“นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ไม่ใช่ข้ออ้างในการปฏิเสธสินไหม คำพิพากษาชี้ชัดประกันภัยต้องชดใช้!

ในโลกของการประกันภัย โดยเฉพาะกรณีอุบัติเหตุจราจร การตีความเงื่อนไขกรมธรรม์ถือเป็นประเด็นสำคัญที่อาจสร้างความขัดแย้งระหว่างบริษัทประกันภัยกับผู้เอาประกัน ซึ่งคดีหนึ่งที่สะท้อนปัญหานี้ได้ชัดเจน คือ กรณีบริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิดโดยอ้าง “การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ทั้งที่ผลตรวจจริงไม่เกินค่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นการปฏิเสธที่ไม่ชอบธรรม พร้อมสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมตามเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างครบถ้วน

เหตุการณ์อุบัติเหตุ และข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น : คำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

คดีนี้เริ่มต้นจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 รถยนต์กระบะทะเบียน 2 XX 3456 กรุงเทพมหานคร ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ทำให้ตัวรถได้รับความเสียหาย มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 ราย และเสียชีวิต 1 ราย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรถและเป็นผู้เอาประกันภัยได้สำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าปลงศพให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ

รถคันดังกล่าวมีประกันภัยทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ โดยจำเลยที่ 1 คือบริษัทผู้รับประกันภัยภาคบังคับ มีหน้าที่ดูแลความเสียหายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ส่วนจำเลยที่ 2 คือบริษัท 1234 จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยภาคสมัครใจ มีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมในส่วนของความเสียหายตัวรถ, ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ, ค่ารักษาพยาบาล, และค่าชดเชยกรณีเสียชีวิตตามกรมธรรม์

แต่เมื่อโจทก์ยื่นขอสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 กลับถูกปฏิเสธ โดยบริษัทอ้างว่า ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยอาศัยการ “คำนวณย้อนหลัง” จากข้อมูลบางส่วน ทั้งที่ผลตรวจจากสถานพยาบาลแสดงชัดเจนว่าผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์เพียง 37 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าค่ากำหนดของกฎหมายคือ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

ข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริง

โจทก์ได้โต้แย้งการปฏิเสธนี้ว่าไม่มีมูลทางกฎหมายหรือวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน โดยชี้ว่า

  • จำเลยไม่มีผลตรวจย้อนหลังที่ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง
  • ไม่มีข้อมูลด้านดัชนีมวลกายหรือข้อมูลทางสุขภาพของผู้ขับขี่ที่สามารถนำมาคำนวณย้อนหลังได้
  • พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อหาเมาสุราต่อผู้ขับขี่ ซึ่งแสดงว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้เห็นว่าผู้ขับขี่เมาในขณะเกิดเหตุ

โจทก์จึงมองว่าการนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อเลี่ยงความรับผิด ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงและข้อกฎหมาย จึงแต่งตั้งทนายความติดตามทวงถามและขอเอกสารประกอบจากจำเลย แต่จำเลยกลับเพิกเฉย ไม่ตอบกลับ ไม่แสดงหลักฐาน โจทก์จึงนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาล

คำพิพากษาที่ชี้ชัดถึงความรับผิดของประกันภัย

ศาลได้พิจารณาพยานหลักฐานและวินิจฉัยอย่างละเอียด ก่อนมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 2 คือบริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) ต้องชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามรายละเอียด ดังนี้:

1.ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายต่อรถยนต์ ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ภาคสมัครใจ หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ ภายในวงเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้

oหรือเลือก จัดซ่อมรถให้อยู่ในสภาพเดิม

2.ชำระค่ายกรถ จำนวน 10,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2566 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น

3.ชำระค่าเก็บรักษารถ เดือนละ 10,000 บาท นับจากวันฟ้อง (18 มิถุนายน 2567) จนกว่าจะชำระค่าสินไหมครบ หรือมีการนำรถออกจากสถานที่เก็บรักษา

oแต่บริษัทประกันภัยจะต้องรับผิดในค่ายกรถและค่าเก็บรักษา ไม่เกิน 20% ของค่าซ่อมแซม

4.ชำระค่าทนายความ จำนวน 5,000 บาท ให้แก่โจทก์

5.ชำระค่าธรรมเนียมศาล ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี

6.คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 (บริษัทประกันภัยภาคบังคับ): ศาล ยกฟ้อง โดยให้แต่ละฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเอง7.คำขออื่น ๆ ของโจทก์ ศาล ยกคำขอ

อย่ารอให้ตกเป็นเหยื่อ ! ปรึกษาทนายคดีประกันภัย หากถูกนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

คดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนถึงการใช้ “การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” โดยไม่มีหลักฐานรองรับอย่างเป็นทางการ เป็นแนวปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง และอาจขัดต่อหลักความเป็นธรรม

หากผลตรวจแอลกอฮอล์ในร่างกายจากหน่วยงานทางการระบุว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และไม่มีการตั้งข้อหาจากพนักงานสอบสวน บริษัทประกันภัยไม่สามารถอ้าง “การคำนวณย้อนหลัง” เป็นเหตุปฏิเสธความรับผิดได้

นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง จึงไม่ควรเป็นเครื่องมือที่บริษัทประกันภัยนำมาใช้ในลักษณะลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับอย่างชัดเจน เพราะนอกจากจะทำให้ผู้เอาประกันเสียสิทธิ์ ยังอาจนำไปสู่ความเสียหายทางกฎหมายแก่บริษัทเอง

คดีนี้ยืนยันว่าการตีความสัญญาประกันภัยต้องอยู่บนพื้นฐานของ “ข้อเท็จจริง” และ “พยานหลักฐาน” ไม่ใช่การคาดคะเนหรือประเมินจากสมมุติฐานที่ไม่มีที่มารองรับ

บริษัทประกันภัยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างเคร่งครัด ไม่เลือกปฏิบัติหรือเลี่ยงความรับผิดโดยไม่มีมูล หากมีข้อสงสัยเรื่อง ประกันภัย หรือการ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ขอแนะนำให้ปรึกษาทนายความที่เชี่ยวชาญ เพื่อปกป้องสิทธิของคุณอย่างถูกต้องตามกฎหมายหากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยเจอกรณีคล้ายกัน อย่าลังเลที่จะขอคำปรึกษาจากทนายความ เพราะบางครั้ง “ความเงียบของเรา” อาจกลายเป็นการยอมรับในความไม่เป็นธรรมโดยไม่รู้ตัว ปรึกษากฎหมายแอดไลน์ @Wongsakorn หรือคลิก ติดต่อเรา

ประกันภัยนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ปัดจ่าย เจอทนายฟ้องศาล ชนะคดี!

ในโลกของการประกันภัยรถยนต์ ผู้เอาประกันคงคาดหวังว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น บริษัทประกันภัยจะดำเนินการตามหน้าที่เพื่อช่วยเหลือและชดเชยความเสียหายให้ตรงไปตรงมา ทว่าความจริงอาจไม่สวยงามเช่นนั้น กรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจคือเหตุการณ์ที่บริษัทประกันภัยใช้วิธี นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง มาเป็นเหตุผลในการ ปฏิเสธจ่ายค่าสินไหมทดแทน ทั้งที่ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน และสุดท้ายต้องจบลงด้วยการฟ้องร้องในชั้นศาล

เคสอุทาหรณ์ เหตุการณ์เริ่มต้น : อุบัติเหตุและการปฏิเสธจากประกัน

เหตุการณ์เริ่มต้นจากผู้เสียหายรายหนึ่งขับรถยนต์จนเกิดอุบัติเหตุขึ้น ทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก โดยตามหน้าที่ของบริษัทประกันภัยแล้ว จำเป็นต้องเข้ามาสำรวจและประเมินความเสียหาย พร้อมจัดซ่อมให้คืนสภาพเดิมภายในระยะเวลาที่สมควร

แต่บริษัทประกันภัยกลับมีหนังสือปฏิเสธความคุ้มครอง โดยให้เหตุผลว่า “ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์เกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ในขณะเกิดเหตุ”

เมื่อหลักฐานคลุมเครือ ไม่มีผลตรวจจริงในขณะเกิดเหตุ

แม้จะฟังดูเหมือนบริษัทประกันภัยปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ แต่เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงจะพบความคลุมเครือในหลายประเด็น บริษัทฯ ไม่สามารถแสดงหลักฐานการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในขณะเกิดเหตุได้อย่างชัดเจน ทั้งไม่สามารถยืนยันว่าเครื่องมือที่ใช้ผ่านการรับรองมาตรฐาน และไม่มีลายเซ็นของผู้ขับขี่ในเอกสารยืนยันผลตรวจ

ประเด็นหลักของคดี ! นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังโดยไม่มีหลักฐาน

ประเด็นสำคัญของคดีนี้คือบริษัทประกันภัยกับการ “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” โดยไม่มีหลักฐานแสดงผลการวัดแอลกอฮอล์ที่เกิดขึ้น ณ ขณะเกิดเหตุจริง ซึ่งสวนทางกับคำสั่งของนายทะเบียนที่ 66/2563 ที่ระบุชัดว่า การยกเว้นความรับผิดตามเงื่อนไขแอลกอฮอล์ ต้องพิจารณาที่ “ขณะเกิดเหตุ” เท่านั้น

ไม่รอถูกเอาเปรียบนาน ให้ทนายความเดินเรื่องทันที

เมื่อผู้เสียหายเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจาก สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เพื่อให้ทนายความดำเนินการเรียกร้องสิทธิในฐานะผู้เอาประกัน โดยทนายความได้ยื่นหนังสือเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัย พร้อมอ้างอิงระเบียบของ คปภ. ว่าการเพิกเฉยหรือประวิงเวลาการพิจารณาเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย พ.ศ. 2566

ศาลชี้ชัด! บริษัทประกันภัยต้องชดใช้

ในที่สุด คดีความนี้จึงถูกนำขึ้นสู่ชั้นศาล ซึ่งศาลได้พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดและมีคำพิพากษาให้บริษัทประกันภัยแพ้คดี โดยศาลชี้ชัดว่าการอ้างผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังโดยไม่มีหลักฐานยืนยันสถานะในขณะเกิดเหตุ ถือเป็นการปฏิเสธความรับผิดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลสั่งชดใช้ค่าเสียหายรวมเกือบ 620,000 บาท ได้แก่

  • ค่าซ่อมรถยนต์ 550,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 15% ต่อปี
  • ค่ายกลากรถ 4,500 บาท
  • ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ 50,000 บาท
  • ค่ารักษาพยาบาล 5,506.69 บาท
  • ค่าทนายความ 10,000 บาท

บทเรียนสำคัญจากเคสนี้ คือ ผู้บริโภคควรปรึกษาทนายทันทีหลังเกิดเหตุ

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้บริโภคยังคงเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบเมื่อเจอกับบริษัทประกันภัยที่มุ่งหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบด้วยเหตุผลอันคลุมเครืออย่างการ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง โดยปราศจากหลักฐานสนับสนุนที่ถูกต้องและชัดเจนนี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ยืนยันว่า ผู้เอาประกันควรมี ทนายความที่เข้าใจด้านประกันภัย คอยให้คำแนะนำและช่วยดำเนินคดีหากถูกเอาเปรียบ

ทนายความที่มีประสบการณ์คดีประกันภัย กรณีประกันภัยอ้างผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง – สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นสำนักงานกฎหมายที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านคดีประกันภัย โดยเฉพาะกรณีที่บริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิด โดยอ้างผลตรวจแอลกอฮอล์ย้อนหลังแบบไม่มีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์รองรับ ซึ่งตลอดมาทางจากประสบการณ์สำนักงานฯ ยังไม่เคยแพ้คดีลักษณะนี้ หากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยเจอปัญหาแบบเดียวกัน อย่าเพิ่งยอมแพ้ขอแนะนำให้ปรึกษาทนายความก่อนเป็นอันดับแรกดีที่สุด เพื่อที่คุณจะสามารถใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมได้เต็มที่ นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรมีทนายความตั้งแต่เริ่มต้น เพราะในความเป็นจริง บริษัทประกันภัยมีทนายเตรียมพร้อมต่อสู้ตั้งแต่รถยังไม่ทันชน แล้วเหตุใดเราจึงไม่ควรมีทนายตั้งแต่วันเกิดเหตุ?

อย่ารอจนสายเกินไป จนไม่ได้อะไรเลยแม้แต่บาทเดียว — ปรึกษาทนายตั้งแต่แรกคือทางออกที่ดีที่สุด >>ติดต่อเรา<<

เมินคำสั่ง คปภ. สุดท้ายศาลสั่งชดใช้! พร้อมค่าเสียหายเชิงลงโทษคนละ 30,000 บาท

ในยุคที่บริษัทประกันภัยมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองผู้ใช้รถใช้ถนน ความเชื่อมั่นในระบบประกันภัยควรเป็นรากฐานสำคัญของสังคม แต่เมื่อความรับผิดชอบนั้นกลับถูกละเลย ผู้บริโภคจึงต้องลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของตนเองอย่างถึงที่สุด เช่นเดียวกับกรณีของ นางสาว A และ นางสาว B ผู้เสียหายจากอุบัติเหตุรุนแรง ที่จุดจบของเรื่องราวนี้กลายเป็นบทเรียนสำคัญให้กับสังคมทั้งในด้านกฎหมาย และการปกป้องสิทธิผู้บริโภคอย่างแท้จริง

อุบัติเหตุที่เปลี่ยนชีวิต

วันที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นคือช่วงเย็นของวันหนึ่ง เมื่อรถยนต์ที่ น.ส. A และ น.ส. B โดยสารมาด้วยความเร็วสูง เกิดเสียหลักตกข้างทางและพุ่งชนเข้ากับเสาไฟฟ้าอย่างรุนแรง ส่งผลให้ทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงต้องเผชิญกับผลกระทบทางร่างกายและจิตใจในระยะยาว

พยายามขอความเป็นธรรม แต่กลับถูกเพิกเฉย

หลังจากพักฟื้นพอมีแรงต่อสู้ น.ส. A และ น.ส. B เริ่มดำเนินการเจรจากับบริษัทประกันภัยของรถที่เกิดเหตุ โดยหวังว่าจะได้รับค่าสินไหมทดแทนอย่างเป็นธรรม เพื่อชดเชยความเสียหายที่ได้รับ ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง ค่าขาดรายได้ รวมถึงค่าทุกข์ทรมานทางร่างกายและจิตใจ

แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น บริษัทประกันภัยกลับเสนอจำนวนเงินชดเชยที่ต่ำกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างมาก แม้ผู้เสียหายจะพยายามดำเนินเรื่องด้วยตนเอง ทั้งการยื่นเอกสารหลักฐาน และติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเหมาะสม

เมื่อทนายความกลายเป็นความหวัง

เมื่อเห็นว่าความพยายามด้วยตนเองไม่เกิดผล ทั้งสองจึงตัดสินใจแต่งตั้งทนายความให้เข้ามาดำเนินเรื่องแทน โดยทนายความได้ยื่นเรื่องร้องเรียนไปยัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งภายหลังเจ้าหน้า คปภ. ได้มีคำสั่งชัดเจนให้บริษัทประกันภัยทบทวนและประเมินค่าเสียหายใหม่อย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม บริษัทประกันภัยกลับเพิกเฉยและหรือฝ่าฝืนต่อคำสั่งของ คปภ. และยังคงยืนยันจำนวนเงินเดิมที่ต่ำเกินไป โดยไม่มีความคืบหน้าหรือความตั้งใจในการเจรจาที่เป็นธรรม

จากโต๊ะเจรจาสู่ศาล

เมื่อไม่สามารถหาข้อยุติได้ด้วยวิธีการเจรจา คดีจึงถูกส่งเข้าสู่กระบวนการทางศาล โดยทนายความได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายรวมเป็นจำนวนเงิน 1,540,000 บาท แบ่งเป็นของ น.ส. A จำนวน 1,050,000 บาท และของ น.ส. B จำนวน 490,000 บาท ซึ่งครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดรายได้ ค่าพาหนะในการเดินทางไปโรงพยาบาล ค่าสูญเสียความสามารถในการทำงาน รวมถึงค่าทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ
นอกจากนี้ ยังมีการเรียกร้องค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) ซึ่งเป็นบทลงโทษทางแพ่งต่อบริษัทประกันภัย เนื่องจากมีพฤติกรรมละเมิดสิทธิของผู้บริโภค และฝ่าฝืนคำสั่งของหน่วยงานรัฐอย่าง คปภ.

ศาลมีคำพิพากษาเป็นธรรม

ท้ายที่สุด ศาลได้พิจารณาอย่างรอบคอบ และมีคำพิพากษาให้ บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าเสียหายให้กับ น.ส. A และ น.ส. B ตามที่เรียกร้อง พร้อมทั้งกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษเพิ่มเติมให้กับผู้เสียหายทั้งสอง คนละ 30,000 บาท โดยชี้ชัดว่าพฤติกรรมของบริษัทประกันภัยเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของหน่วยงานรัฐ และไม่แสดงความจริงใจในการชดเชยความเสียหาย

บทเรียนสำคัญจากกรณีนี้

กรณีนี้สะท้อนภาพให้เห็นว่า สิทธิของผู้บริโภคในระบบประกันภัยไม่ควรถูกมองข้าม และไม่ควรปล่อยให้ถูกละเมิดโดยไม่มีการตอบโต้ การมีทนายความที่มีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการทางกฎหมาย และกลไกของรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น คปภ. จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งสำคัญคือ “อย่าเกรงกลัวเมื่อถูกริดรอนสิทธิ” เพราะกฎหมายยังคงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเรียกร้องความยุติธรรม และหากใช้ให้ถูกต้องก็สามารถพลิกสถานการณ์จากผู้เสียหายที่เคยถูกมองข้าม ให้กลับมายืนหยัดได้อย่างภาคภูมิ
การเพิกเฉยต่อคำสั่งของ คปภ. และการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของบริษัทประกันภัย ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อผู้บริโภค แต่ยังนำไปสู่บทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง การตัดสินใจของศาลในครั้งนี้คือเครื่องยืนยันว่า “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย” และ ผู้บริโภคที่ลุกขึ้นสู้ด้วยความรู้และความถูกต้อง ย่อมได้รับความเป็นธรรมในที่สุด อย่ารอให้คุณถูกเอาเปรียบจากบริษัทประกันภัย เพราะบริษัทประกันภัยมีทนายความตั้งแต่รถยังไม่ชน ดังนั้น หากเกิดอุบัติเหตุประชาชนคนธรรมดาก็สามารถมีทนายความเพื่อนเดินเรื่องให้ได้เช่นเดียวกัน ปรึกษาทนาย >>ติดต่อเรา<<

รถชนเจ็บหนักนอนติดเตียง ประกันภัยและคู่กรณีปล่อยเบลอทำนิ่ง ตัดสินใจไม่รอรักษาตัวให้หายดี โร่ปรึกษาทนาย

เรื่องราวที่สะเทือนใจและเป็นอุทาหรณ์สำหรับใครหลาย ๆ คนเกิดขึ้นกับสาววัย 24 ปี ผู้มีอาชีพขายหมูปิ้งในย่านท้องถิ่นของเธอ วันที่เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เธอกำลังทำงานตามปกติ จู่ ๆ รถกระบะตู้ทึบขับพุ่งเข้าชนอย่างรุนแรง ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งกระดูกซี่โครงหักแทงปอด ตับฉีก มีเลือดออกในช่องท้อง รวมถึงกระดูกสะโพกขวาหัก ต้องดามเหล็กจนไม่สามารถขยับตัวได้ สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เธอต้องนอนติดเตียงและทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดที่เกินบรรยาย

อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดทางร่างกายที่เธอประสบไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่นั้น ความเจ็บปวดทางใจและความเครียดจากการดำเนินเรื่องกับบริษัทประกันภัยที่ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ได้เข้ามาทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเคสที่ไม่ธรรมดา

อุบัติเหตุรุนแรง ที่มาพร้อมกับการเอาเปรียบของประกัน #รักษาตัวให้หายดีก่อน

การถูกชนครั้งนี้ส่งผลให้สาววัย 24 ปีต้องเผชิญกับความบาดเจ็บที่รุนแรงถึงขีดสุด กระดูกซี่โครงหักและแทงเข้าที่ปอดทำให้เกิดภาวะหายใจลำบาก อีกทั้งตับฉีกที่ส่งผลให้มีเลือดออกในช่องท้องต้องได้รับการผ่าตัดด่วน การบาดเจ็บของกระดูกสะโพกขวาที่หักจนต้องดามเหล็กทำให้เธอต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียง ไม่สามารถปรับเตียงได้ เนื่องจากหากขยับตัวอาจทำให้เหล็กหลุดและเพิ่มความเสี่ยงในการบาดเจ็บซ้ำ

สภาพร่างกายที่บาดเจ็บอย่างหนักนี้ ทำให้เธอต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานเป็นเวลานาน ต้องอาศัยการดูแลจากบุคคลอื่นและไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เอง ขณะเดียวกัน ความรู้สึกของการเสียอิสรภาพและความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการเป็นผู้ป่วยติดเตียงนั้น ส่งผลต่อสภาพจิตใจอย่างมาก

ฝ่ายหนึ่งที่รอการช่วยเหลือกับอีกฝ่ายที่ละเลยทำนิ่งนอนใจไร้การเยียวยา

แม้เธอจะมีประกันภัยคุ้มครองอยู่ แต่ความคาดหวังที่จะได้รับการดูแลและการชดเชยกลับกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งเพิ่มความเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก เนื่องจากบริษัทประกันภัยที่เธอใช้บริการนั้นไม่ได้แสดงความใส่ใจต่อกรณีของเธอ การดำเนินเรื่องล่าช้าจนเกินไป ทำให้เธอและครอบครัวต้องรับภาระทางการเงินที่หนักหน่วงมากขึ้น 

ความไม่เป็นธรรมในกรณีนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของการบาดเจ็บที่รุนแรงเท่านั้น แต่ยังเป็นการที่บริษัทประกันภัยไม่ปฏิบัติตามสัญญา และไม่ใยดีต่อสภาพจิตใจและร่างกายของผู้เอาประกัน แม้ว่าจะมีการเรียกร้องและติดต่อไปยังบริษัทหลายครั้ง แต่เรื่องก็ยังคงถูกดองไว้เป็นเวลานาน 

การตัดสินใจที่เด็ดขาด !  ปรึกษาทนายแม้ขณะนอนติดเตียง

ด้วยความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น เธอจึงไม่รอให้เสียเวลา และแม้จะยังนอนติดเตียงด้วยสภาพร่างกายที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เธอก็ตัดสินใจที่จะปรึกษาทนายความเพื่อหาทางต่อสู้กับบริษัทประกันภัยที่ละเลยการดูแล

การตัดสินใจนี้นับว่าเป็นการก้าวเดินที่สำคัญ เนื่องจากในหลาย ๆ กรณี ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุมักรอจนกว่าจะรักษาตัวให้หายดีก่อนหรือให้บริษัทประกันดำเนินการก่อน ซึ่งในบางครั้งการรอคอยนี้อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ การที่เธอเลือกที่จะปรึกษาทนายความตั้งแต่เริ่มต้นนั้น ช่วยให้การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีทิศทางที่ชัดเจน

ประกันภัยหัวหมอกับเล่ห์เหลี่ยมที่ต้องรู้เท่าทัน

กรณีของสาววัย 24 ปีนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงปัญหาที่เกิดจากการดำเนินงานของบริษัทประกันภัยที่ไม่เป็นธรรม บ่อยครั้งที่บริษัทประกันภัยพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบหรือดำเนินเรื่องล่าช้าเพื่อให้ผู้เสียหายยอมแพ้หรือเลิกล้มการเรียกร้อง

การใช้ “เล่ห์เหลี่ยม” เพื่อประวิงเวลาในการชดเชยค่าเสียหายนั้นเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในระบบประกันภัย ผู้ที่ประสบเหตุการณ์เช่นนี้มักไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิทธิ์ที่ตนเองมีอยู่ หรืออาจไม่ได้เข้าใจเงื่อนไขของกรมธรรม์อย่างละเอียด จึงทำให้บริษัทประกันสามารถใช้จุดอ่อนนี้ในการเอาเปรียบผู้เอาประกัน

กรณีนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้ที่ใช้บริการประกันภัยทุกคนว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับบริษัทประกัน ไม่ควรรอให้บริษัทประกันดำเนินการเองโดยไม่มีการตรวจสอบ การปรึกษาทนายความตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง และสามารถเดินเรื่องได้อย่างรวดเร็วและตรงตามสิทธิ์ที่คุณพึงได้รับ

ทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องประกันภัยสามารถช่วยตรวจสอบเงื่อนไขของกรมธรรม์และให้คำแนะนำในการดำเนินการที่ถูกต้อง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสภาพร่างกายที่พร้อมหรือไม่พร้อมในการต่อสู้คดี การมีทนายความเป็นที่ปรึกษาจะช่วยป้องกันไม่ให้คุณถูกเอาเปรียบจากบริษัทประกัน

บทสรุปสุดท้ายก่อนจากกัน

จากกรณีนี้ สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้คือความสำคัญของการมีทนายความคอยช่วยเหลือในการดำเนินการกับบริษัทประกันภัย การรอให้ประกันดำเนินการเองอาจทำให้คุณเสียสิทธิ์ในการได้รับการชดเชยที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีที่ประกันภัยไม่ใยดีต่อความเสียหายที่คุณได้รับ

หากคุณประสบอุบัติเหตุรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บทางร่างกายหรือการเสียหายทางทรัพย์สิน การปรึกษาทนายความทันทีจะช่วยให้คุณได้รับการดูแลที่ถูกต้องและป้องกันไม่ให้ถูกประกันภัยเอาเปรียบ อย่างที่เคสนี้ได้แสดงให้เห็นว่า การต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมไม่ควรรอจนสายเกินไป

อุทาหรณ์ ! ประกันภัย “หัวหมอ” ปฏิเสธจ่ายค่าสินไหมฯ ด้วยกระดาษแผ่นเดียว

ในปัจจุบัน หลายคนเลือกที่จะทำประกันภัยแบบ “เปิด-ปิด” เพราะคิดว่าคุ้มค่าและสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ตามความต้องการ แต่เคสที่เรานำมาวันนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการทำประกันในรูปแบบนี้อาจมีข้อเสียที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบริษัทประกันภัยพยายามจะ “ตีความเข้าข้างตัวเอง” จนทำให้ผู้เอาประกันเสียสิทธิ์และเกิดความเดือดร้อนมากกว่าที่คิด

จากความเชื่อใจสู่ความผิดหวัง

เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้เสียหายในเคสนี้ได้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะเดียวกันก็ได้ทำประกันภัยรถยนต์แบบเปิด-ปิดไว้กับบริษัทประกันภัยชื่อดัง ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปตามขั้นตอนปกติ แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อผู้เสียหายยื่นขอค่าสินไหมทดแทน บริษัทประกันภัยกลับปฏิเสธการชดใช้ค่าสินไหมด้วยกระดาษเพียงแผ่นเดียว?? โดยให้เหตุผลว่า “ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้เปิดแอปพลิเคชันประกันภัย” ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการคุ้มครองตามกรมธรรม์แบบเปิด-ปิด

ทั้ง ๆ ที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นจริง เกิดเหตุขณะเปิดแอปพลิเคชันจริง และผู้เสียหายได้ทำการติดต่อบริษัทประกันภัยในทันทีหลังเกิดเหตุ แต่บริษัทประกันกลับบอกว่า ขณะเกิดเหตุไม่ได้เปิดแอปพลิเคชันซะอย่างนั้น

สุดท้ายศาลพิพากษา : ประกันภัยต้องชดใช้เกือบ 4 แสนบาท

เมื่อเรื่องนี้ถูกฟ้องไปยังชั้นศาล ศาลจึงมีคำพิพากษาที่ชัดเจนว่า บริษัทประกันภัยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกือบ 400,000 บาทให้กับผู้เสียหาย เนื่องจากการปฏิเสธการชดใช้ของบริษัทประกันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลได้วิเคราะห์ว่าบริษัทประกันไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอที่จะพิสูจน์ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นขณะไม่ได้เปิดแอปพลิเคชัน หรือหลักฐานที่เพียงพอที่จะอ้างสิทธิ์ในการปฏิเสธความรับผิดชอบ

นอกจากนี้ ศาลยังมีการพิจารณาเพิ่มเติมให้บริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษเป็นจำนวน 150,000 บาท เนื่องจากบริษัทมีการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม โดยไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม และมีเพียงแค่หนังสือปฏิเสธเพียงแผ่นเดียวมาอ้างปฏิเสธเท่านั้น

ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะความไม่รอบคอบของบริษัทประกันภัย ซึ่งอาจมีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนด้วยการตีความสัญญาในทางที่เอาเปรียบผู้เอาประกัน สิ่งนี้ทำให้ผู้เสียหายต้องประสบปัญหาทางการเงินและการขาดความเชื่อมั่นในระบบการประกันภัย

จากเหตุการณ์นี้ เราสามารถเห็นได้ว่าบริษัทประกันภัยบางแห่งอาจใช้เงื่อนไขที่ซับซ้อนและตีความเข้าข้างตัวเองเพื่อลดความรับผิดชอบต่อผู้เอาประกัน หากไม่มีการทบทวนสัญญาและเงื่อนไขที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น ผู้เสียหายอาจต้องรับผิดชอบต่อผลเสียหายทางการเงินเองอย่างไม่เป็นธรรม

อย่านิ่งนอนใจ ประกันภัยหัวหมอมีอยู่จริง

เรื่องราวนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าผู้ที่ทำประกันภัยแบบ “เปิด-ปิด” ต้องระมัดระวังและศึกษารายละเอียดสัญญาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำประกัน อย่าไว้ใจเฉพาะคำโฆษณาหรือข้อเสนอที่ดูน่าดึงดูด แต่ต้องอ่านข้อกำหนดต่าง ๆ ของกรมธรรม์อย่างละเอียด เพราะหากเกิดปัญหา บริษัทประกันบางแห่งอาจใช้เงื่อนไขที่ซับซ้อนเพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบ และผู้เอาประกันอาจต้องเสียสิทธิ์ในการได้รับค่าสินไหมอย่างไม่เป็นธรรม

ในเคสนี้ การที่ผู้เสียหายต้องประสบกับความเดือดร้อนมากมายเพราะการปฏิเสธของบริษัทประกันภัย แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทำประกันภัยจำเป็นต้องระมัดระวังและเตรียมพร้อมเสมอ อย่าปล่อยให้ถูกบริษัทประกันเอาเปรียบ

อย่ารอจนสาย ปรึกษาทนายความคือทางออก

เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดไม่ว่าจะรถชนได้รับบาดเจ็บสาหัส เสียชีวิต หรือทรัพย์สินเสียหาย ฯลฯ ควรดำเนินการอย่างรวดเร็วในการติดต่อประกันภัยเพื่อรายงานเหตุการณ์ แต่อย่าเพิ่งไว้วางใจจนเกินไป หากรู้สึกว่ามีการปฏิเสธความรับผิดชอบหรือการใช้เงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม อาทิ กรณีบาดเจ็บสาหัส แล้วถูกประกันบอกว่าให้ไป รักษาตัวให้หายดีก่อน หรือกรณีทรัพย์สินเสียหาย ถูกประกันงัดมุกเด็ด นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ฯลฯ แบบนี้ควรปรึกษาทนายความทันที

การมีทนายความอยู่เคียงข้างจะช่วยให้คุณได้รับการดูแลและคำปรึกษาที่ถูกต้องในการดำเนินคดีหรือเจรจากับบริษัทประกัน เพื่อปกป้องสิทธิ์ของคุณอย่างเต็มที่ เพราะในหลายกรณี การต่อสู้ทางกฎหมายอาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คุณได้รับความยุติธรรมและการชดใช้ที่เป็นธรรม

จากกรณีดังกล่าว เราควรตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสอบรายละเอียดสัญญาประกันภัยอย่างรอบคอบและไม่ละเลยการปรึกษาทนายความเมื่อเกิดปัญหา แม้ว่าการทำประกันภัยจะเป็นการป้องกันความเสี่ยง แต่หากเกิดการปฏิเสธการชดใช้จากบริษัทประกัน การมีทนายความผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณสามารถรักษาสิทธิ์ของตนเองและได้รับการชดใช้ที่ถูกต้องและเป็นธรรม

รถชน…แต่ใบขับขี่หมดอายุ ประกันคุ้มครองหรือไม่?

1-3 ใบขับขี่หมดอายุ

การขับขี่ยานพาหนะสิ่งที่ทุกคนจำเป็นจะต้องมีและพกติดตัวไว้เสมอคือ “ใบขับขี่” เพราะถ้าหากถูกเรียกตรวจแล้วไม่มี หรือถ้าหากใบขับขี่ของเรานั้นหมดอายุอาจโดนโทษปรับ 1,000 – 2,000 บาท หรืออาจโดนโทษทั้งจำทั้งปรับเลยทีเดียว นอกเหนือจากนั้นแล้ว ยังมีในส่วนของเรื่อง พ.ร.บ. และประกันภัยรถยนต์ ซึ่งอาจมีหลายคนสงสัยว่า ถ้าหากเราขับขี่ยานพาหนะแบบที่ไม่มีใบขับขี่ หรือมีแต่ใบขับขี่หมดอายุ แล้วไปเกิดอุบัติเหตุบริษัทประกันจะคุ้มครองหรือไม่ วันนี้จะมาให้ความรู้กันค่ะ

ใบขับขี่หมดอายุ แล้วเกิดอุบัติเหตุ ประกันคุ้มครองหรือเปล่า?

กรณีที่หากขับขี่ยานพาหนะแล้วเกิดอุบัติเหตุแต่บังเอิญว่าใบขับขี่ดันหมดอายุพอดิบพอดี จะต้องบอกว่าประกันจะยังคุ้มครองแต่ว่าเงื่อนไขในกรมธรรม์จะต้องครอบคลุมกรณีนี้ด้วย ซึ่งหากประกันครอบคลุมกรณีนี้ก็สามารถเคลมประกันได้ แต่ว่าประกันที่ครอบคลุมในส่วนนี้มักจะเป็นประกันภัยประเภท 1 หรือ ประกันภัยชั้น 1 ตามความเข้าใจของคนทั่วไปนั่นเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกบริษัทประกันภัยจะมีเงื่อนไขครอบคลุมกรณี ฉะนั้นควรศึกษารายละเอียดของกรมธรรม์ให้ดีก่อน แล้วถ้าขณะเกิดเหตุไม่มีใบขับขี่ประกันจะยังคุ้มครองอยู่หรือไม่ จะแยกออกเป็น 2 กรณีดังนี้

คนขับไม่มีใบขับขี่ แต่เป็นฝ่ายถูก

กรณีนี้ หากทำประกันประเภท 1 2+ หรือ 3+ เอาไว้ แม้ไม่มีใบขับขี่ เราจะยังได้รับการชดเชยค่าเสียหายจากบริษัทประกันเพื่อซ่อมรถเราเอง และยังเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายผิดได้ด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความผิดโทษฐานที่ไม่พกใบขับขี่ หรือใบขับขี่หมดอายุขณะขับรถตามกฎหมายยังคงมีอยู่

คนขับไม่มีใบขับขี่ และเป็นฝ่ายผิด

คำว่าไม่มีใบขับขี่นี่ก็มีที่มาจากหลายสาเหตุ ซึ่งแต่ละสาเหตุก็จะส่งผลถึงความคุ้มครองของประกันแตกต่างกันไป เช่น

มีใบขับขี่ แต่ไม่ได้พก: บริษัทประกันจะจ่ายให้ทั้งรถเรา รถเขา 

ไม่มีใบขับขี่เลย ไม่ได้ทำไว้ แต่มาขับรถ: บริษัทประกันจะจ่ายให้เฉพาะคู่กรณีเท่านั้น ส่วนรถเราบริษัทประกันจะไม่รับผิดชอบทุกกรณี 

มีใบขับขี่แต่หมดอายุ: ยังได้รับความคุ้มครองตามปกติ 

ถูกยึดใบขับขี่: กรณีนี้เราจะยังได้รับความคุ้มครองจากบริษัทประกันอยู่ เพียงแต่ว่าเราต้องมีหลักฐานเป็นการคัดลอกสำนวนว่าถูกยึดใบขับขี่จริง ๆ

2 ใบขับขี่หมดอายุ

หากไม่มีใบขับขี่ สามารถเบิก ... ได้หรือไม่?

อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องมาคู่กับการมีรถก็คือ พ.ร.บ. ซึ่งย่อมาจาก “พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ” นับเป็นประกันรถยนต์ภาคบังคับที่ผู้มีรถทุกคนจะต้องทำเอาไว้ นั่นหมายความว่า หากเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น เราสามารถเรียกร้องความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. ได้ ขณะที่ประกันตามบริษัทต่าง ๆ จัดเป็นประกันแบบภาคสมัครใจ สำหรับ พ.ร.บ. หากไม่ทำก็จะถือว่าผิดกฎหมาย เจ้าของรถที่ไม่ทำ พ.ร.บ. จะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และปรับการใช้รถที่ไม่มี พ.ร.บ อีก 10,000 บาท นั่นหมายความว่าหากเราเป็นทั้งเจ้าของรถและขับรถคันที่ไม่มี พ.ร.บ. ก็จะถูกปรับรวมกันไม่เกิน 20,000 บาท แล้วถ้าหากเราขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ หรือใบขับขี่หมดอายุ พ.ร.บ. จะยังคุ้มครองเราไหม? คำตอบคือ พ.ร.บ. จะยังคงให้ความคุ้มครองเหมือนเดิมเพราะเป็นประกันภาคบังคับ โดยเราจะได้รับการคุ้มครองจาก พ.ร.บ. ดังนี้ 

  • ค่าเสียหายเบื้องต้น ได้รับโดยยังไม่ต้องพิสูจน์ว่าเราผิดหรือเขาผิด แต่ต้องแจ้งภายใน 180 วันหลังเกิดอุบัติเหตุ  

– ค่ารักษาพยาบาล (ตามจริง) สูงสุดคนละ 30,000 บาท 

– กรณีเสียชีวิต ทุพพลภาพ หรือสูญเสียอวัยวะ ได้รับเงินชดเชยคนละ 35,000 บาท 

  • ค่าสินไหมทดแทน เมื่อพิสูจน์แล้วว่าเราเป็นฝ่ายถูก เราสามารถเรียกเงินในส่วนนี้ได้อีก  

– ค่ารักษาพยาบาล (ตามจริง)สูงสุดคนละ 80,000 บาท 

– กรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ได้รับเงินชดเชยคนละ 500,000 บาท 

– กรณีสูญเสียนิ้ว ตั้งแต่ข้อนิ้วขึ้นไป ได้รับเงินชดเชยคนละ 200,000 บาท 

– กรณีสูญเสียอวัยวะ 1 ส่วน ได้รับเงินชดเชยคนละ 250,000 บาท 

– กรณีสูญเสียอวัยวะ 2 ส่วนขึ้นไป ได้รับเงินชดเชยคนละ 500,000 บาท 

– กรณีนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน จะได้รับเงินชดเชยวันละ 200 บาท แต่จะต้องไม่เกิน 20 วัน 

จะเห็นได้ว่าพ.ร.บ.นั้นมีความสำคัญมาก ที่เป็นประกันภาคบังคับก็เพราะว่าเราจะเรียกร้องค่าเสียหายได้เลย แม้ว่าจะมีหรือไม่มีใบขับขี่ก็ตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ใบขับขี่ก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะมีผลทางกฎหมายด้วย ต่อให้เราได้รับความคุ้มครองจากพ.ร.บ. แต่หากไม่มีใบขับขี่ ยังไงก็ต้องถูกปรับอยู่ดี  

3 ใบขับขี่หมดอายุ

กรณีไหนบ้างที่ประกันรถยนต์ไม่คุ้มครอง แม้จะมีใบขับขี่ก็ตาม 

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ใบขับขี่รถยนต์ ประกันรถยนต์ และพ.ร.บ.จะเป็นสิ่งที่ต้องมีติดรถเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองหากเกิดอุบัติเหตุอย่างเต็มที่ แต่ก็จะมีบางกรณีที่บริษัทประกันรถยนต์จะไม่คุ้มครองแม้เราจะมีใบขับขี่อยู่ก็ตาม  

1. ใช้รถอย่างผิดกฎหมาย  
แน่นอนเลยว่าหากเรานำรถไปใช้อย่างผิดกฎหมาย ต่อให้มีใบขับขี่ บริษัทประกันก็คงไม่ยอมจ่ายให้เป็นแน่ ไม่ว่าจะเป็น  กรณีเมาแล้วขับ เพราะกฎหมายก็บอกไว้อยู่แล้วว่าห้ามดื่มสุราขณะขับรถ การขับรถขณะครองสติไม่อยู่ นับเป็นการเสี่ยงก่อให้เกิดอุบัติเหตุแก่ผู้อื่น อย่าดื่มแล้วขับกันเชียว เพราะเกิดอะไรขึ้นมาคงไม่คุ้ม ขนของผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะยาเสพติด หรืออะไรก็ตามที่ผิดกฎหมายแล้วมาอยู่ในรถเรา บริษัทจะไม่คุ้มครองรถที่ขนสิ่งของผิดกฎหมายทุกกรณี การดัดแปลงสภาพรถเพื่อแข่งขันความเร็ว เพราะบริษัทประกันมองว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุโดยใช่เหตุ 

2. กรณีบรรทุกของน้ำหนักเกิน 
หากเรานำรถไปบรรทุกของจนเกิน แล้วรถเกิดเสียหาย กรณีนี้บริษัทประกันจะไม่ให้ความคุ้มครอง แต่หากบรรทุกน้ำหนักเกินแล้วเกิดอุบัติเหตุ ก็อาจจะยังได้รับความคุ้มครองซึ่งจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทอีกที  

3. ตั้งใจให้เกิดอุบัติเหตุ 
การตั้งใจให้เกิดอุบัติเหตุ แสดงถึงเจตนาชัด ๆ เลยว่าเราจงใจจะเอาเงินประกัน ซึ่งหากเป็นอย่างนี้เท่ากับบริษัทประกันได้รับความเสียหายไปเต็ม ๆ ดังนั้นบริษัทประกันจึงมีสิทธิฟ้องร้องค่าเสียหายจากเราได้ นอกจากจะต้องจ่ายค่าเสียหายเองแล้ว ยังเสี่ยงติดคุกอีก แบบนี้ไม่คุ้มเลย  

4. เหตุก่อการร้าย หรือสงคราม 
ไม่ว่าจะเหตุระเบิด สงครามกลางเมือง หรือความเสียหายจากอาวุธ ฯลฯ แน่นอนว่าหากรับประกันกรณีนี้ด้วย บริษัทประกันคงมีแต่เสียกับเสีย แต่ก็อาจจะมียกเว้น เช่น ประกันชั้น 1 บางกรมธรรม์ที่ให้ความคุ้มครองอยู่บ้าง อาจจะต้องตรวจสอบแผนประกันให้ดีก่อนซื้อ  

5. การใช้รถผิดประเภท 
กรณีนี้ก็นับว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่น จดทะเบียนเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล แต่เอาไปใช้เป็นรถสาธารณะ แบบนี้บริษัทประกันก็มองว่าเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มากขึ้นเหมือนกัน  

6. รถเก่าหรือรถที่ไม่ได้ใช้นาน 
รถที่เก่าเกินไป หรือจอดทิ้งไว้จนสึกหรอไปเอง แบบนี้มีโอกาสที่บริษัทประกันจะไม่ให้ความคุ้มครอง โดยส่วนมากแล้วอายุรถที่จะยังได้รับความคุ้มครองอยู่คือ 1-5 ปี บางบริษัทอาจเพิ่มไปถึง 10 ปี  จะเห็นได้ว่าการขับขี่รถอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยให้เราใช้สิทธิ์ตามประกันรถยนต์ประเภทต่าง ๆ ที่เราทำไว้ได้อย่างอุ่นใจ หากใครที่ยังไม่มีใบขับขี่ หรือใบขับขี่หมดอายุ ก็ควรไปจัดการให้เรียบร้อย เดี๋ยวนี้การทำใบขับขี่ หรือต่ออายุทำได้ง่ายขึ้นมาก จะได้ไม่ต้องทำผิดกฎหมาย แถมยังได้รับความคุ้มครองจากประกันรถยนต์อย่างอุ่นใจ ควรจำไว้เลยว่าใบขับขี่ ประกันรถยนต์ และพ.ร.บ. นับเป็น 3 สิ่งที่ควรจะต้องมี และขาดไม่ได้สำหรับคนมีรถ

เห็นไหมคะว่าการมี พ.ร.บ. และประกันภัยรถนั้นสำคัญมากค่ะ เพราะถึงแม้ว่าใบขับขี่ของเราจะหมดอายุ แต่ พ.ร.บ. ยังคงคุ้มครองความบาดเจ็บของเราอยู่ และประกันภัยบางประเภทก็ยังคงให้ความคุ้มครองอยู่คะในกรณีที่เราเป็นทั้งฝ่ายถูกและฝ่ายผิดยกเว้นแต่ในกรณีที่ระบุเอาไว้ตามในกรมธรรม์ว่าไม่คุ้มครอง อย่างไรเสียควรหมั่นตรวจสอบใบขับขี่อยู่เสมอเพื่อไม่ให้หมดอายุ เพราะถึงอย่างไรก็มีความผิดต้องเสียค่าปรับอยู่ดีหากถูกเจ้าหน้าที่ขอเรียกตรวจ และควรพกติดตัวอยู่เอาไว้ตลอดเวลาค่ะ หากท่านใดมีปัญหาเกี่ยวกับประกันไม่ยอมจ่ายอ้างว่าใบขับขี่หมดอายุ ปรึกษาเราค่ะ

การเรียกค่าสินไหมทดแทนจากคู่กรณีต้องทำอย่างไร และเรียกค่าเสียหายอะไรได้บ้าง

เรียกค่าเสียหายอะไรได้บ้าง copy

อุบัติเหตุทางจราจรสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาเราสามารถเรียก ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายได้หากเราเป็นผู้เสียหายจากอุบัตินั้น เพราะประกันภัยจะให้ความคุ้มครองในเรื่องของความบาดเจ็บทางร่างกาย ค่าพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ รวมถึงความเสียหายในเรื่องของทรัพย์สิน และค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ เหล่านี้เราสามารถเรียกร้องเอาจากประกันของฝ่ายคู่กรณีได้ มาดูกันว่าค่าสินไหมทดแทนคืออะไร และนอกจากเราจะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากคู่กรณีแล้ว เรายังสามารถเรียกร้องค่าเสียหายอะไรจากคู่กรณีอีกได้บ้าง 

เรียกค่าเสียหายอะไรได้บ้าง1 copy

ค่าสินไหมทดแทนคืออะไร

ค่าสินไหมทดแทน หมายถึง “เงินที่ต้องชดใช้เพื่อทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินหรือแก่บุคคลอันเนื่องมาจากการละเมิด หรือการผิดสัญญา รวมทั้งทรัพย์สินที่ต้องคืนให้แก่ผู้เสียหายด้วย เช่น ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด ค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้” และตามหลักของคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ระบุไว้ว่า ค่าสินไหมทดแทน คือการชดใช้ความเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดโดยการคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายได้เสียหายไปหรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น ในเมื่อไม่อาจคืนทรัพย์สินได้รวมทั้งค่าเสียหายอย่างใด ๆ เพื่อให้ผู้เสียหายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมหรือใกล้เคียงกับฐานะเดิมเท่าที่จะสามารถทำได้

เรียกค่าเสียหายอะไรได้บ้าง2 copy

สามารถเรียกร้องค่าเสียหายอะไรได้บ้างจากคู่กรณี

1. ค่าเสียหายต่อตัวรถ

เมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแน่นอนว่ายานพาหนะต้องเกิดความเสียหายอยู่แล้ว ซึ่งในส่วนนี้คู่กรณีที่เป็นฝ่ายถูกจะเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้ ถ้าหากมีประกันก็สามารถตกลงกันง่ายกว่ารถที่ไม่มีประกัน เพราะกรณีรถที่ไม่มีประกันก็ต้องมาคุยกันว่าฝ่ายผิดจะทำการชดใช้ค่าเสียหายอย่างไร เมื่อเรียกประกันมาเพื่อคุยกันแล้ว ต่อไปก็เป็นขั้นตอนในการนำรถเข้าซ่อม โดยการส่งรถเข้าซ่อมจากความเสียหายเนื่องจากอุบัติเหตุสามารถทำได้ 2 ช่องทางคือ

– นำรถไปซ่อมกับอู่ที่บริษัทประกันคู่กรณีกำหนด หรืออู่ในเครือบริษัทประกัน

– นำรถไปซ่อมกับอู่ที่ติดต่อเอง แต่จะต้องแจ้งรายละเอียดการซ่อมต่างๆ ให้กับบริษัทประกันคู่กรณีก่อน เพื่อให้บริษัทประเมินราคาเบื้องต้น หรือให้ทางบริษัทเข้ามาดูสภาพความเสียหายของรถด้วยตัวเอง เพื่อพิจารณาค่าซ่อมที่เหมาะสม

2. ค่าลากรถ/ขนย้ายรถไปที่อู่ซ่อมรถ

เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ นอกจากเงื่อนไขที่ประกันต้องชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมแล้ว ยังเป็นหน้าที่ของประกันที่ต้องชดใช้ค่าขนย้าย และค่าดูแลรักษาในระหว่างที่ซ่อมด้วย ตามจำนวนที่จ่ายไปจริง แต่ไม่เกิน 20% ของค่าซ่อมแซม เช่น รถยนต์เกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหาย ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ พนักงานสอบสวนลากรถไปสถานีตำรวจ เมื่อใช้เป็นหลักฐานทางคดีเสร็จแล้ว ได้ลากรถไปที่อู่เพื่อซ่อมแซม ค่าลากรถทั้งสองช่วงนี้ บริษัทประกันเป็นคนจ่ายหรือรับผิดชอบตามที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 20% ของค่าซ่อม 

กรณีใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบเกิน 20%

ลากไปอู่หนึ่งแล้ว ทางประกันคุมราคาค่าซ่อมต่ำกว่าความจริง (เกิดจากประกันเอง) ทำให้ต้องลากไปอีกอู่ ค่าลากไปที่อื่นตรงนี้ประกันก็ต้องรับผิดชอบแม้รวมกับครั้งแรกจะเกิน 20% ของค่าซ่อม  

ข้อควรรู้ 

– ค่าดูแลขนย้ายนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่ประกันต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับจำนวนเงินเอาประกันที่ระบุไว้ 

– ค่าซ่อม จะทราบจำนวนค่าซ่อมที่แท้จริง เมื่อซ่อมรถเสร็จ เพราะตอนเกิดเหตุยากที่จะตีราคาค่าซ่อมได้ทันที 

3. ค่าเสียหายต่อชีวิตและร่างกาย

– ค่ารักษาพยาบาล

– เงินชดเชยกรณีสูญเสียอวัยวะ

– ทุพพลภาพ

– ค่าปลงศพ (กรณีเสียชีวิต)

– ค่าขาดประโยชน์ในการหารายได้ (กรณีต้องพักรักษาตัวนาน)

– ค่าขาดได้อุปการะ (กรณีเสียชีวิตและเกิดผลกระทบต่อการเลี้ยงดูบุตร)

4. ค่าเสียหายต่อทรัพย์สิน

ในที่นี้หมายถึงทรัพย์สินสิ่งของมีค่าที่อยู่ภายในรถ เช่น โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงิน โน้ตบุ๊ค หรือสิ่งของมีค่าอื่นๆ ที่อยู่ภายในรถ ซึ่งถ้าเกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุบริษัทประกันของคู่กรณีจะต้องจ่ายชดเชยให้ด้วย แต่จะพิจารณาเป็นในส่วนของค่าเสื่อมสภาพแทนไม่ใช่มูลค่าของทรัพย์สินที่เราซื้อมาในตอนแรก และทรัพย์สินนั้นผู้เสียหายจะต้องเป็นเจ้าของตัวจริงเท่านั้น โดยจะได้รับการชดเชยไม่เกินวงเงินที่ระบุเอาไว้ในประกัน

5. ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ/ค่าขาดประโยชน์ระหว่างซ่อมรถ

ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.62 เป็นต้นมา คปภ.ได้กำหนดอัตราขั้นต่ำในการชดเชยค่าขาดประโยชน์ (สำหรับรถยนต์ที่มีการทำประกันตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.62 ดังนี้)

– รถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 7 คน (รวมคนขับ) อัตราไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท

– รถยนต์รับจ้างสาธารณะที่มีที่นั่งไม่เกิน 7 คน (รวมคนขับ) อัตราไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท

– รถยนต์ที่มีที่นั่งเกิน 7 คน (รวมคนขับ) อัตราไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท

อย่างไรก็ดี หากกรณีเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วอย่างไรควรหาทนายความผู้เชี่ยวชาญเอาไว้คอยแนะนำขั้นตอนในการเรียกร้องค่าเสียหาย หากอุบัติเหตุนั้นมีความเสียหายไม่ว่าจะร่างกายหรือทรัพย์สิน เพราะการมีทนายความช่วยเดินเรื่องให้ช่วยให้เรารู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของบริษัทประกันภัยได้เพื่อรักษาสิทธิ์ที่พึงมีของเรา สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นสำนักงานทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของคดีประกันภัย หากท่านใดที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อกฎหมายในเรื่องของประกันภัย หรือข้อกฎหมายในเรื่องอื่นๆ ติดต่อเรา สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์พร้อมให้บริการในทุกปัญหากฎหมายของคุณ

ถูกรถบรรทุกพ่วงชนขาหัก แผลลึกถึงกระดูก บริษัทประกันภัยตีมึนชดใช้ค่าเสียหายหลักหมื่น!

ถูกรถพ่วงชนขาหัก copy

ในทุกวันจะมีคดีอุบัติเหตุทางจราจรเกิดขึ้นทุกวัน แต่ยังมีผู้บาดเจ็บจากคดีเกี่ยวกับจราจรอีกหลายคนที่ไม่ทราบถึงสิทธิ์ของตนเองเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับการประกันภัย จึงทำให้บางท่านเสียสิทธิ์ที่จะเรียกร้องค่าเสียหายที่ตนเองควรจะได้รับจาก พ.ร.บ. หรือ เฉกเช่นกรณีนี้ที่ผู้เสียหายท่านนี้ต้องประสบอุบัติเหตุถูกรถบรรทุกพ่วงเฉี่ยวชนจน ขาหัก เรื่องราวจะเป็นอย่างไรมาติดตามกันเลยค่ะ 

ขี่รถมาอยู่ดีๆ ก็ถูกรถบรรทุกพ่วงชนเข้าอย่างจัง

เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่ผู้บาดเจ็บกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์มาตามเส้นทางปกติ แต่ได้ถูกรถบรรทุกหัวลากพ่วงคัน ซึ่งขับขี่มาเฉี่ยวชนเข้ากับรถจักรยานยนต์ของผู้บาดเจ็บ เป็นเหตุให้ผู้บาดเจ็บได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส มีบาดแผลฉีกขาดขนาดใหญ่และลึกบริเวณขาขวา ลึกชนิดที่ว่าเห็นกระดูก และขาขวายังหักอีกด้วย รวมทั้งยังมีบาดแผลและรอยฟกช้ำทั่วร่างกายอีกหลายแห่ง รวมทั้งมีทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ ซึ่งอุบัติเหตุในครั้งนี้เกิดจากความไม่ระมัดระวังของผู้ขับขี่รถบรรทุกพ่วงคันดังกล่าว และรถบรรทุกพ่วงหัวลากคันดังกล่าวได้ทำประกันภัยภาคในส่วนภาคบังคับ และภาคสมัครใจ ผู้ขับขี่รถบรรทุกได้ลงลายมือยอมรับความผิดนั้นต่อหน้าเจ้าพนักงานสวนแล้ว โดยปกติแล้วการทำประกันภัยรถบรรทุกที่มีส่วนต่อพ่วงอย่างรถบรรทุกหัวลากกับหางพ่วงการทำประกันภัยนั้นจะแยกคนละส่วนกัน ดังนั้นการเรียกค่าเสียหายจากประกันภัยรถบรรทุกพ่วงจะสามารถเรียกได้มากกว่า 2 ฉบับ

ถูกรถพ่วงชนขาหัก copy

ถูกรถบรรทุกพ่วงชนขาหัก แผลลึกจนเห็นถึงกระดูก!

จากเหตุการณ์อุบัติเหตุร้ายแรงในครั้งนี้ ทำให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บกระดูกขาขวาหัก และมีบาดแผลฉีกขาดที่บริเวณขาขวาขนาดใหญ่มาก ลึกจนเห็นถึงกระดูกสร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นอย่างมาก ผู้บาดเจ็บต้องทำการพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เป็นเวลากว่า 43 วันเพื่อรักษาบาดแผล ที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และยังต้องเดินทางไปล้างแผลที่โรงพยาบาลอยู่เป็นประจำทุกวัน จากบาดแผลของผู้บาดเจ็บที่มีขนาดใหญ่และลึกจนเห็นถึงกระดูก ทำให้ผู้บาดเจ็บต้องพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน แล้วยังต้องทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ช่วงที่ต้องพักรักษาตัวผู้บาดเจ็บต้องสูญเสียรายได้ไป เพราะไม่สามารถดำเนินชีวิตได้เฉกเช่นปกติ โดยผู้บาดเจ็บประกอบอาชีพทำนาเกลือเมื่อได้รับบาดเจ็บจึงส่งผลกระทบต่อการหารายได้สร้างความลำบากให้แก่ผู้บาดเจ็บและครอบครัวเป็นอย่างมาก ทั้งคนในครอบครัวยังต้องผลัดเปลี่ยนกันมาพาผู้บาดเจ็บไปพบแพทย์อย่างต่อเนื่องในการรักษา

บริษัทประกันภัยหัวใสโยกโย้ด้วยการบอกเอกสารไม่ครบ

บริษัทประกันภัยภาคบังคับได้มีการโยกโย้ด้วยการทำหนังสือจะจ่ายค่าสินไหมทดแทน แต่ไม่ยอมระบุจำนวนเงินที่จะชดใช้ลงมาในเอกสาร ซึ่งถือว่าเป็นการไม่จริงใจที่จะชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แถมยังกล่าวอ้างยกเหตุขึ้นมาว่าผู้บาดเจ็บนั้นส่งเอกสารยื่นขอพิจารณาค่าสินไหมไม่ครบ แต่ทางบริษัทประกันภัยเองกลับไม่ยอมแจ้งเป็นหนังสือว่าทางบริษัทประกันภัยนั้นต้องการเอกสารใดจากผู้บาดเจ็บ นับว่าเป็นอีกลูกเล่นที่นำมาใช้เพื่อถ่วงเวลาการจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้น

ในส่วนของบริษัทประกันภัยภาคสมัครใจ ถึงแม้ว่าจะมีอีเมลแจ้งผลการพิจารณาค่าเสียหายในส่วนของค่าซ่อมแซมรถจักรยานยนต์ของผู้บาดเจ็บ แต่ค่าเสียหายนั้นช่างต่ำกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงต่อผู้บาดเจ็บ ทั้งยังไม่ยอมมีหนังสือแจ้งการชดใช้ค่าเสียหายต่อร่างกายและทรัพย์สินของผู้บาดเจ็บ ตามหลักเกณฑ์และกรอบเงื่อนไขระยะของการประกอบธุรกิจประกันภัย ถือว่าเป็นการประวิงเวลาในการชดใช้ค่าเสียหายต่อผู้บาดเจ็บ และปัจจุบันผู้บาดเจ็บก็ยังไม่ได้รับเงินชดใช้ค่าเสียหายทั้งต่อร่างกายและทรัพย์สินที่เหมาะสม สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ผู้บาดเจ็บเป็นอย่างมาก

ถูกรถพ่วงชนขาหัก2 copy

เมื่อถูกเอาเปรียบจากบริษัทประกันรีบปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญดีที่สุด

ผู้บาดเจ็บรู้สึกมืดแปดด้านไม่รู้จะต้องทำอย่างไร จึงได้เข้ามาปรึกษา สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ และมอบอำนาจให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เป็นผู้ดำเนินการเรียกค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยทั้ง 2 บริษัทเพิ่มเติม โดยบริษัทภาคบังคับยินยอมจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นแล้วเป็นเงินจำนวน 138,000 บาท แต่บริษัทประกันภัยที่ 2 เสนอจำนวนเงินไม่คุ้มค่าต่อความเสียหายที่ผู้บาดเจ็บควรจะได้รับ ทีมทนายที่มีประสบการณ์ของสำนักงานวงศกรณ์จึงได้ใช้สิทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมโดยการยื่นขอคำเสนอต่ออนุญาโตตุลาการ เพื่อให้บริษัทประกันภัยภาคสมัครใจทำการจ่ายค่าเสียหายตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์เป็นจำนวนเงิน 500,000 บาทแก่ผู้เสียหาย เพื่อความยุติธรรมต่อผู้เสียหายที่ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส และยังไม่ทราบว่าจะหายกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติหรือไม่

เห็นไหมคะว่าการมีทนายความผู้เชี่ยวชาญไว้คอยให้ความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาทางด้านกฎหมายเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่เริ่มมีปัญหาด้านกฎหมาย เพราะความไม่รู้กฎหมายอาจทำให้บริษัทประกันภัยฉวยโอกาสใช้ตรงนี้เพื่อเอาเปรียบในสิทธิ์ที่คุณควรจะได้รับ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามีทีมนักกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญและมากด้วยประสบการณ์ไว้คอยบริการทุกปัญหากฎหมายของคุณ หากคุณกำลังมีปัญหาในเรื่องของกฎหมาย ติดต่อเรา

外国受害者的车被撞,颈椎骨折,右肩骨折!保险公司拖延不愿意赔偿,律师帮助搞定,索赔超过一百万泰铢!

ผู้เสียหายชาวต่างชาติรถถูกชน

这是一个关于汽车保险的案例。当我们购买汽车保险时,自然希望保险公司能为我们的生命提供全面的保障,因为我们只有一条生命。但如果我们信任的保险公司,在发生事故后,却试图推诿支付赔偿,不履行自愿险和强制险合同中明确规定的责任,比如在这个案例中,Wongsakorn 律师事务所 受到了来自一位遭遇车祸的外国伤者的信任。事故导致这位外国伤者严重受伤,车辆被撞坏,肩膀骨折需要进行钢板手术!但保险公司却以被保险人是外国人,不懂得泰国的保险法以及不了解保护自己权益的流程为由,推脱赔偿。当保险公司试图拖延和解时,受害者不知如何应对,因此决定求助于 Wongsakorn  律师事务所来帮助他们维护正义。

车辆被撞,导致颈椎骨折和肩膀骨折,需休养超过三个月,却没有收到保险公司的任何赔偿。

此次事故发生时,受害者驾驶的车辆与一辆轿车发生擦碰,但随后受害者的车辆又被另一辆汽车从后方撞击,导致受害者的车辆严重损坏。受害者与保险公司投保的车辆内共有两名乘客受伤,其中一名受害者伤势严重,颈椎骨折及右肩骨折,不得不接受肩部钢板固定手术,并需休养3个月。手术取出钢板后,仍需进行物理治疗。目前,受害者仍在持续治疗,受伤处时常带来痛苦,严重影响日常生活。

已支付超过 200,000 泰铢,但保险公司仍拒绝赔偿

受害者已经预先支付了超过 200,000 泰铢的必要医疗费用,还未包括因失去每月收入而造成的 150,000 泰铢的损失。受害者是公司高级管理人员,这次的严重受伤需要长时间治疗,导致收入损失巨大,并对公司管理产生了严重影响。受害者不得不进行右肩钢板固定手术,并需要再次手术取出钢板,手术及术后治疗费用高达 80,000 泰铢。这个金额是医生初步评估的费用,还不包括治疗过程中可能出现的其他并发症及其他医疗费用。

肩膀骨折未愈,需飞往国外治疗。

在受伤期间,受害者在泰国接受治疗时,频繁往返于家与医院之间,产生了不少治疗期间的费用。然而,受伤的肩膀状况并未好转,骨折的肩膀骨头未能愈合。因此,受害者不得不飞往台湾接受进一步治疗,并进行二次手术,手术费用为 158,080 台币,折合泰铢为 161,241 泰铢。此外,受害者还支付了 14,300 泰铢的机票费用,以前往国外接受治疗。手术后,受害者还需要持续进行长时间的物理治疗,治疗费用高昂。实际上,这些费用受害者完全可以向保险公司提出赔偿,即便受害者是在国外接受治疗。

ประกันเสนอจ่ายค่ารักษา 4

保险公司提出的赔偿金额低于实际损失!

在发生的事故中,保险公司(自愿险)和保险公司(强制险)尚未支付赔偿,而是试图进行调解。由于受害者是外国人,不了解保险法律,因此不敢索要过高的赔偿,担心会被保险公司反诉。尽管受害者右臂骨折,必须植入钢板,并根据医生建议需要休养超过90天。如果受害者能够正常工作,原本可以获得 450,000 泰铢的收入。然而,在 90 天的停工期间,保险公司仅提议支付 150,000 泰铢,而对方保险公司则提议支付受害者仅 100,000 泰铢。总的来说,保险公司仅提出了约 300,000 泰铢的赔偿,这远远低于实际损失,严重低估了受害者的损失和伤痛。这样的赔偿远不足以弥补受害者的伤害,也无法确定未来是否能够完全恢复正常。

在这种情况下,必须要有律师来防止被保险公司占便宜。

Wongsakorn 律师事务所认识到,不论受害者是泰国人还是外国人,如果他们在与保险公司的纠纷中被欺负,律师的帮助是至关重要的。就像这位受了重伤的中国受害者一样,他感到两家保险公司都不愿真诚承担责任,所提出的赔偿金额与实际伤害不符。此外,保险公司还试图通过要求调解和谈判赔偿金来拖延时间。因此,受害者委托 Wongsakorn 律师事务所为其提起诉讼,要求保险公司赔偿损失。由于 Wongsakorn 的法律团队意识到这位外国受害者所遭遇的不公正,遂决定向这两家保险公司提出超过百万泰铢的索赔金额,这个金额是保险公司最初提议的三倍多,以弥补受害者的损失并安慰其心理创伤。最终,法院判决这两家保险公司支付超过一百万泰铢的赔偿金给受害者!

无论是泰国人还是外国人,Wongsakorn 律师事务所都愿意提供服务。

Wongsakorn 律师事务所重视每一位受害者的权益,无论其是泰国人还是外国人。如果受害者感到没有得到保险公司的公正对待,Wongsakorn 律师事务所将乐意提供帮助。在发生事故时,拥有一位律师是非常重要的,不仅可以保护受害者免受保险公司各种手段的伤害,还能帮助受害者按照法律程序有效地提出索赔。Wongsakorn 律师事务所专注于处理与保险相关的诉讼案件,我们有一支专业的律师团队,随时准备提供咨询和服务。如果您正在面临保险公司不公的对待,请随时联系我们

ทุพพลภาพ”จากอุบัติเหตุ! ประกันภัยเล่นแง่ปฏิเสธจ่ายแค่หนึ่งแสน แทนค่านิ้วที่ถูกตัด!

ทุพพลภาพจากอุบัติเหตุ! ประกันภัยเล่นแง่ปฏิเสธจ่ายแค่หนึ่งแสน

อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นได้ทุกวันทุกเวลา หากว่าเราประมาทก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติจนได้รับบาดเจ็บได้ แต่ถ้าหากเราขับขี่อย่างระมัดระวังแล้ว แต่บุคคลอื่นกลับไม่ได้มีความรับผิดชอบต่อผู้อื่นมากพอ ขับขี่ยานพาหนะอย่างไม่ระมัดระวังจนเกิดอุบัติแก่บุคคลอื่น นั่นเป็นการหยิบยื่นความเดือดร้อนไปให้แก่บุคคลอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นผู้ที่เป็นต้นเหตุควรมีความรับผิดชอบต่อผู้ที่บาดเจ็บหรือเสียหายที่ต้องมาเดือนร้อนจากการกระทำของเราด้วย เฉกเช่นกับผู้บาดเจ็บท่านนี้ที่ประสบอุบัติเหตุจากความประมาทของผู้อื่น จนต้องถูกตัดนิ้วต้องสูญเสียอวัยวะกลายเป็นผู้ ทุพพลภาพ ไปอย่างถาวร เรื่องราวของผู้เสียหายจะเป็นอย่างไร มาติดตามกันเลยค่ะ 

ต้องกลายเป็นผู้ “ทุพพลภาพ”

ต้องกลายเป็นผู้ “ทุพพลภาพ” จากอุบัติเหตุที่ไม่ได้ก่อ!

โดยอุบัติเหตุไม่คาดฝันนี้ที่ต้องทำให้ผู้บาดเจ็บกลายเป็นบุคคลทุพพลภาพ เริ่มจากผู้บาดเจ็บได้ขับขี่รถจักรยานยนต์มาด้วยความระมัดระวัง และปฏิบัติตามกฎหมายจราจรอย่างดีแล้ว แต่ได้ถูกรถยนต์ซึ่งขับด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังมาเฉี่ยวชนเข้ากับรถจักรยานยนต์ของผู้บาดเจ็บ ทำให้รถของผู้บาดเจ็บเสียหลักล้มลงตัวกระเด็นไปอยู่บริเวณใต้ท้องรถของคู่กรณี จนได้รับบาดเจ็บหนักหลายแห่ง แต่ที่หนักที่สุดคือต้องถูกตัดนิ้ว! กลายเป็นผู้ทุพพลภาพไปอย่างถาวร ซึ่งหลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นความผิดของคู่กรณีผู้ขับขี่รถยนต์ดังกล่าว และผู้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวได้ยอมรับในที่เกิดเหตุว่าเป็นความผิดของตนเองจริง

อาการสาหัสจนต้องตัดนิ้วทิ้ง

อาการสาหัสจนต้องตัดนิ้วทิ้ง! จากความประมาทของผู้อื่น

จากอุบัติเหตุในครั้งนี้ ส่งผลให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลฉีกขาดอย่างรุนแรงบริเวณนิ้วก้อยข้างซ้าย กระดูกนิ้วหายไปบางส่วนลึกเข้าข้อนิ้วก้อยทั้ง 2 ข้าง แพทย์ลงความเห็นว่าจำเป็นต้องตัดนิ้วก้อยข้างซ้ายทิ้งไป ทำให้ผู้เสียหายต้องกลายเป็นผู้ทุพพลภาพ นอกจากนี้ผู้บาดเจ็บยังมีบาดแผลฉีกขาดลึกบริเวณข้อมือซ้าย ฟันล่างโยก รวมทั้งมีบาดแผลถลอกขนาดใหญ่และลึกอีกหลายแห่ง และผู้บาดเจ็บต้องเดินทางไปโรงพยาบาลทุกวันเพื่อทำการล้างแผลและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง สร้างความลำบากให้แก่ผู้บาดเจ็บเป็นอย่างมาก

จากคนปกติสู่ผู้ทุพพลภาพขาดอวัยวะ

จากคนปกติสู่ผู้ทุพพลภาพขาดอวัยวะ

ผู้บาดเจ็บต้องสูญเสียอวัยวะกลายเป็นผู้ทุพพลภาพ ก็เป็นสิ่งที่สร้างความสะเทือนในให้แก่ผู้บาดเจ็บเป็นอย่างมากแล้ว ผู้บาดเจ็บยังต้องสูญเสียรายได้จากการพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ ซึ่งหากผู้บาดเจ็บยังสามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ผู้บาดเจ็บจะมีรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 120,000 บาท เพราะผู้บาดเจ็บเป็นคนขยัน นอกจากอาชีพประจำทำแซนวิสขายแล้ว ผู้บาดเจ็บยังทำอาชีพเสริมมีรายได้อีกกว่า 50,000 บาทต่อเดือน เมื่อต้องประสบอุบัติเหตุร้ายแรงเช่นนี้ จึงส่งผลกระทบต่อการขาดรายได้ตรงนี้ไป และยังไม่สามารถคาดได้ว่าจะยังสามารถกลับมาทำแบบเดิมได้อีกหรือไม่ เนื่องจากความทุพพลภาพที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้การใช้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ค่าเสียหายหลักแสนก็แทนนิ้วที่หายไปไม่ได้

แต่กระถึงกระนั้น บริษัทประกันภัยของคู่กรณียังสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ผู้บาดเจ็บเป็นอย่างมาก โดยพิจารณาค่าสินไหมทดแทนให้ผู้บาดเจ็บที่ต้องสูญเสียนิ้วมือกลายเป็นผู้ทุพพลภาพต่ำกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงไปมาก บริษัทประกันภัยของคู่กรณีเสนอจ่ายค่าสินไหมทดแทน ค่ารักษาพยาบาลในอนาคต ค่าสูญเสียรายได้ ค่าอนามัย ค่าทุขเวทนาให้แก่ผู้บาดเจ็บ รวมแล้วเป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท และเสนอค่าสินไหมทดแทนให้เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท ซึ่งความจริงแล้วบริษัทประกันภัยของคู่กรณีนั้นจะต้องจ่ายค่าเสียหายตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย (ภาคบังคับ) เป็นจำนวนเงิน 600,000 บาท ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ทั้งบริษัทประกันภัยเองยังพยายามประวิงเวลาไม่ยอมแจ้งผลการพิจารณาค่าเสียหายให้แก่ผู้บาดเจ็บออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้ปัจจุบันนี้ผู้เสียหายก็ยังไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยของคู่กรณีเลย

ควรมีทนายเอาไว้เพื่อรักษาสิทธิ์ของตนเอง

ควรมีทนายเอาไว้เพื่อรักษาสิทธิ์ของตนเอง

ผู้บาดเจ็บรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากบริษัทประกันภัย เพราะตนเองต้องกลายเป็นผู้ทุพพลภาพจากอุบัติเหตุในครั้งนี้ที่ตัวเองต้องเป็นผู้ประสบเหตุ จึงทำการติดต่อให้ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ที่มีชื่อเสียงด้านการฟ้องร้องคดีบาดเจ็บมาแล้วหลายคดี เป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมจากบริษัทประกันภัย ทีมงานกฎหมายของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มองเห็นแล้วว่าคดีนี้ผู้บาดเจ็บยังได้รับค่าเสียหายที่ไม่เหมาะสมกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นจริง ทีมทนายจึงได้ดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายอย่างเต็มที่ เพื่อให้ผู้บาดเจ็บได้รับค่าเยียวยาอย่างเหมาะสมที่สุด เมื่อเทียบกับนิ้วที่ต้องถูกตัดทิ้งไป ซึ่งเป็นความเสียหายร้ายแรงไม่อาจกลับคืนมาได้ และยังส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างถาวร

ในปัจจุบันนี้บริษัทประกันภัยส่วนใหญ่มักพยายามเล่นแง่กับผู้บาดเจ็บ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของบริษัทตัวเองจนลืมเรื่องความมีมนุษยธรรมไป ซึ่งเป็นสิ่งที่อยุติธรรมต่อผู้เสียหาย สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เราเชี่ยวชาญด้านการฟ้องร้องคดีประกันภัย เพราะเรามีทีมทนายที่แข็งแกร่งพร้อมดำเนินการทุกขั้นตอนจนเสร็จสิ้นให้แก่ผู้เสียหาย หากท่านกำลังประสบปัญหาถูกเอาเปรียบจากบริษัทประกันภัย ติดต่อเรา