คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีเมาขับ : #นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ปัดรับผิด สุดท้ายประกันต้องชดใช้อยู่ดี แม้ผู้เสียหายซ่อมรถเสร็จแล้วก็ตาม

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ความแพ่ง คดีความระหว่าง คดีความระหว่าง นาย ก (โจทก์) และบริษัท ABC ประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำเลย

เรื่อง ประกันภัย

          โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองและเอาประกันภัยรถยนต์ หมายเลขทะเบียน XX 5678 เชียงราย กับจำเลย โดยมีความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เวลา 23.00 น. โจทก์ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปเฉี่ยวชนเสาป้ายจราจรทางหลวงและประตูเหล็กร้าน A ได้รับความเสียหาย เป็นเหตุให้รถยนต์ที่เอาประกันภัยได้รับความเสียหายด้วย  โจทก์ได้แจ้งเหตุแก่จำเลยเพื่อนำรถยนต์ของโจทก์ไปซ่อมให้คืนสู่สภาพเดิม แต่จำเลยปฏิเสธอ้างเหตุว่าขณะเกิดเหตุโจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์มากกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ทั้งที่เจ้าพนักงานตำรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์แล้วพบว่าโจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเพียง 38 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งตามกฎหมายไม่ถือว่าโจทก์เมาสุราและเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้แจ้งข้อหาแก่โจทก์ว่าขับรถในขณะเมาสุรา การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป้ฯค่าซ่อมรถ 209,820 บาท ค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ไม่สามารถใช้รถได้นับแต่วันพ้นกำหนด 15 วัน หลังจากวันเกิดเหตุ ซึ่งจำเลยไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้ตามข้อยกเว้นในกรมธรรม์ เมื่อจำเลยละเลยไม่ซ่อมรถยนต์ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยต้องรับผิดนับถัดจากวันครบกำหนด 15 วันดังกล่าว จนถึงวันฟ้อง วันละ 800 บาท เป็นเวลา 19 วัน คิดเป็นเงิน 31,200 บาท และค่าขาดประโยชน์หลังจากวันฟ้อง วันละ 800 บาท จนกว่าจำเลยจะซ่อมรถยนต์ของโจทก์จนแล้วเสร็จ ค่าสินไหมทดแทนจากกรณีที่จำเลยอิดเอื้อนผิดสัญญาเป็นค่าเสียหายเชิงลงโทษ 120,000 บาท ค่ายกลาก 12,500 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 283,700 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 283,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ  ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถนับถัดจากวันฟ้องวันละ 800 บาท จนกว่าโจทก์จะซ่อมรถเสร็จ และหรือให้จำเลยนำรถยนต์ของโจทก์ไปซ่อมให้เสร็จและใช้งานได้ดีดังเดิมหรือชดใช้ค่าซ่อมรถ 209,820 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 283,700 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

          จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน XX 5678 เชียงราย จากโจทก์ ประเภทประกันภัยแบบคุ้มครองความเสียหายโดยสิ้นเชิง (ประเภทหนึ่ง) มีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี เริ่มคุ้มครองวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563  และสิ้นสุดวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 กกำหนดวงเงินคุ้มครองความเสียหายตัวรถยนต์ 250,000 บาท ต่อครั้ง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เวลาประมาณ 23.00 น. โจทก์ขับรถยนต์ดังกล่าวด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังเฉี่ยวชนเสาป้ายจราจรทางหลวงและทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้รับความเสียหาย หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเชียงของ จังหวัดเชียงราย ไปตรวจที่เกิดเหตุพบโจทก์แสดงตัวเป็นผู้ขับขี่รถยนต์ ต่อมาวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 เวลา 03.46 น. พนักงานสอบสวนได้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์โดยวิธีเป่าตรง ค่าที่วัดได้ 38 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เวลาที่ตรวจวัดกับเวลาที่เกิดเหตุจริงมีระยะเวลาห่างกัน 256 นาที ซึ่งปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะมีอัตราเฉลี่ยลดลง 0.25 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อนาที คิดเป็น 71.50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เมื่อนำผลมารวมกับผลเป่าตรงที่มีเอกสารแสดงไว้ แล้วทำให้ทราบข้อเท็จจริงว่า ในขณะเกิดเหตุโจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 109.50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่ากฎหมายกำหนดและเกินกว่าที่กรมธรรม์กำหนดไว้ จึงเป็นการผิดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมแทนโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์และค่าเสียหายในอนาคต ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาได้แก่ค่าซ่อมรถยนต์และค่ายกลากนั้นสูงเกินความจริง และค่าเสียหายในเชิงลงโทษไม่ใช่ความเสียหายที่มีอยู่จริง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง แต่หากจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์แล้วต้อไม่เกิน 250,000 บาท เนื่องจากมีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยผิดนัดซึ่งจำเลยต้องรับผิดตามกฎหมายจึงไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปี เท่านั้น การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง

          ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ

          โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีผู้บริโภคตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงในชั้นนี้รับฟังได้ยุติว่า จำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าหมายเลขทะเบียน XX 5678 เชียงราย โดยโจทก์เป็นผู้เอาประกันภัย ประเภทประกันภัยแบบคุ้มครองความเสียหายโดยสิ้นเชิง (ประเภทหนึ่ง) มีระยะเวลาคุ้มครองหนึ่งปี เริ่มคุ้มครองวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 และสิ้นสุดวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เวลา 16.30 น. กำหนดวงเงินคุ้มครองความเสียหายตัวรถยนต์ 250,000 บาท ต่อครั้ง ตามสำเนาตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์

            โดยมีเงื่อนไขของสัญญาประกันภัยตามสำเนาเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ หมวดความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคล ภายนอก กำหนดไว้ในข้อ 7 ว่า การยกเว้นทั่วไป การประกันภัยตามหมวดนี้ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากข้อ 7.6 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดให้ถือว่าเมาสุรา และตามสำเนาเอกสารแนบท้ายความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์เนื่องจากการชนกับยานพาหนะทางบก (ร.ย.ภ. 10) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ กำหนดไว้ในข้อ 9 ว่าการยกเว้นการใช้อื่นๆ การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครอง… ข้อ 9.3 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ 16 (พ.ศ.2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 กำหนดให้ถือว่าเมาสุรา และตามสำเนาคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัย หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถ กำหนดไว้ในข้อ 9 ว่าการยกเว้นการใช้อื่นๆ การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครอง ข้อ 9.3 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่ให้ถือว่าเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่นตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก ดังนี้ ข้อ 9.3.1 มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เวลาประมาณ 23.00 น. ซึ่ง อยู่ในระยะเวลาประกันภัยคุ้มครอง พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเชียงของ ได้รับแจ้งเหตุรถยนต์ชนบ้านได้รับความเสียหาย จึงเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ พบโจทก์แสดงตัวเป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวเฉี่ยวชนเสาป้ายจราจรหมวดทางหลวงและทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้รับความเสียหาย และเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายด้วย ต่อมาวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 เวลา 03.46 น. พนักงานสอบสวนได้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์โดยวิธีเป่าตรง ค่าที่วัดได้ 38 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตามสำเนารายงานผลการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่โจทก์ว่า ขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน แต่ไม่ได้แจ้งข้อหาขับรถในขณะเมาสุรา โจทก์ให้การรับสารภาพ พนักงานสอบสวนทำการเปรียบเทียบปรับ 400 บาท ต่อมาจำเลยมีหนังสือฉบับลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 แจ้งผลการพิจารณาค่าสินไหมทดแทน โดยปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลว่าขณะเกิดเหตุโจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เกินกว่าเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยกำหนดไว้ตาม สำเนาหนังสือแจ้งผลพิจารณาค่าสินไหมทดแทน หลังเกิดเหตุโจทก์นำรถยนต์ไปซ่อมแซมเองแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564

          ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการแรกว่า คู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกตามคำสั่งนายทะเบียนเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประกันภัยหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า ในขณะเข้าทำสัญญาประกันภัย โจทก์ได้รับเพียงตารางกรมธรรม์และเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยจากจำเลยเท่านั้น โจทก์จึงทราบแต่ข้อสัญญาตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยและต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวเท่านั้น โดยไม่ทราบถึงวิธีการคำนวณแอลกอฮอล์ย้อนหลังตามที่ระบุไว้ในคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกตามคำสั่งนายทะเบียนซึ่งไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสัญญาประกันภัย เห็นว่า โจทก์และจำเลยได้ตกลงทำสัญญาประกันภัยตามสำเนาตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และมีเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งได้กำหนดเงื่อนไขไว้โดยชัดแจ้งในหมวดเงื่อนไขทั่วไป ข้อ 11 การตีความกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งระบุว่า “ ข้อความที่ปรากฏในกรมธรรม์ประกันภัยนี้ รวมทั้งเอกสารแนบท้ายและเอกสารประกอบให้ตีความตามคู่มือการตีความที่นายทะเบียนได้ให้ความเห็นชอบไว้” ดังนี้ คู่มือการตีความที่นายทะเบียนได้ให้ความเห็นชอบไว้ตามสำเนาคำสั่งนายทะเบียนที่ 66/2563 และสำเนาคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัย หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถ จึงต้องถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกรมธรรม์ประกันภัยนี้ อันมีผลผูกพันให้โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาประกันภัยจะต้องปฏิบัติตามท และเมื่อโจทก์ยอมรับในอุทธรณ์ว่า คู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยออกมาเพื่อบังคับใช้โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 นายทะเบียนจึงมีคำสั่งให้ใช้บังคับคู่มือตีความนับแต่วันที่ออกคำสั่งเป็นต้นไปคือวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ประกอบกับคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกตามคำสั่งนายทะเบียนเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประกันภัย การที่โจทก์อ้างว่าตนเองไม่ทราบข้อความที่ปรากฏในคู่มือการตีความกรมธรรม์ประกันภัยในขณะทำสัญญาจึงไม่รับฟังได้ อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น

          ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการต่อไปว่า ขณะโจทก์ขับรถยนต์เกิดเหตุเฉี่ยวชนเสาป้ายจราจรหมวดทางหลวงและทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้รับความเสียหาย มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์  อันเป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์หรือไม่ เห็นว่า พนักงานสอบสวนได้ตรวจรับปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์โดยวิธีเป่าตรงหลังเกิดเหตุแล้วประมาณ 286 นาที จึงไม่ใช่การตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในขณะโจทก์ขับขี่รถยนต์ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ใน สำเนาเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ หมวดความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ข้อ 7.6 เนื่องจากการชนกับ ยานพาหนะทางบก (ร.ย.ภ.10) ข้อ 9.3 และตามสำเนาคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัย หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถ ข้อ 9.3 และข้อ 9.3.1 แม้จำเลยจะนำสืบการคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์ย้อนหลังไปถึงขณะเกิดเหตุคดีนี้ โดยอ้างทางการแพทย์ของแพทยสภาและตามผลการวิจัยของสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติเรื่อง การลดลงของระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ว่า “ ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะลดลงภายหลังดื่มครั้งสุดท้ายประมาณ 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมง” ซึ่งระบุไว้ในข้อ 7.6.3 ของสำเนาคู่มือการตีความ จำเลยได้หาปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์ในขณะเกิดเหตุด้วยการนำค่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 38 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ที่พนักงานสอบสวนตรวจวัดได้โดยวิธีเป่าตรง มาคำนวณกับเวลาวัดกับเวลาเกิดเหตุซึ่งมีระยะเวลาห่างกัน 286 นาที ตามหลักทางการแพทย์ของแพทย์สภาและตามผลการวิจัยของสถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าว แล้วสรุปว่าขณะเกิดเหตุโจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 109.50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และยังได้คำนวณโดยอ้างข้อมูลทางวิชาการของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดโจทก์ 104 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ รวมทั้งอ้างข้อมูลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้ศึกษาระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และอัตราการทำลายของแอลกอฮอล์ใน 1 ชั่วโมง ร่างกายจะกำจัดแอลกอฮอล์ได้ 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ข้อมูลทางการแพทย์ดังกล่าวเป็นข้อมูลทางวิชาการที่ได้จากการประมาณการโดยประเมินจากค่าเฉลี่ยของการกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายในกรณีทั่วไปเท่านั้น และเมื่อได้ความจากพยานโจทก์ว่าการตรวจหาปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย ในทางวิชาการถือว่ามีความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น สภาพร่างกาย การดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายว่ามีการดูดซึมถึงระดับสูงสุดแล้วหรือไม่ ในตำราทางการแพทย์ของต่างประเทศ ระบุไว้ว่าการตรวจหาระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายแบบย้อนหลังนั้นมีความน่าเชื่อถือน้อย การคำนวณหาระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายแบบย้อนกลับจะนำมาใช้ได้หลังจากทราบว่าร่างกายมีการดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายผ่านจุดสูงสุดที่เรียกว่าอยู่ในระหว่างขาลงแล้ว โดยทั่วไปจะต้องมีการตรวจหาระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ณ ปัจจุบัน 2 ครั้ง เปรียบเทียบกัน การที่มีการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์เพียงครั้งเดียวย่อมเป็นการยากที่จะวัดระดับแอลกอฮอล์ย้อนกลับไปได้และทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบค่าและไม่สามารถทราบได้ว่าขณะนั้นมีการดูดซึมผ่านระดับสูงสุดมาแล้วหรือไม่ อีกทั้งจำเลยก็ไม่ได้นำสืบโต้แย้งว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ไม่ถูกต้อง จึงเชื่อได้ว่าพยานโจทก์เบิกความไปตามหลักวิชาการจริง ดังนี้ จากคำเบิกความของพยานโจทก์แสดงให้เห็นว่าการตรวจวัดแอลกอฮอล์ย้อนหลังตามวิธีการที่จำเลยอ้างอาจมีความคลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ประกอบกับไม่ปรากฏว่ามีการทดสอบอัตราการกำจัดปริมาณแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายของโจทก์ตามวิธีการที่ได้ความจากพยานโจทก์เป็นการเฉพาะด้วยการตรวจหากระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ณ ปัจจุบัน 2 ครั้ง เปรียบเทียบกัน การที่มีการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์เพียงครั้งเดียวย่อมเป็นการยากที่จะวัดระดับแอลกอฮอล์ย้อนกลับไปได้ื นอกจากนี้พยานโจทก์ยังได้เบิกความตอบทนายโจทก์ถามติงว่า สภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ย่อมมีความสามารถในการกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายแตกต่างกัน สำหรับกรณีของโจทก์อาจมีการกำจัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดหรืออัตราการลดลงของแอลกอฮอล์น้อยกว่าปกติและทำให้ขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัม เปอร์เซ็นต์ ก็เป็นไปได้เช่นกัน การที่จะนำวิธีการคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดย้อนหลังโดยอาศัยปัจจัยจากค่าเฉลี่ยในกรณีทั่วไปตามที่จำเลยอ้างเพื่อมารับฟังเป็นผลร้ายแก่โจทก์เช่นนี้ ย่อม ไม่เป็นธรรมแก่ผู้เอาประกันภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานสอบสวนก็ไม่ได้ตรวจวัดแอลกอฮอล์โจทก์ตั้งแต่แรกโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ไม่ยินยอมให้ทำการทดสอบ อีกทั้งพนักงานสอบสวนก็ไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่โจทก์ว่าขับรถในขณะเมาสุรา ลำพังข้อมูลทางการแพทย์ที่จำเลยอ้างมาข้างต้นจึงยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่า ขณะจำเลยขับรถยนต์ไปเกิดเหตุเฉี่ยวชนเสาป้ายจราจรหมวดทางหลวงและทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้รับความเสียหาย โจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จำเลยจึงยังไม่อาจอ้างข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ดังกล่าว เพื่อปฏิเสธความรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ได้ ดังนี้ จำเลยต้องรับผิดชำระค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

           ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการต่อไปว่า จำเลยต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด สำหรับค่าเสียหายของรถยนต์ของโจทก์นั้น โจทก์นำสืบว่า หลังเกิดเหตุรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายหลายรายการตามสำเนาภาพถ่ายความเสียหายและสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี จำเลยมีหน้าที่นำรถยนต์ไปซ่อมให้คืนสู่สภาพเดิมและให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง หลัก วิธีการ และระยะเวลาที่ถือว่า เป็นการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือประวิงการคืนเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2549 ข้อ 10 แต่จำเลยกลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่ควรจะ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 โจทก์จึงนำรถยนต์ไปซ่อมที่อู่ จนแล้วเสร็จ มีรายการต้องซ่อม 60 รายการ รวมค่าแรงและค่าเคาะพ่นสีเป็นเงิน 209.820 บาท โจทก์ได้สำรองจ่ายค่าซ่อมรถไปในวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 เห็นว่า โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ศาลเห็นว่ารถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายจริงเพียงใด เมื่อคดีนี้ โจทก์ไม่ได้นำช่างซ่อมรถยนต์ของอู่มาเบิกความประกอบใบเสนอราคา เพื่อให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนอะไหล่แต่ละรายการ ประกอบกับไม่มีภาพถ่ายความเสียหายของอะไหล่หรืออุปกรณ์ที่ติดตั้งในรถยนต์ตามรายการในใบเสนอ ราคามาแสดงว่าอะไหล่หรืออุปกรณ์ที่ติดตั้งในรถยนต์มีความเสียหายจริงจำเป็นต้อง เปลี่ยนใหม่หรือไม่ และมีการเปลี่ยนอะไหล่ตามรายการนั้นจริงหรือไม่ รวมทั้งใบเสร็จรับเงินค่าอะไหล่แต่ละชิ้นจากร้านค้าที่ขายอะไหล่ให้แก่ช่างมาซ่อมรถยนต์ของโจทก์ ทั้งนี้ท เพื่อสนับสนุนข้ออ้างโจทก์ว่ารถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายจริงหรือไม่เพียงใด ซึ่งหากพิจารณาตามเหตุผลดังกล่าวมาข้างต้น ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมานั้น นับว่าไม่สมเหตุสมผลและสูงเกินความเป็นจริง แม้โจทก์จะมีใบเสนอราคาและสำเนาใบเสร็จรับเงินมาอ้างก็หาใช้ว่าศาลจะต้องกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์เต็มตามฟ้องเสมอไป เมื่อพิจารณาถึงสภาพความเสียหายของรถยนต์โจทก์ประกอบสำเนาใบเสนอราคาเห็นสมควรกำหนดให้เป็นเงิน 140,000 บาท ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าจากสภาพความเสียหายของรถยนต์และรายการตามใบเสนอราคาของอู่ 209,820 บาท สูงเกินความเป็นจริง ความเสียหายไม่เกิน 85,431 บาท ตามใบประเมินราคาก็เป็นเพียงการนำสืบลอยๆไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้เห็นว่าความเสียหาย เท่ากับที่จำเลยนำสืบมา จึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายตามจำนวนดังกล่าวให้จำเลยรับผิดแก่โจทก์ได้ ส่วนค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานและมีนางสาวกวิสราฯ เป็นพยานเบิกความสรุปได้ว่า ตามจำนวนกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่ถือว่าเป็นการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือประวิงการคืนเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ.2549 ข้อ 10 จำเลยต้องดำเนินการสั่งซ่อมหรือซ่อมรถยนต์ของโจทก์ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เกิดความเสียหาย ซึ่งคดีนี้จำเลยออกใบสั่งให้โจทก์ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2564 ตามสำเนาบัตรติดต่อ จำเลยต้องดำเนินการจัดซ่อมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 พฤษภาคม 2564 แต่จำเลยมิได้ดำเนินการภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวและโจทก์ก็ไม่ได้ยินยอม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการประวิงการซ่อม โจทก์มีสิทธิ เรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์หมวดความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ ข้อ 7.5 เฉพาะส่วนที่เกินจาก 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2564 ถึงวันที่ 23  มิถุนายน 2564 รวม 38 วัน วันละ 800 บาท คิดเป็นเงิน 30,400 บาท และต่อไปในอนาคตวันละ 800 บาท จนถึงวันที่รถยนต์โจทก์ซ่อมเสร็จเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ตามสำเนาใบเสร็จรับเงิน โจทก์มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์ไปซื้อวัสดุอุปกรณ์เพื่อใช้ในกิจการแฟมิลี่เฮ้าส์ รีสอร์ท ไปตรวจที่ทำการเกษตรของโจทก์ และยังต้องใช้รถไปเพื่อกิจกรรมอื่นๆ เห็นว่าตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์หมดความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ข้อ 7 การยกเว้นความเสียหายต่อรถยนต์ การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครอง 7.5 ความเสียหายอันเกิดจากการขาดการใช้รถยนต์ เว้นแต่การขาดการใช้รถยนต์นั้นเกิดจากบริษัทประวิงการซ่อมหรือซ่อมล่าช้าเกินกว่าที่ควรจะเป็นโดยไม่มีเหตุอันสมควร ดังนี้ แม้ข้อที่จำเลยอ้างปฏิเสธความรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ว่าในขณะโจทก์ขับรถยนต์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ข้ออ้างปฏิเสธความรับผิดของจำเลยก็ยังไม่ได้ยุติว่าจะสร้างขึ้นหรือไม่ เมื่อศาลได้วินิจฉัยมาข้างต้นว่า ข้อที่จำเลยอ้างปฏิเสธความรับผิดว่าในขณะโจทก์ขับรถยนต์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ฟังไม่ขึ้น การที่จำเลยไม่ดำเนินการซ่อมรถยนต์ให้แก่โจทก์ตั้งตั้งแต่แรกเกิดอุบัติเหตุ ย่อมเท่ากับว่าจำเลยประวิงการซ่อมรถยนต์จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการการใช้รถยนต์แก่โจทก์ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ข้อดังกล่าว ซึ่งโจทก์ขอให้ชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้โดยนำสืบว่าจำเลยต้องดำเนินการสั่งซ่อมหรือซ่อมให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เกิดความเสียหายโดยอ้างอิงระยะเวลาการซ่อมตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่ถือว่าเป็นการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือประวิงการคืนเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ.2549 ข้อ 10 มาเป็นเกณฑ์กำหนดเวลาซ่อมรถจนแล้วเสร็จ ซึ่งจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งถึงระยะเวลาการซ่อมรถยนต์คันที่รับประกันภัยไว้ว่าจะไม่แล้วเสร็จภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่เกิดความเสียหายข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยต้องดำเนินการจัดซ่อมรถยนต์ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันเกิดเหตุ คือวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 แต่จำเลยมิได้ดำเนินการภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ได้ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์หมวดความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ ข้อ 7.5 ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2564 ถึงวันที่จดซ่อมเสร็จคือวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ส่วนค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ขอมาวันละ 800 บาท นั้น จำเลยไม่นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงกำหนดให้ตามขอ รวมเป็นเงินค่าขาดประโยชน์ที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2564 ถึงวันฟ้อง (วันที่ 23 กรกฎาคม 2564) รวม 38 วัน รวมเป็นเงิน 30,400 บาท ส่วนค่าขาดประโยชน์นับถัดจากวันฟ้องวันละ 800 บาท จนถึงวันซ่อมรถยนต์เสร็จ วันที่ 23 กรกฎาคม 2564 รวมเป็นเงิน 24,000 บาท และค่ายกรถนั้น โจทก์เบิกความว่า ค่ายกรถจากที่เกิดเหตุไปสถานีตำรวจภูธรเชียงของ 2,500 บาท จากสถานีตำรวจภูธรเชียงของไปอู่ จังหวัดสุโขทัย 10,000 บาท ส่วนจำเลยนำสืบว่า ค่ายกรถ 12,500 บาท นั้นสูงเกินความเป็นจริงมาก เห็นว่า ค่าเสียหายในส่วนนี้ โจทก์มีเพียงเอกสารดังกล่าวมาอ้างโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบ ประกอบให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่า ถ้ายกรถมีราคาตามที่โจทก์อ้างมาจริงหรือไม่ เห็นสมควรกำหนดให้ 8,000 บาท ส่วนที่จำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อโจทก์ที่จะต้องชดใช้ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยนั้น ปรากฏว่าเอกสารแนบท้ายความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์เนื่องจากการชนกับยานพาหนะทางบก กำหนดไว้ในข้อ 4 ว่า เมื่อรถยนต์เกิดความเสียหายซึ่งมีการคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย บริษัทจะจ่ายค่าดูแลรักษารถยนต์และค่าขนย้ายรถยนต์ทั้งหมดนับแต่วันเกิดเหตุ จนกว่าการซ่อมแซมหรือการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะเสร็จสิ้นตามจำนวนที่จ่ายไปจริงแต่ไม่เกินร้อยละ 20 ของค่าซ่อมแซม ดังนี้ จำเลยจึงต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์ สำหรับค่าน้ำมันรถยนต์ที่โจทก์นำสืบอ้างว่าโจทก์ต้องเติมรถยนต์ให้ญาติไปขับรถยนต์ของโจทก์จากอู่มาส่งให้แก่โจทก์ที่จังหวัดเชียงรายทั้งขาไปและขากลับและค่าน้ำมันรถยนต์ของโจทก์ รวมเป็นเงินประมาณ 6,000 บาท นั้น โจทก์ไม่ได้กล่าวฟ้องและมีคำขอมาท้ายฟ้อง จึงไม่อาจกำหนดให้ได้

          ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิ คิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราเท่าใดนั้น โจทก์นำสืบว่า ในเรื่องความรับผิดเรื่องดอกเบี้ย ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ หมวดเงื่อนไขทั่วไป  ข้อ 5 เมื่อจำเลยปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยไม่มีเหตุผลที่เพียงพอจึงเป็นการปฏิเสธการจ่ายโดยมิชอบจำเลยจึงต้องชดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์อัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินตามฟ้อง ส่วนจำเลยนำสืบว่า จำเลยต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยผิดนัดแก่โจทก์ไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 และมาตรา 224 เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ที่โจทก์เรียกร้องจากจำเลยนั้น เป็นข้อตกลงในเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ หมวดเงื่อนไขทั่วไป ข้อ 5 ซึ่งกำหนดความรับผิดของบริษัทประกันเมื่อมีการปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ดังนี้ เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แก่โจทก์ หาใช่อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ดังที่จำเลยอ้าง เพราะข้อกฎหมายที่จำเลยอ้างมาดังกล่าวนั้นเป็นกรณีที่ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง เมื่อปรากฏว่ามีข้อตกลงในเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ หมวดเงื่อนไขทั่วไป ข้อ 5 ว่า บริษัทประกันจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษาพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัด ดังนี้ โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัด แต่โจทก์ขอดอกเบี้ยมานับแต่วันฟ้อง จึงกำหนดให้ตามคำขอ

          ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ประการสุดท้ายว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจากจำเลยอีก 120,000 บาท หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 ได้บัญญัติเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษไว้ในมาตรา 42 วรรคหนึ่ง ว่า “ ถ้าการกระทำที่ถูกฟ้องร้องเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลอรเลอร์อย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภคหรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน ต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจ อันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค ให้ศาลมีอำนาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจำนวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกำหนดได้ตามที่เห็นสมควร ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงพฤติการณ์ต่างๆ เช่น ความเสียหายที่ผู้บริโภคได้รับ ผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับสถานะทางการเงินของผู้ประกอบธุรกิจ การที่ผู้ประกอบธุรกิจได้บรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น ตลอดจนการที่ผู้บริโภคมีส่วนในการก่อให้เกิดความเสียหายด้วย“ ดังนี้ จากบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้นั้น ต้องปรากฏว่าผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลอรเลอร์อย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภคหรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน สำหรับเพจที่จำเลยอ้างไม่รับผิดชอบชดใช้ความเสียหายต่อโจทก์นั้นเป็นข้อสัญญาที่กำหนดไว้ในสัญญาประกันภัย การกระทำของจำเลยตามที่ได้ความจากพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาไม่ได้ความถึงขนาดว่าจำเลยมีการกระทำเข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าว นอกจากนี้ การสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเป็นดุลยพินิจของศาล ถ้าศาลเห็นสมควรจะไม่สั่งให้จ่ายก็ได้ ทั้งโจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายส่วนนี้ เนื่องจากเป็นค่าเสียหายที่ศาลมีอำนาจสั่งให้จ่ายเพิ่มขึ้นจากจำนวนค่าเสียหายที่แท้จริงดังกล่าวข้างต้น ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจากจำเลยได้ อุทธรณ์โจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

          อนึ่ง ที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยนำรถยนต์ที่จำเลยรับประกันภัยไว้ไปซ่อมแซมให้เสร็จสิ้นจนใช้การได้ดี หรือชดใช้ค่าซ่อมแซมแก่โจทก์นั้น เมื่อทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่าโจทก์นำรถยนต์ไปซ่อมแซมเองจนเสร็จสิ้นแล้ว จึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยนำรถยนต์ของโจทก์ไปซ่อมแซมตามคำขอของโจทก์ได้อีก คงพิพากษาได้แต่เพียงให้จำเลยชดใช้เงินค่าซ่อมแซมรถยนต์แก่โจทก์เท่านั้น

          พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 202,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 178,400 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 23 มิถุนายน 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 20,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

คำพิพากษา : แม้เป็นเด็กโดยสารรถยนต์ อย่างไรบริษัทประกันภัยก็ต้องชดใช้ค่าเสียหาย พร้อมกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ

คำพิพากษาศาลจังหวัดอุดรธานี ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2566

คดีความระหว่าง เด็กชาย A โดยนางสาว C ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม ที่ 1 เด็กชาย B โดยนางสาว C ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม ที่ 2 นางสาว C  ที่ 3  โจทก์ กับ บริษัท XYZ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ 1 บริษัท EFG ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ 2 จำเลย

เรื่อง ประกันภัย

โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัยภาคบังคับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน XX 4112 กรุงเทพมหานคร ไว้จากโจทก์ที่ 3 จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยภาคบังคับและภาคสมัครใจของของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2564 อยู่ในระหว่างเวลาตามสัญญาประกันภัยของจำเลยทั้งสอง ขณะที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 กำลังโดยสารรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน XX 4112 กรุงเทพมหานคร โดยมีนาย D เป็นผู้ขับซึ่งได้รับความยินยอมจากโจทก์ที่ 3 แล้ว ขับรถยนต์คันดังกล่าวมาตามถนนบ้านดุง-บ้านม่วง จังหวัดอุดรธานี เมื่อถึงที่เกิดเหตุรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร โดยมีนาย E เป็นผู้ขับ ซึ่งนาย E ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะวิสัยเช่นนั้นจะต้องมีวิสัยและพฤติการณ์ในการขับ แต่หาได้ใช้ความระมัดระวังดังกล่าวไม่ คือ นาย E ขับรถยนต์คันดังกล่าวล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถคันที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยสารมาเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันและทำให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้รับบาดเจ็บและรถยนต์ของโจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลในอนาคต 200,000 บาท ค่าสูญเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคต 300,000 บาท ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน 300,000 บาท รับผิดต่อโจทก์ที่ 2 ได้แก่ค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลในอนาคต 200,000 บาท ค่าสูญเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคต 300,000 บาท ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน 300,000 บาท และรับผิดต่อโจทก์ที่ 3 ได้แก่ ค่ารถยนต์ 120,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ตั้งแต่วันเกิดเหตุ จนถึงวันฟ้อง วันละ 800 บาท เป็นเวลา 138 วัน คิดเป็นเงิน 110,400 บาท และค่าเสียหายในส่วนนี้จนกว่ารถยนต์ของโจทก์ที่ 3 จะซ่อมแซมเสร็จ วันละ 800 บาท โจทก์ทั้งสามได้ติดตามทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,800,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จสิ้น ชำระเงิน 900,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว จนกว่าจะเลยทั้งสองจะชำระเสร็จสิ้น ชำระเงิน 230,400 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 3 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว จนกว่าจะเลยทั้งสองจะชำระเสร็จสิ้น และให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเชิงลงโทษ

          โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565

          ระหว่างพิจารณาคดี ศาลส่งสำนวนให้ประธานศาลอุทธรณ์เพื่อวินิจฉัยว่าคดีนี้เป็นคดีผู้บริโภคหรือไม่ ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีนี้เป็นคดีผู้บริโภค

          จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสามเคลือบคลุม เพราะโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่า นายE กับผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันหมายทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร มีนิติสัมพันธ์กันอย่างไร และผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายอย่างไร ในส่วนของโจทก์ที่ 3 นั้น ค่าขาดประโยชน์นั้นสูงเกินไป เนื่องจากเป็นความบกพร่อมของโจทก์ที่ 3 ที่ติดต่อซ่อมแซมรถยนต์กับอู่ซ่อมรถยนต์เอง จำเลยที่ 2ไม่เกี่ยวข้อง ทำให้การซ่อมแซมใช้ระยะเวลานาน อีกทั้งตามกรมธรรม์นั้น กำหนดให้ชำระไม่เกินวันละ 500 บาท ต่อวัน ในส่วนของจำเลยที่ 1 นั้น ค่ารักษาพยาบาลนั้น จำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระในฐานะผู้รับประกันภัยภาคบังคับแล้ว 80,000 บาท โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ชำระค่ารักษาพยาบาล ค่ารักษาพยาบาลในอนาคตนั้น โจทก์ที่ 1 และที่ 2 รักษาหายสนิทใน 1 เดือน และ 2 สัปดาห์ ตามลำดับ และไม่ได้มีการรักษาต่ออีก โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้รับความเสียหาย ค่าสูญเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคตและสินไหมทดแทนอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินนั้น หลังจากที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 รักษาพยาบาลแล้วก็ไม่ได้เข้ารับการรักษาต่ออีก โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงยังสามารถประกอบอาชีพได้ อีกทั้งโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ยังอยู่ระหว่างการศึกษา ค่าเสียหายในส่วนนี้ จึงไม่แน่นอนและไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์
          พิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การ พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 2 แล้ว ข้อเท็จจริที่เป็นที่ยุติรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัยภาคบังคับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน XX 4112 กรุงเทพมหานคร ไว้จากโจทก์ที่ 3 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2564 ซึ่งอยู่ในระหว่างเวลาตามสัญญาประกันภัยของจำเลยทั้งสอง ขณะที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 กำลังโดยสารรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน XX 4112 กรุงเทพมหานคร โดยมีนาย D เป็นผู้ขับ ซึ่งได้รับความยินยอมจากโจทก์ที่ 3 แล้ว ขับรถยนต์คันดังกล่าวมาตามถนนบ้านดุง-บ้านม่วง จังหวัดอุดรธานี เมื่อถึงที่เกิดเหตุมีรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร โดยมีนาย E เป็นผู้ขับขี่ แล้วนาย E ขับรถยนต์โดยประมาท ล้ำเข้ามาในช่องทาฃเดินรถคันที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยสารมาเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันและทำให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้รับบาดเจ็บและรถยนต์ของโจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหาย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประเด็นแรกว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสามเคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า คำฟ้องโจทก์ทั้งสามไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามไม่ได้บรรยายถึงรายละเอียดว่านาย E กับผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร มีนิติสัมพันธ์กันอย่างไรและผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายอย่างไร เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามบรรยายว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยภาคบังคับและภาคสมัครใจรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร โดยที่จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ให้ประเด็นว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าวงเงินความคุ้มครองที่ระบุไว้กรมธรรม์ที่จำเลยที่ 2 ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าโจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะใด ซึ่งเพียงพอให้จำเลยที่ 2 เข้าใจคำฟ้องของโจทก์ว่ามีนิติสัมพันธ์ใดกับผู้เอารประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร และย่อมต้องเข้าใจถึงสภาพแห่งข้อหาโจทก์ทั้งสองและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา172 แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องถึงรายละเอียดของนิติสัมพันธ์ดังกล่าวหรือความสัมพันธ์ระหว่างนาย E กับผู้เอาประกันภัยเป็นอย่างไร แต่จากคำให้การก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เข้าใจถึงคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามแล้ว ฟ้องโจทก์ทั้งสามจึงไม่เคลือบคลุม คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามสำเนากรมธรรม์ระบุว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร จากบริษัท คาร์เร้นท์แอนด์ลีส จำกัด (มหาชน) สิ้นสุดความคุ้มครองในวันที่ 14 กรกฎาคม 2565 ซึ่งเหตุเกิดในวันที่ 24 ตุลาคม 2564 สัญญาประกันภัยค้ำจุนจึงยังมีผลในวันเกิดเหตุ อีกทั้งจเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การไว้ในประเด็นนี้ จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุน และเมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่านาย E เป็นผู้ขับขี่รถยนต์ที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัย แล้วนาย E ขับรถยนต์โดยประมาท ล้ำเส้นเข้ามาในช่องทางเดินรถคันที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2  โดยสารมา เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันและทำให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้รับบาดเจ็บและรถยนต์ของโจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหาย เมื่อกรมธรรม์ระบุว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก อีกทั้งตามรูปภาพและหนังสือชี้ประมาทระบุว่านาย E รับว่าตนเป็นฝ่ายประมาท ดังนั้นจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยประเด็นสุดท้ายคือ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามเพียงใด ในส่วนของโจทก์ที่ 3 นั้น โจทก์ทั้งสามมีโจทก์ที่ 3 อ้างตนเองเป็นพยาน เบิกความว่า รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน XX 4112 กรุงเทพมหานคร ได้รับความเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาใช้ดังเดิมได้ โดยประเมินความเสียหายประมาณ 65,000 บาท แต่ความเสียหายจริงเป็นเงิน 120,00 บาท ตามบันทึกการตรวจสภาพรถยนต์และภาพถ่าย และค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ที่ 3 ไม่สามารถใช้รถยนต์ได้เป็นเงิน 800 บาท ต่อวัน เป็นเวลา 138 วัน ส่วนจำเลยที่ 2 มีนาย O พนักงานจำเลยที่ 2 เบิกความว่า ความเสียหายเกี่ยวกับรถยนต์เป็นเงิน 120,000 บาท นั้น สูงเกินไป เนื่องจากโจทก์ทั้งสามไม่ได้ระบุรายละเอียดว่ารถยนต์เสียหายอย่างไร และค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถเป็นเวลา 138 วัน เนื่องจากเป็นความบกพร่องของโจทก์ที่ 3 ที่ติดต่อซ่อมแซมรถยนต์กับอู่ซ่อมรถยนต์เอง จำเลยที่ 2 ไม่เกี่ยวข้อง ทำให้การซ่อมแซมใช้ระยะเวลานาน อีกทั้งตามกรมธรรม์นั้นกำหนดให้ชำระไม่เกินวันละ 500 บาท ต่อวัน เห็นว่า เมื่อพิจารณาจากเอกสารแล้ว จะเห็นได้ว่ารถยนต์ของโจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหายค่อนข้างรุนแรง และค่าเสียหายที่เกิดขึ้นประมาณ 65,000 บาท แม้โจทก์ที่ 3 จะเบิกความว่ารถยนต์ไม่สามารถซ่อมแซมจนกลับมาใช้งานได้อีก แต่โจทก์ทั้งสามก็มิได้มีพยานหลักฐานใดว่าจะเป็นจริงดังที่อ้าง อีกทั้งโจทก์ที่ 3 ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่ารถยนต์คันดังกล่าวยังไม่ได้ซ่อมแซมจนกลับมาใช้งานได้อีก แต่โจทก์ทั้งสามก็มิได้มีพยานหลักฐานใดว่าจะเป็นจริงดังที่อ้าง อีกทั้งโจทก์ที่ 3 ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่ารถยนต์คันดังกล่าวยังไม่ได้ซ่อมแซมจึงไม่อาจรับฟังได้ว่ารถยนต์ไม่สามารถซ่อมแซมจนกลับมาใช้งานได้ จึงสมควรกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 65,000 บาท และในส่วนค่าขาดประโยชน์นั้น แม้ในทางนำสืบของโจทก์ทั้งสามไม่ปรากฏว่าจะใช้เวลาซ่อมแซมนานเท่าใด อีกทั้งหากโจทก์ทั้งสามนำรถยนต์เข้าซ่อมแซมในทันทีก็อาจไม่ต้องใช้ระยะเวลาถึง 138 วัน ตามที่กล่าวอ้าง แต่อย่างไรก็ตามการที่รถยนต์ของโจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหายย่อมต้องใช้ระยะเวลาในการซ่อมแซมอยู่ดี จึงเห็นสมควรคกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 500 บาท ต่อวัน เป็นเวลา 60 วัน คิดเป็นเงิน 30,000 บาท รวมค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 95,000 บาท

          ในส่วนของโจทก์ที่ 3 นั้น โจทก์ทั้งสามมีโจทก์ที่ 3 อ้างตนเองเป็นพยาน เบิกความว่า โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บ ได้แก่ กระดูกมือขวาหัก 2 ท่อน มีบาดแผลถลอกที่คาง หลังมือซ้าย ไหปลาร้าด้านขวา มือขวาบวม มีแผลฟกช้ำ ต้องรักษาโดยการใส่เฝือกอ่อน ใช้เวลารักษาตัวเป็นระยะเวลา 1 เดือน และโจทก์ที่ 1 ยังต้องพักรักษาตัวต่อไปอีกมากกว่าที่กำหนดไว้ในใบรับรองแพทย์ อีกทั้งอุบัติเหตุดังกล่าวยังทำให้ศีรษะของโจทก์ที่ 1 ตรงบริเวณขมับด้านขวายุบ ภาพถ่ายอาการบาดเจ็บ สำเนาฟิล์มเอกซเรย์ สำเนาใบรับรองแพทย์ สำเนาประวัติการรักษา สำเนาใบนำส่งผู้บาดเจ็บ มีค่ารักษาพยาบาลก่อนฟ้องเป็นเงิน 1,250 บาท ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวเนื่องกับค่ารักษาพยาบาล โดยหลังจากเกิดอุบัติเหตุโจทก์ที่ 1 จึงดื่มนมตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ คิดเป็นเงิน 4,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลในอนาคตและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาลในอนาคตนั้น โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บเป็นเหตุให้ศีรษะของโจทก์ที่ 1 ตรงบริเวณขมับด้านขวายุบลงจนเห็นได้ชัด จึงต้องทำการรักษาในอนาคต คิดเป็นเงิน 95,990 บาท ในส่วนของค่าสูญเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคต โจทก์ที่ 1 ประสงค์ที่จะประกอบอาชีพตำรวจในอนาคต แต่เมื่อศีรษะของโจทก์ที่ 1 ตรงบริเวณขมับด้านขวายุบลง ทำให้โจทก์ที่ 1 ไม่อาจจะประกอบอาชีพดังกล่าวได้ คิดค่าเสียหายเป็นเงิน 300,000 บาท และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินนั้น โจทก์ที่ 1 ใช้เวลารักษาพยาบาล 1 เดือน ยังไม่สามารถใช้มือขวาได้ดีดังเดิม และมีภาวะหวาดกลัวในขณะที่ต้องโดยสารรถยนต์ คิดเป็นเงิน 300,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 มีนาย O พนักงานจำเลยที่ 2 เบิกความได้ความว่า จำเลยที่ 1 ชำระค่ารักษาพยาบาลในฐานะผู้รับประกันภัยภาคบังคับของรถยนต์ของโจทก์ที่ 3 แล้ว โดยมีวงเงิน 80,000 บาท โจทก์ที่ 3 จึงไม่เสียหายในส่วนนี้ ส่วนค่าเสียหายอื่น ๆ นั้น โจทก์ที่ 1 ใช้เวลารักษาพยาบาลเพียง 1 เดือน และไม่ปรากฏว่าต้องรักษาพยาบาลอีก จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด เห็ฯว่าระบุว่า ชำระเงินเอง(ผู้ประสบภัยจากรถ)และโจทก์ที่ 3 ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่า จำเลยที่ 1 ชำระค่ารักษาพยาบาลส่วนหนึ่ง แต่ก็มาเบิกความว่าพยานเป็นผู้ชำระเงินเอง อันเป็รการขัดแย้งกันในตัวเอง แต่เมื่อพิจารณาจากวงเงินที่จำเลยที่ 1 ให้ความคุ้มครองนั้น เป็นวงเงิน 80,000 บาท และโจทก์ที่ 3 ก็รับว่าเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 เต็มวงเงิน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์ที่ 3 ชำระค่ารักษาพยาบาล แต่เป็นจำเลยที่ 1 ที่ชำระ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในส่วนนี้ ส่วนค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาล การที่โจทก์ที่ 3 จะให้โจทก์ที่ 1 ดื่มนมเพื่อรักษาอาการกระดูกมอืขวาหักนั้น แม้จะเป็นการทำตามที่แพทย์แนะนำดังที่โจทก์ที่ 3 เบิกความ แต่โจทก์ทั้งสามไม่ได้มีหลักฐานว่าได้ซื้อนมดังกล่าวที่อ้างหรือไม่ อีกทั้งโจทก์ที่ 1 ยังเป็นเด็ก การที่โจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ที่ 1 ให้โจทก์ที่ 1 ดื่มนมย่อมเป็นเรื่องปกติในการดูแลบุตรของมารดา จึงไม่กำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ ส่วนค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาลในอนาคตและค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินนั้น ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลศีรษะยุบลง แต่ระบุเพียงว่ามีบาดแผลที่คางฉีกขาดที่คาง 0.1 x 0.5 เซนติเมตร และแพทย์ให้ความเห็นว่ารักษาหายใน 1 เดือน ดังนั้น แม้โจทก์ทั้งสามจะอ้างว่าโจทก์ที่ 1 ต้องทำการรักษาที่ศีรษะหรือไม่สามารถประกอบอาชีพตำรวจได้ แต่การที่ศีรษะของโจทก์ที่ 1 ตรงบริเวณขมับด้านขวายุบลงจึงไม่ใช่ผลโดยตรงจากอุบัติเหตุ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายส่วนนี้ และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินนั้น โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บกระดูกมือขวาหักต้องใช้เวลารักษาเป็นเวลา 1 เดือน และเมื่อพิจารณาจากความรุนแรงของอุบัติเหตุ ย่อมทำให้โจทก์ที่ 1 ได้รับความทุกข์ทรมานและเกิดการหวาดระแวงอยู่บ้าง แต่ค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้องมานั้นสูงเกินไป จึงกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 50,000 บาท

          ในส่วนของโจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสามมีโจทก์ที่ 3 อ้างตนเองเป็นพยาน เบิกความว่า โจทก์ที่ 2 ได้รับบาดเจ็บ ได้แก่ กระดูกขาหัก 2 ข้าง ต้องเข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัดดามเหล็กต้องใส่เหล็กดามตรงต้นขาทั้งสองข้างและใส่เหล็กดามตรงกระดูกหน้าแข้งของขาข้างซ้าย มีบาดแผลฉีกขาดที่ขาขวาและใต้ตาซ้าย ใช้เวลารักษาตัวเป็นระยะเวลา 60 วัน และโจทก์ที่ 2 ยังต้องพักรักษาตัวต่อไปอีกมากกว่าที่กำหนดในใบรับรองแพทย์ ตามสำเนาใบส่งตัวผู้บาดเจ็บ สำเนาภาพถ่ายอาการบาดเจ็บ สำเนาฟิล์มเอกซเรย์ สำเนาใบรับรองแพทย์ สำเนาประวัติการรักษา และสำเนาใบนัดผู้ป่วย มีค่ารักษาพยาบาลจากการผ่าตัด 3 ครั้ง เป็นเงิน 238,368 บาท และเข้ารักษาในโรงพยาบาลวันละ 200 บาท เป็นเวลา 1,800 บาท รวเป็นเงิน 241,968 บาท ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาล โดยโจทก์ที่ 2 ต้องเดินทางจากจังหวัดสกลนครไปรักษาที่โรงพยาบาลอุดรธานี 4 ครั้ง คิดเป็นเงิน 8,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลในอนาคตและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาลในอนาคตนั้น โจทก์ที่ 2 ได้รับบาดเจ็บกระดูกต้นขาหักสองข้าง จึงต้องผ่าตัดนำเหล็กออกจากกระดูกที่ดามไว้ คิดเป็นเงิน 160,000 บาท ค่ากายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกาย คิดเป็นเงิน 10,000 บาท และมีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัด จึงซื้อยาทาบริเวณรอยแผลเป็นและต้องทำการรักษาในอนาคต คิดเป็นเงินจำนวน 4,920 บาท และ 21,000 บาท และโจทก์ที่ 2 ดื่มนมตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ คิดเป็นเงิน 8,000 บาท ในส่วนของค่าสูญเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคต โจทก์ที่ 2 ประสงค์จะประกอบอาชีพตำรวจในอนาคต แต่เมื่อโจทก์ที่ 2 เดินกะเผลก แขนขายาวไม่เท่ากันอย่างชัดเจน ทำให้โจทก์ที่ 2 ไม่อาจจะประกอบอาชีพดังกล่าวได้ คิดค่าเสียหายเป็นเงิน 300,000 บาท และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินนั้น โจทก์ที่ 2 ต้องรับการรักษาโดยการผ่าตัด 3 ครั้ง ระหว่างนั้นโจทก์ที่ 2 ไม่สามารถเดินและช่วยเหลือตัวเองได้ และมีภาวะหวาดกลัวในขณะที่ต้องโดยสารรถยนต์ คิดเป็นเงิน 300,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 มีนาย O พนักงานจำเลยที่ 2 เบิกความได้ความว่า จำเลยที่ 1 ชำระค่ารักษาพยาบาลในฐานะผู้รับประกันภัยภาคบังคับของรถยนต์ของโจทก์ที่ 3 แล้ว โดยมีวงเงิน 80,000 บาท โจทก์ที่ 3 จึงไม่เสียหายในส่วนนี้ ส่วนค่าเสียหายอื่น ๆ นั้น โจทก์ที่ 2 ใช้เวลารักษาพยาบาลเพียง 2 สัปดาห์ และไม่ปรากฏว่าต้องรักษาพยาบาลอีก จำเลยที 2 จึงไม่ต้องรับผิด เห็นว่าตามเอกสารระบุว่ามีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เป็นเงิน 119,000 บาท, 52,500 บาท และ 66,330 บาท ตามลำดับ ซึ่งแม้โจทก์ที่ 3 จะเบิกความจะเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่า ใช้สิทธิบัตรทองในการชำระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม แม้โจทก์ที่ 2 จะได้รับตามโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐ ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกร้องจากจำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องระงับไป เพราะเป็นสิทธิของโจทก์ที่ 2 ตามที่กฎหมายบัญญัติ อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่ารักษาพยาบาลของโจทก์ที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยภาคสมัครใจของรถยนต์ของโจทก์ที่ 3 จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในส่วนนี้เป็นเงิน 238,368 บาท ส่วนค่าชดเชยรายวันนั้น ไม่ปรากฏว่าในทางนำสืบว่าโจทก์ที่ 2 จะได้รับชดเชยในส่วนนี้อย่างไร อันเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ จึงไม่กำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ ส่วนค่าเดินทางมารักษาพยาบาลนั้น โจทก์ที่ 2 ต้องเดินทางจากจังหวัดสกลนครมาที่โรงพยาบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี 4 ครั้ง ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ จึงกำหนดให้ตามขอ เป็นเงิน 8,000 บาท ส่วนค่ารักษาพยาบาลในอนาคต โจทก์ที่ 2 ที่มีอายุ 10 ปี ย่อมมีการเจริญเติบโตไปตามวัยและจำต้องเอาเหล็กดามกระดูกออกเพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นค่าใช้จ่ายอนาคตแต่เมื่อเทียบเคียงจากค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดที่ผ่านมาของโจทก์ที่ 2 และแบบประเมินค่าทำหัตถการแล้ว เห็นควรกำหนดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นเงิน 100,000 บาท ส่วนค่ากายภาพบำบัดในการรักษาด้วย ที่โจทก์ที่ 2 ขอค่าเสียหายมาในส่วนนี้เหมาะสมแล้ว จึงกำหนดให้ตามขอ เป็นเงิน 10,000 บาท ส่วนค่ารักษารอยแผลเป็นนั้น ตามรูปถ่ายจะเห็นได้ว่าโจทก์ที่ 2 มีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดหลายจุด แต่การรักษาทั้งใช้ยาทาหรือทำเลเซอร์ตามที่โจทก์ที่ 3 เบิกความนั้นไม่ใช่การรักษาบาดแผลที่ได้รับจากอุบัติเหตุ แต่เป็นเรื่องของการตบแต่งบาดแผล ยกคำขอในส่วนนี้ ส่วนค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาล การที่โจทก์ที่ 3 จะให้โจทก์ที่ 2 ดื่มนมเพื่อรักษาอาการกระดูกต้นขาหักนั้นต่างกับโจทก์ที่ 1 เนื่องจากอาการกระดูกต้นขาหักเป็นอาการบาดเจ็บที่รุนแรง นอกจากจะต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือทำกายภาพบำบัด จะต้องดื่มนมที่มีโปรตีนและแคลเซียมประกอบด้วยจึงจะทำให้กระดูกสมานกันดังเดิม เมื่อโจทก์ที่ 2 ต้องดื่มนมวันละ 2 กล่อง อันเป็นปริมาณที่เหมาะสม จึงกำหนดให้ตามขอเป็นเงิน 8,000 บาท ส่วนค่าสูญเสียความสามารถในการประกอบการงานในอนาคตและค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินนั้น เมื่อพิจารณาจากคลิปวิดีโอและความรุนแรงของบาดแผลที่โจทก์ที่ 2 ได้รับแล้ว การที่โจทก์ที่ 2 ได้รับบาดเจ็บกระดูกต้นขาหักทั้งสองข้างจึงส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต โดยใช้เวลาตั้งแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันที่ผ่าตัดครั้งสุดท้ายเป็นเวลา 2 เดือนและยังต้องทำกายภาพบำบัดอีก แม้โจทก์ที่ 2 จะกลับมาเดินได้ แต่ก็ยังมีอาการเดินกะเผลกและไม่แน่ว่าจะรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ซึ่งอาจประสบปัญหาในการประกอบอาชีพต่อไป แต่อย่างไรก็ดี ที่โจทก์ที่ 3 อ้างว่าโจทก์ที่ 2 อยากประกอบอาชีพเจ้าพนักงานตำรวจก็เป็นเพียงการคาดคะเนของโจทก์ที่ 3 เอง โจทก์ที่ 2 อาจประกอบอาชีพอื่นที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนก็ได้ จึงกำหนดค่าเสียหายในส่วนค่าสูญเสียความสามารถในการประกอบการงานในอนาคตเป็นเงิน 250,000 บาท และเมื่อพิจารณาจากความรุนแรงของอุบัติเหตุตามภาพถ่ายอาการบาดเจ็บ และการเดินของโจทก์ที่ 2 ตามเอกสารแล้ว นอกจากย่อมทำให้โจทก์ที่ 2 ได้รับความทุกข์ทรมานระหว่างการรักษาแล้ว โจทก์ที่ 2 อาจไม่สามารถเดินหรือวิ่งได้เหมือนคนปกติ และยังมีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดและเกิดการหวาดระแวงในการโดยสารรถยนต์ แต่ค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้องมานั้นสูงเกินไป จึงกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 250,000 บาท รวมค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 ต้องชำระให้แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 856,368 บาท

          ในส่วนดอกเบี้ยนั้นปรากฏตามทางนำสืบของโจทก์ทั้งสามโดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ปฏิเสธว่าตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย หมวดเงื่อนไขทั่วไปข้อ 5 ระบุว่าหากศาลพิพากษาให้บริษัทแพ้คดี บริษัทจะต้องรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยหรือผู้เสียหายนั้น โดยชดใช้ค่าเสียหายตามอัตราดังกล่าว สำหรับค่าเสียหายเชิงลงโทษนั้นเห้ฯว่าโจทก์มีนายศุภสิทธิ์ ศิริ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ทั้งสามและทนายโจทก์ เบิกความว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยภาคบังคับและภาคสมัครใจของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร จึงมีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อบุคคลภายนอกเมื่อเกิดวินาศภัย ภายหลังเกิดเหตุ โจทก์ทั้งสามทวงถามให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วแต่เพิกเฉย ทั้งที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน แต่กลับไม่ดำเนินการพิจารณาและชดใช้เงินหรือค่าสินไหมทดแทนภายใน 15 วัน และไม่ระบุข้อเท็จจริงและเหตุผลของการปฏิเสธไม่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ส่วนจำเลยที่ 2 มีนาย O เบิกความว่าพยานเคยเจรจากับโจทก์ที่ 3 แล้วแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ เนื่องจากพยานเสนอชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่เกินคนละ 50,000 บาท แต่โจทก์ที่ 3 เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเต็มวงเงินตามกรมธรรม์ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 จะเคยเจรจาค่าสินไหมทดแทนกับโจทก์ที่ 3 แล้ว แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งไม่ปรากฏว่าก่อนฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 2 ได้พิจารณาทบทวนการจ่ายยค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสามหรือชี้แจงข้อเท็จจริงและเหตุผลของการปฏิเสธไม่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน อันเป็นการขัดต่อคำสั่งนายทะเบียนที่ 66/2563 และคู่มือตีความกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ คู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์คู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แบบคุ้มครองเฉพาะภัย แม้โจทก์ทั้งสามจะไม่ใช่ผู้เอาประกันภัยกับจำเลยที่ 2 แต่โจทก์ทั้งสามเป็นผู้เสียหายจากรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัย เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 66/2563 ในการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสาม การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพและธุรกิจอันเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษให้แก่โจทก์ทั้งสามเป็นเงินคนละ 50,000 บาท ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 12 ประกอบมาตรา 42

          พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 50,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14 มีนาคม 2565) เป็นต้น ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 864,368 บาท ให้โจทก์ที่ 2 พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 864,368 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระเงิน 75,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 3 พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 75,000 บาท  นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษแก่โจทก์ทั้งสามคนละ 5,000 บาท กับให้จำเลยที่ 2 ชดใช่ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยส่วนที่โจทก์ทั้งสามได้รับยกเว้นนั้น ให้จำเลยที่ 2 นำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ทั้งสาม เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ชำระตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสามชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท คำขออื่นให้ยก/

คำพิพากษาศาลฎีกาคดีเมาขับ : ศาลฎีกาตีตกสูตรคำนวณแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ประกันภัยไม่มีสิทธิ์ปัดรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกา ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2567 คดีความระหว่าง นาย ก (โจทก์) และบริษัท ABC ประกันภัย จำกัด (มหาชน)

  โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองและเอาประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน XX 5678 เชียงราย กับจำเลย มีความคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เวลา 23.00 น. โจทก์ขับรถยันต์ดังกล่าวเฉี่ยวชนเสาป้ายจราจรทางหลวงและประตูเหล็กร้าน A ได้รับความเสียหาย และเป็นเหตุให้รถยนต์ที่เอาประกันภัยได้รับความเสียหายด้วย โจทก์แจ้งเหตุแก่จำเลยเพื่อนำเอารถยนต์ของโจทก์ไปจัดซ่อมให้คืนสู่สภาพเดิม แต่จำเลยปฏิเสธอ้างเหตุว่าขณะเกิดเหตุโจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ทั้งที่เจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้แจ้งข้อหาแก่โจทก์ว่าขับรถในขณะเมาสุรา การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นค่าซ่อมรถ 209,820 บาท ค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ไม่สามารถใช้รถได้นับแต่วันพ้นกำหนด 15 วัน และค่าขาดประโยชน์หลังจากวันฟ้องวันละ 800 บาท จนกว่าจะเลยจะซ่อมรถยนต์ขอฃโจทก์จนแล้วเสร็จ ค่าสินไหมทดแทนจากกรณีที่จำเลยอิดเอื้อนผิดสัญญาเป็นค่าเสียหายเชิงลงโทษ 120,000 บาท ค่ายกลาก 12,500 บาท รวมเป็นเงิน 283,700 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 283,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถนับถัดจากวันฟ้องวันละ 800 บาท จนกว่าโจทก์จะซ่อมรถเสร็จ และหรือให้จำเลยนำรถยนต์ของโจทก์ไปซ่อมให้เสร็จและใช้งานได้ดีดังเดิมหรือชดใช้ค่าซ่อมรถ 209,820 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 283,700 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้รับประกันรถยนต์ หมายเลขทะเบียน XX 5678 เชียงราย จากโจทก์ ประเภทประกันภัยแบบคุ้มครองความเสียหายโดยสิ้นเชิง (ประเภทหนึ่ง) ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี เริ่มคุ้มครองวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 และสิ้นสุดวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 กำหนดวงเงินคุ้มครองความเสียหายตัวรถยนต์ 250,000 บาท ต่อครั้ง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เวลาประมาณ 23.00 น. โจทก์ขับรถยนต์ดังกล่าวด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง เฉี่ยวชนเสาป้ายจราจรทางหลวงและทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้รับความเสียหาย หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเชียงของ จังหวัดเชียงราย ไปตรวจที่เกิดเหตุ พบโจทก์แสดงตัวเป็นผู้ขับขี่รถยนต์ ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 เวลา 03.46 น. พนักงานสอบสวนได้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์โดยวิธีเป่าตรง ค่าที่วัดได้ 38 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เวลาที่ตรวจวัดกับเวลาที่เกิดเหตุจริงมีระยะเวลาห่างกัน 286 นาที ซึ่งปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจะจะมีอัตราเฉลี่ยลดลง 0.25 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อนาที คิดเป็น 71.50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เมื่อนำผลมารวมกับผลเป่าตรงที่มีแอลกอฮอล์ในเลือด 109.50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและเกินกว่าที่กรมธรรม์ประกันภัยกำหนดไว้ จึงเป็นการผิดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์และค่าเสียหายในอนาคต ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมา ได้แก่ ค่าซ่อมรถยนต์และค่ายกลากนั้นสูงเกินความจริง ค่าเสียหายในเชิงลงโทษไม่ใช่ความเสียหายที่มีอยู่จริง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง หากจำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์แล้วต้องไม่เกิน 250,000 บาท อัตราดอกเบี้ยผิดนัดซึ่งจำเลยต้องรับผิดตามกฎหมายไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปี การที่โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 202,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 178,400 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 23 มิถุนายน 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 20,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ หมายเลขทะเบียน XX 5678 เชียงราย โดยโจทก์เป็นผู้เอาประกันภัย ประเภทประกันภัยแบบคุ้มครองความเสียหายโดยสิ้นเชิง (ประเภทหนึ่ง) มีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี เริ่มคุ้มครองวันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 และสิ้นสุดวันที่ 13 พฤศจิกายน 2564 เวลา 16.30 น. กำหนดวงเงินคุ้มครองความเสียหายตัวรถยนต์ 250,000 บาท ต่อครั้ง ตามสำเนาตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เวลาประมาณ 23.00 น. ร้อยตำรวจเอก ข พนักงานนสอบสวนสถานีตำรวจเชียงของ ได้รับแจ้งเหตุรถยนต์ชนบ้านได้รับความเสียหาย จึงเดินทางไปตรวจที่เกิดเหตุ พบโจทก์แสดงตัวเป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวเฉี่ยวชนเสาป้ายจราจรหมวดทางหลวงและทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้รับความเสียหาย และเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายด้วย ต่อมาวันที่ 2 พฤษภาคม 2564 เวลา 03.46 น. พนักงานสอบสวนได้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์โดยวิธีเป่าตรง ค่าที่วัดได้ 38 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่โจทก์ว่าขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน แต่ไม่ได้แจ้งข้อหาขับรถในขณะเมาสุรา โจทก์ฤให้การรับสารภาพ พนักงานสอบสวนทำการเปรียบเทียบปรับ 400 บาท  ต่อมาจำเลยมีหนังสือฉบับลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 แจ้งผลพิจารณาค่าสินไหมทดแทน โดยปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เกินกว่าเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยกำหนดไว้ หลังเกิดเหตุโจทก์นำรถยนต์ไปซ่อมแซมเองแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า คำสั่งนายทะเบียนที่ 669/2563 กับคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยที่กำหนดหลักการคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดว่า การลดลงของระดับแอลกอฮอล์ในเลือดหลังการดื่มครั้งสุดท้ายลดลงประมาณ 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมง เป็นหลักการคำนวณที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือไม่ และโจทก์นำสืบหักล้างแก้ไขหลักการดังกล่าวได้หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า คำอธิบายคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยที่แนบท้ายคำสั่งนายทะเบียนที่ 66/2563 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกรมธรรม์ประกันภัยย่อมมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาประกันภัยจะต้องปฏิบัติตาม นั้น เห็นว่า ตามสำเนาตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์มีเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งได้กำหนดเงื่อนไขไว้ชัดแจ้งในหมวดเงื่อนไขทั่วไป การตีความกรมธรรม์ประกันภัยว่า “ข้อความที่ปรากฏในกรมธรรม์ประกันภัยนี้รวมทั้งเอกสารแนบท้ายและเอกสารประกอบให้ตีความตามคู่มือการตีความที่นายทะเบียนได้ให้ความเห็นชอบไว้” ดังนั้น คู่มือตีความที่นายทะเบียนได้ให้ความเห็นชอบไว้ตามสำเนาคำสั่งนายทะเบียนที่ 66/2563 และสำเนาคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัย หมวดความคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ จึงต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของกรมธรรม์ประกันภัย โดยสำเนาคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัย หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ ระบุว่า ข้อ 9 การยกเว้นการใช้อื่น ๆ การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครอง… ข้อ 9.3 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่ให้ถือว่าเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก ดังนี้ 9.3.1 มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์…การตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสามารถดำเนินการได้หลายวิธี เช่น การใช้วิธีเป่าลมหายใจ (BREATH ANALYZER TEST) การตรวจจากปัสสาวะ การตรวจจากเลือด และสามารถคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ณ เวลาที่เกิดเหตุได้ แม้ระยะเวลาที่ตรวจวัดหลังเกิดเหตุก็ตาม ซึ่งถ้าคำนวณตามหลักทางการแพทย์ของแพทยสภา และตามผลการวิจัยของสถาบันนิติเวชวิทยากรมตำรวจ เรื่อง การลดลงของระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (ผลการวิจัยของทั้งสองสถานบัน) ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะลดลงภายหลังดื่มครั้งสุดท้ายประมาณ 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมง เป็นต้นไป ดังนั้น ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดหรือตรวจวัดเวลาใด หากผลที่ได้เมื่อเทียบค่าออกมาแล้วปรากฏว่า ผู้ขับขี่นั้นในขณะเกิดเหตุมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สำหรับบุคคลทั่วไปหรือเกินกว่า 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สำหรับบุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ หรือโดยบุคคลที่มีใบอนุญาตขับรถชั่วคราวหรือโดยบุคคลที่ไม่มีใบอนุญาตขับรถหรืออยู่ระหว่างพักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถก็จะเข้าข้อยกเว้นนี้ จึงรับฟังได้ว่า คำสั่งนายทะเบียนที่ 66/2563 กับคู่มือการตีความกรมธรรม์ประกันภัยที่กำหนดหลักการคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์เป็นหลักการคำนวณที่กำหนดไว้ในสัญญา แต่ปัญหาว่าขณะเกิดเหตุโจทก์ขับรถยนต์ในขณะเมาสุราโดยมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์หรือไม่นั้น จำเลยมีภาระการพิสูจน์ เมื่อทางนำสืบของจำเลยได้ความเพียงว่าพนักงานสอบสวนตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์โดยวิธีเป่าตรง ค่าที่วัดได้ 38 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เวลาที่ตรวจวัดโดยวิธีเป่าตรงกับเวลาที่เกิดเหตุมีระยะเวลาห่างกัน 286 นาที และจำเลยมีนาย ค รองผู้อำนวยการฝ่ายสินไหมทดแทน เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 66/2563 และคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 9.3 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่ให้ถือว่าเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นตามกฎหมายว่าด้วยการเจรจาทางบก ดังนี้ 9.3.1 มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์…การตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดดำเนินการได้หลายวิธี เช่น การใช้วิธีเป่าลมหายใจ (BREATH ANALYZER TEST) การตรวจจากปัสสาวะ การตรวจจากเลือด และสามารถคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ณ เวลาที่เกิดเหตุได้ แม้ระยะเวลาตรวจวัดหลังเกิดเหตุก็ตาม ซึ่งถ้าคำนวณตามหลักทางการแพทย์ของแพทย์สภา และตามผลการวิจัยของสถาบันนิติเวชวิทยา กรมตำรวจ เรื่อง การลดลงของระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (ผลการวิจัยของทั้งสองสถานบัน) ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะลดลงภายหลังดื่มครั้งสุดท้ายประมาณ 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมงเป็นต้น คดีนี้พนักงานสอบสวนตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์โดยวิธีเป่าตรง ค่าที่วัดได้ 38 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เวลาที่ตรวจวัดโดยวิธีเป่าตรงกับเวลาที่เกิดเหตุมีระยะเวลาห่างกัน 286 นาที ตามหลักการทางการแพทย์ของแพทยสภา และตามผลการวิจัยของสถาบันนิติเวชวิทยา กรมตำรวจ ดังกล่าวข้างต้นคิดคำนวณเป็นปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่ลดลงจำนวน 71.50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เมื่อนำผลดังกล่าวมารวมกับผลโดยวิธีเป่าตรงแล้ว ขณะเกิดเหตุโจทก์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 109.50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่ากฎหมายกำหนด จึงไม่เข้าเงื่อนไขความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยที่โจทก์จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้ และมีข้อมูลทางวิชาการของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณะสุขที่สนับสนุนสอดคล้องกับวิธีการคำนวณตามหลักทางการแพทย์ของแพทยสภา และตามผลการวิจัยของสถาบันนิติเวชวิทยา กรมตำรวจ ตามข้อมูลทางวิชาการ และผลจากการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้ศึกษาระดับแอลกอฮอล์ในเลือดว่า ภายหลังการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และอัตราการทำลายของแอลกอฮอล์ใน 1 ชั่วโมง ร่างกายจะกำจัดแอลกอฮอล์ได้ 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตามข้อมูลการวิจัย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ แต่จำเลยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุน ทั้งการคำนวณการลดลงของระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ตามที่ระบุไว้ในคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยเป็นการคำนวณการลดลงของระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นการทั่วไป หาใช่การคำนวณที่จะนำมาใช้กับโจทก์เป็นการเฉพาะไม่ และในข้อนี้โจทก์มีนายแพทย์ ง เป็นพยานเบิกความว่า ปริมาณอาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหารมีผลต่อการดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย อาหารบางประเภททำให้การดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายช้าลง เช่น อาหารที่มีไขมันสูง เพศและขนาดของร่างกายก็มีผลต่อการดูดซึมแอลกอฮอล์ หลังจากร่างกายดูดซึมมีการดูซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายผ่านจุดสูงสุดแล้ว โดยทั่วไปจะต้องมีการตรวจหาระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ณ ปัจจุบัน 2 ครั้ง เปรียบเทียบกัน การที่มีการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์เพียงครั้งเดียวย่อมเป็นการยากที่จะวัดระดับแอลกอฮอล์ย้อนกลับไปได้ และทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบค่า และไม่สามารถทราบได้ว่า ขณะนั้นมีการดูดซึมผ่านระดับสูงสุดมาแล้วหรือไม่ นายแพทย์ ง เป็นพยานคนกลาง ไม่มีส่วนได้เสียในคดี ทั้งคำเบิกความของนายแพทย์ ง เจือสมกับข้อมูลทางวิชาการที่ระบุว่า ถ้าหากกระเพาะอาหารว่าง แอลกอฮอล์จะดูดซึมหมดภายใน 30 นาที หลังการดื่ม แต่ถ้าเพศและน้ำหนักของร่างกายเป็นปัจจัยที่มีผลต่อระดับแอลกอฮอล์ในเลือดทำให้คำเบิกความของนายแพทย์ ง มีน้ำหนักให้รับฟัง เมื่อจำเลยมีภาระการพิสูจน์ แต่จำเลยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมานำสืบให้เห็นว่า โจทก์มีสภาพร่างกายหรือมีภาวะอื่นที่ทำให้ร่างกายของโจทก์มีการดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายตามปกติ และระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของโจทก์ภายหลังการดื่มจะลดลงตามค่าเฉลี่ยที่กำหนดไว้ในคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัย หรือไม่อย่างไร พยานหลักฐานจำเลยที่นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ขับรถยนต์ฝในขณะเมาสุรา โดยมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ฎีกาข้อนี้จำเลยฟังไม่ขึ้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพียงใด จำเลยฎีกาว่า ตามนสภาพความเสียหายของรถยนต์ความเสียหายไม่เกิน 85,431 บาท ตามสำเนาใบประเมินราคา จำเลยอ้างเหตุปฏิเสธความรับผิดว่า ขณะโจทก์ขับรถยนต์มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตามหลักการในคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยมิได้จงใจเพื่อหน่วงเวลาให้เนิ่นช้า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ ค่ายกลากรถ 8,000 บาท สูงเกินควร สำหรับค่าเสียหายของรถยนต์โจทก์ เห็นว่า โจทก์นำสืบว่ารถยนต์โจทก์ได้รับความเสียหาย 60 รายการ ค่าซ่อมเป็นเงิน 209,820 บาท ตามสำเนาในเสนอราคา ส่วนจำเลยนำสืบว่า รถยนต์โจทก์เสียหายไม่เกิน 85,431 บาท โดยโจทก์และจำเลยมาได้นำพยานมาสืบให้เห็นว่าอะไหล่และอุปกรณ์ตามสำเนาใบเสนอราคาและสำเนาใบประเมินราคาได้รับความเสียหายเพียงใด และจำต้องเปลี่ยนใหม่หรือไม่เพียงใด เมื่อพิจารณาสภาพความเสียหายของรถยนต์โจทก์ ตามสำเนาภาพถ่าย ประกอบสำเนาสใบเสนอราคาและสำเนาใบประเมินราคา เห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กำหนดค่าเสียหายสำหรับรถยนต์โจทก์เป็นเงิน 140,000 บาท เหมาะสมแล้ว ส่วนค่าขาดประโยชน์นั้น โจทก์นำสืบว่า โจทก์ต้องใช้รถยนต์เป็นพาหนะเดินทางจากบ้านพักไปที่ทำงาน ไปตรวจที่ทำการเกษตรและใช้ทำธุระส่วนตัว ส่วนจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น โจทก์มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์จากจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กำหนดค่าขาดประโยชน์ให้แก่โจทก์เป็นเงินวันละ 800 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2564 ถึงวันฟ้อง (วันที่ 23 มิถุนายน 2564) เป็นเงิน 30,400 บาท กับค่าขาดประโยชน์นับถัดจากวันฟ้องถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่ซ่อมรถยนต์แล้วเสร็จเป็นเงิน 24,000 บาท นั้น เหมาะสมแล้ว ส่วนค่ายกรถนั้น โจทก์นำสืบว่า หลังเกิดเหตุรถยนต์โจทก์ไม่สามารถขับได้ ต้องเสียค่ายกรถจากที่เกิดเหตุไม่สถานีตำรวจภูธรเชียงของ เสียค่ายกรถ 2,500 บาท และเสียค่ายกรถจากสถานีตำรวจภูธรเชียงของไปอู่ช่าง จ 10,000 บาท ส่วนจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าค่ายกรถสูงเกินสมควรอย่างไร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กำหนดค่ายกรถเป็นเงิน 8,000 บาท เหมาะสมแล้วเช่นกัน

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราใด จำเลยฎีกาว่า การเรียกดอกเบี้ยในค่าสินไหมทดแทนเป็นหนี้เงิน โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 เห็นว่า ตามเงื่อนไขกรามธรรม์ประกันภัยรถยนต์ หมวดเงื่อนไขทั่วไป ข้อ 5 ความรับผิดของบริษัทเมื่อมีการปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนกำหนดว่า เมื่อมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่อบริษัทและหากบริษัทปฏิเสธความรับผิดไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตามจนเป็นเหตุใหผู้เอาประกันภัยหรือผู้เสียหายนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาล หากศาลพิพากษาให้บริษัทแพ้คดี บริษัทจะต้องรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยหรือผู้เสียหายนั้น โดยชดใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษาพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ผิดนัด ดังนี้เมื่อจำเลยปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจนเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาล และศาลพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยตามข้อสัญญาดังกล่าว หาใช่รับผิดชำระดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ดังที่จำเลยฎีกาไม่ อย่างไรก็ตาม ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในกรณีผิดสัญญาอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับซึ่งศาลอาจลดลงได้ตามที่เห็นสมควร ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดดอกเบี้ยให้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

นานๆทีจะได้เห็นคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ : ชี้!บริษัทประกันภัยต้องรับผิด คำนวณแอลกอฮอล์ย้อนหลังไม่ใช่เหตุอันควรปฏิเสธความรับผิด

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2567 คดีความระหว่าง นาวสาว A (โจทก์) และบริษัท 1234 ประกันภัย (จำเลย)

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจหมายเลขทะเบียน XX 5678 ตาก ไว้กับจำเลย เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 เวลา 01.40 น. นาย B ขับรถคันที่เอาประกันภัยดังกล่าว โดยได้รับความยินยอมจากโจทก์ไปเฉี่ยวชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน XX 1111 ตาก เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายหลายรายการ จำเลยมีหน้าที่ต้องนำรถยนต์ของโจทก์ไปดำเนินการจัดซ่อมให้คืนสู่สภาพเดิม แต่จำเลยกลับเพิกเฉยและมีหนังสือปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนอ้างว่า ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์นาย B ได้ 48 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ย้อนหลังแล้วในขณะเกิดเหตุนาย B มีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ อันเข้าข้อยกเว้นตามสัญญา จำเลยเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการประกันภัย ไม่ได้สอบเทียบวัดเครื่องมือหรือตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์ และผลคำนวณดัชนีมวลกายของนาย B ไม่เร่งรัดจัดซ่อมโดยทดรองจ่ายค่าซ่อมแล้วค่อยมาเรียกเงินคืน แต่ประวิงเวลาการชำระหนี้โดยปราศจากหลักฐานตามสมควร อันเป็นการฝ่าฝืนในฐานะผู้ประกอบธุรกิจอันเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าซ่อมเป็นเงิน 110,624 บาท และชำระค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ไม่สามารถใช้รถยนต์นับแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2565 ถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2565 รวมเป็นเงิน 40,000 บาท นอกจากนี้ยังต้องรับผิดในค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 42 ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 145,124 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถเป็นค่าเสียหายในอนาคตนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ารถยนต์ของโจทก์จะซ่อมเสร็จ (วันที่ 30 มกราคม 2566) อีกวันละ 800 บาทกับขอให้ศาลกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษไม่เกินสองเท่าแก่จำเลยตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 42

        จำเลยให้การว่า จำเลยรับประกันภัยภาคสมัครใจรถยนต์ของโจทก์ จำเลยไม่สามารถชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่โจทก์เรียกร้อง เนื่องจากพบว่าคดีนี้เกิดเหตุเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2565 เวลา 01.40 น. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองตาก จ.ตาก ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์โดยการเป่าลมหายใจในเวลา 02.17 น. (หลังเกิดเหตุแล้ว 37 นาที) ได้ค่าปริมาณแอลกอฮอล์ 48 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ตามที่เงื่อนไขกรมธรรม์กหนดไว้ จึงไม่สามารถรับผิดชอบความเสียหายต่อรถคันที่เอาประกันภัยได้ จำเลยจึงมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาไปยังโจทก์และชี้แจงเรื่องร้องขอความเป็นธรรมต่อสำนักงาน คปภ. จึงไม่อาจรับผิดชำระค่าซ่อม 97,455 บาท ให้แก้โจทก์ และค่าซ่อมดังกล่าวไม่สามารถตรวจสอบค่าซ่อมที่แท้จริง โจทก์ไม่อาจเรียกค่าขาดประโยชน์ได้เนื่องจากเหตุละเมิดครั้งนี้เกิดจากความประมาทของโจทก์ ค่าเสียหายสูงเกินจริง จำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเนื่องจากจำเลยประกิจการภายใต้การกำกับและควบคุมดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย เมื่อคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ระบุเหตุที่ทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิด จำเลยจึงไม่ได้กระทำเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงแต่อย่างใด หากจำเลยต้องรับผิดในอัตราดอกเบี้ยต้องเป็นอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายใหม่ ไม่ใช่ร้อยละ 15 ต่อปี ตามที่โจทก์เรียกร้องมา ขอให้ยกฟ้อง

        ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 110,624 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 4 กรกฎาคม 2565) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 5,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับยกเว้นนั้น ให้จำเลยนำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ชำระตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์จะชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

        โจกท์และจำเลยอุทธรณ์

        ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงคู่ที่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า จำเลยรับประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจของโจทก์ หมายเลขทะเบียน XX 5678 ตาก ตามสำเนาหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2565 เวลา 01.40 น. นาย B ขับรถยนต์ของโจทก์ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยไปเฉี่ยวชนกับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน XX 1111 ตาก รถยนต์โจทก์ได้รับความเสียหายวันเดียวกัน เวลา 02.17 น. มีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์นาย B โดยวิธีการเป่าลมหายใจ วัดค่าได้ 48 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตามรายงานการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหานาย B ว่า ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหายและเปรียบเทียบปรับนาย B เป็นเงิน 400 บาท โจทก์จึงเรียกให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายตามกรมธรรม์ แต่จำเลยปฏิเสธชดใช้ค่าเสียหายตามกรมธรรม์ อ้างข้อยกเว้นตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยและคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ตามหนังสือแจ้งผลการพิจารณา

        มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยหรือไม่ ตามข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติแล้วว่า เกิดเหตุในช่วงเวลา 01.40 น. แต่มีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์นาย B โดยวิธีการเป่าลมหายใจ ในช่วงเวลา 02.17 น. ได้ค่า 48 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์  ซึ่งจำเลยอุทธรณ์โต้แย้งทำนองว่า การตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์กระทำภายหลังเกิดเหตุแล้วเป็นเวลา 37 นาที ดังนั้นที่ถูกต้องตามคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 66/2563 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ข้อ 9 การลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังการดื่มครั้งสุดท้ายประมาณ 14 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมง ตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 66/2563 หน้า 108 ถึง 118 จะคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ของนาย B ได้ 57.25 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตามที่กำหนดความรับผิดชอบของจำเลยตามกรมธรรม์ เห็นว่า ทั้งโจทก์และจำเลยต่างก็อ้างพยานหลักฐานทางการพิสูจน์มาสนับสนุนพยานของฝ่ายตน โดยโจทก์มีนาย C อดีตนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ ที่ปรึกษากรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณะสุขและหัวหน้าภาควิชาพยาธิวิทยาและนิติเวชศาสตร์โรงพยาบาล DEFG เป็นพยานเบิกความประกอบแผนภาพกราฟในสำเนาบทความพิเศษ และนางสาว N ผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทก์เบิกความและนำสืบเอกสารสนับสนุนโดยอ้างอิงบทความพิเศษของจุฬาลงกรณ์เวชสาร “การพิสูจน์ว่าเมา” ที่ระบุว่า ปัจจัยที่มีผลต่อความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือด ซึ่งจะส่งผลต่อการคิดคำนวณตามสูตรการหาค่าจริงของแอลกอฮอล์ได้แก่ เพศ อายุ น้ำหนักตัว น้ำหนักรวมของกระดูกและกล้ามเนื้อ มวลน้ำในร่างกาย การได้รับการรักษาบางอย่าง หรือแม้แต่ระยะเวลาการดื่มและสภาพกระเพาะอาหาร ส่วนจำเลยก็อ้างตามคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ คำสั่งนายทะเบียนที่ 66/2563 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2563 หน้าที่ 116 ประกอบสำเนาเอกสารการนำความรู้ “นิติเวชศาสตร์” มาประยุกต์ใช้ในการพิจารณา ที่ระบุว่า การตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสามารถทำได้หลายวิธีและสามารถคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ ณ เวลาที่เกิดเหตุได้ แม้จะตรวจวัดภายหลังเกิดเหตุตามหลักทางการแพทย์ของแพทยสภาและผลการวิจัยของสถาบันนิติเวชวิทยา เรื่องการลดลงของระดับแอลกอฮอล์ในเลือดภายหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยมีหลักเกณฑ์ว่าระดับแอลกอฮอล์ในเลือดจะลดลงหลังจากดื่มครั้งสุดท้ายประมาณ 15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมง ซึ่งก็จะเห็นว่าตามข้ออ้างทั้งสองฝ่ายล้วนแต่เป็นการอ้างหลักการในเชิงทฤษฎีและตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ ที่เป็นเพียงการประเมินความน่าจะเป็น หรือโอกาสที่น่าจะเป็นไปได้ว่าในช่วงภายหลังเกิดเหตุระดับปริมาณแอลกอฮอล์อาจลดลงได้กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ไม่สามารถชี้ชัดตามผลทางนิติวิทยาศาสตร์เหมือนเช่นการตรวจรหัสพันธุกรรม (DNA) กล่าวคือคงเป็นเรื่องการคาดการณ์โดยวิธีประเมินจากค่าเฉลี่ยของอัตราการกำจัดแอลกอฮอล์จากร่างกายของบุคคลทั่ว ๆ ไปเท่านั้น โดยเฉพาะที่สำคัญค่าวัดที่ได้มา 48 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์นั้น ก็ได้มาจากการวัดโดยวิธีการเป่ามิใช่อาศัยจากการตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด ก็อาจทำให้การวัดค่าเฉลี่ยที่มีความคลาดเคลื่อนได้เช่นกันไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง แต่เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีประกอบด้วยแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่าภายหลังเกิดเหตุนาย B มีพฤติกรรมบ่ายเบี่ยง หลบเลี่ยงที่จะตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์แต่อย่างใด การที่มีการตรวจแอลกอฮอล์นาย B ภายหลังเกิดเหตุเพียง 37 นาที โดยอาศัยหลักเกณฑ์ของบุคคลทั่วไปที่จะนำมาใช้กล่าวอ้างเพื่อจะแสดงให้เห็นว่าหากมีการวัดปริมาณแอลกอฮอล์สูงเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์นั้น จึงไม่น่าจะเป็นธรรมกับโจทก์ผู้บริโภคและต้องตีความในทางที่เป็นคุณแก่ฝ่ายผู้เอาประกันภัย ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าขณะเกิดเหตุนาย B จะมีค่าปริมาณแอลกอฮอล์สูงเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมแซมรถของโจทก์ ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟ้องไม่ขึ้น

        มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยมีการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน และต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการขาดประโยชน์จากการใช้รถใช่หรือไม่ เห็นว่า ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยกำหนดชัดเจนว่า การยกเว้นความเสียหายต่อรถยนต์การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครอง “ความเสียหายจากการขาดการใช้รถ เว้นแต่การขาดการใช้รถยนต์นั้นเกิดจากบริษัทประวิงการซ่อมหรือซ่อมล่าช้าเกินกว่าที่ควรจะเป็นโดยไม่มีเหตุผลสมควร” ดังนั้น แม้ว่าโจทก์จะอุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้อ้างทำนองว่า สืบเนื่องมาจากที่จำเลยมีการออกบัตรติดต่อซ่อมรถยนต์ให้ โจทก์จึงนำรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้ไปซ่อมกับอู่ของจำเลย ดังนั้นจำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถด้วยก็ตาม ก็เห็นว่า ตามข้ออ้างดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนที่ต้องซ่อมในตัวรถยนต์เท่านั้น เพราะค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถนั้น ไม่ว่าโจทก์จะนำไปซ่อมที่อู่ใดก็ตาม โจทก์ก็ไม่สามารถใช้รถได้ในระหว่างการซ่อม ข้ออ้างดังกล่าวจึงมิได้เกี่ยวข้องในเรื่องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถแต่อย่างใด จึงต้องพิจารณาตามเงื่อนไขกรมธรรม์ตามที่กล่าวถึงเท่านั้น ซึ่งตามข้อตกลงดังกล่าวจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถให้แก่โจทก์แต่อย่างใด เว้นแต่จะปรากฏว่า การขาดการใช้รถยนต์นั้นเกิดจากการที่บริษัทประวิงการซ่อมหรือซ่อมล่าช้าเกินกว่าที่ควรจะเป็นโดยไม่มีเหตุผลสมควร เมื่อปรากฏว่าหลักเกณฑ์ที่จะถือว่าเป็นการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือประวิงการคืนเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัยตามประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย ในข้อ 15 (12) “ในกรณีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วยการซ่อม…บริษัทไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับแต่วันที่การตกลงเป็นที่ยุติและบริษัทได้รับเอกสารครบถ้วน…” ซึ่งตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยมีหนังสือปฏิเสธไม่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ เพราะเหตุนาย B ,ปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตามสำเนาหนังสือแจ้งผลการพิจารณาค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์แล้ว มิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ด้วยการซ่อมแซมแล้วไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ประกอบกับตามข้อ 15 (7) ก็ระบุว่า “บริษัทใดจงใจฝ่าฝืนข้อตกลงแห่งสัญญาประกันภัยหรือข้อกำหนดหรือกฎเกณฑ์ใด ๆ ที่มีความชัดเจนที่กำหนดให้บริษัทมีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน…” เมื่อจำเลยนำสืบว่าเหตุที่จำเลยปฏิเสธความรับผิดก็เนื่องจากการยึดถือตามข้อความในคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 66/2563 ที่มีการระบุให้ใช้ผลการวิจัยของแพทยสภาและรายงานวิจัยของสถาบันนิติเวช ดังนั้นการที่จำเลยอ้างเหตุดังกล่าวมาปฏิเสธความรับผิดจึงไม่ใช่เป็นไปโดยจงใจหรือฝ่าฝืนข้อตกลงแห่งสัญญาประกันภัยเช่นนี้จึงไม่เข้าลักษณะของการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากการขาดประโยชน์จากการใช้รถตามข้อสัญญาดังกล่าว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

        คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยอีกว่า จำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการลงโทษและโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี หรือไม่ เห็นว่า ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษนั้นมุ่งที่จะพิจารณาผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยมีเจตนาที่จะเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ผู้บริโภคหรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับปผิดชอบในฐานะมีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ซึ่งจะเห็นได้ว่าตามพฤติการณ์แห่งคดีที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์มานั้นเป็นคุณแก่โจทก์แล้วว่าจำเลยไม่สามารถนำความน่าจะเป้นทางหลักทฤษฎีมากำหนดหลักเกณฑ์ปริมาณแอลกอฮอล์เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ชี้ชัดได้ว่า นาย B มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดในกรมธรรม์ประกันได้ไม่ โดยเฉพาะหากพิจารณาตามเงื่อนไขกรมธรรม์ก็จะเห็นชัดว่า ไม่ได้สนับสนุนให้ผู้ใช้รถยนต์ดื่มแอลกอฮอล์ในขณะขับขี่รถที่จะไปก่อให้เกิดเหตุอันตรายต่อบุคคลภายนอก ซึ่งฝ่ายโจทก์พึงคำนึงถึงเรื่องนี้เป็นสำคัญมากกว่าและต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่าที่จะอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ชอบ การที่จำเลยยกข้อต่อสู้ดังกล่างจึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายที่จำเลยสามารถกระทำได้ ไม่เข้าลักษณะผู้ประกอบธุรกิจมุงกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือผู้ประกอบธุรกิจไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภคด้วยความประมาทเลิกเล่ออย่างร้ายแรงหรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีวิชาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนตามบทบัญญัติมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 นอกจากนี้ดังที่ได้วินิจฉัยไปแล้วว่าเหตุที่จำเลยปฏิเสธความรับผิดเนื่องจากการยึดถือตามข้อความในคู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ตามคำสั่งของนายทะเบียนที่ 66/2563 การปฏิเสธไม่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงไม่ใช่การปฏิเสธความรับผิดโดยมิชอบตามกรมธรรม์ ข้อ 5 โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามกรมธรรม์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อค่าซ่อมรถยนต์ของโจทก์อันเป็นค่าสินไหมทดแทนที่ศาลกำหนดให้เป็นหนี้เงิน โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยฟังไม่ขึ้น

        พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยตามอัตราและระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ที่แก้ไขใหม่ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยนละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่โจทก์มีสิทธิได้รับในขณะฟ้องคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมขอให้เป็นพับ