดื้อ ๆ ก็คือ ผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง โดยข้อเท็จจริงหลังเกิดเหตุผู้เสียหายเป่าแอลกอฮอล์ได้เพียง 14 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ภายหลังนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังประกันดันโทรมากลับคำบอกว่า ผู้เสียหายมีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์  ปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่าย ซึ่งตามกฎหมายและผู้เสียหายก็ทราบดีและเข้าใจว่าห้ามเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และตัวผู้เสียหายเองก็มีปริมาณแอลกอฮอล์เพียง 14 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงเกิดอาการงงและตั้งคำถามว่า นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังประกันภัยนึกจะปฏิเสธก็ปฏิเสธกันดื้อ ๆ แบบนี้เลยหรือเกี่ยวกับปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่าย

ประกันภัยยันไม่รับผิดชอบ ท้าให้ไปหาทนายฟ้องร้องเอา

หลังจากโทรมาแจ้งปฏิเสธไม่รับผิดชอบนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังต่อผู้เสียหายยังไม่พอ ทางประกันจอมเจ้าเล่ห์หักหลังบอกกับผู้เสียหายว่า “ให้ไปหาทนายฟ้องร้องเอา” และยืนยันไม่รับผิดชอบอีกต่อไป ซ้ำยืนยันปฏิเสธอย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตัดสินไปแล้ว บอกว่าเหตุเกิดจากความประมาท เจอแบบนี้ผู้เสียหายถึงกับเงิบเลยทีเดียวเมื่อเจอบริษัทประกันนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังมาปฏิเสธความรับผิดชอบ

ความรู้สึกของผู้เสียหายหลังถูกประกันปฏิเสธอย่างไม่ใยดี

หากถามถึงความรู้สึกหลังถูกนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังนั้น การที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่ายผู้เสียหายตอบว่าตนไม่เข้าใจการกระทำของบริษัทประกันภัยอย่างมาก อีกทั้งก็ได้มีการโทรไปต่อว่าทางประกันภัยเหมือนกันว่า “ทำไม เราซื้อประกันภัยกับเขา บริษัทต้องคุ้มครองดูแลเรา”  ณ ตอนนั้นผู้เสียหายรู้สึกว่า ตนก็เป่าแอลกอฮอล์ได้เพียง 14 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์  ซึ่งตามหลักแล้วบริษัทประกันต้องดูแลคุ้มครอง แต่ดันกลับมานับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังปฏิเสธลูกค้า และทิ้งลูกค้าเผชิญหน้าทิ้งกันกลางทางอยู่คนเดียว ในส่วนรถของผู้เสียหายจากที่ตอนแรกบริษัทเอาไปดำเนินการซ่อมก็กลับมาทิ้งให้ผู้เสียหายแบกรับภาระและจัดการเองทั้งหมด  ทั้ง ๆ ที่ซ่อมไปแล้ว 1 เดือน

หลังเจอประกันท้าหาทนายฟ้อง ผู้เสียหายตัดสินใจติดต่อเรา

หลังจากผู้เสียหายถูกประกันนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังทิ้งกลางทางแบบดื้อ ๆ อีกทั้งยังท้าให้หาทนายฟ้องร้องเอาเองอีก จึงไม่รอช้ารีบติดต่อหาทนายทันทีแบบไม่คิด เพราะที่เจอมาทั้งหมด เรียกได้ว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่มาเจอเหตุการณ์และบริษัทประกันภัยแบบนี้ เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุก็เจ็บช้ำใจมากพออยู่แล้ว ปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่าย หลงอุ่นใจว่ามีบริษัทประกันดี อุ่นใจว่ารถมีประกันภัย และเชื่อมั่นอย่างสุดใจว่า บริษัทต้องช่วยเหลือคุ้มครองเราเหมือนอย่างตอนที่เขาให้เราซื้อประกันด้วย เจอประกันทิ้งกลางทาง แถมท้าให้ฟ้องก็จัดการให้ทนายอาร์มดำเนินคดีให้ทันที หากเจอมุกนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังแบบนี้ต้องปรึกษาทนายเท่านั้น

มีทนายไว้อุ่นใจกว่า

ไม่ต้องรอให้ประกันภัยนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังงัดมุกไหนมาหัวหมอใส่ หลังเกิดเหตุรีบปรึกษาทนายทันที เพราะมีทนายไว้ตั้งแต่แรกอุ่นใจ และสะดวกกว่าในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น

-ไม่ต้องคุยหรือเจรจากับประกัน จึงไม่ต้องไปเสียรู้กับกลยุทธ์ของประกัน เพราะทนายจะคุยให้เอง

-ไม่ต้องเดินเรื่อง ติดตามผลเอง และไม่ต้องเสียเวลา เพราะทนายจะดำเนินการเดินเรื่องเรียกร้องให้ทั้งหมด

-ทนายจะเป็นผู้รักษาผลประโยชน์ให้กับผู้เสียหายตั้งแต่แรกเริ่มของการเดินเรื่องจนวินาทีสุดทท้ายที่คดีความสิ้นสุด  

เกล็ดความรู้ เมาแล้วขับ ต้องโดนปรับ แถมประกันก็ไม่จ่าย

 สาเหตุที่บริษัทประกันปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่ายปฏิเสธการรับผิดชอบต่อผู้เสียหายนั้น ก็เพราะว่าบริษัทประกันจะมีข้อกำหนดว่า “จะไม่จ่ายค่าเสียหายให้ หากตรวจพบว่าผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์” ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์เดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ในการแจ้งข้อหากรณีเมาแล้วขับ ถึงแม้จะทำประกันชั้น 1 ทางประกันก็ไม่รับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้นใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าเสียหายต่อผู้เอาประกันหรือคู่กรณี

แต่ถ้าถามว่า กรณีเมา แล้วประกันภัยรถยนต์ของคุณเป็นภาคสมัครใจไม่จ่าย แล้วประกันภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. รถยนต์ล่ะ จ่ายให้หรือไม่ ?

          คำตอบ คือ พ.ร.บ. จะจ่ายให้ ไม่ว่าคุณจะเมาไม่มีใบขับขี่ หรือทำผิดกฎหมายจราจรข้อใด พ.ร.บ.ก็จ่ายค่าเสียหายชดเชยให้หมดเมื่อเกิดเหตุ พ.ร.บ. จะจ่ายให้กับคู่กรณี และจ่ายแค่ความเสียหายต่อบุคคลเท่านั้น ส่วนความเสียหายต่อรถของคู่กรณีคุณต้องจ่ายค่าเสียหายชดใช้ให้แก่คู่กรณีเองทั้งหมด

          ดังนั้น หากเมาแล้วอย่าขับเลยจะดีกว่า เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจนำมาซึ่งความเสียหายต่อทรัพย์สิน เสียประวัติ แถมยังเสียเงิน มีแต่เสียกับเสียแบบนี้ไม่ดีแน่

ถ้าคุยกับประกันมันยาก มาคุยกับเราดีกว่า ที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

ประกันภัยจอมเจ้าเล่ห์หงายการ์ด ก่อนเกิดเหตุต้องเมาแน่

 แบบนี้ก็มีด้วยหรือเกิดอุบัติเหตุแล้วโดนจับเป่าแอลกอฮอล์ แต่ผลออกมาไม่ถึง 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ กลับถูกประกันนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังอ้าง…ก่อนเกิดเหตุ ต้องเกินจากนั้นแน่นอน หัวหมอใส่ผู้เสียหายทันทีรีบหงายการ์ดทีเด็ดยกสูตรคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่าย มาปฏิเสธการชดใช้ อ้างว่าก่อนเป่าผู้ขับขี่ต้องเมากว่านี้แน่    กลยุทธ์แบบนี้นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังรีบรู้ไว้แล้วจำให้ขึ้นใจ หากเจอบริษัทกันภัยทำแบบนี้ใส่ อย่าไปยอมเสียรู้ตกเป็นเหยื่อเด็ดขาดปรึกษาทนายด่วน  

ฝากถึงผู้เสียหายทุกท่านที่ถูกนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ถ้าคุยกับประกันมันยาก มาคุยกับเราดีกว่า สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ดำเนินการโดยทนายอาร์ม ทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์มือหนึ่งยินดีให้บริการ

เคสตัวอย่างเรียกค่าสินไหมทดแทนรถชน : พอมีทนายจ่ายง่าย ไม่ต้องรอให้ “หายดีก่อน”

อุบัติเหตุทางถนนถือเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดแล้ว สิ่งที่ผู้เสียหายทุกคนควรได้รับคือ สิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทนรถชน เพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงทั้งร่างกาย จิตใจ และทรัพย์สิน ทว่าในความเป็นจริง หลายครั้งบริษัทประกันภัยกลับพยายามเลี่ยงหรือชะลอความรับผิดชอบ โดยใช้คำพูดที่ทำให้ผู้เสียหายลังเล เช่น “รักษาตัวให้หายดีก่อนแล้วค่อยมายื่นเรื่อง” ทั้งที่ตามกฎหมาย ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องได้ทันทีตั้งแต่วันเกิดเหตุ

บทความนี้จะพาไปดูเคสของ นาย A ผู้บาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุรถชน ที่ตัดสินใจไม่หลงเชื่อคำพูดของบริษัทประกัน แต่เลือกปรึกษาทนายความและเดินหน้าดำเนินการทันที ผลลัพธ์คือได้รับค่าสินไหมทดแทนอย่างรวดเร็ว ต่างจากผู้ที่รอให้ “หายดีก่อน” อย่างสิ้นเชิง

เคสจริงที่สะท้อนปัญหา: รอไปก็เสียสิทธิ

นาย A ประสบอุบัติเหตุรถชนจนบาดเจ็บสาหัส ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ตอนแรกเมื่อครอบครัวติดต่อไปยังบริษัทประกัน กลับได้รับคำแนะนำว่า

“ให้รักษาตัวให้หายดีก่อน แล้วค่อยมาเรียกร้องทีหลังก็ได้”

หากเป็นผู้เสียหายทั่วไปที่ไม่รู้สิทธิ อาจจะเชื่อตามคำแนะนำนี้ แล้วเลือกที่จะรอ แต่โชคดีที่นาย A ตัดสินใจไม่รอ เขาและครอบครัวเลือกปรึกษาทนายอาร์มจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เพื่อให้ดำเนินเรื่องเรียกค่าสินไหมทดแทนรถชนทันที แม้ยังรักษาตัวไม่หาย

ผลลัพธ์ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะหลังจากสำนักงานของเราส่งหนังสือทวงถาม (โนติส) ไปยังบริษัทประกัน ไม่ถึง 1 เดือน บริษัทรีบติดต่อกลับมาขอชำระค่าสินไหมทดแทนโดยเร็ว

ทำไมบริษัทประกันไม่จ่ายตั้งแต่แรก ทั้งที่ก็จ่ายได้?

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “ทำไมบริษัทประกันไม่จ่ายตั้งแต่แรก ทั้งที่ก็จ่ายได้?”

คำตอบง่าย ๆ คือ การที่ผู้เสียหายไม่รู้สิทธิ หรือไม่มีทนายเป็นที่ปรึกษา ย่อมทำให้บริษัทประกันมีโอกาส ยืดเวลา เลี่ยงความรับผิดชอบ หรือจ่ายน้อยกว่าที่ควรจะจ่าย ได้ง่ายมาก

การพูดว่า “รอให้หายดีก่อน” ดูเผิน ๆ อาจฟังเหมือนเป็นคำแนะนำด้วยความห่วงใย แต่ความจริงแล้วนี่คือ กลยุทธ์ของบริษัทประกันภัย เพราะเมื่อถึงเวลาที่ผู้เสียหายรักษาหายดีแล้ว บริษัทมักใช้เหตุผลว่า

  • “ในเมื่อแผลหายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายมาก”
  • “เดินได้เป็นปกติแล้ว จะเรียกร้องค่าเสียหายสูง ๆ ทำไม”

ผลก็คือ ผู้เสียหายถูกตีมูลค่าความเสียหายให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ทั้งที่ความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน และผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ได้เกิดขึ้นไปแล้วตั้งแต่วันแรกของอุบัติเหตุ

ดังนั้น การรอจนรักษาหายจึงไม่ใช่ข้อดี แต่เป็นการเสียเปรียบในคดีและเสียสิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทนอย่างเต็มที่ ทั้งที่ความเสียหายสามารถประเมินและเรียกร้องได้ตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ

สิทธิของผู้เสียหาย: เรียกค่าสินไหมทดแทนรถชนได้ทันที

ตามหลักกฎหมาย ผู้เสียหายจากอุบัติเหตุรถชนสามารถ เรียกค่าสินไหมทดแทนรถชน ได้ตั้งแต่วันเกิดเหตุ ไม่ว่าจะเป็น

  • ค่ารักษาพยาบาล (ทั้งปัจจุบันและอนาคตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น)
  • ค่าเสียรายได้ ระหว่างที่ต้องหยุดงาน
  • ค่าฟื้นฟูร่างกายหรือจิตใจ
  • ค่าเสียหายเชิงจิตใจ สำหรับความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน
  • ค่าเสียหายต่อทรัพย์สิน เช่น ค่าซ่อมรถ ค่าของเสียหายอื่น ๆ

ที่สำคัญ หากคดีถึงศาล ศาลยังสามารถ “สงวนสิทธิ” ให้ผู้เสียหายเรียกร้องในอนาคตเพิ่มเติมได้อีก เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเสียหายที่อาจปรากฏภายหลัง

ทำไมต้องมีทนายเดินเรื่องให้?

สิ่งที่เคสของนาย A สะท้อนอย่างชัดเจนคือ การมีทนายทำให้บริษัทประกันไม่กล้าเพิกเฉย เพราะทนายความรู้ช่องทาง รู้สิทธิ และรู้ทันเทคนิคทางกฎหมายของบริษัทประกันภัยเพื่อให้บริษัทรีบจ่ายตามความเสียหายจริง

ในขณะที่ผู้เสียหายทั่วไปอาจไปยื่นเรื่องเอง และต้องเจอกับคำตอบแบบเดิม ๆ เช่น

  • “เอกสารยังไม่ครบ”
  • “รอรักษาตัวให้หายก่อน”
  • “บริษัทจะพิจารณาให้อีกที”

ซึ่งทำให้เสียเวลาและเสียสิทธิอย่างมหาศาล

อย่าปล่อยให้คำพูดของประกันทำให้คุณเสียสิทธิ

เคสของนาย A แสดงให้เห็นชัดว่า การมีทนายเข้ามาเดินเรื่องให้ตั้งแต่ต้น ทำให้ เรียกค่าสินไหมทดแทนรถชน ได้อย่างรวดเร็วและเต็มจำนวน โดยไม่ต้องทนรอคำว่า “รักษาตัวให้หายดีก่อน” จากบริษัทประกัน

หากคุณหรือคนใกล้ตัวประสบอุบัติเหตุ อย่าปล่อยให้สิทธิหลุดลอยไปเพียงเพราะคำพูดของประกัน ควรรีบเก็บหลักฐาน ติดต่อทนายความ และดำเนินการเรียกร้องทันที เพื่อให้คุณได้รับความยุติธรรมและชดเชยความเสียหายอย่างแท้จริง

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ พร้อมยืนเคียงข้างคุณทุกคดี

✍️ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ นำโดย ทนายอาร์ม และทีมงานมืออาชีพ พร้อมยืนเคียงข้างคุณทุกคดี เพื่อให้คุณได้รับสิทธิและค่าสินไหมทดแทนที่ควรได้รับอย่างเต็มที่

โดนหลอกอีกแล้ว!!! บริษัทประกันภัยหลอก “รักษาตัวให้หายดีก่อน”

รักษาตัวให้หายดีก่อน ประโยคแสดงความเป็นห่วงเป็นใยจากบริษัทประกันภัยหัวแพทย์ ที่ฟังแล้วดูแล้วรู้สึกถึงความใส่ใจและหวังดี แต่แท้ที่จริงแล้วนี่เป็นประโยคเริ่มต้นของการหวังดีแต่ประสงค์ที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนหรือผู้บริโภค เมื่อไรที่ถูกบริษัทประกันภัยพูดคำนี้ รักษาตัวให้หายดีก่อน ไม่ใช่เพราะเขาเป็นห่วง แต่เป็นเพราะเขาจะประวิงเวลาการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายทั้งหลายนั่นเอง

ประกันภัยหรือผี หลอกผู้เสียหายรักษาตัวให้หายดีก่อนถึง 3 ครั้ง

ครั้งที่ 1

ผู้เสียหายท่านนี้ประสบอุบัติเหตุคู่กรณีมาชนท้าย ได้บาดเจ็บสาหัสช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 64 เจอประกันภัยแสดงความหวังดีทันทีว่าให้ รักษาตัวให้หายดีก่อน โดยผู้เสียหายท่านนี้บาดเจ็บสาหัสถึงขั้นนอนรพ. นานร่วมสัปดาห์ด้วยอาการกระดูกก้นกบหัก รักษาอาการบาดเจ็บที่รพ. ยังไม่พอ ต้องกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านอีกเป็นเวลากว่า 2 เดือน

ครั้งที่ 2

ผู้เสียหายยังเล่าว่า ตลอดระยะเวลาที่ตนนั้นนอนพักรักษาตัวที่รพ. บริษัทประกันภัยไม่มีการติดต่อใด ๆ มายังผู้เสียหายเลย เรียกได้ว่าเงียบสนิทหลังจากบอกให้ผู้เสียหายไป รักษาตัวให้หายดีก่อน ผู้เสียหายก็รอแล้วรอเล่าก็ไม่ได้รับการติดต่อจากบริษัทประกันภัยแต่อย่างใด ผู้เสียหายทนไม่ไหวเห็นเงียบหายนาน จนต้องเป็นผู้พยายามติดต่อหาประกันเองทั้งที่ตนยังบาดเจ็บและยังต้องรักษาตัว หลังจากที่ติดต่อประกันได้ จึงได้นัดคุยกันที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง เมื่อได้พบปะพูดคุยกัน ประกันภัยยังย้ำต่อผู้เสียหายอีกครั้งว่าให้ รักษาตัวให้หายดีก่อน  ผู้เสียหายก็หลงเชื่อคำประกันบอกจึงไม่ได้เอะใจอะไร

ครั้งที่ 3

จนระยะเวลาผ่านไปหลายเดือน ผู้เสียหายรอจนถึงช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 64 ผู้เสียหายตัดสินใจติดต่อหาประกันภัยอีกครั้ง และได้นัดพูดคุยกับประกันภัยอีก แต่คราวนี้ผู้เสียหายอาการดีขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว สามารถนั่งได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ประมาณ 10 – 20 นาทีได้แล้วจากที่นั่งไม่ได้เลย แต่อาการยังไม่ดี 100% พอประกันภัยทราบดังนั้นว่าผู้เสียหายเริ่มอาการดีขึ้นตามคำบอกรักษาตัวให้หายดีก่อน จึงได้ออกกลอุบายต่อผู้เสียหายอีกครั้ง ทำทีว่าเป็นห่วงเป็นใยผู้เสียหายอีกว่า “หมอยังนัดดูอาการอยู่เลย” , “เรียกเท่านี้อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกนะ” , “อาจได้ไม่คุ้ม” และตบท้ายด้วยคำพูดยอดฮิตว่า “รักษาตัวให้หายดีก่อน” กับผู้เสียหายเป็นครั้งที่ 3 จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

ผู้เสียหายไหวตัวทันหลังเจอประกันภัยหลอก “รักษาตัวให้หายดีก่อน”

หลังจากได้นัดพูดคุยกันและถูกประกันภัยบอก รักษาตัวให้หายดีก่อน ถึง 3 ครั้งผู้เสียหายยังเล่าอีกว่าตั้งแต่เกิดเหตุมานี้เป็นระยะเวลากว่า 6 เดือนแล้ว ที่ไม่มีผลตอบรับหรือการติดต่อโทรถามแต่อย่างใดจากประกันภัยอีกเลย ผู้เสียหายเอะใจถึงพฤติกรรมของประกันภัย เพราะระยะเวลาก็ล่วงเลยมายาวนานพอสมควรหลังเกิดเหตุ จึงไหวตัวคิดว่าต้องพึ่งสำนักงานทนายความเข้าดำเนินคดี จนได้ไปเจอเฟซบุ๊กแฟนเพจของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ และช่อง YOUTUBE ที่เคยทำวิดีโอให้ความรู้ไว้ เมื่อศึกษาข้อมูลจากทั้งเพจและ YouTube ของสำนักงานทนายความ จึงได้ถึงบางอ้อว่า ตนถูกประกันหลอกให้รักษาตัวให้หายดีก่อนเหมือนเช่นเดียวกับเคสอื่น ๆ ที่ทางสำนักงานของเราเคยดำเนินคดีความให้  ผู้เสียหายท่านนี้จึงตัดสินใจเข้าปรึกษาทนายทันทีโดยไม่รอประกันแล้ว

3 ข้อเสีย เมื่อประกันภัยบอกให้ “รักษาตัวให้หายดีก่อน”

รักษาตัวให้หายดีก่อน หากจากคำนี้เมื่อไร ควรรีบปรึกษาทนายทันทีไม่ต้องรอให้ถูกประกันภัยหลอกแล้วหลอกเล่าเหมือนกรณีเคสตัวอย่างข้างต้นที่ถูกบริษัทประกันภัยหลอกให้ รักษาตัวให้หายดีก่อนถึง 3 ครั้งด้วยกันในระยะเวลากว่าครึ่งปี เพราะคำพูดหรือข้ออ้างต่าง ๆ ของบริษัทประกันภัย มักจะใช้เป็นข้ออ้าง เพื่อปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมให้แก่ผู้เอาประกันภัย จึงเป็นข้อระวังสำคัญที่ไม่ควรหลงเชื่อ

  • คดีอาจขาดอายุความ

 ทำให้ไม่สามารถขอเคลมหรือฟ้องร้องได้  เป็นเพียงกลยุทธ์ตื้นๆ ที่พอเมื่อเราเสียเวลาในการไปรักษาตัวให้หายดีแล้วจึงให้ไปติดต่อขอเคลมประกัน แต่บางกรณีต้องรักษาตัวเป็นเวลานาน จึงทำให้คดีขาดอายุความ ทำให้ไม่สามารถขอเคลมหรือฟ้องร้องใด ๆ ได้เลย

  • อาจหมดสิทธิ์ในการเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลในอนาคตได้

หลายท่านอาจยังไม่ทราบว่าในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เรามีสิทธิที่จะเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น สมมติว่าเราขาหักแล้วต้องใส่เหล็กดาม ทางประกันภัยก็ตีความว่าการรักษาพยาบาลเป็นอันสิ้นสุด จึงได้อนุมัติการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ และทำการเซ็นสัญญาประนีประนอม เป็นอันจบคดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทางแพทย์ก็ได้นัดให้ทำการผ่าเอาเหล็กดามออก ทีนี้เราจึงไม่สามารถกลับไปเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลเพิ่มเติมได้อีกแล้ว

  • บริษัทประกันอาจอนุมัติจ่ายค่าสินไหมให้น้อยกว่าเท่าที่ควร

เนื่องจากเห็นว่าเรารักษาตัวหายดีแล้ว เมื่อรักษาตัวให้หายดีแล้วตามที่ประกันบอก ก็ไม่มีบาดแผล หรือความเจ็บปวดใดที่จะไปเรียกร้อง เมื่อประกันเห็นว่าหายดีแล้ว ก็จึงจ่ายค่าสินไหมให้ตามสภาพอาการบาดเจ็บนั่นเอง

3 ข้อนี้เป็นเพียงแค่ข้อเสียเบื้องต้นเท่านั้น แต่มุกเด็ด หรือกุลยุทธ์เด็ด ๆ ของประกันภัยอีกมากมายที่บริษัทประกันภัยมักหยิบมาใช้อ้างเพื่อปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม เจอแบบนี้อย่าเพิ่งหลงเชื่อ รีบปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อเดินเรื่องหาทางออกให้ดีที่สุด สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ 

อย่าหลงเชื่อคำว่า “รักษาตัวให้หายดีก่อน” ปรึกษาทนายเพื่อปกป้องสิทธิของคุณ

เมื่อบริษัทประกันภัยบอกให้ “รักษาตัวให้หายดีก่อน” อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเป็นความหวังดี เพราะแท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงกลยุทธ์เพื่อประวิงเวลาและลดภาระการจ่ายค่าสินไหมทดแทนของพวกเขา การหลงเชื่ออาจทำให้คุณเสียสิทธิ เสียเวลา หรือแม้กระทั่งหมดโอกาสในการเรียกร้องสิ่งที่ควรได้รับ เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของเล่ห์เหลี่ยมบริษัทประกันภัย รีบปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญทันที เพราะการมีที่ปรึกษาทางกฎหมายที่ไว้ใจได้จะสามารถปกป้องสิทธิ และให้คุณได้รับความเป็นธรรมอย่างแท้จริงได้ ติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

เช็กลิสต์มุกยอดฮิตประกันภัย อย่าเสียรู้ เมื่อเกิดเหตุรีบติดต่อหาทนาย

ความรู้ดี ๆ จากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์วันนี้พามาเช็กลิสต์มุกยอดฮิตประกันภัย ไม่ให้ผู้เสียหายเสียรู้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุควรรีบติดต่อทนายทันทีไม่ต้องคิดนาน เพราะคุณจะไม่มีทางเสียประโยชน์จากการตัดสินใจหาทนายหลังจากเกิดอุบัติเหตุอย่างแน่นอน ทุกคนคงทราบกันดีว่าอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ทุกครั้งที่เกิดก็มีเรื่องให้ต้องติดต่อทนาย เพราะเมื่อไรที่มันเกิดขึ้นแล้วมักจะต้องมีผู้ได้รับบาดเจ็บ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือร้ายแรงไปถึงขั้นเสียชีวิต รวมไปถึงเกิดการเสียหายต่อทรัพย์สิน ผลกระทบต่อกระบวนการทำงาน และหรืออาจส่งผลเสียไปถึงสิ่งแวดล้อม หรือสาธารณชนได้อีกด้วย และอุบัติเหตุที่มักส่งผลเสียสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนมากที่สุดก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็น อุบัติเหตุทางรถทุกชนิดนั่นเอง ไม่ว่าจะรถจักรยานยนต์ หรือรถยนต์ ต่างก็ได้สร้างบาดแผล หรือบทเรียนชั้นดีให้กับผู้ประสบภัยได้มากถึงขั้นติดต่อทนาย เพราะจะมีตัวละครสำคัญอย่าง “ประกันภัย” เข้ามามีบทบาทด้วย และทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุและมีประกันภัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ไม่วายที่จะมีเรื่องให้ต้องติดต่อทนายกันหลายท่าน  หลังจากได้ตกเป็นผู้มีสถานะผู้เสียหายที่เรียกว่า “ผู้ประสบภัยจากรถ”

ทำไมบริษัทประกันภัยชอบสร้างบทเรียนให้ผู้ประสบภัย ?

หลายครั้งที่เกิดอุบัติเหตุทางยานพาหนะผู้ประสบภัยหรือผู้เสียหายก็มักจะอุ่นใจว่าเรานั้นมีประกันภัยรถอยู่ แต่ภายหลังต้องติดต่อทนาย ตอนที่ทำประกันภัยก็ได้ถูกบริษัทสร้างความเชื่อมั่นและเชื่อใจไว้อย่างเต็มเปี่ยมว่าเมื่อไรที่คุณเกิดอุบัติเหตุเขาจะอยู่เคียงข้าง จนวันหนึ่งคุณเกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บสาหัส หรือทรัพย์สินเสียหายขึ้นมา หลังจากนั้นประกันภัยจะเปลี่ยนจากญาติมิตรเป็นอื่นทันที

จากประสบการณ์การทำงานด้านกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์ ของ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์  มีผู้เสียหายหลายท่านได้ติดต่อทนาย ให้ดำเนินคดีเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกับบริษัทประกันภัยมากกว่า 1,000 เคสในระยะเวลากว่า 10 ปีนี้ วันนี้จึงอยากพาทุกท่านมาเช็กลิสต์มุกยอดฮิตของบริษัทประกันภัยกัน เพื่อไม่ให้ใครเสียรู้ในวันที่ได้สถานะว่าผู้เสียหายในวันเกิดอุบัติเหตุกัน

ลิสต์มุกยอดฮิตเล่ห์เหลี่ยมประกันภัย

  • รักษาตัวให้หายดีก่อน

         มุกเด็ดอันดับหนึ่งของบริษัทประกันภัยที่คนต้องติดต่อทนายกับคำว่า รักษาตัวให้หายดีก่อน ฟังดูแล้วก็เหมือนว่าเขาดูเป็นห่วงเป็นใยเราดี เพราะเขาอาจจะเห็นว่าเราบาดเจ็บสาหัส ถึงให้ไปรักษาตัวให้หายดีก่อน  แต่ความจริงแล้วคำนี้หวังดีประสงค์สิ่งใดกันแน่ มีผู้เสียหายจำนวนไม่น้อยที่ติดต่อทนายให้ดำเนินคดีให้ เพราะได้รับความเดือดร้อนจากการเป็นห่วงเป็นใยจากคำนี้

  •  ขอเอกสารการรักษาเพิ่มเติม

         หากคุณถูกบริษัทประกันภัยแจ้งคำนี้กับคุณเมื่อไร นั่นหมายถึงต้องติดต่อทนาย เพราะเขากำลังหยิบยื่นความเดือดร้อนมาให้ จำทริคง่าย ๆ ว่า ขอเอกสารการรักษาเพิ่มเติม เท่ากับ การประวิงเวลาการจ่าย บางเคสผู้เสียหายบาดเจ็บหนัก ให้เอกสารที่มีไปจนหมด แต่ก็ยังไม่วายต้องหอบหิ้วร่างกายอันบาดเจ็บเดินทางไปขอเอกสารบ่อย ๆ เสียเวลาร่วมหลายเดือนก็ยังไม่ได้รับค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยแต่อย่างใด จึงติดต่อทนายให้เข้าดำเนินการเพราะเห็นว่าเวลาล่วงเลยมานานไม่มีทีท่าว่าจะได้รับค่าเสียหายใด ๆ เลย

  • นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

         ทุกครั้งที่ติดต่อทนายก็มักมีผู้เสียหายเกิดอุบัติเหตุ  เมื่อผู้ขับขี่เป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์มีปริมาณไม่เกิน 50 Mg.% ก็เท่ากับว่าไม่ได้ #เมาแล้วขับ แต่ประกันภัย #นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง มักเอาเวลาที่เป่ากับเวลาที่ขณะเกิดเหตุไม่ตรงกัน มาคำนวณเป็นชั่วโมงนับย้อนหลัง อ้างว่า 1 ชั่วโมงเท่ากับปริมาณแอลกอฮอล์ 15 Mg.% แล้วบอกว่า “เกิน 50 MG.% แต่ไม่ยอมนับผลเป่าจริงขณะเกิดเหตุ ต่อให้คุณไม่ได้เมาแล้วขับ ก็กลับกลายว่าเมาขับจนได้ ต้องติดต่อทนายด่วน

  • ท่านยังรักษาไม่สิ้นสุด

         คำนี้ไม่ต่างอะไรกับให้ไป รักษาตัวให้หายดีก่อน  หนึ่งในผู้เสียหายของเราคนหนึ่งก็เคยถูกบริษัทประกันภัยแจ้งผลมาว่า “เนื่องจากยังรักษาไม่สิ้นสุด” ทั้งที่บาดเจ็บสาหัส มีหลักฐานการรักษา และยังต้องรักษาตัวต่อเนื่อง พอเจอคำนี้ไปผู้เสียหายถึงขั้นรีบติดต่อทนาย เจอประโยคนี้เมื่อไรต้องปรึกษาทนายอาร์มทันที

  • ไม่มีบัตรคนพิการ

        กรณีผู้เสียหายเกิดอุบัติเหตุตกเป็นบุคคลทุพพลภาพ แค่รู้ว่าต้องตกเป็นผู้พิการก็ใจเสียมากพออยู่แล้ว บริษัทประกันภัยยังมาปฏิเสธการจ่ายด้วยคำนี้อีก โดยให้เหตุผลว่า ไม่ถือว่าพิการ แต่อย่าลืมว่าไม่มีใครอยากตกเป็นผู้พิการ แม้ว่าจะยังไม่มีบัตร แต่มีใบรับรองความพิการจากหมอ ก็ถือว่าพิการแล้ว กับคนพิการยังจะเอาเปรียบอีกหรือ เจอแบบนี้ต้องติดต่อทนาย

  • เผื่อจะกลับมาเดินได้

          มุกนี้ประกันภัยไปทางเก่งกว่าหมอ หากเจอคำนี้ติดต่อทนายเลย อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด เพราะมันก็ชัดเจนว่าเขาจงใจประวิงเวลาการจ่ายไปเรื่อย อีกทั้งให้คำนึงว่าหากคุณต้องตกเป็นผู้พิการจริง ประโยคที่บอกว่า “เผื่อจะกลับมาเดินได้ ให้รักษาตัวไปก่อน” หมายถึงว่าเขาตั้งใจจะไม่จ่ายในส่วนของค่าความพิการหรือไม่  ให้คิดดี ๆ ว่าเขาหวังดีจริง หรือมีนัยแอบแฝงติดต่อทนาย

  • ยังไม่ได้รับเรื่อง/ยังไม่ทราบเรื่อง

        อีกหนึ่งกลยุทธ์ของบริษัทประกันภัยให้ติดต่อทนาย มักนำมาอ้างต่อผู้เสียหายว่า “ยังไม่ได้รับเรื่อง” “ไม่ทราบเรื่อง” ฯลฯ ประโยคทำนองนี้ให้รู้ไว้เลยว่าคุณกำลังจะถูกประวิงเวลาการจ่ายแน่นอน ถ้าหากเสียรู้ไป เผลอ ๆ ถูกประวิงเวลาร่วมปี หรือไม่ก็ถูกเสนอจ่ายน้อยกว่าความเสียหาย หรืออาการบาดเจ็บที่แท้จริง เจอแบบนี้อย่าไปยอมรีบติดต่อทนายดำเนินการ

ผู้เสียหายไหวตัวทัน รีบติดต่อหาทนายทันที

  กรณีต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของหนึ่งในผู้เสียหายที่ติดต่อทนายให้ดำเนินการเรียกร้องความยุติธรรมให้อย่างทันท่วงที เมื่อเกิดความรู้สึกว่าตนนั้นกำลังจะถูกบริษัทประกันภัยเล่นแง่หัวหมอใส่คิดจะเอาเปรียบ โดยผู้เสียหายท่านนี้เกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บสาหัสกระดูกขาหัก ต้องผ่าตัดใส่เหล็ก ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานาน แต่ดันถูกบริษัทประกันภัยเสนอจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพียง 80,000 บาท เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ค่ารักษาตัวหลายแสน ยังไม่พอเท่านั้นประกันภัยยังมีความเป็นห่วงเป็นใยผู้เสียหายบอกให้รอ รักษาตัวให้หายดีก่อน แล้วมาเรียกทีหลังก็ได้ เพราะเห็นว่าผู้เสียหายบาดเจ็บหนักและยังต้องพักฟื้นอีกนาน พอได้ฟังแบบนี้ ผู้เสียหายเอะใจและไหวตัว ติดต่อทนาย โทรสายตรงหา #ทนายอาร์ม ทันทีหลังจากนั้น

 นี่เป็นเพียงลิสต์คร่าว ๆ เท่านั้น ยังมีอีกหลายกลยุทธ์จากบริษัทประกันภัยที่พร้อมจะเอาเปรียบ ติดต่อทนาย เพื่อเดินเรื่องให้คุณ เพื่อไม่ต้องรอให้ประกันภัยงัดมุกไหนมาอ้างก็สามารถติดต่อทนายได้ทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ อย่าไปยอมเสียรู้ เพราะสิ่งที่ดูเหมือนจะหวังดี แท้ที่จริงแอบแฝงบางอย่างไว้

คดีรถชน: หน้าที่ของผู้ขับรถต่อผู้บาดเจ็บ อย่าปล่อยให้ตัวเองติดคุกเพราะเชื่อบริษัทประกันภัย

เมื่อเกิด คดีรถชน สิ่งแรกที่หลายคนคิดถึงคือ “ประกันภัยรถยนต์จะช่วยจัดการทุกอย่างให้” เพราะเราได้จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยไว้แล้ว แต่ในความเป็นจริง ผู้ขับรถหรือเจ้าของรถยังคงมี “หน้าที่ตามกฎหมาย” ที่ต้องปฏิบัติ หากเพิกเฉยหรือทำผิดพลาดเพราะเชื่อฟังบริษัทประกันภัยโดยไม่เข้าใจ อาจไม่เพียงแต่เสียเปรียบผู้บาดเจ็บเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีอาญา จนถึงขั้น ติดคุกเพราะบริษัทประกันภัยของตัวเอง

บทความนี้จะอธิบายให้ชัดเจนว่า ทำไมผู้ขับรถควร ดูแลผู้บาดเจ็บ ไม่ใช่ไปโต้เถียงหรือบอกว่า “อยากได้ให้ไปฟ้องเอา” พร้อมแนวทางที่ถูกต้องเพื่อป้องกันปัญหาตามมา

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยในคดีรถชน

หลายครั้งที่ผู้ขับรถเมื่อชนผู้อื่นแล้ว เลือกที่จะ

  • เชื่อฟังพนักงานของบริษัทประกันภัยทุกอย่าง
  • ปฏิเสธความรับผิดชอบโดยบอกว่า “ไปฟ้องบริษัทประกันเอาเอง”
  • มองว่าหน้าที่ในการชดใช้เป็นเรื่องของประกันภัย ไม่ใช่ของตน

ความคิดเหล่านี้อันตรายมาก เพราะตามกฎหมาย ผู้ขับรถและเจ้าของรถยังคงเป็นผู้ต้องรับผิดชอบหลัก ไม่ว่าคุณจะมีประกันหรือไม่ การปล่อยปละละเลยผู้บาดเจ็บ หรือแสดงท่าทีท้าทาย อาจทำให้ถูกดำเนินคดีเพิ่มขึ้น เช่น ความผิดฐาน ละเว้นการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ หรือแม้กระทั่ง ความผิดอาญาจากการขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต

หน้าที่ของผู้ขับรถและเจ้าของรถ

เมื่อเกิดคดีรถชน สิ่งที่กฎหมายและสังคมคาดหวังจากผู้ขับรถมีดังนี้:

ต้องหยุดรถและให้การช่วยเหลือ

หากชนผู้อื่นแล้วหลบหนี ไม่เพียงแต่เสียหายต่อภาพลักษณ์ แต่ยังเป็นความผิดอาญาที่อาจถูกจำคุกได้

แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ

เพื่อให้มีการบันทึกเหตุการณ์และดำเนินการตามกฎหมายอย่างถูกต้อง

พาผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล

แม้ว่าบริษัทประกันภัยจะเข้ามาจัดการค่าใช้จ่ายทีหลัง แต่การช่วยเหลือเบื้องต้นเป็นหน้าที่ของผู้ขับรถโดยตรง

ร่วมมือกับผู้บาดเจ็บในการเรียกร้องสิทธิจากบริษัทประกัน

ประเด็นนี้มักถูกมองข้าม หลายคนเชื่อว่าต้องปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทประกันภัย แต่จริง ๆ แล้วหน้าที่ของเราคือ ยืนยันสิทธิของผู้บาดเจ็บ เพื่อให้บริษัทประกันชดใช้ค่าเสียหาย ไม่ใช่ทำตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับผู้บาดเจ็บ

อันตรายจากการเชื่อฟังบริษัทประกันภัยโดยไม่เข้าใจ

บริษัทประกันภัยมีเป้าหมายเพื่อลดค่าใช้จ่ายของตนเอง ไม่ใช่เพื่อปกป้องผู้ขับรถเสมอไป หากผู้ขับรถทำตามคำแนะนำของพนักงานบริษัทโดยไม่พิจารณา อาจทำให้ตนเองต้องรับผิดชอบเต็ม ๆ เช่น

  • ปฏิเสธการชดใช้ให้ผู้บาดเจ็บ → ผู้เสียหายฟ้องร้อง ทั้งคนขับและบริษัทประกัน แต่ภาระคดีตกที่คนขับ
  • ไม่ยอมร่วมมือกับผู้บาดเจ็บ → ศาลมองว่าเป็นการขัดขวางสิทธิของผู้เสียหาย คนขับอาจถูกลงโทษหนักขึ้น
  • คิดว่าประกันจะช่วยปกป้องทุกอย่าง → สุดท้ายบริษัทประกันอาจปฏิเสธความคุ้มครองหากคุณผิดเงื่อนไขกรมธรรม์

ทำไมต้องร่วมมือกับผู้บาดเจ็บ?

การร่วมมือกับผู้บาดเจ็บไม่ใช่การ “ยอมเสียเปรียบ” แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ทางกฎหมายอย่างถูกต้อง และยังมีประโยชน์หลายด้าน เช่น:

1. ลดโอกาสถูกฟ้องคดีอาญา – ศาลจะมองว่าคุณมีเจตนาดีและไม่หลบเลี่ยงความรับผิด

2. ทำให้บริษัทประกันต้องจ่ายจริง – เมื่อผู้บาดเจ็บยืนยันสิทธิ และคุณให้การสนับสนุน บริษัทประกันไม่มีข้ออ้างในการปฏิเสธ

3. สร้างความเชื่อมั่นในสังคม – การดูแลผู้บาดเจ็บแสดงถึงความรับผิดชอบ และช่วยลดความตึงเครียดของคู่กรณี

4. ลดภาระทางการเงินในระยะยาว – การแก้ปัญหาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก ดีกว่าปล่อยให้บานปลายจนต้องเสียเงินและเวลาไปกับการขึ้นศาล

ตัวอย่างความผิดพลาดที่อาจทำให้ติดคุก

  • ขับรถชนแล้วบอกผู้บาดเจ็บว่า “ถ้าอยากได้ให้ไปฟ้องเอา” → ศาลมองว่าเป็นการท้าทายและไม่รับผิดชอบ
  • เชื่อคำแนะนำของบริษัทประกันที่ให้ปฏิเสธทุกอย่าง → บริษัทประกันอาจปฏิเสธคุ้มครอง ทำให้คนขับกลายเป็นผู้รับผิดเต็มจำนวน
  • ไม่ยอมพาผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล → อาจถูกฟ้องข้อหาละเว้นการช่วยเหลือ ซึ่งมีโทษจำคุก

แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเมื่อเกิดคดีรถชน

1. หยุดรถและช่วยเหลือทันที

2. โทรแจ้งตำรวจและประกันภัย เพื่อให้มีบันทึกเหตุการณ์

3. พาผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล โดยไม่ลังเลเรื่องค่าใช้จ่าย

4. เก็บหลักฐาน เช่น ภาพถ่ายที่เกิดเหตุ รายชื่อพยาน

5. ร่วมมือกับผู้บาดเจ็บในการเรียกร้องสิทธิจากบริษัทประกัน

6. ปรึกษาทนายความ เพื่อป้องกันไม่ให้การกระทำใด ๆ ของคุณถูกตีความผิดพลาด

รถชน สามารถปรึกษาทนายความได้ทันทีไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิดก็ตาม

คดีรถชน ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเกี่ยวข้องทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และเสรีภาพของผู้ขับรถเอง การทำตามคำแนะนำของบริษัทประกันโดยไม่เข้าใจ อาจทำให้คุณกลายเป็นผู้ต้องโทษอาญาได้

สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่าลืมหน้าที่ของผู้ขับรถ ต้องช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ร่วมมือกับผู้เสียหายในการเรียกร้องสิทธิ และใช้บริษัทประกันในฐานะ “เครื่องมือ” ไม่ใช่ “เจ้านาย”

หากคุณไม่มั่นใจว่าจะรับมืออย่างไร ควรรีบปรึกษาทนายความ เพื่อให้ได้คำแนะนำที่ถูกต้องและปกป้องสิทธิของตัวเองตั้งแต่แรก

👉 หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับคดีรถชนและกังวลว่าจะถูกฟ้องร้องหรือติดคุก
แนะนำให้ปรึกษา สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ทีมทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านคดีประกันภัย พร้อมให้คำแนะนำ ดูแลคดี และปกป้องสิทธิของคุณอย่างรอบด้าน