คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ความแพ่ง คดีความระหว่าง คดีความระหว่าง นาย ก (โจทก์) และบริษัท ABC ประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำเลย
เรื่อง ประกันภัย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองและเอาประกันภัยรถยนต์ หมายเลขทะเบียน XX 5678 เชียงราย กับจำเลย โดยมีความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เวลา 23.00 น. โจทก์ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปเฉี่ยวชนเสาป้ายจราจรทางหลวงและประตูเหล็กร้าน A ได้รับความเสียหาย เป็นเหตุให้รถยนต์ที่เอาประกันภัยได้รับความเสียหายด้วย โจทก์ได้แจ้งเหตุแก่จำเลยเพื่อนำรถยนต์ของโจทก์ไปซ่อมให้คืนสู่สภาพเดิม แต่จำเลยปฏิเสธอ้างเหตุว่าขณะเกิดเหตุโจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์มากกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ทั้งที่เจ้าพนักงานตำรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์แล้วพบว่าโจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเพียง 38 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งตามกฎหมายไม่ถือว่าโจทก์เมาสุราและเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้แจ้งข้อหาแก่โจทก์ว่าขับรถในขณะเมาสุรา การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป้ฯค่าซ่อมรถ 209,820 บาท ค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ไม่สามารถใช้รถได้นับแต่วันพ้นกำหนด 15 วัน หลังจากวันเกิดเหตุ ซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้ตามข้อยกเว้นในกรมธรรม์ เมื่อจำเลยละเลยไม่ซ่อมรถยนต์ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยต้องรับผิดนับถัดจากวันครบกำหนด 15 วันดังกล่าว จนถึงวันฟ้อง วันละ 800 บาท เป็นเวลา 19 วัน คิดเป็นเงิน 31,200 บาท และค่าขาดประโยชน์หลังจากวันฟ้อง วันละ 800 บาท จนกว่าจำเลยจะซ่อมรถยนต์ของโจทก์จนแล้วเสร็จ ค่าสินไหมทดแทนจากกรณีที่จำเลยอิดเอื้อนผิดสัญญาเป็นค่าเสียหายเชิงลงโทษ 120,000 บาท ค่ายกลาก 12,500 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 283,700 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 283,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถนับถัดจากวันฟ้องวันละ 800 บาท จนกว่าโจทก์จะซ่อมรถเสร็จ และหรือให้จำเลยนำรถยนต์ของโจทก์ไปซ่อมให้เสร็จและใช้งานได้ดีดังเดิมหรือชดใช้ค่าซ่อมรถ 209,820 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 283,700 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน XX 5678 เชียงราย จากโจทก์ ประเภทประกันภัยแบบคุ้มครองความเสียหายโดยสิ้นเชิง (ประเภทหนึ่ง) มีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี เริ่มคุ้มครองวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 และสิ้นสุดวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 กกำหนดวงเงินคุ้มครองความเสียหายตัวรถยนต์ 250,000 บาท ต่อครั้ง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เวลาประมาณ 23.00 น. โจทก์ขับรถยนต์ดังกล่าวด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังเฉี่ยวชนเสาป้ายจราจรทางหลวงและทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้รับความเสียหาย หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเชียงของ จังหวัดเชียงราย ไปตรวจที่เกิดเหตุพบโจทก์แสดงตัวเป็นผู้ขับขี่รถยนต์ ต่อมาวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 เวลา 03.46 น. พนักงานสอบสวนได้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์โดยวิธีเป่าตรง ค่าที่วัดได้ 38 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เวลาที่ตรวจวัดกับเวลาที่เกิดเหตุจริงมีระยะเวลาห่างกัน 256 นาที ซึ่งปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะมีอัตราเฉลี่ยลดลง 0.25 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อนาที คิดเป็น 71.50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เมื่อนำผลมารวมกับผลเป่าตรงที่มีเอกสารแสดงไว้ แล้วทำให้ทราบข้อเท็จจริงว่า ในขณะเกิดเหตุโจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 109.50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่ากฎหมายกำหนดและเกินกว่าที่กรมธรรม์กำหนดไว้ จึงเป็นการผิดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมแทนโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์และค่าเสียหายในอนาคต ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาได้แก่ค่าซ่อมรถยนต์และค่ายกลากนั้นสูงเกินความจริง และค่าเสียหายในเชิงลงโทษไม่ใช่ความเสียหายที่มีอยู่จริง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง แต่หากจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์แล้วต้อไม่เกิน 250,000 บาท เนื่องจากมีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยผิดนัดซึ่งจำเลยต้องรับผิดตามกฎหมายจึงไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปี เท่านั้น การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีผู้บริโภคตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงในชั้นนี้รับฟังได้ยุติว่า จำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าหมายเลขทะเบียน XX 5678 เชียงราย โดยโจทก์เป็นผู้เอาประกันภัย ประเภทประกันภัยแบบคุ้มครองความเสียหายโดยสิ้นเชิง (ประเภทหนึ่ง) มีระยะเวลาคุ้มครองหนึ่งปี เริ่มคุ้มครองวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 และสิ้นสุดวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เวลา 16.30 น. กำหนดวงเงินคุ้มครองความเสียหายตัวรถยนต์ 250,000 บาท ต่อครั้ง ตามสำเนาตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
โดยมีเงื่อนไขของสัญญาประกันภัยตามสำเนาเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ หมวดความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคล ภายนอก กำหนดไว้ในข้อ 7 ว่า การยกเว้นทั่วไป การประกันภัยตามหมวดนี้ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากข้อ 7.6 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดให้ถือว่าเมาสุรา และตามสำเนาเอกสารแนบท้ายความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์เนื่องจากการชนกับยานพาหนะทางบก (ร.ย.ภ. 10) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ กำหนดไว้ในข้อ 9 ว่าการยกเว้นการใช้อื่นๆ การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครอง… ข้อ 9.3 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ 16 (พ.ศ.2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 กำหนดให้ถือว่าเมาสุรา และตามสำเนาคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัย หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถ กำหนดไว้ในข้อ 9 ว่าการยกเว้นการใช้อื่นๆ การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครอง ข้อ 9.3 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่ให้ถือว่าเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่นตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก ดังนี้ ข้อ 9.3.1 มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เวลาประมาณ 23.00 น. ซึ่ง อยู่ในระยะเวลาประกันภัยคุ้มครอง พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเชียงของ ได้รับแจ้งเหตุรถยนต์ชนบ้านได้รับความเสียหาย จึงเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ พบโจทก์แสดงตัวเป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวเฉี่ยวชนเสาป้ายจราจรหมวดทางหลวงและทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้รับความเสียหาย และเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายด้วย ต่อมาวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 เวลา 03.46 น. พนักงานสอบสวนได้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์โดยวิธีเป่าตรง ค่าที่วัดได้ 38 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตามสำเนารายงานผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่โจทก์ว่า ขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน แต่ไม่ได้แจ้งข้อหาขับรถในขณะเมาสุรา โจทก์ให้การรับสารภาพ พนักงานสอบสวนทำการเปรียบเทียบปรับ 400 บาท ต่อมาจำเลยมีหนังสือฉบับลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 แจ้งผลการพิจารณาค่าสินไหมทดแทน โดยปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลว่าขณะเกิดเหตุโจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เกินกว่าเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยกำหนดไว้ตาม สำเนาหนังสือแจ้งผลพิจารณาค่าสินไหมทดแทน หลังเกิดเหตุโจทก์นำรถยนต์ไปซ่อมแซมเองแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการแรกว่า คู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกตามคำสั่งนายทะเบียนเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประกันภัยหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า ในขณะเข้าทำสัญญาประกันภัย โจทก์ได้รับเพียงตารางกรมธรรม์และเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยจากจำเลยเท่านั้น โจทก์จึงทราบแต่ข้อสัญญาตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยและต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวเท่านั้น โดยไม่ทราบถึงวิธีการคำนวณแอลกอฮอล์ย้อนหลังตามที่ระบุไว้ในคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกตามคำสั่งนายทะเบียนซึ่งไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสัญญาประกันภัย เห็นว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงทำสัญญาประกันภัยตามสำเนาตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และมีเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งได้กำหนดเงื่อนไขไว้โดยชัดแจ้งในหมวดเงื่อนไขทั่วไป ข้อ 11 การตีความกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งระบุว่า “ ข้อความที่ปรากฏในกรมธรรม์ประกันภัยนี้ รวมทั้งเอกสารแนบท้ายและเอกสารประกอบให้ตีความตามคู่มือการตีความที่นายทะเบียนได้ให้ความเห็นชอบไว้” ดังนี้ คู่มือการตีความที่นายทะเบียนได้ให้ความเห็นชอบไว้ตามสำเนาคำสั่งนายทะเบียนที่ 66/2563 และสำเนาคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัย หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถ จึงต้องถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกรมธรรม์ประกันภัยนี้ อันมีผลผูกพันให้โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาประกันภัยจะต้องปฏิบัติตามท และเมื่อโจทก์ยอมรับในอุทธรณ์ว่า คู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยออกมาเพื่อบังคับใช้โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 นายทะเบียนจึงมีคำสั่งให้ใช้บังคับคู่มือตีความนับแต่วันที่ออกคำสั่งเป็นต้นไปคือวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ประกอบกับคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกตามคำสั่งนายทะเบียนเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประกันภัย การที่โจทก์อ้างว่าตนเองไม่ทราบข้อความที่ปรากฏในคู่มือการตีความกรมธรรม์ประกันภัยในขณะทำสัญญาจึงไม่รับฟังได้ อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการต่อไปว่า ขณะโจทก์ขับรถยนต์เกิดเหตุเฉี่ยวชนเสาป้ายจราจรหมวดทางหลวงและทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้รับความเสียหาย มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ อันเป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์หรือไม่ เห็นว่า พนักงานสอบสวนได้ตรวจรับปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์โดยวิธีเป่าตรงหลังเกิดเหตุแล้วประมาณ 286 นาที จึงไม่ใช่การตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในขณะโจทก์ขับขี่รถยนต์ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน สำเนาเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ หมวดความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ข้อ 7.6 เนื่องจากการชนกับ ยานพาหนะทางบก (ร.ย.ภ.10) ข้อ 9.3 และตามสำเนาคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัย หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถ ข้อ 9.3 และข้อ 9.3.1 แม้จำเลยจะนำสืบการคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์ย้อนหลังไปถึงขณะเกิดเหตุคดีนี้ โดยอ้างทางการแพทย์ของแพทยสภาและตามผลการวิจัยของสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติเรื่อง การลดลงของระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ว่า “ ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะลดลงภายหลังดื่มครั้งสุดท้ายประมาณ 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมง” ซึ่งระบุไว้ในข้อ 7.6.3 ของสำเนาคู่มือการตีความ จำเลยได้หาปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์ในขณะเกิดเหตุด้วยการนำค่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 38 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ที่พนักงานสอบสวนตรวจวัดได้โดยวิธีเป่าตรง มาคำนวณกับเวลาวัดกับเวลาเกิดเหตุซึ่งมีระยะเวลาห่างกัน 286 นาที ตามหลักทางการแพทย์ของแพทย์สภาและตามผลการวิจัยของสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าว แล้วสรุปว่าขณะเกิดเหตุโจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 109.50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และยังได้คำนวณโดยอ้างข้อมูลทางวิชาการของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดโจทก์ 104 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ รวมทั้งอ้างข้อมูลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้ศึกษาระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และอัตราการทำลายของแอลกอฮอล์ใน 1 ชั่วโมง ร่างกายจะกำจัดแอลกอฮอล์ได้ 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ข้อมูลทางการแพทย์ดังกล่าวเป็นข้อมูลทางวิชาการที่ได้จากการประมาณการโดยประเมินจากค่าเฉลี่ยของการกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายในกรณีทั่วไปเท่านั้น และเมื่อได้ความจากพยานโจทก์ว่าการตรวจหาปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย ในทางวิชาการถือว่ามีความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น สภาพร่างกาย การดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายว่ามีการดูดซึมถึงระดับสูงสุดแล้วหรือไม่ ในตำราทางการแพทย์ของต่างประเทศ ระบุไว้ว่าการตรวจหาระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายแบบย้อนหลังนั้นมีความน่าเชื่อถือน้อย การคำนวณหาระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายแบบย้อนกลับจะนำมาใช้ได้หลังจากทราบว่าร่างกายมีการดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายผ่านจุดสูงสุดที่เรียกว่าอยู่ในระหว่างขาลงแล้ว โดยทั่วไปจะต้องมีการตรวจหาระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ณ ปัจจุบัน 2 ครั้ง เปรียบเทียบกัน การที่มีการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์เพียงครั้งเดียวย่อมเป็นการยากที่จะวัดระดับแอลกอฮอล์ย้อนกลับไปได้และทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบค่าและไม่สามารถทราบได้ว่าขณะนั้นมีการดูดซึมผ่านระดับสูงสุดมาแล้วหรือไม่ อีกทั้งจำเลยก็ไม่ได้นำสืบโต้แย้งว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ไม่ถูกต้อง จึงเชื่อได้ว่าพยานโจทก์เบิกความไปตามหลักวิชาการจริง ดังนี้ จากคำเบิกความของพยานโจทก์แสดงให้เห็นว่าการตรวจวัดแอลกอฮอล์ย้อนหลังตามวิธีการที่จำเลยอ้างอาจมีความคลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ประกอบกับไม่ปรากฏว่ามีการทดสอบอัตราการกำจัดปริมาณแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายของโจทก์ตามวิธีการที่ได้ความจากพยานโจทก์เป็นการเฉพาะด้วยการตรวจหากระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ณ ปัจจุบัน 2 ครั้ง เปรียบเทียบกัน การที่มีการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์เพียงครั้งเดียวย่อมเป็นการยากที่จะวัดระดับแอลกอฮอล์ย้อนกลับไปได้ื นอกจากนี้พยานโจทก์ยังได้เบิกความตอบทนายโจทก์ถามติงว่า สภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ย่อมมีความสามารถในการกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายแตกต่างกัน สำหรับกรณีของโจทก์อาจมีการกำจัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดหรืออัตราการลดลงของแอลกอฮอล์น้อยกว่าปกติและทำให้ขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัม เปอร์เซ็นต์ ก็เป็นไปได้เช่นกัน การที่จะนำวิธีการคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดย้อนหลังโดยอาศัยปัจจัยจากค่าเฉลี่ยในกรณีทั่วไปตามที่จำเลยอ้างเพื่อมารับฟังเป็นผลร้ายแก่โจทก์เช่นนี้ ย่อม ไม่เป็นธรรมแก่ผู้เอาประกันภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานสอบสวนก็ไม่ได้ตรวจวัดแอลกอฮอล์โจทก์ตั้งแต่แรกโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ไม่ยินยอมให้ทำการทดสอบ อีกทั้งพนักงานสอบสวนก็ไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่โจทก์ว่าขับรถในขณะเมาสุรา ลำพังข้อมูลทางการแพทย์ที่จำเลยอ้างมาข้างต้นจึงยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่า ขณะจำเลยขับรถยนต์ไปเกิดเหตุเฉี่ยวชนเสาป้ายจราจรหมวดทางหลวงและทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้รับความเสียหาย โจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จำเลยจึงยังไม่อาจอ้างข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ดังกล่าว เพื่อปฏิเสธความรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ได้ ดังนี้ จำเลยต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการต่อไปว่า จำเลยต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด สำหรับค่าเสียหายของรถยนต์ของโจทก์นั้น โจทก์นำสืบว่า หลังเกิดเหตุรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายหลายรายการตามสำเนาภาพถ่ายความเสียหายและสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี จำเลยมีหน้าที่นำรถยนต์ไปซ่อมให้คืนสู่สภาพเดิมและให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง หลัก วิธีการ และระยะเวลาที่ถือว่า เป็นการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือประวิงการคืนเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2549 ข้อ 10 แต่จำเลยกลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่ควรจะ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 โจทก์จึงนำรถยนต์ไปซ่อมที่อู่ จนแล้วเสร็จ มีรายการต้องซ่อม 60 รายการ รวมค่าแรงและค่าเคาะพ่นสีเป็นเงิน 209.820 บาท โจทก์ได้สำรองจ่ายค่าซ่อมรถไปในวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 เห็นว่า โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ศาลเห็นว่ารถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายจริงเพียงใด เมื่อคดีนี้ โจทก์ไม่ได้นำช่างซ่อมรถยนต์ของอู่มาเบิกความประกอบใบเสนอราคา เพื่อให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนอะไหล่แต่ละรายการ ประกอบกับไม่มีภาพถ่ายความเสียหายของอะไหล่หรืออุปกรณ์ที่ติดตั้งในรถยนต์ตามรายการในใบเสนอ ราคามาแสดงว่าอะไหล่หรืออุปกรณ์ที่ติดตั้งในรถยนต์มีความเสียหายจริงจำเป็นต้อง เปลี่ยนใหม่หรือไม่ และมีการเปลี่ยนอะไหล่ตามรายการนั้นจริงหรือไม่ รวมทั้งใบเสร็จรับเงินค่าอะไหล่แต่ละชิ้นจากร้านค้าที่ขายอะไหล่ให้แก่ช่างมาซ่อมรถยนต์ของโจทก์ ทั้งนี้ท เพื่อสนับสนุนข้ออ้างโจทก์ว่ารถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายจริงหรือไม่เพียงใด ซึ่งหากพิจารณาตามเหตุผลดังกล่าวมาข้างต้น ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมานั้น นับว่าไม่สมเหตุสมผลและสูงเกินความเป็นจริง แม้โจทก์จะมีใบเสนอราคาและสำเนาใบเสร็จรับเงินมาอ้างก็หาใช้ว่าศาลจะต้องกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์เต็มตามฟ้องเสมอไป เมื่อพิจารณาถึงสภาพความเสียหายของรถยนต์โจทก์ประกอบสำเนาใบเสนอราคาเห็นสมควรกำหนดให้เป็นเงิน 140,000 บาท ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าจากสภาพความเสียหายของรถยนต์และรายการตามใบเสนอราคาของอู่ 209,820 บาท สูงเกินความเป็นจริง ความเสียหายไม่เกิน 85,431 บาท ตามใบประเมินราคาก็เป็นเพียงการนำสืบลอยๆไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้เห็นว่าความเสียหาย เท่ากับที่จำเลยนำสืบมา จึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายตามจำนวนดังกล่าวให้จำเลยรับผิดแก่โจทก์ได้ ส่วนค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานและมีนางสาวกวิสราฯ เป็นพยานเบิกความสรุปได้ว่า ตามจำนวนกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่ถือว่าเป็นการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือประวิงการคืนเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ.2549 ข้อ 10 จำเลยต้องดำเนินการสั่งซ่อมหรือซ่อมรถยนต์ของโจทก์ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เกิดความเสียหาย ซึ่งคดีนี้จำเลยออกใบสั่งให้โจทก์ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2564 ตามสำเนาบัตรติดต่อ จำเลยต้องดำเนินการจัดซ่อมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 พฤษภาคม 2564 แต่จำเลยมิได้ดำเนินการภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวและโจทก์ก็ไม่ได้ยินยอม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการประวิงการซ่อม โจทก์มีสิทธิ เรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์หมวดความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ ข้อ 7.5 เฉพาะส่วนที่เกินจาก 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2564 ถึงวันที่ 23 มิถุนายน 2564 รวม 38 วัน วันละ 800 บาท คิดเป็นเงิน 30,400 บาท และต่อไปในอนาคตวันละ 800 บาท จนถึงวันที่รถยนต์โจทก์ซ่อมเสร็จเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ตามสำเนาใบเสร็จรับเงิน โจทก์มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์ไปซื้อวัสดุอุปกรณ์เพื่อใช้ในกิจการแฟมิลี่เฮ้าส์ รีสอร์ท ไปตรวจที่ทำการเกษตรของโจทก์ และยังต้องใช้รถไปเพื่อกิจกรรมอื่นๆ เห็นว่าตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์หมดความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ข้อ 7 การยกเว้นความเสียหายต่อรถยนต์ การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครอง 7.5 ความเสียหายอันเกิดจากการขาดการใช้รถยนต์ เว้นแต่การขาดการใช้รถยนต์นั้นเกิดจากบริษัทประวิงการซ่อมหรือซ่อมล่าช้าเกินกว่าที่ควรจะเป็นโดยไม่มีเหตุอันสมควร ดังนี้ แม้ข้อที่จำเลยอ้างปฏิเสธความรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ว่าในขณะโจทก์ขับรถยนต์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ข้ออ้างปฏิเสธความรับผิดของจำเลยก็ยังไม่ได้ยุติว่าจะสร้างขึ้นหรือไม่ เมื่อศาลได้วินิจฉัยมาข้างต้นว่า ข้อที่จำเลยอ้างปฏิเสธความรับผิดว่าในขณะโจทก์ขับรถยนต์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ฟังไม่ขึ้น การที่จำเลยไม่ดำเนินการซ่อมรถยนต์ให้แก่โจทก์ตั้งตั้งแต่แรกเกิดอุบัติเหตุ ย่อมเท่ากับว่าจำเลยประวิงการซ่อมรถยนต์จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการการใช้รถยนต์แก่โจทก์ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ข้อดังกล่าว ซึ่งโจทก์ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้โดยนำสืบว่าจำเลยต้องดำเนินการสั่งซ่อมหรือซ่อมให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เกิดความเสียหายโดยอ้างอิงระยะเวลาการซ่อมตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่ถือว่าเป็นการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือประวิงการคืนเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ.2549 ข้อ 10 มาเป็นเกณฑ์กำหนดเวลาซ่อมรถจนแล้วเสร็จ ซึ่งจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งถึงระยะเวลาการซ่อมรถยนต์คันที่รับประกันภัยไว้ว่าจะไม่แล้วเสร็จภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่เกิดความเสียหายข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยต้องดำเนินการจัดซ่อมรถยนต์ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันเกิดเหตุ คือวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 แต่จำเลยมิได้ดำเนินการภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ได้ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์หมวดความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ ข้อ 7.5 ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2564 ถึงวันที่จดซ่อมเสร็จคือวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ส่วนค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ขอมาวันละ 800 บาท นั้น จำเลยไม่นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงกำหนดให้ตามขอ รวมเป็นเงินค่าขาดประโยชน์ที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2564 ถึงวันฟ้อง (วันที่ 23 กรกฎาคม 2564) รวม 38 วัน รวมเป็นเงิน 30,400 บาท ส่วนค่าขาดประโยชน์นับถัดจากวันฟ้องวันละ 800 บาท จนถึงวันซ่อมรถยนต์เสร็จ วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 รวมเป็นเงิน 24,000 บาท และค่ายกรถนั้น โจทก์เบิกความว่า ค่ายกรถจากที่เกิดเหตุไปสถานีตำรวจภูธรเชียงของ 2,500 บาท จากสถานีตำรวจภูธรเชียงของไปอู่ จังหวัดสุโขทัย 10,000 บาท ส่วนจำเลยนำสืบว่า ค่ายกรถ 12,500 บาท นั้นสูงเกินความเป็นจริงมาก เห็นว่า ค่าเสียหายในส่วนนี้ โจทก์มีเพียงเอกสารดังกล่าวมาอ้างโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบ ประกอบให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่า ถ้ายกรถมีราคาตามที่โจทก์อ้างมาจริงหรือไม่ เห็นสมควรกำหนดให้ 8,000 บาท ส่วนที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อโจทก์ที่จะต้องชดใช้ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยนั้น ปรากฏว่าเอกสารแนบท้ายความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์เนื่องจากการชนกับยานพาหนะทางบก กำหนดไว้ในข้อ 4 ว่า เมื่อรถยนต์เกิดความเสียหายซึ่งมีการคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทจะจ่ายค่าดูแลรักษารถยนต์และค่าขนย้ายรถยนต์ทั้งหมดนับแต่วันเกิดเหตุ จนกว่าการซ่อมแซมหรือการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะเสร็จสิ้นตามจำนวนที่จ่ายไปจริงแต่ไม่เกินร้อยละ 20 ของค่าซ่อมแซม ดังนี้ จำเลยจึงต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์ สำหรับค่าน้ำมันรถยนต์ที่โจทก์นำสืบอ้างว่าโจทก์ต้องเติมรถยนต์ให้ญาติไปขับรถยนต์ของโจทก์จากอู่มาส่งให้แก่โจทก์ที่จังหวัดเชียงรายทั้งขาไปและขากลับและค่าน้ำมันรถยนต์ของโจทก์ รวมเป็นเงินประมาณ 6,000 บาท นั้น โจทก์ไม่ได้กล่าวฟ้องและมีคำขอมาท้ายฟ้อง จึงไม่อาจกำหนดให้ได้
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิ คิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราเท่าใดนั้น โจทก์นำสืบว่า ในเรื่องความรับผิดเรื่องดอกเบี้ย ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ หมวดเงื่อนไขทั่วไป ข้อ 5 เมื่อจำเลยปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยไม่มีเหตุผลที่เพียงพอจึงเป็นการปฏิเสธการจ่ายโดยมิชอบจำเลยจึงต้องชดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์อัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินตามฟ้อง ส่วนจำเลยนำสืบว่า จำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยผิดนัดแก่โจทก์ไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยนั้น เป็นข้อตกลงในเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ หมวดเงื่อนไขทั่วไป ข้อ 5 ซึ่งกำหนดความรับผิดของบริษัทประกันเมื่อมีการปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ดังนี้ เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แก่โจทก์ หาใช่อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ดังที่จำเลยอ้าง เพราะข้อกฎหมายที่จำเลยอ้างมาดังกล่าวนั้นเป็นกรณีที่ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง เมื่อปรากฏว่ามีข้อตกลงในเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ หมวดเงื่อนไขทั่วไป ข้อ 5 ว่า บริษัทประกันจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษาพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัด ดังนี้ โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัด แต่โจทก์ขอดอกเบี้ยมานับแต่วันฟ้อง จึงกำหนดให้ตามคำขอ
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการสุดท้ายว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจากจำเลยอีก 120,000 บาท หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ได้บัญญัติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษไว้ในมาตรา 42 วรรคหนึ่ง ว่า “ ถ้าการกระทำที่ถูกฟ้องร้องเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลอรเลอร์อย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภคหรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน ต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจ อันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจำนวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนดได้ตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงพฤติการณ์ต่างๆ เช่น ความเสียหายที่ผู้บริโภคได้รับ ผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับสถานะทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจ การที่ผู้ประกอบธุรกิจได้บรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น ตลอดจนการที่ผู้บริโภคมีส่วนในการก่อให้เกิดความเสียหายด้วย“ ดังนี้ จากบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้นั้น ต้องปรากฏว่าผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลอรเลอร์อย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภคหรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน สำหรับเพจที่จำเลยอ้างไม่รับผิดชอบชดใช้ความเสียหายต่อโจทก์นั้นเป็นข้อสัญญาที่กำหนดไว้ในสัญญาประกันภัย การกระทำของจำเลยตามที่ได้ความจากพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาไม่ได้ความถึงขนาดว่าจำเลยมีการกระทำเข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าว นอกจากนี้ การสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเป็นดุลยพินิจของศาล ถ้าศาลเห็นสมควรจะไม่สั่งให้จ่ายก็ได้ ทั้งโจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายส่วนนี้ เนื่องจากเป็นค่าเสียหายที่ศาลมีอำนาจสั่งให้จ่ายเพิ่มขึ้นจากจำนวนค่าเสียหายที่แท้จริงดังกล่าวข้างต้น ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจากจำเลยได้ อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยนำรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยไว้ไปซ่อมแซมให้เสร็จสิ้นจนใช้การได้ดี หรือชดใช้ค่าซ่อมแซมแก่โจทก์นั้น เมื่อทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่าโจทก์นำรถยนต์ไปซ่อมแซมเองจนเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยนำรถยนต์ของโจทก์ไปซ่อมแซมตามคำขอของโจทก์ได้อีก คงพิพากษาได้แต่เพียงให้จำเลยชดใช้เงินค่าซ่อมแซมรถยนต์แก่โจทก์เท่านั้น
พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 202,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 178,400 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 23 มิถุนายน 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 20,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก



