ในโลกของการประกันภัย โดยเฉพาะกรณีอุบัติเหตุจราจร การตีความเงื่อนไขกรมธรรม์ถือเป็นประเด็นสำคัญที่อาจสร้างความขัดแย้งระหว่างบริษัทประกันภัยกับผู้เอาประกัน ซึ่งคดีหนึ่งที่สะท้อนปัญหานี้ได้ชัดเจน คือ กรณีบริษัทประกันภัยปฏิเสธความรับผิดโดยอ้าง “การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ทั้งที่ผลตรวจจริงไม่เกินค่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าเป็นการปฏิเสธที่ไม่ชอบธรรม พร้อมสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมตามเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างครบถ้วน
เหตุการณ์อุบัติเหตุ และข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น : คำนวณปริมาณแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

คดีนี้เริ่มต้นจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 รถยนต์กระบะทะเบียน 2 XX 3456 กรุงเทพมหานคร ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ทำให้ตัวรถได้รับความเสียหาย มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 ราย และเสียชีวิต 1 ราย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรถและเป็นผู้เอาประกันภัยได้สำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าปลงศพให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ
รถคันดังกล่าวมีประกันภัยทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ โดยจำเลยที่ 1 คือบริษัทผู้รับประกันภัยภาคบังคับ มีหน้าที่ดูแลความเสียหายตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ส่วนจำเลยที่ 2 คือบริษัท 1234 จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยภาคสมัครใจ มีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมในส่วนของความเสียหายตัวรถ, ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ, ค่ารักษาพยาบาล, และค่าชดเชยกรณีเสียชีวิตตามกรมธรรม์
แต่เมื่อโจทก์ยื่นขอสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 กลับถูกปฏิเสธ โดยบริษัทอ้างว่า ผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในร่างกายเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยอาศัยการ “คำนวณย้อนหลัง” จากข้อมูลบางส่วน ทั้งที่ผลตรวจจากสถานพยาบาลแสดงชัดเจนว่าผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์เพียง 37 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าค่ากำหนดของกฎหมายคือ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
ข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริง
โจทก์ได้โต้แย้งการปฏิเสธนี้ว่าไม่มีมูลทางกฎหมายหรือวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน โดยชี้ว่า
- จำเลยไม่มีผลตรวจย้อนหลังที่ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง
- ไม่มีข้อมูลด้านดัชนีมวลกายหรือข้อมูลทางสุขภาพของผู้ขับขี่ที่สามารถนำมาคำนวณย้อนหลังได้
- พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อหาเมาสุราต่อผู้ขับขี่ ซึ่งแสดงว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้เห็นว่าผู้ขับขี่เมาในขณะเกิดเหตุ
โจทก์จึงมองว่าการนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อเลี่ยงความรับผิด ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงและข้อกฎหมาย จึงแต่งตั้งทนายความติดตามทวงถามและขอเอกสารประกอบจากจำเลย แต่จำเลยกลับเพิกเฉย ไม่ตอบกลับ ไม่แสดงหลักฐาน โจทก์จึงนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาล
คำพิพากษาที่ชี้ชัดถึงความรับผิดของประกันภัย

ศาลได้พิจารณาพยานหลักฐานและวินิจฉัยอย่างละเอียด ก่อนมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 2 คือบริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) ต้องชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามรายละเอียด ดังนี้:
1.ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายต่อรถยนต์ ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ภาคสมัครใจ หมวดการคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ ภายในวงเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้
oหรือเลือก จัดซ่อมรถให้อยู่ในสภาพเดิม
2.ชำระค่ายกรถ จำนวน 10,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2566 จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
3.ชำระค่าเก็บรักษารถ เดือนละ 10,000 บาท นับจากวันฟ้อง (18 มิถุนายน 2567) จนกว่าจะชำระค่าสินไหมครบ หรือมีการนำรถออกจากสถานที่เก็บรักษา
oแต่บริษัทประกันภัยจะต้องรับผิดในค่ายกรถและค่าเก็บรักษา ไม่เกิน 20% ของค่าซ่อมแซม
4.ชำระค่าทนายความ จำนวน 5,000 บาท ให้แก่โจทก์
5.ชำระค่าธรรมเนียมศาล ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
6.คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 (บริษัทประกันภัยภาคบังคับ): ศาล ยกฟ้อง โดยให้แต่ละฝ่ายรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเอง7.คำขออื่น ๆ ของโจทก์ ศาล ยกคำขอ
อย่ารอให้ตกเป็นเหยื่อ ! ปรึกษาทนายคดีประกันภัย หากถูกนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

คดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนถึงการใช้ “การนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” โดยไม่มีหลักฐานรองรับอย่างเป็นทางการ เป็นแนวปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง และอาจขัดต่อหลักความเป็นธรรม
หากผลตรวจแอลกอฮอล์ในร่างกายจากหน่วยงานทางการระบุว่าอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด และไม่มีการตั้งข้อหาจากพนักงานสอบสวน บริษัทประกันภัยไม่สามารถอ้าง “การคำนวณย้อนหลัง” เป็นเหตุปฏิเสธความรับผิดได้
นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง จึงไม่ควรเป็นเครื่องมือที่บริษัทประกันภัยนำมาใช้ในลักษณะลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับอย่างชัดเจน เพราะนอกจากจะทำให้ผู้เอาประกันเสียสิทธิ์ ยังอาจนำไปสู่ความเสียหายทางกฎหมายแก่บริษัทเอง
คดีนี้ยืนยันว่าการตีความสัญญาประกันภัยต้องอยู่บนพื้นฐานของ “ข้อเท็จจริง” และ “พยานหลักฐาน” ไม่ใช่การคาดคะเนหรือประเมินจากสมมุติฐานที่ไม่มีที่มารองรับ
บริษัทประกันภัยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขกรมธรรม์อย่างเคร่งครัด ไม่เลือกปฏิบัติหรือเลี่ยงความรับผิดโดยไม่มีมูล หากมีข้อสงสัยเรื่อง ประกันภัย หรือการ นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง ขอแนะนำให้ปรึกษาทนายความที่เชี่ยวชาญ เพื่อปกป้องสิทธิของคุณอย่างถูกต้องตามกฎหมายหากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยเจอกรณีคล้ายกัน อย่าลังเลที่จะขอคำปรึกษาจากทนายความ เพราะบางครั้ง “ความเงียบของเรา” อาจกลายเป็นการยอมรับในความไม่เป็นธรรมโดยไม่รู้ตัว ปรึกษากฎหมายแอดไลน์ @Wongsakorn หรือคลิก ติดต่อเรา