จากความเชื่อใจ สู่ความผิดหวัง เมื่อประกันเอาเปรียบลูกค้าตัวเอง 

การมีประกันภัยที่ดีควรให้ความคุ้มครองครบถ้วนและตรงไปตรงมา แต่น่าเสียดายที่หลายครั้งผู้เสียหายที่ทำประกันกลับต้องเผชิญกับภาระเพิ่มจากการขาดประโยชน์จากการใช้รถระหว่างซ่อม โดยเฉพาะเมื่ออุบัติเหตุเกิดกับรถยนต์ไฟฟ้า ที่ทั้งค่าซ่อมแพงและใช้เวลานานหลายเดือน ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างไร และเราจะสามารถปกป้องสิทธิ์ของเราได้อย่างไร? มาทำความเข้าใจกันให้ชัดเจน

เคสตัวอย่าง : ขาดประโยชน์จากการใช้รถ แต่การจ่ายค่าชดเชยแตกต่างอย่างชัดเจน

ในกรณีนี้ ผู้เสียหายประสบอุบัติเหตุรถยนต์ไฟฟ้าได้รับความเสียหายหนัก มีมูลค่าการซ่อมสูงถึงหลักแสนบาท ทำให้ต้องใช้เวลาซ่อมแซมนานกว่า 90 วัน เป็นระยะเวลาที่ผู้เสียหายต้องขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ไป ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตอย่างรุนแรง

สิ่งที่ทำให้ผู้เสียหายเสียความรู้สึกอย่างมากคือ การที่บริษัทประกันของตนเสนอค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถเพียง 500 บาทต่อวัน ขณะที่ประกันของคู่กรณีกลับเสนอค่าขาดประโยชน์ฯ ให้สูงถึง 1,000 บาทต่อวัน แม้ว่าทั้งสองบริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในรถยนต์คันเดียวกันในระยะเวลา 30 วันเท่ากัน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับแตกต่างอย่างชัดเจน ทำให้เกิดความสงสัยว่าบริษัทประกันของผู้เสียหายกำลังเอาเปรียบลูกค้าของตนเองหรือไม่ 

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรถยนต์เสียหายเพิ่มขึ้นหลังจากการซ่อมแซม ทำให้ต้องมีการซ่อมเพิ่มเติมอีก 30 วัน ทำให้ระยะเวลาขาดประโยชน์จากการใช้รถเพิ่มเป็น 90 วัน แต่กลับไม่มีความชัดเจนจากบริษัทประกันว่าจะชดเชยค่าขาดประโยชน์ฯ ในส่วนนี้อย่างไร 

ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถคืออะไร?

สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ” คือ ค่าชดเชยที่ผู้ประกันภัยมีสิทธิ์เรียกร้องได้เมื่อไม่สามารถใช้รถยนต์ของตนได้เนื่องจากอุบัติเหตุ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีค่าเฉลี่ยการจ่ายค่าขาดประโยชน์ที่ 500-1,000 บาทต่อวัน ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของบริษัทประกัน แต่ในความเป็นจริง จำนวนค่าขาดประโยชน์นี้สามารถเสนอให้มากกว่านี้ได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของรถยนต์และมูลค่าความเสียหาย เช่น รถยนต์ไฟฟ้าที่มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมสูงและใช้เวลานาน ควรได้รับค่าขาดประโยชน์ที่เหมาะสมกับความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น

เมื่อรถเสียหายสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากใครได้บ้าง?

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถสามารถเรียกได้เฉพาะจากบริษัทประกันของคู่กรณีเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริง ผู้เสียหายสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากบริษัทประกันของตนเองได้ด้วยเช่นกัน 

อย่างไรก็ตาม การเรียกค่าชดเชยในกรณีนี้ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมธรรม์และจำเป็นต้องมีทนายความผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยดูแลสิทธิ์ทางกฎหมาย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะได้รับค่าชดเชยอย่างเหมาะสม และไม่ถูกเอาเปรียบจากบริษัทประกันภัย การมีทนายเป็นตัวแทนเจรจาย่อมเพิ่มความได้เปรียบและลดโอกาสถูกบริษัทประกันกดขี่ 

เคล็ดลับในการรับมือกับบริษัทประกันภัยกรณีขาดประโยชน์จากการใช้รถ


หากคุณเคยพบเหตุการณ์ที่บริษัทประกันภัยพยายามลดค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คุณสามารถรับมือได้ตามคำแนะนำดังนี้ :

1. ทบทวนเงื่อนไขกรมธรรม์ : ควรอ่านเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยอย่างละเอียด โดยเฉพาะเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับค่าขาดประโยชน์ฯ เพราะแต่ละกรมธรรม์อาจมีข้อกำหนดต่างกันไป

2. ตรวจสอบความคุ้มครองให้ชัดเจน : หากไม่แน่ใจว่าค่าขาดประโยชน์ที่ได้รับนั้นเป็นธรรม คุณควรปรึกษาทนายเพื่อพิจารณาว่าความคุ้มครองในกรมธรรม์ครอบคลุมค่าใช้จ่ายนี้หรือไม่ และมีสิทธิ์เรียกร้องเพิ่มได้หรือไม่

3. รวบรวมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ค่าเสียหาย : หลักฐานสำคัญ เช่น เอกสารการประเมินมูลค่าความเสียหาย ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการหารถเช่าใช้ทดแทน และบันทึกเวลาการซ่อมที่ใช้จริง จะช่วยให้ทนายมีข้อมูลที่เพียงพอในการต่อรองค่าขาดประโยชน์กับบริษัทประกัน

4. ใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย : หากบริษัทประกันภัยไม่ยอมจ่ายค่าขาดประโยชน์ตามที่ควร การดำเนินคดีทางกฎหมายเป็นอีกทางเลือกที่ผู้เสียหายสามารถใช้ในการเรียกร้องสิทธิ์ของตนเอง

เมื่อประกันเอาเปรียบเรื่องค่าขาดประโยชน์ฯ ปรึกษาทนายคือทางออก

สำนักงานกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญในคดีประกันภัยจะสามารถช่วยประเมินสถานการณ์ พร้อมทั้งเจรจาให้คุณได้รับค่าชดเชยที่เป็นธรรม การที่มีทนายความเป็นผู้ดำเนินการเจรจากับบริษัทประกันไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเวลา แต่ยังเพิ่มโอกาสในการได้รับค่าชดเชยที่เหมาะสม และป้องกันการถูกบริษัทประกันเอาเปรียบจากการเสนอค่าขาดประโยชน์ที่ต่ำกว่าความเป็นจริง 

การขาดประโยชน์จากการใช้รถเป็นความเดือดร้อนที่ควรได้รับการชดเชยอย่างเหมาะสม การมีประกันภัยไม่ควรเป็นภาระที่เพิ่มขึ้น และบริษัทประกันควรจ่ายค่าชดเชยที่เหมาะสมตามความเสียหายที่เกิดขึ้น ดังนั้น เมื่อประสบปัญหานี้ คุณควรปรึกษาทนายความที่เข้าใจการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถดีที่สุด เพื่อปกป้องสิทธิ์และรับประกันว่าคุณจะได้รับค่าชดเชยที่เหมาะสมกับความเสียหายที่แท้จริง

อุทาหรณ์ ! ประกันภัย “หัวหมอ” ปฏิเสธจ่ายค่าสินไหมฯ ด้วยกระดาษแผ่นเดียว

ในปัจจุบัน หลายคนเลือกที่จะทำประกันภัยแบบ “เปิด-ปิด” เพราะคิดว่าคุ้มค่าและสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ตามความต้องการ แต่เคสที่เรานำมาวันนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการทำประกันในรูปแบบนี้อาจมีข้อเสียที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบริษัทประกันภัยพยายามจะ “ตีความเข้าข้างตัวเอง” จนทำให้ผู้เอาประกันเสียสิทธิ์และเกิดความเดือดร้อนมากกว่าที่คิด

จากความเชื่อใจสู่ความผิดหวัง

เรื่องราวนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้เสียหายในเคสนี้ได้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะเดียวกันก็ได้ทำประกันภัยรถยนต์แบบเปิด-ปิดไว้กับบริษัทประกันภัยชื่อดัง ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปตามขั้นตอนปกติ แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อผู้เสียหายยื่นขอค่าสินไหมทดแทน บริษัทประกันภัยกลับปฏิเสธการชดใช้ค่าสินไหมด้วยกระดาษเพียงแผ่นเดียว?? โดยให้เหตุผลว่า “ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้เปิดแอปพลิเคชันประกันภัย” ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญในการคุ้มครองตามกรมธรรม์แบบเปิด-ปิด

ทั้ง ๆ ที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นจริง เกิดเหตุขณะเปิดแอปพลิเคชันจริง และผู้เสียหายได้ทำการติดต่อบริษัทประกันภัยในทันทีหลังเกิดเหตุ แต่บริษัทประกันกลับบอกว่า ขณะเกิดเหตุไม่ได้เปิดแอปพลิเคชันซะอย่างนั้น

สุดท้ายศาลพิพากษา : ประกันภัยต้องชดใช้เกือบ 4 แสนบาท

เมื่อเรื่องนี้ถูกฟ้องไปยังชั้นศาล ศาลจึงมีคำพิพากษาที่ชัดเจนว่า บริษัทประกันภัยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกือบ 400,000 บาทให้กับผู้เสียหาย เนื่องจากการปฏิเสธการชดใช้ของบริษัทประกันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลได้วิเคราะห์ว่าบริษัทประกันไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนพอที่จะพิสูจน์ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นขณะไม่ได้เปิดแอปพลิเคชัน หรือหลักฐานที่เพียงพอที่จะอ้างสิทธิ์ในการปฏิเสธความรับผิดชอบ

นอกจากนี้ ศาลยังมีการพิจารณาเพิ่มเติมให้บริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าเสียหายเชิงลงโทษเป็นจำนวน 150,000 บาท เนื่องจากบริษัทมีการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม โดยไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหม และมีเพียงแค่หนังสือปฏิเสธเพียงแผ่นเดียวมาอ้างปฏิเสธเท่านั้น

ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะความไม่รอบคอบของบริษัทประกันภัย ซึ่งอาจมีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนด้วยการตีความสัญญาในทางที่เอาเปรียบผู้เอาประกัน สิ่งนี้ทำให้ผู้เสียหายต้องประสบปัญหาทางการเงินและการขาดความเชื่อมั่นในระบบการประกันภัย

จากเหตุการณ์นี้ เราสามารถเห็นได้ว่าบริษัทประกันภัยบางแห่งอาจใช้เงื่อนไขที่ซับซ้อนและตีความเข้าข้างตัวเองเพื่อลดความรับผิดชอบต่อผู้เอาประกัน หากไม่มีการทบทวนสัญญาและเงื่อนไขที่ชัดเจนตั้งแต่ต้น ผู้เสียหายอาจต้องรับผิดชอบต่อผลเสียหายทางการเงินเองอย่างไม่เป็นธรรม

อย่านิ่งนอนใจ ประกันภัยหัวหมอมีอยู่จริง

เรื่องราวนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าผู้ที่ทำประกันภัยแบบ “เปิด-ปิด” ต้องระมัดระวังและศึกษารายละเอียดสัญญาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำประกัน อย่าไว้ใจเฉพาะคำโฆษณาหรือข้อเสนอที่ดูน่าดึงดูด แต่ต้องอ่านข้อกำหนดต่าง ๆ ของกรมธรรม์อย่างละเอียด เพราะหากเกิดปัญหา บริษัทประกันบางแห่งอาจใช้เงื่อนไขที่ซับซ้อนเพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบ และผู้เอาประกันอาจต้องเสียสิทธิ์ในการได้รับค่าสินไหมอย่างไม่เป็นธรรม

ในเคสนี้ การที่ผู้เสียหายต้องประสบกับความเดือดร้อนมากมายเพราะการปฏิเสธของบริษัทประกันภัย แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทำประกันภัยจำเป็นต้องระมัดระวังและเตรียมพร้อมเสมอ อย่าปล่อยให้ถูกบริษัทประกันเอาเปรียบ

อย่ารอจนสาย ปรึกษาทนายความคือทางออก

เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดไม่ว่าจะรถชนได้รับบาดเจ็บสาหัส เสียชีวิต หรือทรัพย์สินเสียหาย ฯลฯ ควรดำเนินการอย่างรวดเร็วในการติดต่อประกันภัยเพื่อรายงานเหตุการณ์ แต่อย่าเพิ่งไว้วางใจจนเกินไป หากรู้สึกว่ามีการปฏิเสธความรับผิดชอบหรือการใช้เงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม อาทิ กรณีบาดเจ็บสาหัส แล้วถูกประกันบอกว่าให้ไป รักษาตัวให้หายดีก่อน หรือกรณีทรัพย์สินเสียหาย ถูกประกันงัดมุกเด็ด นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ฯลฯ แบบนี้ควรปรึกษาทนายความทันที

การมีทนายความอยู่เคียงข้างจะช่วยให้คุณได้รับการดูแลและคำปรึกษาที่ถูกต้องในการดำเนินคดีหรือเจรจากับบริษัทประกัน เพื่อปกป้องสิทธิ์ของคุณอย่างเต็มที่ เพราะในหลายกรณี การต่อสู้ทางกฎหมายอาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้คุณได้รับความยุติธรรมและการชดใช้ที่เป็นธรรม

จากกรณีดังกล่าว เราควรตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสอบรายละเอียดสัญญาประกันภัยอย่างรอบคอบและไม่ละเลยการปรึกษาทนายความเมื่อเกิดปัญหา แม้ว่าการทำประกันภัยจะเป็นการป้องกันความเสี่ยง แต่หากเกิดการปฏิเสธการชดใช้จากบริษัทประกัน การมีทนายความผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณสามารถรักษาสิทธิ์ของตนเองและได้รับการชดใช้ที่ถูกต้องและเป็นธรรม

ขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนกับการปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญหลังเกิดเหตุ

ขั้นตอน การฟ้องคดีรถชน รู้ไว้ไม่เสียหาย…เมื่อเกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุรถชน ไม่ว่าจะเป็นการชนที่มีผู้บาดเจ็บหรือเพียงแค่ความเสียหายทางทรัพย์สิน เช่น รถยนต์ ผู้ประสบอุบัติเหตุหลายท่านคงตั้งตัวกันไม่ถูกว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ แต่วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพามาทำความเข้าใจในขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนกันว่าเมื่อเรื่องมาถึงมือทนายแล้วมีขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมและสิทธิที่ตนพึงมีอย่างไร ในบทความนี้เราจะกล่าวถึงขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนอย่างละเอียด เพื่อให้ผู้ที่ประสบภัยหรือประสบเหตุการณ์รถชนสามารถดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องและสามารถเป็นประโยชน์สูงสุดให้กับท่านอื่น ๆ ที่ต้องการรู้เรื่องนี้อีกด้วย

ขั้นตอนการฟ้องคดีรถชน

1. รวบรวมหลักฐาน

หลังจากเกิดเหตุการณ์รถชน สิ่งแรกที่ควรทำ คือ การรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น

– ถ่ายภาพสถานที่เกิดเหตุ ภาพรถที่ชนกัน , ภาพความเสียหาย , และภาพบาดแผลความเจ็บปวด (ถ้ามี)

– เก็บข้อมูลของผู้ขับขี่ทุกฝ่าย รวมถึงพยานที่เห็นเหตุการณ์

– บันทึกเวลาที่เกิดเหตุและสภาพอากาศในขณะนั้น

– รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทประกันภัยของทุกฝ่าย

2. แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

หลังจากรวบรวมหลักฐานเรียบร้อยแล้ว ควรแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สถานีตำรวจที่ใกล้เคียงกับที่เกิดเหตุ เพื่อให้ตำรวจทำการบันทึกเหตุการณ์และหรือทำบันทึกรายงานประจำวัน ซึ่งเอกสารดังกล่าวที่ออกโดยเจ้าหน้าที่จะสามารถเป็นเอกสารสำคัญในการฟ้องคดีได้

3. ติดต่อบริษัทประกันภัย

หากผู้ประสบภัยมีการประกันภัย ควรติดต่อบริษัทประกันภัยของตนเองและของคู่กรณี เพื่อแจ้งเหตุการณ์และเริ่มกระบวนการเคลมประกัน ทั้งนี้ควรเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องเช่น บันทึกประจำวัน ใบขับขี่ และบัตรประชาชนของผู้ประสบภัย

4. การประเมินค่าเสียหาย

ประเมินค่าซ่อมแซมรถยนต์ , ค่ารักษาพยาบาล (ในกรณีมีผู้ได้รับบาดเจ็บ) และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ควรได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญหรืออู่ซ่อมรถที่ได้รับการรับรองที่สามารถเชื่อถือได้

5. ติดต่อทนายความ

ขั้นตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นขั้นตอนสำคัญขั้นตอนหนึ่ง เพราะสำหรับผู้ประสบภัยที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อจากเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น การมีทนายความหลังเกิดอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด เพื่อจะได้ลดความเสี่ยงที่จะถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบ หรือพลาดไปเจอ ทะแนะก่อนเจอทนาย ดังนั้นจึงต้องรีบปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในคดีอุบัติเหตุรถยนต์ เพื่อให้คำปรึกษาและคำแนะนำขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนเพื่อเตรียมเอกสารการฟ้องคดี นอกจากนี้ทนายความจะสามารถประเมินคดีของคุณ รวมไปถึงดำเนินการรวบรวมหลักฐาน และเตรียมเอกสารที่จำเป็นให้กับคดีของคุณได้

6. การฟ้องคดีในศาล

ทนายความจะดำเนินการตามขั้นตอน การฟ้องคดีรถชน เพื่อยื่นฟ้องคดีในศาลที่มีเขตอำนาจ โดยการฟ้องคดีสามารถเป็นการฟ้องคดีทางแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย หรือการฟ้องคดีทางอาญาหากมีความผิดทางอาญาเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและความเชี่ยวชาญของทนายความด้วย

7. กระบวนการพิจารณาคดี

เมื่อยื่นฟ้องคดีแล้ว ศาลจะมีการพิจารณาคดี ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ เช่น

– การสอบพยานฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลย

– การนำเสนอหลักฐานต่าง ๆ

– การไต่สวนข้อเท็จจริง

ทั้งนี้การพิจารณาคดีอาจใช้เวลานานขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดี และการตอบโต้จากฝ่ายจำเลย

8. การตัดสินคดี

หลังจากกระบวนการพิจารณาคดีเสร็จสิ้น ศาลจะมีการตัดสินคดี โดยศาลจะพิจารณาข้อเท็จจริงและหลักฐานที่นำเสนอ แล้วออกคำพิพากษาตามข้อกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นการสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย หรือสั่งลงโทษทางอาญา

9. การปฏิบัติตามคำพิพากษา

หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว ผู้ชนะคดีสามารถดำเนินการตามคำพิพากษาได้ เช่น การเรียกเก็บเงินชดใช้ค่าเสียหายจากฝ่ายที่แพ้คดี หรือการนำคำพิพากษาไปใช้ในการเรียกร้องเงินประกัน

10. การอุทธรณ์ (ถ้ามี)

หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พอใจกับคำพิพากษาของศาล ในขั้นตอน การฟ้องคดีรถชนก็สามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาได้ตามกฎหมาย ซึ่งจะต้องทำภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยการอุทธรณ์จะต้องมีเหตุผลที่สมควรและมีหลักฐานเพิ่มเติม

ข้อควรระวัง

ในขั้นตอน การฟ้องคดีรถชน สำหรับทนายความมือใหม่ควรระมัดระวังเรื่องระยะเวลาฟ้องคดีและการจัดเตรียมหลักฐานที่ครบถ้วนและถูกต้อง เพื่อให้การฟ้องคดีเป็นไปอย่างราบรื่นและเพื่อให้ผู้ประสบภัยหรือลูกความได้รับความยุติธรรมที่สมควร นอกจากนี้ก็ยังมีข้อควรระวังอีกมาก หากไม่มีความเชี่ยวชาญก็อาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของผู้เสียหายหรือลูกความได้เช่นเดียวกัน

ปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญ

สุดท้ายแล้วขั้นตอน การฟ้องคดีรถชน เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องการความรู้และความเข้าใจในกฎหมาย การปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณได้รับความยุติธรรมและสิทธิที่พึงมี แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด ควรปรึกษาทนายตั้งแต่เกิดเรื่อง เพื่อให้ได้คำแนะนำที่ถูกต้องและมีการดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างเหมาะสมและรวดเร็ว ทนายจะช่วยในการเจรจาและดำเนินการฟ้องคดีอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้คุณได้รับสิทธิและความยุติธรรมที่สมควรและการปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินคดีอย่างราบรื่นและประสบผลสำเร็จ หากต้องการปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์ต้องปรึกษาทนายสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ >> ติดต่อเรา << 

เดินเรื่องเองได้เท่าไหร่ไม่รู้ แต่มีทนายศาลพิพากษาให้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถกว่า 520,000 บาท

เดินเรื่องเองได้เท่าไหร่ไม่รู้ แต่มีทนายศาลพิพากษาให้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถกว่า 520,000 บาท

          ว่าด้วยเรื่องการเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่ารถยนต์หรือยานพาหนะกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต การที่รถเกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหายและต้องเข้าศูนย์จัดซ่อมเป็นระยะเวลานานเกินควร ผลที่ตามมาย่อมสร้างความไม่สะดวก ความเสียหาย และความเดือดร้อนเป็นอย่างมากต่อผู้เอาประกันภัยและหรือเจ้าของรถ แต่จะทำอย่างไรเมื่อบริษัทประกันภัยไม่รับผิดชอบตามหน้าที่ที่ควรพึงกระทำ?

          วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพาคุณไปรู้จักกับกรณีศึกษากรณีหนึ่งที่จะชี้ให้คุณเห็นถึงความสำคัญของการมีทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์ในการเรียกร้องสิทธิ์ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถมาฝากกัน

เคสตัวอย่าง : เดินเรื่องเองถูกประกันภัยปัดซ่อมปัดรับผิดชอบ แต่มีทนายสุดท้ายได้รับความเป็นธรรม !

เคสตัวอย่าง : เดินเรื่องเองถูกประกันภัยปัดซ่อมปัดรับผิดชอบ

          อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่าวันนี้เราจะพาคุณมาดูกรณีตัวอย่างว่าด้วยเรื่องของการเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจากบริษัทประกันภัยจอมเจ้าเล่ห์ ในเคสนี้รถเบนซ์ของผู้เสียหายถูกชนได้รับความเสียหายหนัก แต่ดันถูกบริษัทประกันภัย นิ่งใส่เป็นเหตุให้รถของผู้เสียหายถูกจอดเฝ้าอู่นานร่วม 2 เดือน โดยที่ไม่ได้จัดซ่อมใด ๆ ทั้งที่บริษัทประกันภัยควรจะเร่งรัดประเมินค่าซ่อมตั้งแต่เกิดเหตุ ผู้เสียหายทนไม่ไหวด้วยความรอนานที่บริษัทประกันภัยไม่ตอบรับไม่เห็นความคืบหน้าใด ๆ จึงตัดสินใจปรึกษาทนายความจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ของเรา เพื่อเดินเรื่องเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถทันที เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก

          แต่เรื่องราวก็ยังคงไม่จบกับพฤติกรรมจอมเจ้าเล่ห์และหัวแพทย์ของบริษัทประกันภัย นอกจากบริษัทประกันภัยจะใช้ความหัวแพทย์โดยการนิ่งใส่ไม่รับผิดชอบใด ๆ ต่อผู้เสียหายแล้วหลังจากที่มีทนายความเดินเรื่องให้ ในชั้น คปภ. บริษัทประกันภัยก็ยังไม่วายที่จะหากลยุทธ์มาเอาเปรียบ ยังอ้างว่ารถของผู้เสียหายเป็นรถนำเข้าจากต่างประเทศ หาอะไหล่ยาก ต้องใช้เวลาหาอะไหล่นาน ส่งผลให้ผู้เสียหายจากที่ได้รับความเดือดร้อนมากพอตัว ก็ยิ่งได้รับความเดือดร้อนมากไปอีกเมื่อได้ยินข้ออ้างดังกล่าวจากบริษัทประกันภัย

          ในเมื่อถูกบริษัทประกันภัยทำกันถึงขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่บริษัทฯ ก็เป็นถึงบริษัทประกันวินาศภัยที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค แต่กลับสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้บริโภคอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อผู้เสียหายได้รับความเดือดร้อนขนาดนี้ ทนายอาร์ม ผู้จัดการสำนักงานฯ และทนายความประจำสำนักงานฯ จึงเดินเรื่องนี้เองทันที โดยตัดสินใจดำเนินการฟ้องบริษัทประกันภัยทันทีไม่รอช้า เพื่อเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถและความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่าหลังจากที่มีทนายความดำเนินการเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถและความเสียหายทั้งหมดจากบริษัทประกันภัยจอมเจ้าเล่ห์ และหลังจากที่ผู้เสียหายต้องได้รับความเดือดร้อนเป็นเวลานาน ในวันนี้เรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นได้จบลงแล้ว โดยศาลได้มีการพิพากษาให้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ วันละ 2,000 บาท เป็นระยะเวลา 261 วัน รวมเฉพาะค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถเป็นเงินกว่า 520,000 บาท ด้วยกัน

          จากกรณีดังกล่าวข้างต้น การเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการที่ผู้เสียหายและหรือผู้ประสบภัยควรมีทนายความผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินคดีทางด้านประกันภัย ตั้งแต่ขั้นตอนแรกหลังเกิดอุบัติเหตุทันที เพราะบริษัทประกันภัยหลายแห่งก็มักใช้เล่ห์เหลี่ยม กลยุทธ์และการประวิงเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงหรือชะลอการจ่ายค่าสินไหมทดแทนที่ผู้เสียหายควรจะได้รับ และแน่นอนว่าการที่ผู้เสียหายต้องเดินเรื่องเองอาจทำให้ไม่สามารถรับมือกับกลยุทธ์ต่าง ๆ เหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ชี้สาเหตุ !! เดินเรื่องเองอาจได้น้อยกว่าความเสียหายที่แท้จริง มีทนายความเดินเรื่องดีอย่างไร ?

          ในการเดินเรื่องเองอาจดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ง่ายและรวดเร็ว แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด การต่อสู้กับบริษัทประกันภัยที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ เพื่อลดหรือหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และต้องใช้ความรู้ความเข้าใจทางกฎหมายอย่างลึกซึ้ง ดังนั้น การมีทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดีเกี่ยวกับการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง

          การมีทนายความที่มีความรู้และประสบการณ์ในการต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของผู้เสียหายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะทนายความจะช่วยให้กระบวนการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นไปอย่างราบรื่นและได้รับผลที่ยุติธรรมตามที่ควรจะเป็น ดังนั้น การมีทนายความตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุจึงเป็นการป้องกันตัวผู้เสียหายเอง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของบริษัทประกันภัย และเป็นการรักษาสิทธิ์ของตัวผู้เสียหายได้อย่างเต็มที่ หากเกิดอุบัติเหตุสามารถปรึกษาทนายได้ตั้งแต่เกิดเรื่อง ไม่ต้องรอให้ถูกเอาเปรียบ ปรึกษาทนาย >>ติดต่อเรา<<<

รถชนดันเจอทะแนะก่อนเจอทนาย สุดท้ายไม่รอดจะให้ทนายฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ให้ ทนายยันไม่ทำให้เด็ดขาด !

รถชนดันเจอทะแนะก่อนเจอทนาย

          สำหรับเรื่องฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ หลายท่านที่ได้ติดตามสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ของเราคงจะทราบกันแล้วว่าค่าขาดประโยชน์คืออะไร ? สำคัญอย่างไร ? และทำไมเราถึงต้องฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ รวมไปถึงคงจะทราบถึงวิธีเรียกร้องค่าขาดประโยชน์กันแล้วว่าเมื่อรถชนเกิดอุบัติเหตุ ผู้เสียหายและหรือผู้เอาประกันภัยจะต้องฟ้องเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถอย่างไร ? วันนี้ทนายอาร์มจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ของเราก็ได้นำเรื่องราวอีกมุมหนึ่งของเรื่องการฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ที่ได้เกิดขึ้นกับผู้เสียหายท่านหนึ่งที่ได้มาปรึกษาทนายความ แต่สุดท้ายทนายยืนยันว่าไม่ทำคดีให้เด็ดขาด เรื่องราวและเหตุผลที่ไม่ทำคดีให้ผู้เสียหายท่านนี้จะเพราะอะไรมาดูกัน 

ทะแนะ ! แนะจนได้เรื่องผู้เสียหายช้ำหนัก โร่มาปรึกษาทนาย

ทะแนะ ! แนะจนได้เรื่องผู้เสียหายช้ำหนัก โร่มาปรึกษาทนาย

          อย่างที่กล่าวไปข้างต้นนั้นสืบเนื่องมาจากมีผู้เสียหายท่านหนึ่งในที่นี้ขอเรียกว่าคุณ A คุณ A ได้ทักมาปรึกษาทนายอาร์มผ่านช่องทาง Line Official ของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เมื่อไม่นานมานี้ในเรื่องที่ว่าจะให้ทนายฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ให้ และได้ปรึกษามาว่า คุณ A ได้เกิดอุบัติเหตุรถชนและรถได้รับความเสียหายหนักต้องจัดซ่อมรถเป็นระยะเวลาเกือบ 100 วัน ซึ่งคุณ A เองก็ได้รับความเดือนร้อนจากเหตุการณ์นี้เป้นอย่างมาก เนื่องจากต้องใช้รถเป็นพาหนะในการทำงาน

          ต่อมาก็ได้มี “ทะแนะ” ผู้รู้ที่รู้ทุกเรื่อง แต่รู้ไม่จริงสักเรื่องได้มาแนะนำข้อมูลผิด ๆ กับคุณ A บอกว่าให้คุณ A ไปเดินเรื่องร้องเรียนได้เลยที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งเป็นสำนักงานที่คอยควบคุมและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยอยู่ในขณะเดียวกัน ซึ่งในมุมมองของทนายอาร์มมองว่า การทำงานของธุรกิจประกันภัยกับหน่วยงานของรัฐนั้นจะมีสมาคมประกันวินาศภัย ซึ่งสมาคมประกันวินาศภัยจะการส่งรายชื่อ โดยบริษัทประกันภัยจะส่งรายชื่อเข้ามาเป็นกรรมการสมาคมฯ ดังกล่าว ซึ่งการมาเป็นกรรมการสมาคมฯ หน้าที่หลักก็คือคอยถ่วงดุลระหว่างหน่วยงานของรัฐหรือคปภ.กับภาคธุรกิจนั่นเอง

          แต่ถ้าสมมติว่าภาคธุรกิจมาขัดแย้งกับหน่วยงานของรัฐ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ต่อมาจึงได้มีการสร้างสมาคมขึ้นมา ชื่อสมาคมว่า สมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมนี้ก็ได้มีการออกกฎกติกาในเรื่องของการกำหนดอัตราการจ่ายค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถมาว่า กำหนดให้ค่าขาประโยชน์ฯ วันละ 500 บาท แต่ไม่ได้ระบุว่า เพราะเหตุใดจึงกำหนดให้วันละ 500 บาท นอกจากนี้ก็ยังไม่ได้ระบุชัดเจนอีกว่าที่กำหนดมาวันละ 500 บาทนั้น กำหนดจ่ายให้ทุกวันหรือไม่อย่างไร

ทนายยืนยันหากไปหาทะแนะมาแล้ว ไม่ต้องมาหาทนาย ร้องคปภ.แล้ว ไม่รับทำคดีเด็ดขาด !

ทนายยืนยันหากไปหาทะแนะมาแล้ว

          สำหรับเรื่องราวของคุณ A ที่จะให้ทนายฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ โดยรถของคุณ A ได้จัดซ่อมไปประมาณ 90 วัน หรือเกือบ 100 วัน ซึ่งตามที่กล่าวไปคือคุณ A ดันโชคร้ายไปเจอทะแนะแล้วก็ดันหลงเชื่อทะแนะ หลังจากไปเดินเรื่องร้องคปภ. ปรากฏว่าคปภ. ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือหรือจะบังคับให้บริษัทประกันภัยจ่ายได้ตามระยะเวลาจัดซ่อมหรือ 100 วัน แต่สามารถบังคับให้บริษัทประกันจ่ายได้วันละ 500 บาท เท่านั้น ซึ่งก็ขัดแย้งกันโดยชัดเจนว่า เพราะเหตุใดจึงสามารถบังคับให้บริษัทฯ จ่ายได้วันละ 500 บาทเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ความเสียหายรถของคุณ A เสียหายเกินกว่านั้นกลับไม่สามารถบังคับให้บริษัทฯ จ่ายให้ผู้เสียหายได้

          ต่อมาเมื่อคุณ A เห็นท่าไม่ดี เพราะได้รับความเสียหายเดือนร้อนมากกว่าเดิมหลังจากหลงเชื่อทะแนะ และคปภ.ก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้ คุณ A จึงตัดสินใจเข้าปรึกษาทนายให้ช่วยฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ให้ในเวลาต่อมา และหลังจากที่คุณ A ได้มาปรึกษาทนาย ทนายจึงต้องตอบอย่างจริงใจและตรงไปตรงมายืนยันทันทีว่า “ไม่สามารถดำเนินคดีให้ได้” เนื่องจากคุณ A ได้นำข้อมูลทั้งหมดที่มีไปบอกให้กับบริษัทประกันภัย และหรือนำไปบอกกับคปภ.จนหมดแล้ว และการที่คุณ A ได้ทำอย่างนั้นไม่ว่าจะข้อมูลที่ถูกบ้าง และหรือผิดบ้าง แต่หากได้นำไปบอกคปภ.จนหมดแล้ว และเมื่อเรื่องได้มาถึงมือทนายความ ก็กลับกลายเป็นว่าทนายความจะไปรวบรวมข้อมูลและหรือลำดับเหตุการรณ์ที่คุณ A เคยไปเดินเรื่องก็ไม่ส่ามารถทำได้แล้ว และหากทำได้ก็เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร

เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ จากทนายอาร์ม รู้ทันประกันภัยเรื่องการจัดซ่อมรถ

          สำหรับกรณีของคุณ A ทำให้ได้เห็นว่าประชาชนยังขาดความรู้เกี่ยวกับเรื่องของประกันภัยพอสมควร เมื่อเกิดเหตุก็มักจะถูกเอาเปรียบได้ง่าย เพราะความ “ไม่รู้” กว่าเรื่องจะถึงมือทนายมาให้ทนายฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ให้ ก็ถูกเอาเปรียบไปมากแล้ว วันนี้ทนายอาร์มจึงได้นำเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับเรื่องการเรียกค่าขาดประโยชน์ฯ มาฝากกัน

          ยกตัวอย่าง พอรถซ่อมเสร็จประกันบอกอู่ที่ไปซ่อมซ่อมล่าช้า ทำไมถึงไม่ไปซ่อมอีกอู่หนึ่ง สมมติว่าอู่ที่คุณไปซ่อมคือเอการาจ ซ่อมล่าช้า แต่ไปซ่อมอู่บี ซึ่งเป็นอู่ในเครือของบริษัทประกัน ซ่อม 10 วันก็เสร็จแล้ว ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นำมาฝากให้คิดกันเพื่อรู้ทันประกันภัย

เพราะเหตุใดจึงควรมีทนายตั้งแต่เกิดเรื่อง ?

          เหตุผลที่ผู้เสียหายและหรือผู้ประสบภัยไปฟังทะแนะก่อนที่จะมาหาทนาย เพราะผู้เสียหายอาจกลัวเสียค่าทนาย แต่ถ้าหากผู้เสียหายเลือกที่จะมาปรึกษาทนายตั้งแต่เกิดเรื่อง ยืนยันเลยว่าบริษัทประกันภัยไหนที่สามารถจ่ายได้มากกว่าวันละ 500 บาท ได้ ยืนยันเลยว่าไม่มี และจริง ๆ แล้วค่าเสียหายค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือต้องได้เท่ากับค่าเสียหายที่รถเสียหายจริง ถ้ารถเสียหายมากกว่าวันละ 500 บาท ก็จะได้มากกว่าวันละ 500 บาท ถ้าเราซ่อมรถ 100 วัน บริษัทฯ ก็ต้องจ่าย 100 วัน ดังนั้น หากไม่อยากเสียรู้ทะแนะจนนำไปสู่การเสียรู้บริษัทประกันภัยหัวแพทย์เหมือนอย่างกรณีคุณ A ที่เสียรู้ทะแนะไปแล้ว และค่อยมาหาทนายให้ฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์ กว่าเรื่องจะถึงมือทนายก็เสียเรื่องและเสียรู้ไปแล้ว จึงเป็นที่มาที่ว่าเพราะเหตุใดจึงควรมีทนายตั้งแต่เกิดเรื่อง ย้ำ ! เมื่อรถชนปรึกษาทนายทันทีดีที่สุด >>ติดต่อเรา<<

เปิดเทคนิคกลยุทธ์จอมเจ้าเล่ห์บ.ประกันภัย และวิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่ถูกต้อง

เปิดเทคนิคกลยุทธ์จอมเจ้าเล่ห์บ.ประกันภัย

          ก่อนที่จะไปดูวิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่ถูกต้อง วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ก็มีความรู้ดี ๆ ที่จะทำให้ผู้ติดตามของเราทุกท่านได้รู้ทันเทคนิคและกลยุทธ์จอมเจ้าเล่ห์ของบริษัทประกันภัยก่อนที่จะถูกบริษัทประกันภัยมาเอาเปรียบในอนาคต นอกจากนี้ยังนำเทคนิคเด็ดรู้ทันบริษัทประกันภัยที่คนมีรถต้องรู้หากรถยนต์ได้รับความเสียหายกับการรู้ทันกลโกงบริษัทประกันภัยประวิงการซ่อมอีกด้วย เรียกได้ว่าหากใครไม่อยากเสียรู้บริษัทประกันภัยต้องห้ามพลาดความรู้ดี ๆ ที่เรานำมาเสนอในวันนี้เลย

รถชนแล้วอย่าเสียสิทธิประโยชน์ ค่าเสียหายจากอุบัติเหตุรถชนมีอะไรบ้าง ?

รถชนแล้วอย่าเสียสิทธิประโยชน์

          รถชนแล้วอย่าเสียสิทธิประโยชน์ให้กับบริษัทประกันภัยจอมเจ้าเล่ห์ที่หมกเม็ดไม่ยอมบอกว่าจ่ายค่าอะไรบ้าง และผู้เสียหายสามารถเรียกร้องอะไรบ้าง วันนี้เราจะพาทุกท่านมาดูกัน

1.ค่ารักษาพยาบาล ผู้เสียหายสามารถเรียกอะไรได้บ้าง ?

          1.1 ค่ารักษาพยาบาล ณ ปัจจุบัน เช่น สิทธิเฉพาะตัวของผู้เสียหายในกรณีที่ผู้เสียหายมีประกันชีวิต และบริษัทประกันชีวิตเป็นคนจ่ายเงินให้ผู้เสียหายโดยตรง ในส่วนตรงนี้ผู้เสียหายสามารถนำมาเบิกค่ารักษาพยาบาลเอากับบริษัทประกันภัยได้

          1.2 ค่ารักษาพยาบาลในอนาคต เช่น ผู้เสียหายถูกรถชนขาหักต้องผ่าตัดใส่เหล็กดาม และในอนาคตต้องมีการผ่าตัดเอาเหล็กออก หรือผู้เสียหายถูกรถชนขนใบหน้าได้รับความเสียหายอย่างหนักและในอนาคตต้องเลเซอร์ใบหน้าให้กลับมาเป็นเสมือนก่อนเกิดอุบัติเหตุ ผู้เสียหายสามารถเรียกค่าเสียหายในส่วนค่ารักษาพยาบาลในอนาคตจากการประเมินได้

2.ค่าขาดประโยชน์จากการทำมาหาได้ มี 2 กรณี ได้แก่

          2.1 ในปัจจุบัน ในระหว่างที่รถชนจนหายดี

          2.2 ในอนาคต (หากมี) เช่น ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่นิ้ว และผู้เสียหายมีอาชีพที่ต้องใช้งานนิ้วในการทำงาน แล้วนิ้วใช้งานไม่ได้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้อย่างเช่นก่อนเกิดเหตุ สิ่งนี้คือค่าขาดประโชน์จากการทำมาหาได้ต่อไปในอนาคต ผู้เสียหายสามารถเรียกร้องได้ แต่ต้องมีหลักฐาน อาทิ รูปถ่าย หรือพยานมายืนยัน

3.ค่าเสียหายที่มิใช่ตัวเงิน/ค่าทุกขเวทนา

          ในกรณีนี้จะดูจากอาการบาดเจ็บ แต่สิ่งสำคัญผู้เสียหายต้องอย่าลืมถ่ายรูปขณะที่บาดเจ็บไว้ ซึ่งเราเข้าใจดีว่าเป็นภาพที่ไม่มีใครอยากมีความทรงจำ แต่จำเป็นต้องจำ เพราะถ้าไม่จำไม่มีรูปถ่ายผู้เสียหายอาจจะไม่ได้ค่าเสียหายในส่วนนี้นั่นเอง

4.ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ

          สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้มีวิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ โดยกำหนดค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถขั้นต่ำไว้ ดังนี้

– รถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง สามารถเรียกค่าชดเชยไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท

– รถยนต์รับจ้างสาธารณะ สามารถเรียกค่าชดเชยไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท

– รถยนต์ขนาดเกิน 7 ที่นั่ง สามารถเรียกค่าชดเชยไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท

รู้ทันกลโกงบริษัทประกันภัยในการประวิงการซ่อม

1.ประวิงการประเมินการซ่อม

          สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดไว้ว่ากรณีที่ถือว่าเป็นการประวิงค่าสินไหมทดแทนก็คือ ไม่ยอมประเมินการจัดซ่อมภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด คือ 15 วัน หมายความว่าวันเกิดวินาศภัยวันใด วันนั้นบริษัทประกันภัยต้องทำการประเมินค่าเสียหายของทรัพย์สิน เพื่อแจ้งให้กับผู้เอาประกันภัยทราบ เช่น รถถูกไฟไหม้วันนี้ ภายใน 15 วันบริษัทประกันภัยต้องประเมินแจ้งผู้เอาประกัน เพราะการประเมินแจ้ง ผู้เอาประกันจะได้ตัดสินใจว่ารถคันนี้ต้องคืนทุนหรือไม่คืนทุน และหรือจะซ่อมต่อไปไม่ได้

2.บริษัทประกันภัยออกหลักฐานให้ แต่ไม่ซ่อมให้ โดยอาศัยเหตุสงสัย

          ประวิงที่ 2 บริษัทประกันภัยออกหลักฐานให้ผู้เอาประกันภัย แล้วบริษัทประกันภัยไม่ซ่อม โดยอาศัยเหตุสงสัย ในความเป็นจริงตามข้อเท็จจริงผู้เสียหายถูกชนบริษัทประกันภัยจะต้องเร่งรัดการจัดซ่อม เพราะกฎหมายต้องการให้คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์ได้มีโอกาสได้ใช้สอยทรัพย์นั้นด้วยความรวดเร็ว ไม่เสียหาย และไม่ขาดประโยชน์ ไม่เกิดกระบวนการที่ล่าช้าหรือบั่นทอน เพราะฉะนั้นถ้าคุณเกิดเหตุคุณควรที่จะปรึกษาทนายเป็นอันดับแรกดีที่สุด  

วิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ เรียกอย่างไรให้ถูกต้องและได้จริง

           วิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่ใครหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าหากเมื่อรถเกิดความวินาศภัยและรถยนต์ได้รับความเสียหาย เจ้าของรถและหรือผู้เอาประกันภัยสามารถเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถจากบริษัทประกันภัยได้ ซึ่งวิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถก็มีด้วยกันหลายวิธี เช่น ผู้เอาประกันภัยหรือเจ้าของรถสามารถไปเดินเรื่องเรียกร้องได้เอง ซึ่งในกรณีไปเดินเรื่องเรียกร้อง อาจใช้ระยะเวลาที่นานและหรือต้องเสียเวลาในการเดินทางเพื่อไปเดินเรื่องบ่อยครั้ง แต่วิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่จะสามารถทำให้ผู้เสียหายหรือผู้เอาประกันภัยได้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถอย่างถูกต้องและเหมาะสมนั่นคือ การให้ทนายความดำเนินการเรียกร้องให้ เพราะทนายความจะมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้มากกว่า อีกทั้งทนายความยังมีวิธีเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่เป็นเทคนิคกลยุทธ์เฉพาะตัวของทนายเองในดำเนินคดีเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ฯ ให้กับผู้เสียหายได้ และที่สำคัญคือผู้เสียหายไม่ต้องเสียเวลาในการไปเดินเรื่องเอง เพราะทนายความจะเป็นผู้ที่ดำเนินการแทนทุกขั้นตอนจนสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์ฯ ให้กับผู้เสียหายได้ในระยะเวลาไม่นานนั่นเอง ดังนั้น เมื่อรถเกิดความวินาศภัยสามารถมีทนายความได้ทันทีไม่ต้องคิดนาน และหรือไม่ต้องรอให้บริษัทประกันภัยมาเอาเปรียบ ปรึกษาทนายความที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์ได้ที่เพจกฎหมายและการประกันภัยรถยนต์

ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ ? เรื่องที่คนมีรถต้อง “รู้” ก่อนเสียรู้ประกันภัย

ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ ? เรื่องที่คนมีรถต้อง “รู้” ก่อนเสียรู้ประกันภัย

          ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คืออะไร ?? หากใครที่ได้ติดตามสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ของเรา คงจะทราบกันแล้วว่าค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คืออะไร เพราะเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้มีรถยนต์หลาย ๆ ท่านต้องทราบไว้ เนื่องจากเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าในวันหนึ่งหรือวันไหนจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดกับรถของคุณได้บ้าง การมีความรู้เกี่ยวกับประกันภัย และหรือค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คืออะไร มีความเกี่ยวข้องกับรถของคุณอย่างไรนั้นเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องรู้ เพื่อวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นมาจะได้ไม่เสียรู้บริษัทประกันภัย รวมไปถึงทะแนะผู้ที่ให้ความรู้ผิด ๆ กับผู้ที่ไม่มีความรู้ด้วย  

คนมีรถต้องรู้ “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ ?”

คนมีรถต้องรู้ “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ

          ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ ค่าสินไหมทดแทนหรือที่เรียกว่าเงินชดเชยที่เจ้าของรถฝ่ายถูกสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากคู่กรณีได้ ค่าขาดประโยชน์ฯ ถือเป็นค่าใช้จ่าย อาทิ ค่าเดินทาง , ค่าเช่ารถระหว่างที่รถจัดซ่อมอยู่ที่อู่ ตามหลักแล้วผู้ที่ต้องจ่ายค่าชดเชยหรือค่าขาดประโยชน์ฯ จากการที่ทำให้เจ้าของรถฝ่ายถูกไม่มีรถใช้ก็คือ “บริษัทประกันภัย” ของรถคู่กรณีฝ่ายผิด แต่ถ้ารถของคู่กรณีไม่มีประกันเจ้าของรถฝ่ายถูกก็สามารถเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ฯ กับตัวคู่กรณีได้โดยตรงนั่นเอง

ไม่อยากเสียเปรียบบริษัทประกันภัยหัวแพทย์อย่าหลงเชื่อทะแนะ ! หลังเกิดอุบัติเหตุปรึกษาทนายได้ทันที

          สำหรับใครที่ไม่อยากตกเป็นเหยื่อหรือไม่อยากเสียเปรียบบริษัทประกันภัยหัวแพทย์เหมือนอย่างผู้เสียหายท่านอื่น ๆ หลังเกิดอุบัติเหตุสามารถปรึกษาทนายและหรือมีทนายได้ทันที ไม่ต้องรอคำแนะนำจากทะแนะ หรือผู้รู้/ผู้มีประสบการณ์ท่านอื่น ๆ เพราะเหตุการณ์หรือกรณีที่แต่ละคนได้ประสบพอเจอมาไม่เหมือนกัน ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือสิ่งที่จำเป็นต้องรู้อย่างยิ่ง และวันนี้เราก็ได้ยกตัวอย่างกรณีผู้เสียหายได้เกิดอุบัติเหตุรถชน แล้วรถ/ทรัพย์สินได้รับความเสียหนักมาฝากให้ทุกท่านได้ดูเป็นอุทาหรณ์กัน

เดินเรื่องเรียกร้องเอง ประกันปฏิเสธค่าซ่อม

          เคสนี้รถของผู้เสียหายถูกชนท้ายยับเรียกได้ว่าได้รับความเสียหายไม่น้อยเลยทีเดียว จากอุบัติเหตุนี้ส่งผลทำให้ผู้เสียหายไม่มีรถใช้นานเป็นเวลาเกือบ 3 เดือน เนื่องจากรถต้องจอดซ่อมอยู่ที่อู่ และแม้ว่าคู่กรณีจะรับผิดว่าประมาทแล้ว แต่บริษัทประกันภัยตัวดีของคู่กรณีก็ยังไม่สนใจใยดี จนผู้เสียหายทนไม่ไหวตัดสินใจเดินเรื่องเรียกร้อง #ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ เอง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แต่ผลที่ออกมาหลังจากที่ผู้เสียหายได้ดำเนินการเรียกร้องไปนั้นกลับถูกบริษัทประกันภัยใช้ข้ออ้างสาระพัดมาปัดความรับผิดชอบ อาทิ “บริษัทไม่ได้เป็นผู้สั่งซ่อม” บ้างล่ะ , “ตามความเสียหายใช้เวลาซ่อมไม่เกิน 64 วัน” บ้างล่ะ และหากพูดถึงเรื่องค่าเสื่อมสภาพบริษัทประกันภัยยังอ้างอีกว่า “ไม่สามารถพิสูจน์ได้เนื่องจากไม่มีเอกสารประเมินของหน่วยงานที่เชื่อถือได้” เจอแบบนี้ผู้เสียหายก็ถึงกับไปไม่เป็น เพราะถูกบริษัทจ้องจะเอาเปรียบในทุกทางและในเมื่อเดินเรื่องเองแล้วไม่เป็นผลจึงต้องให้ #ทนายอาร์ม เข้าดำเนินคดีจัดการให้ทันที จากกรณีดังกล่าวเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าการที่ไปเดินเรื่องเรียกร้องเองนั้น นอกจากจะทำให้เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ยังถูกบริษัทประกันภัยนำข้ออ้างต่าง ๆ นานา มาปัดความรับผิดชอบอีก และยิ่งบริษัทฯ เห็นว่าคุณไม่มีความรู้ใด ๆ ก็ยิ่งหาเรื่องมาปฏิเสธความรับผิดชอบที่มากกว่าเดิม จนสุดท้ายคุณแทบจะไม่ได้อะไร และหรือเท่ากับศูนย์เลยก็ว่าได้ การมีทนายความในการดำเนินการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือสิ่งที่ควรทำ เพราะจะสามารถช่วยคุณเรียกร้องค่าของความเสียหายได้อย่างเป็นรูปธรรม

ปรึกษาทนายตัวจริงไม่ใช่ทะแนะ ต้องที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

          เกิดอุบัติเหตุรถชนทรัพย์สินเสียหายแล้วถูกบริษัทประกันภัยจอมเจ้าเล่ห์ “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ปฏิเสธการรับผิดชอบค่าเสียหายใด ๆ อย่ายอมหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อข้ออ้าง 108 ของบริษัทประกันภัยหัวแพทย์เด็ดขาด เพราะนอกจากคุณจะถูกอ้างว่า “คุณเมาแล้วขับ” ไม่ว่าจะเมาแล้วขับจริงหรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้คุณยังจะไม่ได้รับการแสดงความรับผิดชอบใด ๆ จากบริษัทประกันภัยเลยก็ว่าได้ ดังนั้น หากเกิดอุบัติเหตุรถชน รถได้รับความเสียหาย อย่าหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ และข้อสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามอย่าลืมเรียก ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ และความรู้เรื่องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คืออะไรเป็นสิ่งที่ทุกท่านควรรู้เพื่อในอนาคตจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อเสียรู้ถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบจนไม่ได้รับค่าเสียหายใด ๆ เลย และที่สำคัญหากเกิดอุบัติเหตุไม่ต้องรอช้าหลังเกิดเหตุสามารถปรึกษาทนายตัวจริงได้ทันทีที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

ทำความรู้จักค่าขาดประโยชน์ คืออะไรให้มากขึ้น พร้อมวิธีการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ฯ ที่ถูกต้อง

ทำความรู้จักค่าขาดประโยชน์ คืออะไรให้มากขึ้น พร้อมวิธีการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ฯ ที่ถูกต้อง

          ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ หรือที่คนส่วนใหญ่มักจะเรียกสั้น ๆ ว่า ค่าขาดประโยชน์ฯ สำหรับค่าขาดประโยชน์นี้หลายท่านอาจจะไม่รู้จักว่า ค่าขาดประโยชน์ คืออะไร สามารถเรียกร้องได้เมื่อไร และหรือวิธีการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ต้องทำอย่างไร วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ จะมานำเสนอในเรื่องของค่าขาดประโยชน์กันอีกสักครั้ง เพื่อเน้นย้ำว่าค่าขาดประโยชน์ คืออะไร และผู้มีรถสมควรเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถอย่างไร

ค่าขาดประโยชน์คืออะไร?  ทำไมคนมีรถไม่ควรเสียสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์ ?

ค่าขาดประโยชน์คืออะไร ทำไมคนมีรถไม่ควรเสียสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์

          ค่าขาดประโยชน์ คือ ค่าสินไหมทดแทนและหรือเงินชดเชยที่บริษัทประกันภัยจะต้องรับผิดชอบแทนผู้ขับขี่ กรณีที่รถคันเอาประกันภัยภาคสมัครใจ เป็นฝ่ายผิด กรณีเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก และมีการเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากการขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามจริง  ดังนั้น ผู้มีรถสามารถเรียกร้องจากบริษัทประกันภัยได้หากรถยนต์ของคุณเกิดอุบัติเหตุ และรถยนต์ต้องเข้าศูนย์ซ่อมไม่สามารถใช้สอยรถของตนเองในการทำงานหรือการดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ  ในช่วงที่รถของคุณซ่อมอยู่ที่อู่หรือศูนย์ซ่อมและคุณไม่มีรถใช้ในการทำงาน และหรือในการดำเนินชีวิตประจำวัน ระหว่างที่คุณไม่สามารถใช้งานรถได้นั้น ในส่วนตรงนี้คือคุณสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้นั่นเอง

          เมื่อทราบถึงตรงนี้แล้วหลายท่านคงเข้าใจกันแล้วว่า ค่าขาดประโยชน์ คืออะไร ต่อมาเราจะพาทุกท่านมาดูกันว่าหลักเกณฑ์การจ่ายค่าสินไหมทดแทนในส่วนของค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถกันว่ามีรายละเอียดอย่างไรบ้าง

         สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ ดังนี้
1. รถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกผู้โดยสารรวมทั้งผู้ขับขี่ไม่เกิน 7 คน ในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท
2. รถยนต์รับจ้างสาธารณะที่มีที่นั่งไม่เกิน 7 คน ในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท
3. รถยนต์ที่มีที่นั่งเกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกผู้โดยสารรวมทั้งผู้ขับขี่เกิน 7 คน ในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท
ทั้งนี้ กรณีรถยนต์ประเภทอื่นที่ไม่ได้ถูกกำหนดอัตราไว้ข้างต้น สามารถเรียกร้องได้ตามความเสียหายที่แท้จริง

วิธีการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่ถูกต้อง

วิธีการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่ถูกต้อง

          ค่าขาดประโยชน์ คืออะไรทุกคนครงทราบกันแล้ว และสำหรับวิธีการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ที่ถูกต้องให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนที่เหมาะสมและได้รับความเป็นธรรมอย่างถึงที่สุด คือ การปรึกษาทนายความนั่นเอง ใรความเป็นจริงแล้วก็จริงอยู่ที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถเดินเรื่องเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้เอง แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าการเดินเรื่องเรียกร้องเองนั้นต้องใช้เวลาและต้องเสียเวลาในการเดินเรื่อง เพราะมีขั้นตอนค่อนข้างมาก แต่ถ้าหากคุณใช้บริการทนายความในการดำเนินคดีเดินเรื่องค่าขาดประโยชน์ คือ เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในส่วนของค่าขาดประโยชน์นี้ คุณไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง เสียเวลาจัดการเดินเรื่อง รวมไปถึงไม่ต้องเสียเวลาในการทำงานของคุณอีกด้วย เพราะทนายความจะช่วยสร้างความสะดวกสบายให้กับคุณและเดินเรื่องของคุณอย่างต่อเนื่องในเวลาอันรวดเร็ว และได้รับค่าสินไหมทดแทนในส่วนของค่าขาดประโยชน์ในการใช้รถที่เป็นธรรมและเหมาะสมอีกด้วย ดังนั้น ค่าขาดประโยชน์ คือคนมีรถหากรถเกิดอุบัติเหตุต้องจัดซ่อมนานไม่ควรเสียสิทธิ สามารถติดต่อทนายเพื่อดำเนินการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้ทันที

ย้ำอีกครั้ง ! รถพัง เข้าอู่ซ่อม อย่าลืมเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ

          ค่าขาดประโยชน์ คืออะไร สำคัญและจำเป็นที่จะต้องเรียกร้องในส่วนนี้หรือไม่เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหาย ทุกคนก็คงทราบและเห็นความสำคัญของค่าขาดประโยชน์กันแล้ว ค่าขาดประโยชน์ คือ หากรถพัง เข้าอู่ซ่อมนาน อย่าลืม ! เรียกค่าขาดประโยชน์ และหากพบบริษัทประกันภัยทำเล่นลิ้นลีลาปฏิเสธการจ่ายหรือปฏิเสธการจ่ายชดเชยค่าเสียหาย สามารถปรึกษาทนายความให้ช่วยดำเนินการได้ เพราะ ค่าขาดประโยชน์ คือ ค่าสินไหมทดแทนที่คนมีรถห้ามพลาดที่จะเรียกร้อง ปรึกษาทนายความเพื่อเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้ที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

คนมีรถต้องรู้! รถเกิดอุบัติเหตุจัดซ่อมนาน สามารถเรียก “ค่าเสียโอกาสในการใช้รถ” หรือ “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้”

คนมีรถต้องรู้! รถเกิดอุบัติเหตุจัดซ่อมนาน สามารถเรียก “ค่าเสียโอกาสในการใช้รถ” หรือ “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้”

          สำหรับเรื่องที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์นำมาฝากกันวันนี้ เป็นเรื่องที่คนมีรถยนต์ต้องควรรู้ไว้เป็นอย่างมาก เพื่อเป็นข้อมูลความรู้กับเรื่องอุบัติเหตุรถชน หากคุณขับรถแล้วดันไปเกิดอุบัติเหตุแล้วรถยนต์ของคุณได้รับความเสียหาย และต้องใช้ระยะเวลาในการจัดซ่อมนาน ไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด อย่าลืมเรียก ค่าเสียโอกาสในการใช้รถ หรือ ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ จากบริษัทประกันภัยได้

          เนื่องจากประเด็นนี้คนมีรถหลายคนยังไม่รู้ว่า รถยนต์ที่คุณใช้ขับไปทำงานในทุกวัน หากเกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหายและต้องใช้เวลาจัดซ่อมนาน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สามารถเรียกค่าเสียโอกาสในการใช้รถจากบริษัทประกันภัยได้ เพราะบริษัทประกันภัยคงไม่ได้บอกให้ทราบในประเด็นนี้ แต่ก็ได้มีผู้เสียหายหลายท่านได้ประสบเข้ากับปัญหาเรื่องรถยนต์จัดซ่อมนาน , รออะไหล่นาน ไม่มีรถใช้ ฯลฯ และต้องการเรียกร้องค่าเสียโอกาสในการใช้รถ จึงได้ติดต่อให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ดำเนินคดีเรียกค่าเสียโอกาสในการใช้รถจากบริษัทประกันภัยให้ วันนี้เราจึงอยากมาย้ำเตือนอีกครั้งว่า หากรถยนต์ของคุณเกิดอุบัติเหตุต้องจัดซ่อมนานอย่ารอให้ถูกบริษัทประกันภัยเอาเปรียบ รีบปรึกษาทนายเพื่อดำเนินคดีเรียกร้องค่าเสียโอกาสในการใช้รถอย่างเร็วที่สุด

รู้ทันประกันภัย กลโกงประวิงการซ่อม

รู้ทันประกันภัย กลโกงประวิงการซ่อม

          นอกจากจะมาย้ำเตือนสำหรับคนที่มีรถกันแล้วว่า หากรถชนทรัพย์สินเสียหายอย่าลืมเรียกค่าเสียโอกาสในการใช้รถ วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์กับทนายอาร์ม จะมาขอพูดถึงกลโกงของบริษัทประกันภัยในเรื่องที่บริษัทฯ ประวิงการจัดซ่อมรถของผู้เอาประกันภัย มีดังนี้

1.บริษัทฯ ประวิงการประเมินการซ่อม

ค่าเสียโอกาสในการใช้รถ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนเลยว่า ในกรณีที่ถือว่าเป็นการประวิงค่าสินไหมทดแทน คือ การที่บริษัทฯ ไม่ยอมประเมินการซ่อมรถภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด คือ 15 วัน หมายความว่าวันที่เกิดความวินาศภัยวันใด วันนั้นบริษัทประกันภัยต้องทำการประเมินค่าเสียหายของทรัพย์สิน เพื่อแจ้งให้กับผู้เอาประกันภัยทราบ เช่น หากรถของผู้เอาประกันภัยถูกไฟไหม้ตามกฎหมายแล้วภายในระยะเวลา 15 วัน บริษัทฯ ต้องประเมินความเสียหายเพื่อแจ้งต่อผู้เอาประกันภัย ให้ผู้เอาประกันภัยได้ทราบและจะได้ตัดสินใจได้ว่ารถคันนี้จะต้องคืนทุนหรือไม่คืนทุน และหรือจะซ่อมต่อไปไม่ได้แล้ว

2.บริษัทฯ ออกหลักฐานให้ แต่ไม่นำรถของผู้เอาประกันภัยไปจัดซ่อม โดยอาศัยเหตุสงสัย

เมื่อรถของลูกค้าหรือผู้เอาประกันภัยถูกชนได้รับความเสียหาย บริษัทประกันภัยจะต้องเร่งรัดการจัดซ่อม เพราะตามกฎหมายต้องการให้คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์/เจ้าของรถได้มีโอกาสได้ใช้สอยทรัพย์/รถ ด้วยความรวดเร็วไม่เสียหายและไม่ขาดประโยชน์จากการใช้รถจนต้องมีการเรียกค่าเสียโอกาสในการใช้รถกัน ที่สำคัญคือจะต้องไม่เกิดกระบวนการพิจารณาล่าช้าหรือบั่นทอนต่อผู้เอาประกันภัย

รถชนทรัพย์สินเสียหาย อย่ายอมเสียสิทธิประโยชน์ส่วนตัว

          อย่างที่กล่าวไปว่าหากเกิดอุบัติเหตุรถชนจนทรัพย์สินต้องเสียหาย แล้วต้องจัดซ่อมนานล่าช้า ซึ่งการจัดซ่อมล่าช้าอาจสร้างความเสียหายในส่วนอื่น ๆ ตามมา บริษัทฯ จึงต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ นั่นก็คือค่าเสียโอกาสในการใช้รถ อย่ากลัวที่จะใช้สิทธิในการเรียกร้องประโยชน์ให้กับตนเอง  

          “รถชนไม่ได้ถูกหวย” เป็นคำพูดของบริษัทประกันภัยที่มองว่าการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนรวมไปถึงการเรียกค่าเสียโอกาสในการใช้รถ เปรียบเหมือนการที่ผู้เอาประกันภัยได้ถูกหวยเพราะต้องการค่าสินไหมทดแทน แต่ในมุมมองความเป็นจริงคนเจ็บและหรือคนที่ทรัพย์สินต้องเสียหายจนต้องขาดประโยชน์จากการใช้รถไม่มีใครอยากถูกหวยเพราะรถชนเช่นเดียวกัน เมื่อคุณเกิดอุบัติเหตุควรปรึกษาทนายทันที อย่ายอมให้บริษัทประกันภัยกระทำการใด ๆ ที่ดูเหมือนว่าคุณจะเสียเปรียบ หากบริษัทประกันภัยมีทนายความตั้งแต่ที่คุณยังไม่ได้เกิดอุบัติเพื่อมาต่อสู้คดีกับคุณ ดังนั้น หลังจากที่คุณเกิดอุบัติเหตุก็สามารถมีทนายไว้สู้คดีกับบริษัทประกันภัยได้ทันทีเช่นเดียวกัน  

รู้จักกับ “ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ” ที่เรียกได้แม้คุณจะเป็นฝ่ายผิด!

ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ

ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คืออะไร ?

ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ

       ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ ส่วนหนึ่งของค่าสินไหมทดแทนที่บริษัทประกันภัยจะต้องรับผิดชอบแทนผู้ขับขี่ กรณีที่รถคันเอาประกันภัยภาคสมัครใจ เป็นฝ่ายผิด กรณีเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก และมีการเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดจากการขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ บริษัทจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามจริง โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ มีดังนี้
1. รถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกผู้โดยสาร รวมทั้งผู้ขับขี่ไม่เกิน 7 คน ในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท
2. รถยนต์รับจ้างสาธารณะที่มีที่นั่งไม่เกิน 7 คน ในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท
3. รถยนต์ที่มีที่นั่งเกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกผู้โดยสารรวมทั้งผู้ขับขี่เกิน 7 คน ในอัตราไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท
ทั้งนี้ กรณีรถยนต์ประเภทอื่นที่ไม่ได้ถูกกำหนดอัตราไว้ข้างต้น ก็สามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้ตามความเสียหายที่แท้จริง

รู้หรือไม่ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ สามารถเรียกได้เลยไม่ต้องรอ ซ่อมเสร็จ

         ถึงผู้เสียหายทุกท่าน ไหน ๆ ท่านก็ต้องตกเป็นผู้เสียหาย รถเกิดอุบัติเหตุเสียหายหนักแล้ว บางคนเสียหายหนักมาก บางคนเสียหายน้อย แน่นอนว่าคงย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ นอกจากสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ แต่รู้กันหรือไม่ว่าค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถนั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้รถของเราซ่อมเสร็จ ก็สามารถเรียกร้องจากบริษัทประกันภัยได้เลย ไม่ว่ารถของคุณจะต้องใช้เวลาซ่อมหรือรออะไหล่นาน หรือไม่ว่าคุณจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด จำไว้เสมอว่าบริษัทประกันภัยมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในการเสนอจ่ายค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือผู้เสียหายอย่างคุณนั่นเอง

กลยุทธ์ของบริษัทประกันภัยที่คุณต้องรู้

         อีกหนึ่งกลยุทธ์เกี่ยวกับบริษัทประกันภัยหัวแพทย์ที่คุณต้องรู้ คือ บริษัทจะเงียบหายไปไม่ติดต่อเรามาเป็นระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนี้ผู้เสียหายอาจพบบริษัทประกันภัยบ่ายเบี่ยง เพิกเฉย ติดต่อยาก หากเจอเช่นนี้อย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อไปรอนานทิ้งเวลาเด็ดขาด มิเช่นนั้นอาจถูกเอาเปรียบก็เป็นได้ ควรปรึกษาทนายความผู้มีความเชี่ยวชาญ ใช้แนวทางด้านกฎหมายในการเรียกร้องสิทธิ์เรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ปรึกษาทนายด่วน ต้องทนายอาร์มจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

กรณีตัวอย่าง รถเสียหายหนักรอบคัน ไม่รู้ว่าเรียกค่าขาดประโยชน์ได้

          กรณีต่อไปนี้จะเล่าถึงกรณีหนึ่ง ที่ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ให้กับใครหลาย ๆ คนได้ นั่นคือ มีผู้เสียหายหลายคนที่ยังไม่รู้ว่า เมื่อไรที่รถเกิดอุบัติเหตุ เราสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้ โดยผู้เสียหายที่เป็นลูกความของเราท่านนี้ ได้ประสบอุบัติเหตุรถยนต์เสียหายยับรอบคัน โดยได้ตัดสินใจมาปรึกษาทนาย เพราะรู้ตัวว่ากำลังจะถูกบริษัทประกันภัยปัดความรับผิดชอบ อีกทั้งไม่รู้ว่าสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากบริษัทประกันได้ โดยผู้เสียหายท่านนี้เกิดอุบัติเหตุสภาพรถขณะเกิดเหตุคือหงายท้องตกข้างทาง เสียหายหนักรอบคัน และผู้เสียหายคิดว่าต้องเดินเรื่องนานแน่ ๆ เนื่องจากเห็นพฤติกรรมบางอย่างที่ผิดปกติของบริษัทประกันว่า ประกันไม่ยอมมาติดต่อหรือคุยกับผู้เสียหายสักทีหลังเกิดเหตุ และคิดอยู่ในหัวตลอดว่า ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่าง เราจะไม่ได้ค่าสินไหม ไม่ได้ค่าเสียเวลา และผู้เสียหายท่านนี้ จึงเลือกที่จะติดต่อหาทนาย เพื่อเข้าปรึกษาคดีความทันที เพราะก่อนหน้าที่ผู้เสียหายจะเข้าปรึกษาทนายก็ได้โทรหาประกันก่อน เพื่อจะให้ประกันคุยก่อน แต่ประกันดันหายเงียบไม่มาติดต่อใด ๆ  จึงลองปรึกษาทนาย เพราะบางสิ่งบางอย่าง ผู้เสียหายไม่รู้ว่าสามารถเรียกได้จริง ๆ อย่างค่าขาดประโยชน์นี้บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องได้รับ หรือไม่รู้ว่าสามารถเรียกได้ และบางคนก็อาจเสียรู้ถูกประกันภัยเอาเปรียบไปแล้วหลายต่อหลายคนก็เป็นได้ เพราะความไม่รู้นี้

รถที่ใช้ทำมาหากินเกิดอุบัติเหตุเสียหาย รีบเรียกค่าขาดประโยชน์

            เกิดอุบัติเหตุจนรถที่ใช้ทำมาหากินได้รับความเสียหาย จนต้องเข้าอู่ซ่อม อย่าเพิ่งสบายใจเพียงเพราะคิดว่ามีประกันจ่ายให้ แต่อย่าลืมว่าคุณยังสามารถเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้อีก รถพัง เข้าอู่ อย่าลืมเรียกค่าขาดประโยชน์ หรือพบบริษัทประกันภัยทำเล่นลิ้นลีลาปฏิเสธการจ่ายหรือปฏิเสธการชดเชยค่าเสียหาย สามารถปรึกษาทนายความให้ช่วยดำเนินการได้ #คดีประกันภัย ต้อง #สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ปรึกษาด่วนที่ทนายอาร์มเท่านั้น แม้ว่าจะต้องรอซ่อมรถนานเป็นปี ต้องรออะไหล่นานแค่ไหน หรือค่าซ่อมจะแพงเหยียบล้าน อย่าลืมเรียกร้อง #ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ จากบริษัทประกันภัย

         อยากฝากถึงผู้เสียหายทุกท่านที่ขณะนี้กำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับการรอซ่อมรถ รออะไหล่นาน ฯลฯ สาระพัดข้ออ้างต่าง ๆ ที่ทำให้รถที่ต้องใช้ทำมาหาในชีวิตประจำวันของคุณยังซ่อมไม่เสร็จเสียที หรือใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็น อย่าปล่อยให้เวลาไหลไปเรื่อย ๆ เหมือนสายน้ำ สามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้ และควรหาทนายไว้ปรึกษาดีที่สุด เพื่อไม่หลงเชื่อบริษัทประกันภัย และรักษาผลประโยชน์ให้ตัวคุณเอง ปรึกษาทนายดำเนินการเรียกค่าขาดประโยชน์ที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์