เป่าแอลกอฮอล์ ผล 13 Mg.% ประกันปัดจ่าย กลยุทธ์เดิม ๆ อ้างผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

คดีเมาแล้วขับ คดีความนี้ไม่มีผู้ใช้รถใช้ถนนท่านใดที่อยากจะโดนทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ เมาแล้วขับ จริง ๆ แต่คงเป็นเพียงความคิดเท่านั้น เพราะทุกวันนี้เมื่อไรที่คุณเกิดอุบัติเหตุรถชน แน่นอนว่าก็ไม่วายที่จะถูกมองว่าเมาแล้วขับ จากการที่คุณถูกบริษัทประกันภัยนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังทำให้คุณมีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50 Mg.% จนเป็นเรื่องเป็นราวถูกกล่าวว่า

เป็นเหตุให้ต้องโดนคดีเมาแล้วขับอย่างแน่นอน จากการทำคดีเมาแล้วขับของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ 90% ของผู้เสียหายที่มาให้เราทำคดีความให้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่ถูกบริษัทประกันภัยนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังทำให้กลายเป็นบุคคลที่เมาแล้วขับไปโดยปริยาย และแม้ว่าคุณจะยืนกรานอย่างไรว่าไม่ได้เมาแล้วขับก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณพ้นคดีเมาแล้วขับไปได้ และเมื่อคุณถูกแจ้งว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50 Mg.% นั่นคือแน่นอนแล้วว่าคุณจะไม่ได้รับการรับผิดชอบจากบริษัทประกันภัยอย่างแน่นอน

กรณีตัวอย่าง : ผู้เสียหายถูกประกันปัดจ่ายกับข้ออ้างเดิม ๆ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

คดีเมาแล้วขับ คดีความที่ไม่มีใครอยากโดน ผู้เสียหายท่านนี้ก็เช่นเดียวกัน แต่คงไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อประกันภัยหัวแพทย์หยิบยื่นคดีเมาแล้วขับมาให้ถึงที่เกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายเกิดอุบัติเหตุรถชน ภายหลังเกิดเหตุตัวแทนประกันได้มาและผู้เสียหายได้เป่าแอลกอฮอล์ได้ผลเพียง 13 Mg.% เท่านั้น แต่กลับโดนบริษัทประกันปัดจ่ายไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใด ๆ  ยืนยันอ้างว่า ผู้เสียหายมีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50 Mg.% เมื่อเห็นว่าไม่เป็นธรรมต่อตัวเอง ผู้เสียหายจึงโร่เดินทางร้องสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) แต่ไม่เป็นผลเมื่อบริษัทประกันยังยืนยันไม่จ่ายค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น จนผู้เสียหายสุดทนกับการที่ถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบ ไม่ยอมแพ้ต่อความไม่ยุติธรรม เคสนี้จึงได้ถึงมือ #ทนายอาร์ม  ในที่สุด ทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์ ได้ดำเนินคดีเมาแล้วขับเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหายท่านนี้ 

หากเจอกรณีแบบเคสตัวอย่างนี้ ทางสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ขอแนะนำว่า ควรปรึกษาทนายเพื่อดำเนินคดีดีกว่า ดีกว่าเดินเรื่องเอง หรือถูกบริษัทประกันภัยยื่นข้อเสนอที่ไม่ธรรมให้ เพราะนอกจากผู้เสียหายจะได้น้อยกว่าความเสียหายที่แท้จริงแล้ว การมีคดีเมาแล้วขับยังเสียเวลาและเสียความรู้สึกในฐานะผู้บริโภคอีกด้วย

4 กรณี ถ้ามีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 20 Mg.% ก็ถือว่า “เมาสุรา”

อย่างที่ทราบกันในคดีเมาแล้วขับหากผู้ใดมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 Mg.% ถือว่า เมาสุรา อ้างอิงตามกฎกระทรวงฉบับที่ 21 พ.ศ.2550 ใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 แต่ยกเว้นผู้ขับขี่ใน 4 กรณีนี้ที่หากมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 Mg.% ถือว่าเมาสุรา มีดังต่อไปนี้

  • ผู้ขับขี่ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์
  • ผู้ขับขี่ที่มีใบขับขี่ชั่วคราว (ใบขับขี่อนุญาตแบบ 2 ปี)
  • ผู้ขับขี่ที่มีใบขับขี่ประเภทอื่น ซึ่งใช้แทนกันไม่ได้
  • ผู้ขับขี่ที่ถูกยกเลิกใบขับขี่ หรือเป็นผู้อยู่ระหว่างการพักใช้งานใบขับขี่

คดีเมาแล้วขับตามกฎหมายถึงแม้ว่ากฎหมายจราจรเกี่ยวกับเรื่องเมาแล้วขับฉบับใหม่จะระบุเอาไว้ว่า ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่ควรเกิน 50 Mg.% แต่ในความเป็นจริงแล้วในข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเป็นอย่างมาก คือ การมีสติที่ครบถ้วน ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก่อนขับขี่นั้นปลอดภัยที่สุด หากผู้ใช้รถใช้ถนนทุกท่านสามารถปฏิบัติตามกฎหมายจราจรใหม่ 2566 แน่นอนว่าอุบัติเหตุเรื่องเมาแล้วขับจะลดน้อยลงมาก คดีเมาแล้วขับก็จะลดน้อยลงเช่นเดียวกัน

คดีเมาแล้วขับ คดีความสุดฮิตที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก

คดีเมาแล้วขับ เรียกได้ว่าเป็นคดีสุดฮิตที่มีผู้เสียหายติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณีการถูกบริษัทประกันภัยปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม โดยอ้างผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง แม้จะเป็นข่าวดังถึงขั้นออกรายการ “#โหนกระแส” กันมาแล้ว แต่บริษัทประกันภัยก็ยังทำแสบไม่หยุด จึงเป็นอีกหนึ่งกรณีที่สำนักงานของเราได้รับทำคดีเมาแล้วขับมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้

นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง กลยุทธ์เด็ดจากบริษัทประกันภัย

คดีเมาแล้วขับ กลยุทธ์เด็ดของที่ประกันภัยมักนำมาใช้ นั่นก็คือการประวิงเวลาให้ผู้เสียหายตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ทิ้งระยะเวลาห่างจากตอนเกิดเหตุ หลังจากนั้นจะหยิบยกเอาทฤษฎีว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกายของคนเราจะลดลง 15 Mg.% ในทุก ๆ 1 ชั่วโมง แล้วจะนำมาคูณด้วยจำนวนชั่วโมงที่เพิ่มขึ้นระหว่างตอนเกิดเหตุจนถึงตอนที่ได้ตรวจวัด คดีเมาแล้วขับจึงเป็นเรื่องที่มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยพากันออกมาร้องเรียนมากมายเกี่ยวกับคดีเมาแล้วขับ ว่าการที่บริษัทประกันภัยใช้วิธีการแบบนี้ นั้นเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้เสียหายเอาเสียเลย แถมยังดูเป็นการจงใจ ตั้งใจเอาเปรียบผู้บริโภคตั้งแรกอีกด้วย

ผู้เสียหายหลายท่านเจอแบบนี้ก็ถึงกับไปไม่เป็น บางรายเจอคดีเมาแล้วขับทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เมาแล้วขับ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เลย ก็ดันถูกทำให้กลายเป็นบุคคลเมาแล้วขับมีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50 Mg.% ซะอย่างนั้น นับว่าเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังดูปัดความรับผิดชอบไม่สมกับเป็นบริษัทประกันที่ควรจะเป็นมิตรแก่ผู้บริโภค เมื่อผู้เสียหายถูกเอาเปรียบนานเข้า ก็เริ่มทนไม่ไหว จากที่ไม่ได้ต้องการที่จะมีสถานเป็นโจทก์ หรืออยากมีคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล ก็ต้องมาให้ทนายอาร์มดำเนินคดีความให้ เนื่องจากถูกบริษัทประกันภัยทำให้ต้องดำเนินคดี หากรับผิดชอบตั้งแต่แรก คงไม่มีคดีเมาแล้วขับ หรือการดำเนินคดีความกับบริษัทประกันภัยเกิดขึ้นเหมือนอย่างทุกวันนี้

หากผู้เสียหายท่านใด เกิดอุบัติเหตุรถชนแล้วถูกบริษัทประกันใช้กลยุทธ์ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ปฏิเสธการจ่าย ปัดความรับผิดชอบเช่นเดียวกับกรณีตัวอย่างข้างต้นนี้ ทนายอาร์ม และสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ขอแนะ ไม่ต้องเดินเรื่องเอง ไม่ต้องเจรจาให้เสียเวลา เสียการ เสียงาน  หาทนายความปรึกษาคดีเมาแล้วขับทันที สามารถทักมาปรึกษาได้ที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ หรือ เพจกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์

ประกันภัยไม่จ่ายแถมท้าให้ฟ้อง อ้างนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ได้เหรอ?

กลับคำ!!! ปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม ทั้งที่ตอนแรกประกันบอกรับผิดชอบ และลูกความได้เอารถเข้าซ่อมระยะเวลาเป็นเดือน

สุดท้ายประกันโทรมา อ้างเรื่องการวัดผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ทั้งที่ลูกความเป่าได้เพียง 14 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ประกันอ้างว่าก่อนที่จะเป่าปริมาณแอลกอฮอล์จะต้องมากกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

ซึ่งตามที่กฎหมายกำหนดจะต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และไม่รับผิดชอบอะไรเลย แถมประกันยังให้ลูกความหาทนายไปฟ้องร้องเอาถ้าอยากจะสู้คดี…

 นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังหลายเคสหลายเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายหลายท่านเจอบริษัทประกันภัยนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง นำมาอ้างปฏิเสธการจ่าย เรียกได้เป็นกลยุทธ์เด็ดกลยุทธ์หนึ่งของบริษัทที่มักนำมาใช้อ้างหลังจากเกิดอุบัติเหตุเป็นหลักเลยก็ว่าได้ แต่กรณีในคลิปด้านล่างนี้เป็นเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายไม่คิดว่าบริษัทประกันภัยที่ดูมีความน่าเชื่อถือ ที่เขาเชื่อใจซื้อประกันนภัยกับที่นี่ จะตอบแทนเขาด้วยการปฏิเสธการรับผิดชอบอย่างไม่ใยดีเกี่ยวกับปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่าย

เหตุการณ์ คือ ผู้เสียหายท่านนี้ไปเที่ยวและขับรถกลับประมาณ 03.00 น.  โดยขับรถออกจากสถานที่เที่ยวมาได้เพียง 100 เมตรเท่านั้น ด้วยความที่ถนนเป็นวันเวย์ไม่มีเลนสวน ประกอบกับบริเวณข้างทางได้มีรถกระบะคันหนึ่งท้ายกระบะยื่นออกมาจอดขวางอยู่ จึงทำให้รถผู้เสียหายเกี่ยวเข้ากับท้ายของรถกระบะคันดังกล่าว โดยตรงที่เบียดโดนรถกระบะคู่กรณีไม่เป็นอะไรเลย แต่รถของผู้เสียหายมีการครูดจากด้านหน้าไปจนถึงด้านหลัง และครูดด้านข้าง และตัวรถไม่ได้มีรอยยุบแต่อย่างใดปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่าย

ซ่อมไปแล้ว 1 เดือน อยู่ ๆ มาปฏิเสธกันดื้อ ๆ

หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุดังกล่าว บริษัทประกันก็ได้ดำเนินการจัดซ่อมรถของผู้เสียหายตามปกติ และรถของผู้เสียหายได้ซ่อมไปแล้วเป็นเวลา 1 เดือน แต่หลังจากนั้นประกันภัยได้โทรกลับมาบอกกับผู้เสียหายว่า “ไม่รับผิดชอบการซ่อมรถให้ผู้เสียหายแล้วนะ” นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังผู้เสียหายถึงกับงงจากที่ตอนแรกประกันภัยรับผิดชอบแล้ว อยู่ ๆ ก็โทรมาบอกว่าไม่รับผิดชอบแล้วซะอย่างนั้น ปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่าย ข้ออ้างที่ประกันโทรมาปฏิเสธผู้เสียหายอย่างดื้อ ๆ ก็คือ ผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง โดยข้อเท็จจริงหลังเกิดเหตุผู้เสียหายเป่าแอลกอฮอล์ได้เพียง 14 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ภายหลังนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังประกันดันโทรมากลับคำบอกว่า ผู้เสียหายมีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์  ปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่าย ซึ่งตามกฎหมายและผู้เสียหายก็ทราบดีและเข้าใจว่าห้ามเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และตัวผู้เสียหายเองก็มีปริมาณแอลกอฮอล์เพียง 14 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงเกิดอาการงงและตั้งคำถามว่า นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังประกันภัยนึกจะปฏิเสธก็ปฏิเสธกันดื้อ ๆ แบบนี้เลยหรือเกี่ยวกับปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่าย

ประกันภัยยันไม่รับผิดชอบ ท้าให้ไปหาทนายฟ้องร้องเอา

หลังจากโทรมาแจ้งปฏิเสธไม่รับผิดชอบนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังต่อผู้เสียหายยังไม่พอ ทางประกันจอมเจ้าเล่ห์หักหลังบอกกับผู้เสียหายว่า “ให้ไปหาทนายฟ้องร้องเอา” และยืนยันไม่รับผิดชอบอีกต่อไป ซ้ำยืนยันปฏิเสธอย่างเดียว ทั้ง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตัดสินไปแล้ว บอกว่าเหตุเกิดจากความประมาท เจอแบบนี้ผู้เสียหายถึงกับเงิบเลยทีเดียวเมื่อเจอบริษัทประกันนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังมาปฏิเสธความรับผิดชอบ

ความรู้สึกของผู้เสียหายหลังถูกประกันปฏิเสธอย่างไม่ใยดี

หากถามถึงความรู้สึกหลังถูกนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังนั้น การที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่ายผู้เสียหายตอบว่าตนไม่เข้าใจการกระทำของบริษัทประกันภัยอย่างมาก อีกทั้งก็ได้มีการโทรไปต่อว่าทางประกันภัยเหมือนกันว่า “ทำไม เราซื้อประกันภัยกับเขา บริษัทต้องคุ้มครองดูแลเรา”  ณ ตอนนั้นผู้เสียหายรู้สึกว่า ตนก็เป่าแอลกอฮอล์ได้เพียง 14 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์  ซึ่งตามหลักแล้วบริษัทประกันต้องดูแลคุ้มครอง แต่ดันกลับมานับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังปฏิเสธลูกค้า และทิ้งลูกค้าเผชิญหน้าทิ้งกันกลางทางอยู่คนเดียว ในส่วนรถของผู้เสียหายจากที่ตอนแรกบริษัทเอาไปดำเนินการซ่อมก็กลับมาทิ้งให้ผู้เสียหายแบกรับภาระและจัดการเองทั้งหมด  ทั้ง ๆ ที่ซ่อมไปแล้ว 1 เดือน

หลังเจอประกันท้าหาทนายฟ้อง ผู้เสียหายตัดสินใจติดต่อเรา

หลังจากผู้เสียหายถูกประกันนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังทิ้งกลางทางแบบดื้อ ๆ อีกทั้งยังท้าให้หาทนายฟ้องร้องเอาเองอีก จึงไม่รอช้ารีบติดต่อหาทนายทันทีแบบไม่คิด เพราะที่เจอมาทั้งหมด เรียกได้ว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่มาเจอเหตุการณ์และบริษัทประกันภัยแบบนี้ เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุก็เจ็บช้ำใจมากพออยู่แล้ว ปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่าย หลงอุ่นใจว่ามีบริษัทประกันดี อุ่นใจว่ารถมีประกันภัย และเชื่อมั่นอย่างสุดใจว่า บริษัทต้องช่วยเหลือคุ้มครองเราเหมือนอย่างตอนที่เขาให้เราซื้อประกันด้วย เจอประกันทิ้งกลางทาง แถมท้าให้ฟ้องก็จัดการให้ทนายอาร์มดำเนินคดีให้ทันที หากเจอมุกนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังแบบนี้ต้องปรึกษาทนายเท่านั้น

มีทนายไว้อุ่นใจกว่า

ไม่ต้องรอให้ประกันภัยนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังงัดมุกไหนมาหัวหมอใส่ หลังเกิดเหตุรีบปรึกษาทนายทันที เพราะมีทนายไว้ตั้งแต่แรกอุ่นใจ และสะดวกกว่าในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น

-ไม่ต้องคุยหรือเจรจากับประกัน จึงไม่ต้องไปเสียรู้กับกลยุทธ์ของประกัน เพราะทนายจะคุยให้เอง

-ไม่ต้องเดินเรื่อง ติดตามผลเอง และไม่ต้องเสียเวลา เพราะทนายจะดำเนินการเดินเรื่องเรียกร้องให้ทั้งหมด

-ทนายจะเป็นผู้รักษาผลประโยชน์ให้กับผู้เสียหายตั้งแต่แรกเริ่มของการเดินเรื่องจนวินาทีสุดทท้ายที่คดีความสิ้นสุด  

เกล็ดความรู้ เมาแล้วขับ ต้องโดนปรับ แถมประกันก็ไม่จ่าย

 สาเหตุที่บริษัทประกันปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่ายปฏิเสธการรับผิดชอบต่อผู้เสียหายนั้น ก็เพราะว่าบริษัทประกันจะมีข้อกำหนดว่า “จะไม่จ่ายค่าเสียหายให้ หากตรวจพบว่าผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์” ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์เดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ในการแจ้งข้อหากรณีเมาแล้วขับ ถึงแม้จะทำประกันชั้น 1 ทางประกันก็ไม่รับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้นใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าเสียหายต่อผู้เอาประกันหรือคู่กรณี

แต่ถ้าถามว่า กรณีเมา แล้วประกันภัยรถยนต์ของคุณเป็นภาคสมัครใจไม่จ่าย แล้วประกันภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. รถยนต์ล่ะ จ่ายให้หรือไม่ ?

          คำตอบ คือ พ.ร.บ. จะจ่ายให้ ไม่ว่าคุณจะเมาไม่มีใบขับขี่ หรือทำผิดกฎหมายจราจรข้อใด พ.ร.บ.ก็จ่ายค่าเสียหายชดเชยให้หมดเมื่อเกิดเหตุ พ.ร.บ. จะจ่ายให้กับคู่กรณี และจ่ายแค่ความเสียหายต่อบุคคลเท่านั้น ส่วนความเสียหายต่อรถของคู่กรณีคุณต้องจ่ายค่าเสียหายชดใช้ให้แก่คู่กรณีเองทั้งหมด

          ดังนั้น หากเมาแล้วอย่าขับเลยจะดีกว่า เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจนำมาซึ่งความเสียหายต่อทรัพย์สิน เสียประวัติ แถมยังเสียเงิน มีแต่เสียกับเสียแบบนี้ไม่ดีแน่

ถ้าคุยกับประกันมันยาก มาคุยกับเราดีกว่า ที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

ประกันภัยจอมเจ้าเล่ห์หงายการ์ด ก่อนเกิดเหตุต้องเมาแน่

 แบบนี้ก็มีด้วยหรือเกิดอุบัติเหตุแล้วโดนจับเป่าแอลกอฮอล์ แต่ผลออกมาไม่ถึง 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ กลับถูกประกันนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังอ้าง…ก่อนเกิดเหตุ ต้องเกินจากนั้นแน่นอน หัวหมอใส่ผู้เสียหายทันทีรีบหงายการ์ดทีเด็ดยกสูตรคำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ประกันไม่จ่าย มาปฏิเสธการชดใช้ อ้างว่าก่อนเป่าผู้ขับขี่ต้องเมากว่านี้แน่    กลยุทธ์แบบนี้นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังรีบรู้ไว้แล้วจำให้ขึ้นใจ หากเจอบริษัทกันภัยทำแบบนี้ใส่ อย่าไปยอมเสียรู้ตกเป็นเหยื่อเด็ดขาดปรึกษาทนายด่วน  

ฝากถึงผู้เสียหายทุกท่านที่ถูกนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ถ้าคุยกับประกันมันยาก มาคุยกับเราดีกว่า สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ดำเนินการโดยทนายอาร์ม ทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์มือหนึ่งยินดีให้บริการ

เมื่อ “แอลกอฮอล์” กลายเป็นประเด็นในคดีประกันภัย : กรณีศึกษาและกลยุทธ์การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

ในโลกของ คดีประกันภัย หลายครั้งที่ผู้เอาประกันหรือลูกค้าต้องเผชิญกับเทคนิคทางกฎหมายและกลยุทธ์การตีความจากบริษัทประกันภัย ซึ่งบางครั้งอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้เอาประกันอย่างไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ แอลกอฮอล์ ซึ่งมักถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเหตุผลในการปฏิเสธการชดใช้ค่าเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หนึ่งในกรณีตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ เรื่องราวของลูกความจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ที่สะท้อนให้เห็นกลยุทธ์ของบริษัทประกันภัยที่ใช้วิธี นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง เพื่อหาช่องทางปฏิเสธความรับผิดชอบ แม้ในความเป็นจริงผู้เอาประกันจะไม่ได้ทำผิดกฎหมายก็ตาม

กรณีตัวอย่าง : อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดและประเด็นการ “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง”

ลูกความรายนี้ประสบอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับรถของการทางพิเศษในขณะขับรถกลับจากที่ทำงาน หลังเกิดเหตุได้ติดต่อบริษัทประกันภัยทันที แต่ทางบริษัทกลับแจ้งว่าเจ้าหน้าที่เคลมไม่สามารถขึ้นมาบนทางด่วนได้ ต้องนัดหมายให้ผู้เสียหายลงมาพบที่ด้านล่าง ซึ่งทำให้เสียเวลาประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง

เมื่อเจ้าหน้าที่บริษัทประกันมาถึง กลับยืนยันให้ผู้เสียหายไปตรวจวัด ปริมาณแอลกอฮอล์ แม้ว่าผู้เสียหายจะแจ้งแล้วว่าไม่ได้ดื่มจนเกินกว่ากฎหมายกำหนดก็ตาม ผลการตรวจพบว่ามีค่าเพียง 39 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่ากฎหมายกำหนด และเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตั้งข้อหาเพียง “ขับรถโดยประมาท” เท่านั้น

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ หลังจากผู้เสียหายได้รับใบเคลมแล้วเกือบหนึ่งเดือน บริษัทประกันภัยกลับแจ้งปฏิเสธความรับผิดชอบ โดยอ้างประเด็น แอลกอฮอล์ และยังให้ผู้เสียหายชดใช้ค่าเสียหายแทนส่วนที่บริษัทได้จ่ายไปให้คู่กรณีอีกด้วย

ประเด็นทางกฎหมาย : แอลกอฮอล์กับคดีประกันภัย

ตามกฎหมายจราจรทางบก กำหนดว่าผู้ขับขี่ที่มีอายุมากกว่า 20 ปี ต้องมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ กรณีนี้ผู้เสียหายมีค่าเพียง 39 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จึงไม่ถือว่าผิดกฎหมาย แต่บริษัทประกันกลับใช้ประเด็นนี้เป็นเหตุผลในการ ปฏิเสธการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

สิ่งที่น่าสนใจคือ บริษัทฯ พยายามใช้วิธี “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” กล่าวคือ การนำเวลาที่ผู้เสียหายเสียไปก่อนตรวจวัด (เกือบ 1 ชั่วโมง) มาคำนวณย้อนกลับว่าจริง ๆ แล้วตอนเกิดเหตุอาจมีค่าเกินที่กฎหมายกำหนด แม้ว่าผลตรวจจริงในเวลาที่วัดจะไม่เกินก็ตาม

กลยุทธ์นี้กลายเป็นช่องทางให้บริษัทประกันใช้เพื่อเอาเปรียบลูกค้าในหลายกรณี ซึ่งถือว่าไม่เป็นธรรมและอาจเข้าข่ายเป็นการเลี่ยงความรับผิดโดยไม่สุจริต

ตีแผ่กลยุทธ์การ “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง”ของบริษัทประกันภัย

วิธีการนี้คือ การอ้างหลักการทางวิทยาศาสตร์ว่าร่างกายใช้เวลาในการสลายแอลกอฮอล์เฉลี่ยชั่วโมงละ 10–15 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หากผู้เสียหายมีค่า 39 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ในเวลาตรวจ อาจถูกตีความว่าตอนเกิดเหตุจริงมีค่าเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และถือว่าผิดกฎหมาย

แม้ในความจริง การคำนวณเช่นนี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น น้ำหนักตัว เพศ ช่วงเวลาที่ดื่ม ปริมาณแอลกอฮอล์ที่บริโภค และระยะการเผาผลาญของร่างกาย แต่บริษัทประกันภัยกลับใช้วิธี นับย้อนหลัง โดยไม่สนใจความเป็นจริง เพื่อหาข้ออ้างในการไม่ชดใช้ค่าสินไหมให้ผู้เสียหาย

ผลกระทบต่อผู้บริโภค

ในมุมของผู้เสียหาย ถือว่าเสียเปรียบอย่างมาก เพราะในวันเกิดเหตุได้ทำตามขั้นตอนทุกอย่างแล้ว ทั้งแจ้งเหตุ ติดต่อบริษัทประกันภัย และยอมตรวจวัดแอลกอฮอล์ แต่กลับต้องรอเกือบ 1 เดือนเพื่อมาทราบว่าบริษัทปฏิเสธการซ่อมรถ

ผลที่เกิดขึ้นคือ

  • รถไม่ได้รับการซ่อมตามสัญญา
  • ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายที่บริษัทไปจ่ายให้คู่กรณี
  • เสียเวลาและโอกาสจากการรอคำตอบเกือบเดือน
  • เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจในบริษัทประกันภัย

นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าผู้บริโภคอาจตกเป็นเหยื่อของกลยุทธ์ทางกฎหมายที่ซับซ้อน หากไม่มีความรู้หรือไม่มี ทนายความ คอยให้คำปรึกษา

บทเรียนสำคัญจากคดีประกันภัยกรณีนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

1.อย่าชะล่าใจ – แม้คิดว่าตนเองไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่บริษัทประกันอาจใช้ช่องว่างทางกฎหมายมาตีความในทางเสียเปรียบ

2.ควรตรวจสอบเงื่อนไขกรมธรรม์ให้ชัดเจน – เงื่อนไขบางข้อเกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์อาจถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการปฏิเสธค่าสินไหม

3.ไม่ควรต่อสู้เพียงลำพัง – คดีประกันภัยที่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์มักซับซ้อนและเต็มไปด้วยเทคนิคการตีความ ควรมีทนายความผู้เชี่ยวชาญคอยดำเนินการ

4.เก็บหลักฐานทุกขั้นตอน – ตั้งแต่การแจ้งเหตุ การติดต่อบริษัท การตรวจวัดแอลกอฮอล์ ควรมีเอกสารหรือพยานยืนยันเพื่อใช้ต่อสู้หากเกิดข้อพิพาท

ปกป้องสิทธิด้วยความรู้และปรึกษาทนายคดีประกันภัย

กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า คดีประกันภัยเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ ไม่ได้จบลงแค่ผลตรวจวัดในวันเกิดเหตุ แต่ยังมีกลยุทธ์ซ่อนอยู่ เช่น การ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ที่ทำให้ผู้เสียหายเสียสิทธิอย่างไม่เป็นธรรม

ดังนั้น ผู้เอาประกันทุกคนควรตระหนักว่า การมี ทนายความ หรือที่ปรึกษากฎหมายคอยดูแลตั้งแต่แรก จะช่วยให้การต่อสู้กับบริษัทประกันเป็นไปอย่างมั่นใจและมีโอกาสได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น

เพราะในโลกของคดีประกันภัย “ความรู้ทางกฎหมาย” คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด และ “ทนายความ” คือผู้ที่จะทำให้ผู้บริโภคไม่ตกเป็นเหยื่อของเกมการเอาเปรียบจากบริษัทประกันภัย

หากคุณหรือคนใกล้ชิดกำลังตกเป็นเหยื่อของบริษัทประกันภัยที่กำลังใช้กลยุทธ์นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังมาเอาเปรียบ อย่ารอช้า >>ติดต่อเรา<< เพื่อปรึกษาทนายความทันที

เมื่อบริษัทประกันใช้มุกเด็ด “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” เพื่อปฏิเสธค่าสินไหมฯ ทำไมควรมีทนายความเดินเรื่องให้?

หนึ่งในกลยุทธ์ที่บริษัทประกันภัยจำนวนมากนำมาใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหาย คือการอ้าง ผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง แม้ว่าผู้เอาประกันภัยจะไม่ได้มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดในขณะขับขี่จริง ประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียงและก่อให้เกิดข้อพิพาทอย่างต่อเนื่องและสร้างความเสียหายและความเดือดร้อนให้แก่ผู้เสียหายหรือผู้เอาประกันภัยมานักต่อนักแล้ว

ณ จุดนี้ จึงทำให้ผู้เสียหายหลายคนอาจเกิดความสับสนว่า หากตรวจวัดผลแอลกอฮอล์แล้วไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์หรือก็ไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด แล้วทำไมบริษัทประกันภัยถึงปฏิเสธความรับผิดต่อผู้เสียหาย? และเหตุใดจึงต้องให้ทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านคดีประกันภัย เข้าดำเนินการให้ดีกว่าไปเดินเรื่องเอง บทความนี้จากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพามาไขข้อข้องใจพร้อมยกกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงมาให้ชมกัน

กรณีตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงความเอาเปรียบของบริษัทประกันภัย

เคสนี้เป็นเรื่องราวของลูกความของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ที่ชี้ให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่า ความเสียหายจากอุบัติเหตุอาจไม่ใช่เรื่องเดียวที่ต้องกังวล หากแต่การถูกปฏิเสธค่าสินไหมทดแทนโดยอ้างการนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังจากบริษัทประกันภัยนั้นสามารถกลายเป็นภาระใหญ่ที่ตามมาได้ โดยผู้เสียหายในคดีนี้ยอมรับว่ามีการดื่มแอลกอฮอล์เล็กน้อย แต่ไม่ได้ดื่มเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนดขณะเกิดเหตุ หลังจากที่เกิดเหตุผู้ขับขี่ก็ได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ผ่านการเป่าลมหายใจ และผลตรวจยืนยันอย่างชัดเจนว่า ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าไม่เกินกว่ากฎหมายกำหนดในขณะขับขี่

บริษัทประกันภัย “ฉวยโอกาส” จากช่องว่างของเวลา?

แม้ผลตรวจจะไม่เกินตามที่กฎหมายกำหนดอย่างที่กล่าวไป ซึ่งในเงื่อนไขกรมธรรม์หรือกฎหมายก็ไม่ได้ระบุว่า “ห้ามดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด” หากอยู่ในปริมาณขอบเขตที่กำหนด แต่บริษัทประกันภัยกลับยืนยันปฏิเสธความรับผิดและการจ่ายค่าสินไหมทดแทน โดยอ้างการ “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” กล่าวคือ บริษัทฯ อ้างว่าขณะเกิดเหตุผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่านี้ และยึดหลักการคำนวณโดยไม่แม้แต่จะคำนึงถึงการอ้างอิงหลักการทางการแพทย์ หรือตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ มาประเมินย้อนหลัง จึงถือว่าผู้ขับขี่เมาแล้วขับ และไม่อยู่ในเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย

เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรม ผู้เสียหายจึงตัดสินใจให้ทนายความเข้ามา “เปลี่ยนเกม”

เมื่อผู้เสียหายถูกปฏิเสธสิทธิอย่างไม่เป็นธรรม จึงตัดสินใจให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เป็นตัวแทนดำเนินคดีกับบริษัทประกันภัย โดยเราเริ่มจากการส่งหนังสือทวงถาม (Notice) ไปยังบริษัทประกันภัย แต่ก็ยังคงได้รับการปฏิเสธอย่างแน่วแน่ ด้วยเหตุผลเดิมที่ไร้หลักการทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือได้

เราจึงยกระดับกระบวนการ โดยยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงาน คปภ. แต่อย่างไรก็ตาม คำตอบจาก คปภ. กลับเป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง เพราะหน่วยงานระบุว่า “ไม่มีอำนาจในการชี้ขาดข้อพิพาท” ซึ่งหมายความว่าผู้เสียหายไม่สามารถพึ่งพาหน่วยงานรัฐได้อย่างที่หลายคนเข้าใจ

ศาลจึงคือที่พึ่งสุดท้าย และชัยชนะของความถูกต้อง

หลังจากหน่วยงานที่หลายคนเข้าใจว่าจะสามารถช่วยเหลือได้ ก็กลับไร้ความสามารถต่อผู้เสียหายในกระบวนการไกล่เกลี่ย เราจึงนำคดีเข้าสู่ชั้นศาลทันที เมื่อถึงขั้นตอนการสืบพยาน ศาลได้รับฟังข้อมูลและพยานหลักฐานอย่างครบถ้วน จนท้ายที่สุดมีคำพิพากษาว่า บริษัทประกันภัยต้องรับผิดชอบและจ่ายค่าสินไหมให้ผู้เสียหายตามกรมธรรม์ประกันภัย โดยระบุว่า การคำนวณ “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ที่บริษัทอ้างอิงนั้น ไม่มีความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ และไม่อาจใช้เป็นข้ออ้างทางกฎหมายได้

ทำไมเทคนิค “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ถึงเป็นกับดัก?

หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า เทคนิคการ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง เป็นกลยุทธ์ที่บริษัทประกันภัยหลายแห่งนำมาใช้กันเป็น “ระบบ” และจากประสบการณ์ของทีมทนายความสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เราพบว่าบริษัทประกันภัยแทบทุกแห่งในตลาด ต่างเคยใช้เทคนิคนี้เพื่อปฏิเสธความรับผิดกันมานักต่อนัก

แม้จะไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่รองรับ แต่ผู้เอาประกันภัยจำนวนมากที่ไม่มีความรู้ด้านกฎหมายหรือไม่ได้มีทนายความที่รู้ทันเทคนิคการเอาเปรียบของบริษัทประกันภัยก็มักจะ “ยอมจำนน” และสูญเสียสิทธิ์อย่างน่าเสียดาย หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเสียรู้บริษัทประกันภัยนั่นเอง

คำถามที่พบบ่อย บริษัทไหนใช้เทคนิคนี้?

หลายคนอาจสงสัยว่า บริษัทใดกันแน่ที่ใช้วิธีนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังเพื่อปฏิเสธค่าสินไหม? คำตอบที่เราสามารถยืนยันได้คือ บริษัทประกันภัยแทบทั้งหมดมีการใช้เทคนิคนี้ โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายผู้เสียหายไม่มีทนายความที่รู้ทันกลยุทธ์นี้มาดำเนินเรื่อง เพราะถือว่าเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทเอง แม้จะเป็นการผลักภาระอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้เอาประกันก็ตาม

กรณีนี้สะท้อนภาพชัดเจนว่า เมื่อไม่มีทนายความเข้ามาต่อสู้ทางกฎหมาย ผู้เอาประกันภัยอาจหมดทางเลือก และถูกลากไปจนยอมให้บริษัทประกันเป็นผู้กำหนดขั้นตอนและคำตอบเองโดยไม่มีการถ่วงดุลเลย

รู้เท่าทันประกันภัยกับการ “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” เพื่อไม่เสียเปรียบ

หากผู้เสียหายในกรณีนี้ ไม่มีทนายความคอยเดินเรื่องหรือต่อสู้ทางกฎหมายอย่างรู้ทันประกันภัย ผลลัพธ์อาจไม่ออกมาในทางที่เป็นธรรม แม้จะมีความจริงอยู่ฝ่ายตนก็ตาม ดังนั้น การมีทนายความที่เชี่ยวชาญด้านประกันภัยจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่เพื่อเรียกร้องสิทธิ แต่เพื่อ “คุ้มครองสิทธิ” ที่คุณควรได้รับด้วย อย่ายอมให้กลยุทธ์นี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่บริษัทประกันภัยนำมาใช้เพื่อปฏิเสธค่าสินไหมอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยไม่มีความรู้หรือขาดทนายความในการให้ความรู้และเดินเรื่องให้

ปรึกษาทนายความทันที หากคุณตกเป็นเหยื่อของบริษัทประกันภัยในการ “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง”

นอกจากที่กล่าวไปข้างต้นแล้วที่สำคัญเลยคือการทำประกันภัยรถยนต์ไม่ควรเป็นเพียงเรื่องของความสบายใจ แต่ควรมาพร้อมกับการ รู้เท่าทันกลยุทธ์ของบริษัทประกันภัย โดยเฉพาะกรณีการอ้าง “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อปฏิเสธความรับผิดโดยไม่เป็นธรรม หากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยเผชิญกรณีคล้ายกัน หรือกำลังเผชิญการถูกปฏิเสธค่าสินไหมทดแทน อย่ารอช้าในการปรึกษาทนายความ เพราะทีมทนายความของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มีประสบการณ์ด้านคดีประกันภัยโดยตรง พร้อมให้บริการทางกฎหมายให้คุณได้รับความเป็นธรรมตามสิทธิที่ควรได้ หากต้องการปรึกษาคดีเกี่ยวกับการ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง คลิก ติดต่อเรา เพื่อขอคำปรึกษาได้ทันที

 “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ไม่ใช่ข้ออ้างในการปฏิเสธสินไหม คำพิพากษาชี้ชัดประกันภัยต้องชดใช้!

ในโลกของการประกันภัย โดยเฉพาะกรณีอุบัติเหตุจราจร การตีความเงื่อนไขกรมธรรม์ถือเป็นประเด็นสำคัญที่อาจสร้างความขัดแย้งระหว่างบริษัทประกันภัยกับผู้เอาประกัน ซึ่งคดีหนึ่งที่สะท้อนปัญหานี้ได้ชัดเจน คือ กรณีบริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิดโดยอ้าง “การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ทั้งที่ผลตรวจจริงไม่เกินค่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นการปฏิเสธที่ไม่ชอบธรรม พร้อมสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมตามเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างครบถ้วน

เหตุการณ์อุบัติเหตุ และข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น : คำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

คดีนี้เริ่มต้นจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 รถยนต์กระบะทะเบียน 2 XX 3456 กรุงเทพมหานคร ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ทำให้ตัวรถได้รับความเสียหาย มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 ราย และเสียชีวิต 1 ราย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรถและเป็นผู้เอาประกันภัยได้สำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าปลงศพให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ

รถคันดังกล่าวมีประกันภัยทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ โดยจำเลยที่ 1 คือบริษัทผู้รับประกันภัยภาคบังคับ มีหน้าที่ดูแลความเสียหายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ส่วนจำเลยที่ 2 คือบริษัท 1234 จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยภาคสมัครใจ มีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมในส่วนของความเสียหายตัวรถ, ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ, ค่ารักษาพยาบาล, และค่าชดเชยกรณีเสียชีวิตตามกรมธรรม์

แต่เมื่อโจทก์ยื่นขอสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 กลับถูกปฏิเสธ โดยบริษัทอ้างว่า ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยอาศัยการ “คำนวณย้อนหลัง” จากข้อมูลบางส่วน ทั้งที่ผลตรวจจากสถานพยาบาลแสดงชัดเจนว่าผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์เพียง 37 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าค่ากำหนดของกฎหมายคือ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

ข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริง

โจทก์ได้โต้แย้งการปฏิเสธนี้ว่าไม่มีมูลทางกฎหมายหรือวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน โดยชี้ว่า

  • จำเลยไม่มีผลตรวจย้อนหลังที่ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง
  • ไม่มีข้อมูลด้านดัชนีมวลกายหรือข้อมูลทางสุขภาพของผู้ขับขี่ที่สามารถนำมาคำนวณย้อนหลังได้
  • พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อหาเมาสุราต่อผู้ขับขี่ ซึ่งแสดงว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้เห็นว่าผู้ขับขี่เมาในขณะเกิดเหตุ

โจทก์จึงมองว่าการนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อเลี่ยงความรับผิด ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงและข้อกฎหมาย จึงแต่งตั้งทนายความติดตามทวงถามและขอเอกสารประกอบจากจำเลย แต่จำเลยกลับเพิกเฉย ไม่ตอบกลับ ไม่แสดงหลักฐาน โจทก์จึงนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาล

คำพิพากษาที่ชี้ชัดถึงความรับผิดของประกันภัย

ศาลได้พิจารณาพยานหลักฐานและวินิจฉัยอย่างละเอียด ก่อนมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 2 คือบริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) ต้องชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามรายละเอียด ดังนี้:

1.ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายต่อรถยนต์ ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ภาคสมัครใจ หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ ภายในวงเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้

oหรือเลือก จัดซ่อมรถให้อยู่ในสภาพเดิม

2.ชำระค่ายกรถ จำนวน 10,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2566 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น

3.ชำระค่าเก็บรักษารถ เดือนละ 10,000 บาท นับจากวันฟ้อง (18 มิถุนายน 2567) จนกว่าจะชำระค่าสินไหมครบ หรือมีการนำรถออกจากสถานที่เก็บรักษา

oแต่บริษัทประกันภัยจะต้องรับผิดในค่ายกรถและค่าเก็บรักษา ไม่เกิน 20% ของค่าซ่อมแซม

4.ชำระค่าทนายความ จำนวน 5,000 บาท ให้แก่โจทก์

5.ชำระค่าธรรมเนียมศาล ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี

6.คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 (บริษัทประกันภัยภาคบังคับ): ศาล ยกฟ้อง โดยให้แต่ละฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเอง7.คำขออื่น ๆ ของโจทก์ ศาล ยกคำขอ

อย่ารอให้ตกเป็นเหยื่อ ! ปรึกษาทนายคดีประกันภัย หากถูกนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

คดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนถึงการใช้ “การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” โดยไม่มีหลักฐานรองรับอย่างเป็นทางการ เป็นแนวปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง และอาจขัดต่อหลักความเป็นธรรม

หากผลตรวจแอลกอฮอล์ในร่างกายจากหน่วยงานทางการระบุว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และไม่มีการตั้งข้อหาจากพนักงานสอบสวน บริษัทประกันภัยไม่สามารถอ้าง “การคำนวณย้อนหลัง” เป็นเหตุปฏิเสธความรับผิดได้

นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง จึงไม่ควรเป็นเครื่องมือที่บริษัทประกันภัยนำมาใช้ในลักษณะลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับอย่างชัดเจน เพราะนอกจากจะทำให้ผู้เอาประกันเสียสิทธิ์ ยังอาจนำไปสู่ความเสียหายทางกฎหมายแก่บริษัทเอง

คดีนี้ยืนยันว่าการตีความสัญญาประกันภัยต้องอยู่บนพื้นฐานของ “ข้อเท็จจริง” และ “พยานหลักฐาน” ไม่ใช่การคาดคะเนหรือประเมินจากสมมุติฐานที่ไม่มีที่มารองรับ

บริษัทประกันภัยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างเคร่งครัด ไม่เลือกปฏิบัติหรือเลี่ยงความรับผิดโดยไม่มีมูล หากมีข้อสงสัยเรื่อง ประกันภัย หรือการ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ขอแนะนำให้ปรึกษาทนายความที่เชี่ยวชาญ เพื่อปกป้องสิทธิของคุณอย่างถูกต้องตามกฎหมายหากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยเจอกรณีคล้ายกัน อย่าลังเลที่จะขอคำปรึกษาจากทนายความ เพราะบางครั้ง “ความเงียบของเรา” อาจกลายเป็นการยอมรับในความไม่เป็นธรรมโดยไม่รู้ตัว ปรึกษากฎหมายแอดไลน์ @Wongsakorn หรือคลิก ติดต่อเรา

ประกันภัยนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ปัดจ่าย เจอทนายฟ้องศาล ชนะคดี!

ในโลกของการประกันภัยรถยนต์ ผู้เอาประกันคงคาดหวังว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น บริษัทประกันภัยจะดำเนินการตามหน้าที่เพื่อช่วยเหลือและชดเชยความเสียหายให้ตรงไปตรงมา ทว่าความจริงอาจไม่สวยงามเช่นนั้น กรณีศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจคือเหตุการณ์ที่บริษัทประกันภัยใช้วิธี นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง มาเป็นเหตุผลในการ ปฏิเสธจ่ายค่าสินไหมทดแทน ทั้งที่ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน และสุดท้ายต้องจบลงด้วยการฟ้องร้องในชั้นศาล

เคสอุทาหรณ์ เหตุการณ์เริ่มต้น : อุบัติเหตุและการปฏิเสธจากประกัน

เหตุการณ์เริ่มต้นจากผู้เสียหายรายหนึ่งขับรถยนต์จนเกิดอุบัติเหตุขึ้น ทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก โดยตามหน้าที่ของบริษัทประกันภัยแล้ว จำเป็นต้องเข้ามาสำรวจและประเมินความเสียหาย พร้อมจัดซ่อมให้คืนสภาพเดิมภายในระยะเวลาที่สมควร

แต่บริษัทประกันภัยกลับมีหนังสือปฏิเสธความคุ้มครอง โดยให้เหตุผลว่า “ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์เกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ในขณะเกิดเหตุ”

เมื่อหลักฐานคลุมเครือ ไม่มีผลตรวจจริงในขณะเกิดเหตุ

แม้จะฟังดูเหมือนบริษัทประกันภัยปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ แต่เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงจะพบความคลุมเครือในหลายประเด็น บริษัทฯ ไม่สามารถแสดงหลักฐานการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในขณะเกิดเหตุได้อย่างชัดเจน ทั้งไม่สามารถยืนยันว่าเครื่องมือที่ใช้ผ่านการรับรองมาตรฐาน และไม่มีลายเซ็นของผู้ขับขี่ในเอกสารยืนยันผลตรวจ

ประเด็นหลักของคดี ! นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังโดยไม่มีหลักฐาน

ประเด็นสำคัญของคดีนี้คือบริษัทประกันภัยกับการ “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” โดยไม่มีหลักฐานแสดงผลการวัดแอลกอฮอล์ที่เกิดขึ้น ณ ขณะเกิดเหตุจริง ซึ่งสวนทางกับคำสั่งของนายทะเบียนที่ 66/2563 ที่ระบุชัดว่า การยกเว้นความรับผิดตามเงื่อนไขแอลกอฮอล์ ต้องพิจารณาที่ “ขณะเกิดเหตุ” เท่านั้น

ไม่รอถูกเอาเปรียบนาน ให้ทนายความเดินเรื่องทันที

เมื่อผู้เสียหายเห็นว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจาก สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เพื่อให้ทนายความดำเนินการเรียกร้องสิทธิในฐานะผู้เอาประกัน โดยทนายความได้ยื่นหนังสือเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัย พร้อมอ้างอิงระเบียบของ คปภ. ว่าการเพิกเฉยหรือประวิงเวลาการพิจารณาเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย พ.ศ. 2566

ศาลชี้ชัด! บริษัทประกันภัยต้องชดใช้

ในที่สุด คดีความนี้จึงถูกนำขึ้นสู่ชั้นศาล ซึ่งศาลได้พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดและมีคำพิพากษาให้บริษัทประกันภัยแพ้คดี โดยศาลชี้ชัดว่าการอ้างผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังโดยไม่มีหลักฐานยืนยันสถานะในขณะเกิดเหตุ ถือเป็นการปฏิเสธความรับผิดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลสั่งชดใช้ค่าเสียหายรวมเกือบ 620,000 บาท ได้แก่

  • ค่าซ่อมรถยนต์ 550,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 15% ต่อปี
  • ค่ายกลากรถ 4,500 บาท
  • ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ 50,000 บาท
  • ค่ารักษาพยาบาล 5,506.69 บาท
  • ค่าทนายความ 10,000 บาท

บทเรียนสำคัญจากเคสนี้ คือ ผู้บริโภคควรปรึกษาทนายทันทีหลังเกิดเหตุ

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้บริโภคยังคงเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบเมื่อเจอกับบริษัทประกันภัยที่มุ่งหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบด้วยเหตุผลอันคลุมเครืออย่างการ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง โดยปราศจากหลักฐานสนับสนุนที่ถูกต้องและชัดเจนนี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ยืนยันว่า ผู้เอาประกันควรมี ทนายความที่เข้าใจด้านประกันภัย คอยให้คำแนะนำและช่วยดำเนินคดีหากถูกเอาเปรียบ

ทนายความที่มีประสบการณ์คดีประกันภัย กรณีประกันภัยอ้างผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง – สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นสำนักงานกฎหมายที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านคดีประกันภัย โดยเฉพาะกรณีที่บริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิด โดยอ้างผลตรวจแอลกอฮอล์ย้อนหลังแบบไม่มีหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์รองรับ ซึ่งตลอดมาทางจากประสบการณ์สำนักงานฯ ยังไม่เคยแพ้คดีลักษณะนี้ หากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยเจอปัญหาแบบเดียวกัน อย่าเพิ่งยอมแพ้ขอแนะนำให้ปรึกษาทนายความก่อนเป็นอันดับแรกดีที่สุด เพื่อที่คุณจะสามารถใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมได้เต็มที่ นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรมีทนายความตั้งแต่เริ่มต้น เพราะในความเป็นจริง บริษัทประกันภัยมีทนายเตรียมพร้อมต่อสู้ตั้งแต่รถยังไม่ทันชน แล้วเหตุใดเราจึงไม่ควรมีทนายตั้งแต่วันเกิดเหตุ?

อย่ารอจนสายเกินไป จนไม่ได้อะไรเลยแม้แต่บาทเดียว — ปรึกษาทนายตั้งแต่แรกคือทางออกที่ดีที่สุด >>ติดต่อเรา<<

เกือบแล้ว!!! ถ้าไม่มีทนาย ไม่ได้สักบาท เหตุประกันนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

กรณีพิพาทเกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์มักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อบริษัทประกันพยายามปฏิเสธความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการตีความเงื่อนไขกรมธรรม์แบบเข้าข้างตัวเอง หรือการอ้างเหตุผลที่คลุมเครือเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ขอยกกรณีของคุณ A เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหานี้ได้อย่างชัดเจนกับความหัวหมอและเอาเปรียบของบริษัทประกันภัย

เคสตัวอย่าง ชนท้ายไม่จ่าย งัดมุกนับผลแอลฯ ย้อนหลัง ยืนยันปฏิเสธท่าเดียว

เคสนี้คุณ A ขับรถไปชนท้ายรถคันหน้า เนื่องจากเปลี่ยนช่องทางโดยไม่ระมัดระวัง หลังเกิดเหตุ พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุของบริษัทประกันภัยได้เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุและดำเนินการตามขั้นตอนตามปกติ รวมถึงตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ของคุณ A ซึ่งพบว่าอยู่ที่ 39 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่ง ไม่เกินค่าที่กฎหมายกำหนด (50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์) และยังอยู่ในเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย

เมื่อพนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุเห็นว่าไม่มีข้อผิดพลาดที่ขัดต่อเงื่อนไขกรมธรรม์ จึงออกใบติดต่อให้บริษัทประกันภัยรับผิดชอบต่อความเสียหาย โดยในขณะนั้น บริษัทประกันไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบแต่อย่างใด

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการสอบสวน และแจ้งข้อหากับคุณ A เพียง ข้อหาขับรถโดยประมาท ซึ่งเป็นความผิดตามปกติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่ได้ตั้งข้อหาขับขี่ขณะมึนเมา เนื่องจากปริมาณแอลกอฮอล์ของคุณ A ไม่เกินค่าที่กฎหมายกำหนด

บริษัทประกันภัยกลับคำปฏิเสธความรับผิดชอบ

หลังจากที่ทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนปกติ จู่ๆ บริษัทประกันภัยกลับเปลี่ยนท่าที ปฏิเสธการรับผิดชอบค่าสินไหมทดแทนและค่าซ่อมรถ โดยอ้างว่าคุณ A มีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ ผลตรวจในวันเกิดเหตุชี้ชัดว่าอยู่ที่ 39 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

การกลับคำของบริษัทประกันภัยในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้กับคุณ A เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึง ความไม่เป็นธรรมของบริษัทประกันภัยบางแห่งที่พยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบโดยการอ้างเหตุผลที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง

ไม่รอให้ประกันเอาเปรียบ ตัดสินใจเข้าพบทนายอาร์มทันที!

เมื่อต้องเผชิญกับการปฏิเสธความรับผิดชอบโดยไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผล คุณ A จึงตัดสินใจปรึกษาทนายความ และได้เข้ามาติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เพื่อให้ช่วยดำเนินการเรียกร้องสิทธิ์ที่ควรได้รับ

ขั้นตอนดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม

1.การส่งหนังสือทวงถาม

o ทางสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ได้ทำการส่งหนังสือทวงถามไปยังบริษัทประกันภัยเพื่อให้แสดงความรับผิดชอบตามเงื่อนไขของกรมธรรม์

o อย่างไรก็ตาม บริษัทประกันภัยยังคงปฏิเสธโดยอ้างเหตุผลเดิม คือ ปริมาณแอลกอฮอล์เกิน

2.การร้องเรียนไปยัง คปภ. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย)

o ทางสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ได้นำเรื่องไปร้องเรียนที่ คปภ. ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลบริษัทประกันภัย

o มีการนัดเจรจาชี้แจง แต่ บริษัทประกันภัยยังคงยืนยันปฏิเสธความรับผิดชอบ

3.การฟ้องร้องต่อศาล

o เมื่อการเจรจากับ คปภ. ไม่เป็นผล สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จึงตัดสินใจยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนและค่าซ่อมรถให้กับคุณ A

o ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ บริษัทประกันภัยกลับยอมจ่ายเงินชดใช้ให้อย่างง่ายดาย หลังจากที่คดีถูกนำขึ้นสู่กระบวนการพิจารณาของศาล

อย่าปล่อยให้ถูกเอาเปรียบ! ปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญคดีประกันภัยดีที่สุด

จากกรณีของคุณ A ทำให้เห็นได้ชัดว่า หากไม่มีทนายความเดินเรื่องดำเนินคดี บริษัทประกันอาจปฏิเสธความรับผิดชอบโดยไม่มีเหตุผล และผู้เอาประกันอาจไม่ได้รับการชดใช้แม้แต่บาทเดียว

หากคุณถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบ อย่าปล่อยให้เรื่องเงียบ!
✅ ควรตรวจสอบเอกสารและหลักฐานให้ครบถ้วน
✅ หากพบว่าบริษัทประกันปฏิเสธความรับผิดชอบโดยไม่มีเหตุผลสมควร ควรปรึกษาทนายความทันที
✅ การร้องเรียนไปยัง คปภ. และการดำเนินคดีในชั้นศาล เป็นช่องทางที่สามารถใช้กดดันให้บริษัทประกันภัยปฏิบัติตามข้อตกลงในกรมธรรม์

บริษัทประกันภัยควรมีหน้าที่ดูแลและให้ความคุ้มครองตามข้อตกลงที่ระบุไว้ ไม่ใช่หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบโดยการบิดเบือนข้อเท็จจริง!

กรณีของคุณ A เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ยืนยันว่า เมื่อถูกบริษัทประกันเอาเปรียบ การมีทนายความที่เชี่ยวชาญด้านคดีประกันภัยสามารถช่วยให้คุณได้รับความเป็นธรรม

หากคุณต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่บริษัทประกันภัยใช้ข้ออ้างเรื่อง การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบ ทั้งที่ผลตรวจในวันเกิดเหตุชัดเจนว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด อย่าปล่อยให้ตัวเองเสียเปรียบ เพราะกรณีแบบนี้มักเกิดขึ้นบ่อยและอาจนำไปสู่การเสียสิทธิ์โดยไม่เป็นธรรม การปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญด้าน คดีประกันภัยและข้อพิพาทเรื่องแอลกอฮอล์ จะช่วยให้คุณมีแนวทางในการเรียกร้องสิทธิ์ที่ถูกต้อง พร้อมดำเนินการโต้แย้งข้อกล่าวอ้างของบริษัทประกันภัยอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณได้รับการคุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ ไม่ใช่ถูกเอาเปรียบโดยไม่มีทางต่อสู้ ปรึกษาทนาย >> ติดต่อเรา <<

ประกันภัยนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ปฏิเสธจ่ายค่าสินไหมฯ อุทาหรณ์สำคัญที่ต้องระวัง!

ในยุคที่การทำประกันภัยรถยนต์กลายเป็นสิ่งที่จำเป็นและคาดหวังว่าจะช่วยบรรเทาความเสียหายที่เกิดจากอุบัติเหตุได้ หลายคนอาจไม่ทราบว่า บริษัทประกันภัยมีสิทธิในการปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน โดยเฉพาะในกรณีที่ตรวจพบแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่หลายคนมองข้ามไปคือ การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง (Retroactive Alcohol Testing) ที่กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่บริษัทประกันภัยใช้ในการปฏิเสธค่าสินไหม

บทความนี้จะเล่าถึงกรณีศึกษาเคสหนึ่งที่เกิดขึ้นจริง และเป็นอุทาหรณ์เตือนใจผู้ใช้รถใช้ถนน รวมถึงคำแนะนำสำคัญเกี่ยวกับการจัดการเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกบริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิดชอบ

แอลกอฮอล์วัดช้าแต่ปฏิเสธไว ! นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังปฏิเสธทันที

เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อมีอุบัติเหตุรถชนในช่วงกลางดึก เวลาประมาณ 02.01 น. โดยหลังจากที่เกิดเหตุ บริษัทประกันภัยได้ส่งตัวแทนลงพื้นที่ เวลาประมาณ 03.45 น. และในระหว่างกระบวนการตรวจสอบเหตุการณ์ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายของผู้ขับขี่ เวลาประมาณ 05.17 น. ซึ่งผลการตรวจวัดออกมาที่ 48 Mg.%

จากผลวัดแอลกอฮอล์ดังกล่าว แม้จะไม่ได้เกินระดับที่ผิดกฎหมายซึ่งกำหนดไว้ที่ 50 Mg.% แต่บริษัทประกันภัยได้ใช้กลยุทธ์ในการ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง และอ้างว่า ณ ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ (02.01 น.) ระดับแอลกอฮอล์ในร่างกายของผู้ขับขี่อาจจะเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ทำให้บริษัทประกันภัย ปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน

ผู้เสียหายตัดสินใจนำเรื่องร้องเรียนไปที่ คปภ. แต่ก็ไม่เป็นผลอยู่ดี

หลังจากที่ถูกปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม ผู้เสียหายจึงตัดสินใจนำเรื่องไปร้องเรียนต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โดยหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือและความยุติธรรมในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย

อย่างไรก็ตาม คปภ.ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวและมีมติยืนตามคำตัดสินของบริษัทประกันภัย โดยเห็นพ้องว่าบริษัทประกันภัยมีสิทธิที่จะนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง และใช้เป็นเหตุในการปฏิเสธค่าสินไหมได้ เนื่องจากถือว่า ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในร่างกาย ณ ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ

นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง บริษัทประกันภัยทำได้หรือไม่?

การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังเป็นวิธีที่บริษัทประกันภัยใช้ในการคำนวณระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ ย้อนหลังไปยังช่วงเวลาที่เกิดเหตุ โดยใช้สูตรคำนวณที่พิจารณาจากอัตราการเผาผลาญแอลกอฮอล์ในร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับทางกฎหมายและทางการแพทย์

อัตราการเผาผลาญแอลกอฮอล์

 โดยทั่วไปนั้นร่างกายมนุษย์จะเผาผลาญแอลกอฮอล์ในอัตราเฉลี่ยประมาณ 15-20 Mg.% ต่อชั่วโมง ดังนั้น หากตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ที่ 48 Mg.%  ในเวลาประมาณ 05.17 น. บริษัทประกันภัยสามารถนับย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ (02.01 น.) และคาดการณ์ว่า ณ เวลานั้น ระดับแอลกอฮอล์อาจเกิน 50 Mg.%  ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด

ระวังอย่าไปร้องคปภ.ก่อนมาปรึกษาทนายความ

ในเคสนี้ ผู้เสียหายตัดสินใจไปร้องเรียนที่ คปภ. ก่อนที่จะปรึกษาทนายความ ซึ่งถือเป็น ความผิดพลาดสำคัญ เนื่องจากการยื่นเรื่องต่อ คปภ. โดยไม่มีคำแนะนำจากทนายความ อาจทำให้เสียโอกาสในการต่อสู้ทางกฎหมายอย่างเต็มที่

ในหลายกรณีที่เกิดปัญหาการปฏิเสธค่าสินไหมจากบริษัทประกันภัย การมีทนายความเข้ามาให้คำปรึษาทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ จะช่วยให้ผู้เสียหายได้รับการคุ้มครองสิทธิและประโยชน์อย่างเต็มที่ เพราะทนายความสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้อง และดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายเพื่อเจรจาและต่อสู้กับบริษัทประกันภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

อย่าลืม ! ประกันภัยมีทนายตั้งแต่ยังไม่เกิดเหตุ แล้วคุณมีทนายหรือยัง?

จากเหตุการณ์นี้ เป็นอุทาหรณ์สำคัญที่ควรเตือนใจผู้ขับขี่ทุกคนว่า หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น สิ่งสำคัญที่ควรทำคือ การปรึกษาทนายความทันที เพราะทนายความจะสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนการเรียกร้องค่าสินไหม และวิธีป้องกันไม่ให้ถูกปฏิเสธความคุ้มครองจากบริษัทประกันภัย

สิ่งที่ควรทำหลังเกิดอุบัติเหตุ

1.      โทรแจ้งบริษัทประกันภัยและตำรวจทันที

2.      อย่าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังเกิดเหตุ เพื่อป้องกันปัญหาการตรวจวัดแอลกอฮอล์

3.      ปรึกษาทนายความทันทีหลังเกิดเหตุ เพื่อให้ได้คำแนะนำที่ถูกต้องและปกป้องสิทธิของคุณ

4.      อย่าร้องเรียนไปที่ คปภ. โดยไม่มีทนายความ เพราะอาจทำให้เสียโอกาสในการต่อสู้ทางกฎหมาย

ป้องกันไม่ให้ถูกปฏิเสธค่าสินไหมฯ ด้วยการมีทนายความ

เคสนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า บริษัทประกันภัยมีสิทธิในการปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม หากตรวจพบแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ ณ ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เสียสิทธิของตัวเอง ผู้ขับขี่ควรมีทนายความที่คอยให้คำปรึกษาและช่วยเหลือในทุกขั้นตอนหลังเกิดอุบัติเหตุ

“สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์” พร้อมให้บริการทางกฎหมายในกรณีที่ถูกปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมจากบริษัทประกันภัย เราเข้าใจถึงความซับซ้อนของกฎหมายประกันภัยและพร้อมเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้เสียหายทุกคน เพื่อให้ได้รับความยุติธรรมและสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับ

อย่าปล่อยให้บริษัทประกันภัยเอาเปรียบคุณ ติดต่อเราทันทีหลังเกิดเหตุ!

กฎหมายเมาแล้วขับฉบับใหม่ เพิ่มโทษหนักลงโทษผู้กระทำผิดซ้ำ!

Cover กฎหมายเมาแล้วขับฉบับใหม่-1

ในช่วงเทศกาลของทุกปีมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุจากการ เมาแล้วขับ จำนวนเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์ จากสถิติในปี 2566 ช่วง 7 วันอันตรายมียอดอุบัติเหตุจากเมาแล้วขับจำนวน 8,575 คดี คิดเป็นร้อยละ 96.69 ซึ่งจังหวัดที่มีคดีขับรถในขณะเมาสุราสูงสุดคือ กรุงเทพมหานครฯ จำนวน 530 คดี (ข้อมูลจากสำนักงานคุมประพฤติ) และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีจึงมีการกำหนดอัตราโทษเมาแล้วขับโดยเพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้ที่กระทำผิดซ้ำ เพื่อลดจำนวนอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับจึงมีการปรับบทลงโทษกฎหมายเมาแล้วขับฉบับใหม่ปี 2567 ซึ่งมีการปรับปรุงเนื้อหาบางส่วนเล็กน้อยในเนื้อหาบทลงโทษ

Cover กฎหมายเมาแล้วขับฉบับใหม่ 2

โทษเมาแล้วขับปี 2567 เพิ่มโทษหนักกว่าเดิม

โดยกฎหมายฉบับเดิมนั้นหากผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะถือว่าเมาสุรา มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ศาลยังมีอำนาจสามารถสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ได้ 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ แต่ในกฎหมายฉบับใหม่ปี 2567 นั้นโทษของเมาแล้วขับจะแบ่งออกเป็น 2 กรณีดังนี้

เมาแล้วขับครั้งแรก – โทษปรับ 10,000 – 20,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกสั่งพักการใช้งานใบขับขี่อย่างน้อย 6 เดือน หรืออาจถูกยกเลิกใบขับขี่

เมาแล้วขับครั้งที่ 2 (กระทำผิดซ้ำภายในระยะเวลา 2 ปีนับตั้งแต่กระทำความผิดครั้งแรก) – โทษปรับ 50,000 – 100,000 บาท จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกสั่งพักการใช้งานใบขับขี่ขั้นต่ำ 1 ปี หรืออาจถูกยกเลิกใบขับขี่

Cover กฎหมายเมาแล้วขับฉบับใหม่ 3

โทษของเมาแล้วขับกรณีเกิดอุบัติเหตุ


หากในกรณีที่ผู้ขับขี่ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ได้ทำการขับขี่ยานพาหนะแล้วเกิดอุบัติเหตุจนผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ หรือถึงขั้นเสียชีวิต จะมีการแบ่งโทษออกไปตามแต่ความรุนแรงของอุบัติที่เกิด โดยแบ่งโทษออกเป็น 3 ระดับดังนี้

– เมาแล้วขับทำให้คู่กรณีบาดเจ็บ มีโทษปรับ 20,000-100,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1-5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกสั่งพักการใช้ใชงานใบขับขี่ขั้นต่ำ 1 ปี หรือถูกยกเลิกใบขับขี่

– เมาแล้วขับทำให้คู่กรณีบาดเจ็บสาหัส มีโทษปรับ 40,000-120,000 บาท จำคุกไม่เกิน 2-6 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกสั่งพักการใช้ใชงานใบขับขี่ขั้นต่ำ 2 ปี หรือถูกยกเลิกใบขับขี่

– เมาแล้วขับทำให้คู่กรณีเสียชีวิต มีโทษปรับ 60,000-200,000 บาท จำคุกไม่เกิน 3-10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกยกเลิกใบขับขี่ทันที

ความผิดฐานเมาแล้วขับจนเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส 

ในกรณีเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติทำให้คู่กรณีเกิดการบาดเจ็บสาหัส หรือต้องสูญเสียอวัยวะ ประมวลกฎหมายอาญาได้มีกำหนดขั้นต้นไว้ทั้งหมด 8 ประการ เพื่อเป็นข้อบ่งชี้ชัดเจนว่าถ้ามีกรณีนี้เกิดขึ้น ถือว่าเป็นอันตรายสาหัส 

– หูหนวก ตาบอด ลิ้นขาดหรือเสียปราสาทรับกลิ่น 

– เสียอวัยวะการสืบพันธุ์หรือเสียความสามารถในการสืบพันธุ์ 

– เสียขา แขน เท้า มือ หรือนิ้ว รวมถึงการเสียอวัยวะอื่น ๆ 

– หน้าเสียโฉม ทำให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างชัดเจน 

– กรณีที่เกิดอุบัติเหตุรุนแรงจนทำให้แท้งลูก 

– ส่งผลให้คู่กรณีเกิดโรคทางจิตจนไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ 

– ทุพพลภาพ หรือมีการเจ็บป่วยเรื้อรังที่อาจเป็นได้ตลอดชีวิต (จากแพทย์วินิจฉัย)

– ทุพพลภาพ หรือทนทุกข์ทรมานเกิน 20 วัน หรือทำกิจกรรมทั่วไปในชีวิตประจำวันไม่ได้เกิน 20 วัน

เมาแล้วขับประกันคุ้มครองหรือไม่?

สำหรับประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ หากเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุหากพบว่าผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ บริษัทประกันจะไม่จ่ายสินไหมทดแทนให้ผู้เอาประกันภัย แต่จะทำการจ่ายให้กับคู่กรณีแทน แล้วภายหลังจากนั้นบริษัทประกันภัยจะไปไล่เบี้ยเรียกคืนค่าสินไหมทดแทนกับผู้ขับขี่ที่เมาแล้วขับอีกด้วย ส่วนประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ถึงแม้ว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซนต์ ก็จะยังให้ความคุ้มครองทั้งตัวผู้เมาแล้วขับ และคู่กรณี โดยจะให้ความคุ้มครองในส่วนของค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่ารักษาพยาบาลเท่านั้น ส่วนค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบเอง

แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่เกินที่กฎหมายระบุ แม้อุบัติเหตุนั้นจะไม่ได้สร้างความเสียหายหรือความบาดเจ็บให้ผู้ใด แต่ก็ถูกบริษัทประกันภัยหัวใสเล่นแง่ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง เพื่อบ่ายเบี่ยงปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหาย ดังนั้นเมื่อเกิดกรณีดังกล่าวขึ้นสิ่งแรกที่ควรทำก็คือปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญดีที่สุด ติดต่อเรา

คดีเมาแล้วขับเป็นคดีอาญาหรือไม่

คดีเมาแล้วขับเป็น copy

ตามกฎหมายแล้ว คดีเมาแล้วขับ นับเป็นคดีความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 และแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 160 ตรี เดิมระบุโทษเอาไว้ว่า “ผู้ที่มีความผิดจะต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ” และศาลสามารถสั่งพักการใช้ใบขับขี่ได้ขั้นต่ำ 6 เดือน หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ได้ทันที แต่ในปัจจุบันได้มีการกำหนดเพิ่มโทษฉบับใหม่ขึ้นมา เพื่อเน้นการลงโทษผู้กระทำผิดซ้ำ

ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ถึงเรียกว่าเมาแล้วขับ

ในกฎกระทรวงฉบับเก่าได้ให้เขียนไว้ว่า หากผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมาแล้วขับตามกฎกระทรวงฉบับที่ 16 พ.ศ.2537 ออกความใน พรบ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ข้อ 3 

เนื่องจากในปัจจุบันนี้กฎหมายเมาแล้วขับได้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาความกฎหมาย และมีการเพิ่มเติมรายละเอียดอื่น ๆ ลงไปจากเดิม ก็คือผู้ขับขี่ใน 4 กรณีดังต่อไปนี้ หากมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมาแล้วขับ โดยผู้ขับขี่ทั้ง 4 กรณีมีดังนี้ 

– ผู้ขับขี่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ 

– ผู้ขับขี่ที่ยังใช้ใบขับขี่ชั่วคราวอยู่ (ใบขับขี่แบบ 2 ปี)

– ผู้ขับขี่ทีมีใบขับขี่ประเภทอื่นซึ่งใช้ทดแทนกันไม่ได้ 

– ผู้ขับขี่ที่ถูกยกเลิก หรือถูกสั่งให้อยู่ระหว่างการพักใช้งานใบขับขี่

กฎหมายเมาแล้วขับปี 2567 มีโทษทางกฎหมายอะไรบ้าง 

บทโทษทางกฎหมายเมาแล้วขับนั้นคือต้องเสียค่าปรับตามกฎหมาย หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งกรณีของการลงโทษเมาแล้วขับ จะแบ่งได้ตามความหนักหน่วงการกระทำ ได้แก่ กรณีที่เมาแล้วขับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจสอบแอลกอฮอล์ในเลือด กับกรณีที่เมาแล้วขับจนทำให้เกิดอุบัติเหตุทำผู้อื่นบาดเจ็บ หรือถึงขั้นเสียชีวิต โดยทั้ง 2 กรณีเมาแล้วจับ โทษทางกฎหมายจะแตกต่างกันออกไปดังนี้

ค่าปรับกรณีเมาแล้วขับเพิ่มโทษผู้กระทำผิดซ้ำ

กรณีเมาแล้วฝ่าฝืนขับขี่ยานพาหนะ หากถูกเจ้าหน้าที่ทำการเรียกตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์จะแบ่งออกเป็น 2 กรณีดังนี้คือ ทำความผิดครั้งแรก กับ ทำความผิดซ้ำภายใน 2 ปี

ทำความผิดครั้งแรก – มีโทษปรับ 10,000 – 20,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกสั่งพักการใช้งานใบขับขี่ขั้นต่ำอย่างน้อย 6 เดือน หรืออาจถูกยกเลิกใบขับขี่ได้

ทำความผิดซ้ำภายใน 2 ปี (นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก) – มีโทษปรับ 50,000 – 100,000 บาท จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกสั่งพักการใช้งานใบขับขี่ขั้นต่ำ 1 ปี หรืออาจถูกยกเลิกใบขับขี่ได้

ค่าปรับเมาแล้วขับไปเกิดอุบัติเหตุทำผู้อื่นบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต 

โทษเมาแล้วขับทางกฎหมายเมื่อทำให้เกิดอุบัติเหตุจนผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ หรือถึงขั้นเสียชีวิต จะรุนแรงขึ้นมาอีกระดับหนึ่งดังนี้ 

– เมาแล้วขับทำให้คู่กรณีบาดเจ็บ มีโทษปรับ 20,000-100,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1-5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกสั่งพักการใช้ใชงานใบขับขี่ขั้นต่ำ 1 ปี หรือถูกยกเลิกใบขับขี่

– เมาแล้วขับทำให้คู่กรณีบาดเจ็บสาหัส มีโทษปรับ 40,000-120,000 บาท จำคุกไม่เกิน 2-6 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกสั่งพักการใช้ใชงานใบขับขี่ขั้นต่ำ 2 ปี หรือถูกยกเลิกใบขับขี่

– เมาแล้วขับทำให้คู่กรณีเสียชีวิต มีโทษปรับ 60,000-200,000 บาท จำคุกไม่เกิน 3-10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกยกเลิกใบขับขี่ทันที

ความผิดฐานเมาแล้วขับจนเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส 

กรณีเมาแล้วขับจนทำให้คู่กรณีเกิดการบาดเจ็บสาหัส ทางประมวลกฎหมายอาญาได้มีกำหนดขั้นต้นไว้ทั้งหมด 8 ประการ เพื่อเป็นข้อบ่งชี้ชัดเจนว่าถ้ามีกรณีนี้เกิดขึ้น ถือว่าเป็นอันตราสาหัส 

– หูหนวก ตาบอด ลิ้นขาดหรือเสียปราสาทรับกลิ่น 

– เสียอวัยวะการสืบพันธุ์หรือเสียความสามารถในการสืบพันธุ์ 

– เสียขา แขน เท้า มือ หรือนิ้ว รวมถึงการเสียอวัยวะอื่น ๆ 

– หน้าเสียโฉม ทำให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างชัดเจน 

– กรณีที่เกิดอุบัติเหตุรุนแรงจนทำให้แท้งลูก 

– ส่งผลให้คู่กรณีเกิดโรคทางจิตจนไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ 

– ทุพพลภาพ หรือมีการเจ็บป่วยเรื้อรังที่อาจเป็นได้ตลอดชีวิต (จากแพทย์วินิจฉัย)

– ทุพพลภาพ หรือทนทุกข์ทรมานเกิน 20 วัน หรือทำกิจกรรมทั่วไปในชีวิตประจำวันไม่ได้เกิน 20 วัน 

ปริมาณแอลกอฮฮล์ในเลือดเกินกฎหมายกำหนด จะถูกจับเลยหรือไม่? 

เมื่อถูกเป่าแอลกอฮอล์แล้วมีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หากผู้ขับขี่อายุไม่เกิน 18 ปีจะมีโทษปรับ หรือรอลงอาญา หรืออาจใช้มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา แต่ทั้งนี้เยาวชนผู้ขับขี่จะต้องไม่มีประวัติกระทำความผิด ส่วนกรณีผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปี หากขับขี่ในขณะที่เมาสุราเจ้าพนักงานสามารถควบคุมตัวผู้ขับขี่ได้ทันที และมีอำนาจควบคุมตัวได้เป็นเวลา 48.ชม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ จากนั้นจะทำการส่งฟ้องภายใน 48 ชม. โดยมีโทษปรับ หรือรอลงอาญา หรืออาจทั้งจำทั้งปรับ ขึ้นอยู่กับว่าหากเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุนั้นมีผู้เสียหาย ผู้บาดเจ็บ หรือผู้เสียชีวิตหรือไม่

สามารถปฏิเสธการเป่าได้หรือเปล่า?

หากว่ากันไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแล้ว คุณมีสิทธิ์ในร่างกายของคุณสามารถปฏิเสธการเป่าแอลกอฮอล์ได้ แต่หากคุณเข้าด่านตรวจหรือเจ้าพนักงานมองเห็นถึงความผิดปกติเจ้าพนักงานก็มีสิทธิ์ตามกระบวนกฎหมายในการปฏิบัติหน้าที่ขอตรวจระดับแอลกอฮอล์ หรือสิ่งของมึนเมาอย่างอื่นได้ ซึ่งถ้าคุณปฏิเสธไม่ทำการเป่าพนักงานเจ้าหน้าที่อาจมองได้ว่าคุณขัดขืนคำสั่งของพนักงาน อาจโดนตั้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานได้ และนอกจากนั้นอาจมองได้ว่าคุณมีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือขับขี่รถในขณะเมาสุรา เพราะถ้าหากมั่นใจว่าปริมาณแอลกอฮอล์ของคุณนั้นไม่เกินแนะนำให้ทำการเป่าเพื่อสามารถนำไปเป็นข้อต่อสู้ในทางกฎหมายได้

อย่างไรก็ตาม การดื่มแล้วขับยวดยานพาหนะก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำเพราะเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย และยังอาจเกิดอุบัติเหตุต่อตนเองหรือผู้อื่นได้ แต่หากท่านใดเกิดเหตุต้องเจอกับปัญหาการเมาแล้วขับ ไม่ว่าจะเป็นเหตุเล็กน้อยหรือถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุแนะนำให้มีทนายไว้คอยปรึกษาจะดีที่สุดค่ะ สำนักงานทนายความวงศกรณ์ เรามีทีมทนายความที่เชี่ยวชาญ ติดต่อเรา