ทนายอาร์มแนะ วิธีเรียกร้องสิทธิทางกฎหมายให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น
ในโลกของประกันภัยหลายคนเชื่อว่าการมีกรมธรรม์ไว้คือ “เกราะป้องกัน” ยามเกิดเหตุไม่คาดคิด โดยเฉพาะอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่ในความเป็นจริง หลายกรณีกลับพบว่า เมื่อถึงเวลาต้องใช้สิทธิจริง ๆ ผู้เอาประกันภัยกลับต้อง “เดินเรื่องเองทุกขั้นตอน” แถมบางครั้งบริษัทประกันภัยยัง “ปัดความรับผิดชอบ” จนผู้เอาประกันต้องรับภาระร่วมกับผู้บาดเจ็บเอง
เรื่องจริงนี้เกิดขึ้นกับชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์เขาได้ขับรถไปชนคนเจ็บจนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล เหตุการณ์นี้ตำรวจชี้ว่าเขาเป็นฝ่ายผิด ทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่ในขั้นตอนของการเคลมตามปกติ แต่ปัญหากลับเกิดขึ้นเมื่อบริษัทประกันภัย “ไม่ช่วยเหลือ” แม้แต่ในขั้นตอนสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล
บริษัทประกันภัย “ไม่สำรองจ่าย” ทั้งที่มีใบเคลม

ชายผู้เอาประกันภัยเล่าว่า เขามีเอกสารครบถ้วน ทั้งใบเคลมและหลักฐานการเกิดอุบัติเหตุ แต่บริษัทประกันภัยกลับให้เหตุผลว่า “ต้องให้ผู้เอาประกันและผู้ประสบภัยร่วมกันสำรองจ่ายก่อน” แม้จะมีใบเคลมอยู่ในมือ บริษัทก็ไม่ออกหนังสือรับรองให้โรงพยาบาลนำไปเบิกกับบริษัทได้โดยตรง ผลลัพธ์คือ ทั้งผู้เอาประกันภัยและผู้บาดเจ็บต้องร่วมกันควักเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลก่อนเอง ฟังดูอาจแปลก แต่เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริง และเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้ที่ทำประกันทุกคนต้องตระหนักว่า
“การมีประกันภัยไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้รับความคุ้มครองอัตโนมัติในทุกกรณี”
เมื่อผู้เอาประกันภัย “กลายเป็นผู้เสียหายซ้ำซ้อน”

หลังเกิดเหตุ ตำรวจชี้ชัดว่า ผู้เอาประกันภัยเป็นฝ่ายผิด หมายความว่าเขามีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่คู่กรณีตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติ กลับกลายเป็นว่า ทั้งผู้เอาประกันและผู้บาดเจ็บต้องร่วมมือกันเรียกร้องสิทธิจากบริษัทประกันภัย แทนที่บริษัทจะเป็นผู้จัดการเรื่องเคลมและชดใช้ตรงตามเงื่อนไข กลับทำให้ผู้เอาประกันกลายเป็น “ผู้เสียหายซ้ำซ้อน” ทั้งเสียเงิน เสียเวลา และเสียความรู้สึก
“ทนายอาร์ม” แนะนำ : ฟ้องศาลร่วมกันในคดีคุ้มครองผู้บริโภค
ทนายอาร์มแนะนำแนวทางว่า
หากผู้เอาประกันภัยและผู้บาดเจ็บร่วมมือกันฟ้องบริษัทประกันภัยต่อศาล สามารถดำเนินคดีในฐานะ “คดีคุ้มครองผู้บริโภค” ได้ เพราะทั้งคู่ถือเป็นผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากการให้บริการที่ไม่เป็นธรรม
สิ่งสำคัญคือ หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้บริโภคได้รับความเสียหายจริง
ผู้เอาประกันภัยสามารถเรียกคืนค่าเสียหายทั้งหมดได้ รวมถึงค่าทนายความด้วย
ในบางคดี ศาลมีคำสั่งให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าทนายความให้ผู้เสียหายด้วย แต่ก็มีบางกรณีที่ไม่ได้รับอนุมัติ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงและดุลยพินิจของศาล
ดังนั้น การมีทนายความตั้งแต่เริ่มต้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะทนายจะสามารถดำเนินคดีให้เป็นระบบ ถูกต้องตามขั้นตอน และลดโอกาสเสียสิทธิ์โดยไม่รู้ตัว
ทนายสามารถรับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ได้อย่างถูกกฎหมาย
หลายคนอาจไม่รู้ว่ากฎหมายทนายความไทยอนุญาตให้ทนายเรียกค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์จากทุนทรัพย์ที่บังคับคดีได้
ดังนั้น ผู้เอาประกันภัยสามารถตกลงกับทนายได้อย่างโปร่งใส เช่น
- กำหนดเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งจากยอดเงินที่เรียกคืนได้
- หรือจ่ายค่าทนายแบบเหมาเพื่อให้ดำเนินคดีจนจบ
การพูดคุยกันตั้งแต่ต้นจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจตรงกัน และทำให้คดีดำเนินไปได้เร็วขึ้นโดยไม่เกิดความขัดแย้งเรื่องผลตอบแทนในภายหลัง
อย่ารอให้เรื่องผ่านไปนาน ถึงจะหาทนาย

อีกหนึ่งข้อเตือนใจจากทนายอาร์มคือ
“อย่ารอให้เรื่องผ่านไปหลายปีหรืออาการบาดเจ็บหายก่อน ถึงจะเริ่มฟ้อง เพราะเมื่อคุณหายแล้ว คุณอาจหมดสิทธิ์เรียกร้องค่าพิการหรือค่าเสียหายเพิ่มเติมได้”
ในทางปฏิบัติ มีหลายกรณีที่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้บาดเจ็บรอจนหายดีแล้วค่อยดำเนินคดี ทำให้ศาลพิจารณาว่า “ไม่มีความเสียหายต่อเนื่อง” ส่งผลให้ได้รับเพียงค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น
ดังนั้น หากเกิดเหตุ ควรปรึกษาทนายความทันทีหลังอุบัติเหตุเกิดขึ้น เพื่อให้ทนายดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์และเอกสารตั้งแต่แรก
บริษัทประกันภัย “ขายประกัน” ง่าย แต่ตอนเคลมกลับยาก

ในมุมของผู้เอาประกัน หลายคนเลือกทำประกันกับบริษัทที่โฆษณาว่าบริการดี เคลมง่าย
แต่ในความเป็นจริง เมื่อเกิดเหตุจริง หลายบริษัทกลับมีข้ออ้าง เช่น
- “งานเยอะ ยังไม่ถึงคิวตรวจสอบ”
- “ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายนี้ ต้องให้ลูกค้าไปทำเองก่อน”
- “ต้องรอเอกสารจากโรงพยาบาลก่อนเบิกได้”
สุดท้าย ผู้เอาประกันภัยต้องเป็นฝ่ายรับภาระมาดำเนินการเอง ทั้งโทรตาม ทั้งยื่นเอกสารซ้ำ ๆ กลายเป็นว่าการขายประกันง่าย แต่การให้บริการหลังการขายกลับยากเย็น
นี่คือเหตุผลที่ ทนายอาร์มย้ำเสมอว่า
“เวลาขายประกันภัย คุณขายความเชื่อมั่นของลูกค้าได้ แต่เวลาลูกค้าเกิดเหตุ คุณต้องเซอร์วิสลูกค้า ไม่ใช่หาข้ออ้าง”

คำแนะนำสำคัญสำหรับผู้เอาประกันภัยทุกคน
1.เก็บหลักฐานทุกอย่างให้ครบ – ใบเคลม, ใบแจ้งความ, ใบรับรองแพทย์, ใบเสร็จค่ารักษา
2.แจ้งบริษัทประกันภัยทันทีหลังเกิดเหตุ และขอเลขเคลมเป็นหลักฐาน
3.อย่าเซ็นเอกสารใด ๆ โดยไม่เข้าใจ โดยเฉพาะเอกสารยอมความหรือสละสิทธิ์
4.ปรึกษาทนายความทันที หากบริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิดชอบหรือไม่ได้รับความคืบหน้า
กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ชัดเจนว่า การมี “ประกันภัย” ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้รับการดูแลเสมอไป แต่หากคุณรู้จักใช้สิทธิ์อย่างถูกต้อง และมีทนายความที่ปรึกษา ให้คำแนะนำตั้งแต่ต้น คุณจะไม่เพียงแต่เรียกคืนสิ่งที่เสียไปได้ครบ แต่ยังอาจได้รับความเป็นธรรมมากกว่าที่คิด
เพราะในยุคที่บริษัทต่าง ๆ แข่งกัน “ขายประกัน” อย่าลืมว่า “ผู้เอาประกัน” เองก็ต้องรู้เท่าทันประกันเช่นกัน ปรึกษาทนายความวันนี้ เพื่อที่คุณจะไม่เสียรู้บริษัทประกันภัยอีกต่อไป





















































