คดีเมาแล้วขับเป็นคดีอาญาหรือไม่

คดีเมาแล้วขับเป็น copy

ตามกฎหมายแล้ว คดีเมาแล้วขับ นับเป็นคดีความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 และแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 160 ตรี เดิมระบุโทษเอาไว้ว่า “ผู้ที่มีความผิดจะต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ” และศาลสามารถสั่งพักการใช้ใบขับขี่ได้ขั้นต่ำ 6 เดือน หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ได้ทันที แต่ในปัจจุบันได้มีการกำหนดเพิ่มโทษฉบับใหม่ขึ้นมา เพื่อเน้นการลงโทษผู้กระทำผิดซ้ำ

ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเท่าไหร่ถึงเรียกว่าเมาแล้วขับ

ในกฎกระทรวงฉบับเก่าได้ให้เขียนไว้ว่า หากผู้ขับขี่มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมาแล้วขับตามกฎกระทรวงฉบับที่ 16 พ.ศ.2537 ออกความใน พรบ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ข้อ 3 

เนื่องจากในปัจจุบันนี้กฎหมายเมาแล้วขับได้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาความกฎหมาย และมีการเพิ่มเติมรายละเอียดอื่น ๆ ลงไปจากเดิม ก็คือผู้ขับขี่ใน 4 กรณีดังต่อไปนี้ หากมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่า 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ถือว่าเมาแล้วขับ โดยผู้ขับขี่ทั้ง 4 กรณีมีดังนี้ 

– ผู้ขับขี่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ 

– ผู้ขับขี่ที่ยังใช้ใบขับขี่ชั่วคราวอยู่ (ใบขับขี่แบบ 2 ปี)

– ผู้ขับขี่ทีมีใบขับขี่ประเภทอื่นซึ่งใช้ทดแทนกันไม่ได้ 

– ผู้ขับขี่ที่ถูกยกเลิก หรือถูกสั่งให้อยู่ระหว่างการพักใช้งานใบขับขี่

กฎหมายเมาแล้วขับปี 2567 มีโทษทางกฎหมายอะไรบ้าง 

บทโทษทางกฎหมายเมาแล้วขับนั้นคือต้องเสียค่าปรับตามกฎหมาย หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งกรณีของการลงโทษเมาแล้วขับ จะแบ่งได้ตามความหนักหน่วงการกระทำ ได้แก่ กรณีที่เมาแล้วขับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจสอบแอลกอฮอล์ในเลือด กับกรณีที่เมาแล้วขับจนทำให้เกิดอุบัติเหตุทำผู้อื่นบาดเจ็บ หรือถึงขั้นเสียชีวิต โดยทั้ง 2 กรณีเมาแล้วจับ โทษทางกฎหมายจะแตกต่างกันออกไปดังนี้

ค่าปรับกรณีเมาแล้วขับเพิ่มโทษผู้กระทำผิดซ้ำ

กรณีเมาแล้วฝ่าฝืนขับขี่ยานพาหนะ หากถูกเจ้าหน้าที่ทำการเรียกตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์จะแบ่งออกเป็น 2 กรณีดังนี้คือ ทำความผิดครั้งแรก กับ ทำความผิดซ้ำภายใน 2 ปี

ทำความผิดครั้งแรก – มีโทษปรับ 10,000 – 20,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกสั่งพักการใช้งานใบขับขี่ขั้นต่ำอย่างน้อย 6 เดือน หรืออาจถูกยกเลิกใบขับขี่ได้

ทำความผิดซ้ำภายใน 2 ปี (นับแต่วันที่กระทำความผิดครั้งแรก) – มีโทษปรับ 50,000 – 100,000 บาท จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกสั่งพักการใช้งานใบขับขี่ขั้นต่ำ 1 ปี หรืออาจถูกยกเลิกใบขับขี่ได้

ค่าปรับเมาแล้วขับไปเกิดอุบัติเหตุทำผู้อื่นบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต 

โทษเมาแล้วขับทางกฎหมายเมื่อทำให้เกิดอุบัติเหตุจนผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ หรือถึงขั้นเสียชีวิต จะรุนแรงขึ้นมาอีกระดับหนึ่งดังนี้ 

– เมาแล้วขับทำให้คู่กรณีบาดเจ็บ มีโทษปรับ 20,000-100,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1-5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกสั่งพักการใช้ใชงานใบขับขี่ขั้นต่ำ 1 ปี หรือถูกยกเลิกใบขับขี่

– เมาแล้วขับทำให้คู่กรณีบาดเจ็บสาหัส มีโทษปรับ 40,000-120,000 บาท จำคุกไม่เกิน 2-6 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และจะถูกสั่งพักการใช้ใชงานใบขับขี่ขั้นต่ำ 2 ปี หรือถูกยกเลิกใบขับขี่

– เมาแล้วขับทำให้คู่กรณีเสียชีวิต มีโทษปรับ 60,000-200,000 บาท จำคุกไม่เกิน 3-10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกยกเลิกใบขับขี่ทันที

ความผิดฐานเมาแล้วขับจนเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส 

กรณีเมาแล้วขับจนทำให้คู่กรณีเกิดการบาดเจ็บสาหัส ทางประมวลกฎหมายอาญาได้มีกำหนดขั้นต้นไว้ทั้งหมด 8 ประการ เพื่อเป็นข้อบ่งชี้ชัดเจนว่าถ้ามีกรณีนี้เกิดขึ้น ถือว่าเป็นอันตราสาหัส 

– หูหนวก ตาบอด ลิ้นขาดหรือเสียปราสาทรับกลิ่น 

– เสียอวัยวะการสืบพันธุ์หรือเสียความสามารถในการสืบพันธุ์ 

– เสียขา แขน เท้า มือ หรือนิ้ว รวมถึงการเสียอวัยวะอื่น ๆ 

– หน้าเสียโฉม ทำให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างชัดเจน 

– กรณีที่เกิดอุบัติเหตุรุนแรงจนทำให้แท้งลูก 

– ส่งผลให้คู่กรณีเกิดโรคทางจิตจนไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ 

– ทุพพลภาพ หรือมีการเจ็บป่วยเรื้อรังที่อาจเป็นได้ตลอดชีวิต (จากแพทย์วินิจฉัย)

– ทุพพลภาพ หรือทนทุกข์ทรมานเกิน 20 วัน หรือทำกิจกรรมทั่วไปในชีวิตประจำวันไม่ได้เกิน 20 วัน 

ปริมาณแอลกอฮฮล์ในเลือดเกินกฎหมายกำหนด จะถูกจับเลยหรือไม่? 

เมื่อถูกเป่าแอลกอฮอล์แล้วมีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หากผู้ขับขี่อายุไม่เกิน 18 ปีจะมีโทษปรับ หรือรอลงอาญา หรืออาจใช้มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา แต่ทั้งนี้เยาวชนผู้ขับขี่จะต้องไม่มีประวัติกระทำความผิด ส่วนกรณีผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปี หากขับขี่ในขณะที่เมาสุราเจ้าพนักงานสามารถควบคุมตัวผู้ขับขี่ได้ทันที และมีอำนาจควบคุมตัวได้เป็นเวลา 48.ชม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ จากนั้นจะทำการส่งฟ้องภายใน 48 ชม. โดยมีโทษปรับ หรือรอลงอาญา หรืออาจทั้งจำทั้งปรับ ขึ้นอยู่กับว่าหากเมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุนั้นมีผู้เสียหาย ผู้บาดเจ็บ หรือผู้เสียชีวิตหรือไม่

สามารถปฏิเสธการเป่าได้หรือเปล่า?

หากว่ากันไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญแล้ว คุณมีสิทธิ์ในร่างกายของคุณสามารถปฏิเสธการเป่าแอลกอฮอล์ได้ แต่หากคุณเข้าด่านตรวจหรือเจ้าพนักงานมองเห็นถึงความผิดปกติเจ้าพนักงานก็มีสิทธิ์ตามกระบวนกฎหมายในการปฏิบัติหน้าที่ขอตรวจระดับแอลกอฮอล์ หรือสิ่งของมึนเมาอย่างอื่นได้ ซึ่งถ้าคุณปฏิเสธไม่ทำการเป่าพนักงานเจ้าหน้าที่อาจมองได้ว่าคุณขัดขืนคำสั่งของพนักงาน อาจโดนตั้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานได้ และนอกจากนั้นอาจมองได้ว่าคุณมีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือขับขี่รถในขณะเมาสุรา เพราะถ้าหากมั่นใจว่าปริมาณแอลกอฮอล์ของคุณนั้นไม่เกินแนะนำให้ทำการเป่าเพื่อสามารถนำไปเป็นข้อต่อสู้ในทางกฎหมายได้

อย่างไรก็ตาม การดื่มแล้วขับยวดยานพาหนะก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำเพราะเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย และยังอาจเกิดอุบัติเหตุต่อตนเองหรือผู้อื่นได้ แต่หากท่านใดเกิดเหตุต้องเจอกับปัญหาการเมาแล้วขับ ไม่ว่าจะเป็นเหตุเล็กน้อยหรือถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุแนะนำให้มีทนายไว้คอยปรึกษาจะดีที่สุดค่ะ สำนักงานทนายความวงศกรณ์ เรามีทีมทนายความที่เชี่ยวชาญ ติดต่อเรา 

ศาลตัดสินแล้วประกันตัวได้ไหม ? ทำความเข้าใจเรื่องประกันตัวหลังคำพิพากษา

ศาลตัดสินแล้วประกันตัวได้ไหม หากใครที่กำลังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน สำหรับบางท่านอาจจะทราบกันมาบ้างแล้วว่าการประกันตัวเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ให้สิทธิกับผู้ต้องหาในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างรอการพิจารณาคดี หรือหลังจากที่มีคำพิพากษาในศาลแล้ว แต่ก็มีคำถามที่หลายคนสงสัยคือ เมื่อศาลตัดสินแล้วจะยังสามารถขอประกันตัวได้หรือไม่? คำตอบขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลายประการที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและดุลยพินิจของศาล บทความนี้จากสำนักงานของเราจะพามาทำความเข้าใจและอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าศาลตัดสินแล้วประกันตัวได้ไหม หรือการประกันตัวหลังจากศาลมีคำพิพากษา รวมไปถึงขั้นตอนและปัจจัยที่ต้องพิจารณาด้วย

หลักการทั่วไปของการประกันตัว

ก่อนจะเข้าสู่ประเด็นเกี่ยวกับการประกันตัวในเรื่องที่หลายคนกำลังสงสัยศาลตัดสินแล้วประกันตัวได้ไหม หลังจากที่ศาลตัดสินแล้ว เราควรเข้าใจหลักการของการประกันตัวในภาพรวมเสียก่อนว่าการประกันตัวมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีโอกาสที่จะต่อสู้คดีโดยไม่ต้องถูกควบคุมตัวตลอดระยะเวลาของกระบวนการพิจารณาคดี และเป็นการรักษาสิทธิพื้นฐานในการมีเสรีภาพของบุคคลจนกว่าจะได้รับการพิพากษาว่ามีความผิด

แต่การประกันตัวไม่ได้เป็นสิทธิที่ได้รับโดยอัตโนมัติ เพราะศาลจะต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ อาทิ ความเสี่ยงที่จำเลยจะหลบหนี ความเสี่ยงต่อการก่อเหตุซ้ำ หรือความปลอดภัยของสังคม นอกจากนี้ศาลยังอาจกำหนดเงื่อนไขการประกันตัว เช่น การชำระเงินประกัน การห้ามออกนอกประเทศ หรือการติดตามตัวด้วยเครื่องติดตาม เป็นต้น

การประกันตัวหลังศาลตัดสินแล้วเป็นอย่างไร

ศาลตัดสินแล้วประกันตัวได้ไหม หัวข้อนี้จะมาตอบข้อสงสัยนี้ให้ฟัง หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดยังสามารถขอประกันตัวได้ในบางกรณี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและสถานการณ์ของคดี โดยทั่วไปแล้วการประกันตัวหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษามักเกิดขึ้นในกรณีที่จำเลยประสงค์ที่จะยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษานั้น และหากศาลเห็นว่ามีเหตุผลที่สมควรและจำเลยไม่เป็นภัยต่อสังคม ศาลท่านก็อาจจะอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างรอการพิจารณาอุทธรณ์หรือฎีกานั่นเอง อย่างไรก็ตาม ในเรื่องศาลตัดสินแล้วประกันตัวได้ไหมนั้น นอกจากนี้ศาลยังคงมีอำนาจในการตัดสินใจว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ด้วย เช่น

1. ความเสี่ยงต่อการหลบหนี : หากศาลพิจารณาว่าจำเลยมีแนวโน้มที่จะหลบหนีหลังจากได้รับการประกันตัว ศาลอาจปฏิเสธการขอประกันตัว

2. ความเสี่ยงต่อการก่อเหตุซ้ำ : ในกรณีที่จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดที่มีประวัติอาชญากรรมหรือมีแนวโน้มที่จะก่อเหตุซ้ำ ศาลอาจไม่ให้ประกันตัวก็เป็นได้

3. ความปลอดภัยของสังคม : ศาลจะต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อสังคมและความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปด้วย

ขั้นตอนการขอประกันตัวหลังคำพิพากษา

อ่านมาถึงตรงนี้หลายท่านคงจะคลายข้อสงสัยกันไปบ้างแล้วในหัวข้อที่ว่าศาลตัดสินแล้วประกันตัวได้ไหม วันนี้เราจะพามาดูขั้นตอนการขอประกันตัวหลังคำพิพากษากันด้วยว่ามีขั้นตอนอย่างไร หากจำเลยต้องการขอประกันตัวหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

1. การยื่นคำร้องขอประกันตัว: จำเลยหรือทนายความจะต้องยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อศาลที่มีคำพิพากษา โดยระบุเหตุผลที่จำเลยสมควรได้รับการประกันตัว เช่น การอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษา

2. การกำหนดเงื่อนไขการประกันตัว: หากศาลเห็นควรให้ประกันตัว ศาลจะกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น จำนวนเงินประกัน หรือเงื่อนไขอื่น ๆ เพื่อป้องกันการหลบหนีหรือการก่อเหตุซ้ำ

3. การปล่อยตัวชั่วคราว: เมื่อจำเลยชำระเงินประกันหรือจัดหาหลักทรัพย์ตามที่ศาลกำหนด ศาลจะออกคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างรอการพิจารณาอุทธรณ์หรือฎีกา

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพิจารณาให้ประกันตัวหลังคำพิพากษา

จากกรณีเรื่องศาลตัดสินแล้วประกันตัวได้ไหมนั้น ทุกท่านต้องทราบก่อนว่าการประกันตัวหลังจากศาลตัดสินแล้วไม่ได้เป็นสิทธิที่จำเลยจะได้รับอย่างอัตโนมัติ เนื่องจากศาลจะพิจารณาจากหลายปัจจัยเพื่อประเมินว่าจำเลยสมควรได้รับการประกันตัวหรือไม่ โดยปัจจัยสำคัญที่ศาลจะประกอบการพิจารณา ได้แก่

-ความรุนแรงของคดี: ในกรณีที่คดีมีความรุนแรงสูง เช่น คดีฆาตกรรม หรือคดีอาชญากรรมร้ายแรง ศาลอาจปฏิเสธการให้ประกันตัวเพราะเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อสังคม

-พฤติกรรมและประวัติอาชญากรรม:  จำเลยที่มีประวัติอาชญากรรมมาก่อนหรือมีพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงความไม่รับผิดชอบ อาจถูกปฏิเสธการขอประกันตัว

-ความสามารถในการหาหลักทรัพย์: การที่จำเลยมีหลักทรัพย์เพียงพอในการประกันตัวถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ศาลใช้พิจารณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคดีนั้นมีโทษร้ายแรง ศาลอาจกำหนดวงเงินประกันสูง

การปฏิเสธการประกันตัวและทางเลือกของจำเลย

ศาลตัดสินแล้วประกันตัวได้ไหม หากศาลปฏิเสธคำร้องขอประกันตัว จำเลยยังคงมีทางเลือกอื่น ๆ เช่น การยื่นคำร้องขอประกันตัวใหม่ต่อศาลชั้นสูงขึ้น หรือการขอความช่วยเหลือจากทนายความในการอุทธรณ์คำสั่งของศาล อย่างไรก็ตาม จำเลยควรพึงระลึกว่าการยื่นคำร้องใหม่อาจไม่รับประกันว่าจะได้รับการประกันตัวเสมอไป การปฏิเสธจากศาลอาจขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ที่รุนแรงหรือข้อเท็จจริงของคดีที่ชัดเจน

สุดท้ายนี้ทุกท่านคงจะคลายข้อสงสัยในเรื่องศาลตัดสินแล้วประกันตัวได้ไหมไปไม่น้อย สรุปแล้วการประกันตัวหลังศาลตัดสินแล้วเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลและเหตุผลที่จำเลยยื่นอุทธรณ์หรือฎีกา คำร้องขอประกันตัวจะได้รับการพิจารณาโดยคำนึงถึงความเสี่ยงในการหลบหนี ความเสี่ยงต่อการก่อเหตุซ้ำ และความปลอดภัยของสังคม ดังนั้น หากจำเลยต้องการขอประกันตัวหลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้ว หรือหากคุณหรือคนใกล้ชิดต้องการรับบริการทางกฎหมายในการดำเนินการประกันตัวผู้ต้องหา สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลทุกขั้นตอนทางกฎหมาย ด้วยทีมทนายความที่มีประสบการณ์ ควรปรึกษาทนายความเพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องตามกฎหมายดีที่สุด 

การเรียกค่าสินไหมทดแทนจากคู่กรณีต้องทำอย่างไร และเรียกค่าเสียหายอะไรได้บ้าง

เรียกค่าเสียหายอะไรได้บ้าง copy

อุบัติเหตุทางจราจรสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาเราสามารถเรียก ค่าสินไหมทดแทน หรือค่าเสียหายได้หากเราเป็นผู้เสียหายจากอุบัตินั้น เพราะประกันภัยจะให้ความคุ้มครองในเรื่องของความบาดเจ็บทางร่างกาย ค่าพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ รวมถึงความเสียหายในเรื่องของทรัพย์สิน และค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ เหล่านี้เราสามารถเรียกร้องเอาจากประกันของฝ่ายคู่กรณีได้ มาดูกันว่าค่าสินไหมทดแทนคืออะไร และนอกจากเราจะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากคู่กรณีแล้ว เรายังสามารถเรียกร้องค่าเสียหายอะไรจากคู่กรณีอีกได้บ้าง 

เรียกค่าเสียหายอะไรได้บ้าง1 copy

ค่าสินไหมทดแทนคืออะไร

ค่าสินไหมทดแทน หมายถึง “เงินที่ต้องชดใช้เพื่อทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินหรือแก่บุคคลอันเนื่องมาจากการละเมิด หรือการผิดสัญญา รวมทั้งทรัพย์สินที่ต้องคืนให้แก่ผู้เสียหายด้วย เช่น ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด ค่าสินไหมทดแทนในการไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้” และตามหลักของคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ระบุไว้ว่า ค่าสินไหมทดแทน คือการชดใช้ความเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดโดยการคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายได้เสียหายไปหรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น ในเมื่อไม่อาจคืนทรัพย์สินได้รวมทั้งค่าเสียหายอย่างใด ๆ เพื่อให้ผู้เสียหายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมหรือใกล้เคียงกับฐานะเดิมเท่าที่จะสามารถทำได้

เรียกค่าเสียหายอะไรได้บ้าง2 copy

สามารถเรียกร้องค่าเสียหายอะไรได้บ้างจากคู่กรณี

1. ค่าเสียหายต่อตัวรถ

เมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแน่นอนว่ายานพาหนะต้องเกิดความเสียหายอยู่แล้ว ซึ่งในส่วนนี้คู่กรณีที่เป็นฝ่ายถูกจะเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้ ถ้าหากมีประกันก็สามารถตกลงกันง่ายกว่ารถที่ไม่มีประกัน เพราะกรณีรถที่ไม่มีประกันก็ต้องมาคุยกันว่าฝ่ายผิดจะทำการชดใช้ค่าเสียหายอย่างไร เมื่อเรียกประกันมาเพื่อคุยกันแล้ว ต่อไปก็เป็นขั้นตอนในการนำรถเข้าซ่อม โดยการส่งรถเข้าซ่อมจากความเสียหายเนื่องจากอุบัติเหตุสามารถทำได้ 2 ช่องทางคือ

– นำรถไปซ่อมกับอู่ที่บริษัทประกันคู่กรณีกำหนด หรืออู่ในเครือบริษัทประกัน

– นำรถไปซ่อมกับอู่ที่ติดต่อเอง แต่จะต้องแจ้งรายละเอียดการซ่อมต่างๆ ให้กับบริษัทประกันคู่กรณีก่อน เพื่อให้บริษัทประเมินราคาเบื้องต้น หรือให้ทางบริษัทเข้ามาดูสภาพความเสียหายของรถด้วยตัวเอง เพื่อพิจารณาค่าซ่อมที่เหมาะสม

2. ค่าลากรถ/ขนย้ายรถไปที่อู่ซ่อมรถ

เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ นอกจากเงื่อนไขที่ประกันต้องชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมแล้ว ยังเป็นหน้าที่ของประกันที่ต้องชดใช้ค่าขนย้าย และค่าดูแลรักษาในระหว่างที่ซ่อมด้วย ตามจำนวนที่จ่ายไปจริง แต่ไม่เกิน 20% ของค่าซ่อมแซม เช่น รถยนต์เกิดอุบัติเหตุได้รับความเสียหาย ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ พนักงานสอบสวนลากรถไปสถานีตำรวจ เมื่อใช้เป็นหลักฐานทางคดีเสร็จแล้ว ได้ลากรถไปที่อู่เพื่อซ่อมแซม ค่าลากรถทั้งสองช่วงนี้ บริษัทประกันเป็นคนจ่ายหรือรับผิดชอบตามที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 20% ของค่าซ่อม 

กรณีใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบเกิน 20%

ลากไปอู่หนึ่งแล้ว ทางประกันคุมราคาค่าซ่อมต่ำกว่าความจริง (เกิดจากประกันเอง) ทำให้ต้องลากไปอีกอู่ ค่าลากไปที่อื่นตรงนี้ประกันก็ต้องรับผิดชอบแม้รวมกับครั้งแรกจะเกิน 20% ของค่าซ่อม  

ข้อควรรู้ 

– ค่าดูแลขนย้ายนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่ประกันต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับจำนวนเงินเอาประกันที่ระบุไว้ 

– ค่าซ่อม จะทราบจำนวนค่าซ่อมที่แท้จริง เมื่อซ่อมรถเสร็จ เพราะตอนเกิดเหตุยากที่จะตีราคาค่าซ่อมได้ทันที 

3. ค่าเสียหายต่อชีวิตและร่างกาย

– ค่ารักษาพยาบาล

– เงินชดเชยกรณีสูญเสียอวัยวะ

– ทุพพลภาพ

– ค่าปลงศพ (กรณีเสียชีวิต)

– ค่าขาดประโยชน์ในการหารายได้ (กรณีต้องพักรักษาตัวนาน)

– ค่าขาดได้อุปการะ (กรณีเสียชีวิตและเกิดผลกระทบต่อการเลี้ยงดูบุตร)

4. ค่าเสียหายต่อทรัพย์สิน

ในที่นี้หมายถึงทรัพย์สินสิ่งของมีค่าที่อยู่ภายในรถ เช่น โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าเงิน โน้ตบุ๊ค หรือสิ่งของมีค่าอื่นๆ ที่อยู่ภายในรถ ซึ่งถ้าเกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุบริษัทประกันของคู่กรณีจะต้องจ่ายชดเชยให้ด้วย แต่จะพิจารณาเป็นในส่วนของค่าเสื่อมสภาพแทนไม่ใช่มูลค่าของทรัพย์สินที่เราซื้อมาในตอนแรก และทรัพย์สินนั้นผู้เสียหายจะต้องเป็นเจ้าของตัวจริงเท่านั้น โดยจะได้รับการชดเชยไม่เกินวงเงินที่ระบุเอาไว้ในประกัน

5. ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ/ค่าขาดประโยชน์ระหว่างซ่อมรถ

ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.62 เป็นต้นมา คปภ.ได้กำหนดอัตราขั้นต่ำในการชดเชยค่าขาดประโยชน์ (สำหรับรถยนต์ที่มีการทำประกันตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.62 ดังนี้)

– รถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 7 คน (รวมคนขับ) อัตราไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท

– รถยนต์รับจ้างสาธารณะที่มีที่นั่งไม่เกิน 7 คน (รวมคนขับ) อัตราไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท

– รถยนต์ที่มีที่นั่งเกิน 7 คน (รวมคนขับ) อัตราไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท

อย่างไรก็ดี หากกรณีเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วอย่างไรควรหาทนายความผู้เชี่ยวชาญเอาไว้คอยแนะนำขั้นตอนในการเรียกร้องค่าเสียหาย หากอุบัติเหตุนั้นมีความเสียหายไม่ว่าจะร่างกายหรือทรัพย์สิน เพราะการมีทนายความช่วยเดินเรื่องให้ช่วยให้เรารู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของบริษัทประกันภัยได้เพื่อรักษาสิทธิ์ที่พึงมีของเรา สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นสำนักงานทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของคดีประกันภัย หากท่านใดที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อกฎหมายในเรื่องของประกันภัย หรือข้อกฎหมายในเรื่องอื่นๆ ติดต่อเรา สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์พร้อมให้บริการในทุกปัญหากฎหมายของคุณ

คดียักยอกทรัพย์เป็นอย่างไร? แบบไหนถึงเรียกว่าเข้าข่าย “ยักยอกทรัพย์”

คดียักยอกทรัพย์ copy

คดียักยอกทรัพย์ คือคดีความที่โจทก์ทำการฟ้องจำเลยในฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 หลักว่า “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” แต่หากทรัพย์นั้นอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำผิด โดยผู้อื่นส่งมอบให้ หรือเป็นทรัพย์สินหายและผู้กระทำผิดเก็บได้ ผู้กระทำจะต้องระวางโทษเพียงกึ่งหนึ่ง

คดียักยอกทรัพย์1 copy

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกทรัพย์  

ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้

1. ครอบครอง

การครอบครองนี้จะต้องเป็นการครอบครองอย่างแท้จริง โดยที่เจ้าของสละการครอบครองหรือส่งมอบการครอบครองทรัพย์นั้น เช่น การเช่าบ้านหากผู้เช่าบ้านเช่าพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์ ผู้ให้เช่าบอกให้ผู้เช่าช่วยดูแลเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องเช่าด้วย เท่ากับเป็นการมอบหมายให้ผู้เช่าครอบครองเฟอร์นิเจอร์ในบ้านแล้ว หากผู้เช่าเอาเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านไปถือว่าเป็นการยักยอกทรัพย์

แต่ถ้าหากเป็นการแค่ยึดถือเอาไว้ชั่วคราว และเจ้าของไม่ได้ทำการสละการครอบครองทรัพย์นั้น ก็จะไม่ถือว่ายักยอกทรัพย์ แต่จะเข้าข่ายเป็นการลักทรัพย์แทน เช่น การฝากของเอาไว้ชั่วคราวอย่างกระเป๋าเงิน เป็นต้น

2. ทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

เรื่องเป็นเจ้าของทรัพย์นั้น เป็นไปตามกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของในทางแพ่ง เช่น ใครซื้อมาคนนั้นก็เป็นเจ้าของ หรือหากเป็นทรัพย์มีทะเบียน ก็ให้ดูว่าทะเบียนของทรัพย์นั้นมีชื่อใครคนนั้นก็เป็นเจ้าของ

3. เบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

คือการที่เราแสดงตนเป็นเจ้าของทรัพย์นั้นในลักษณะที่ตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของเดิม อาจจะโดยการแปลสภาพทรัพย์นั้น ขายทรัพย์นั้นให้คนอื่น หรือเอาไปซ่อนเพื่อจะเก็บไว้ใช้เอง หรืออ้างกับคนอื่นว่าเป็นของตน หรือพูดง่ายก็คือเอาทรัพย์นั้นไปใช้ตามใจเหมือนตัวเองซื้อมาโดยไม่คิดจะคืนเจ้าของ และจะต้องมีเจตนาพิเศษหรือมูลเหตุจูงใจโดยทุจริต กล่าวคือเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ต้องการหาประโยชน์จากสิ่งที่เรามาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั่นเอง

หากองค์ประกอบที่กล่าวมาข้างต้นครบก็สามารถจ้างทนายฟ้องยักยอกทรัพย์ได้ แต่หากไม่แน่ใจหรือไม่เข้าใจเรื่องของกฎหมายสามารถหาทนายเพื่อปรึกษาก่อนได้ เมื่อเข้าข่ายการยักยอกทรัพย์ให้รวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวกับการยักยอก เช่น เอกสารเกี่ยวกับทรัพย์ที่ถูกยักยอก เอกสารที่แสดงว่ามีการส่งมอบการครอบครองไปสู่ผู้ที่ทำการยักยอก หลักฐานที่แสดงว่าผู้กระทำนั้นเอาทรัพย์ไปเป็นของตน หรือหลักฐานอื่นๆ ที่สามารถจะรวบรวมมาได้ถ้าหากผู้เสียหายประสงค์จะฟ้อง โดยสามารถนำเอาหลักฐานที่รวบรวมมาได้นำไปปรึกษาทนายก่อนว่าหลักฐานที่มีอยู่นั้นเพียงพอในการดำเนินการฟ้องร้องยักยอกทรัพย์หรือไม่ 

อายุความในการฟ้องร้องคดียักยอกทรัพย์

แม้ว่าคดียักยอกทรัพย์จะเป็นคดีที่ยอมความกันได้ แต่ผู้เสียหายหรือผู้ที่ถูกยักยอกจะต้องทำการแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน หรือฟ้องคดีต่อศาลภายในระยะเวลา 3 เดือนนับตั้งแต่รู้เรื่องการกระทำความผิดและรู้เรื่องผู้กระทำ หากไม่แจ้งความหรือแจ้งความในระยะเวลาดังกล่าวคดีก็จะหมดอายุความ และถึงแม้ว่าคดียักยอกทรัพย์จะเป็นคดีความส่วนตัวที่สามารถยอมความกันได้ แต่ทั้งนี้ต้องให้ผู้ฟ้องทำการถอนฟ้องด้วย

คดียักยอกทรัพย์2 copy

คดียักยอกทรัพย์ต้องฟ้องศาลไหน? ใช้หลักประกันตัวเท่าไหร่?

ตรงนี้จะต้องดูว่าได้กระทำความผิดที่ไหน ตามหลักแล้วจะต้องฟ้องต่อศาลที่ความผิดนั้นเกิดขึ้นในเขตพื้นที่ๆ กระทำความผิด แต่ถ้าหากจำเลยมีที่อยู่หรือถูกจับกุมถูกสอบสวนนอกเขตศาลที่ความผิดเกิดขึ้น สามารถดำเนินการฟ้องในเขตพื้นที่นั้นได้เช่นกัน ส่วนวงเงินในการประกันตัวนั้น หากถูกดำเนินการแจ้งความคดียักยอกทรัพย์วงเงินในการประกันตัวนั้นขึ้นอยู่กับมูลค่าของทรัพย์สินที่ถูกยักยอกไป ซึ่งโดยปกติจะอยู่ที่ 1 ใน 3 ของความเสียหายที่ผู้เสียหายแจ้งมา แต่ทั้งนี้เงินประกันในชั้นศาลและชั้นตำรวจไม่เท่ากัน ดังนั้นควรโทรสอบถามเจ้าหน้าที่ศาลที่รับผิดชอบคดีอีกครั้ง จะได้ไม่เกิดปัญหาการประกันตัวไม่ได้

แม้ว่าคดียักยอกทรัพย์จะเป็นคดีที่ยอมความกันได้ถึงอย่างไรก็ควรมีทนายเอาไว้คอยให้คำแนะนำ หรือคอยให้คำปรึกษาไว้จะดีที่สุด สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามีทีมทนายความที่เชี่ยวชาญและมากด้วยประสบการณ์พร้อมให้บริการในทุกปัญหาในด้านของกฎหมาย หากคุณมีปัญหาต้องการคำปรึกษา หรือคำแนะนำ ติดต่อเรา

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยโดนมิจฉาชีพหลอกเรื่องอะไรมากที่สุด

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง บทความนี้จะพามาเจาะลึกในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างที่ทุกท่านทราบกันดี แต่ในขณะเดียวกันภัยออนไลน์กลายเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และภัยออนไลน์มีอะไรบ้างส่งผลกระทบอย่างไรทวีความรุนแรงต่อผู้ใช้งานในประเทศไทยมากเพียงใด มิจฉาชีพในโลกออนไลน์มักจะหาวิธีใหม่ ๆ ในการล่อลวงและหลอกลวงผู้คนอย่างไร บทความนี้จากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพาคุณไปรู้จักกันว่าภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง และภัยออนไลน์ที่พบมากที่สุด รวมถึงเรื่องที่คนไทยมักจะถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมากที่สุดมีเรื่องอะไรบ้างมาติดตามกันได้ในบทความนี้จากเรา

ประเภทของภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง

1. ฟิชชิง (Phishing) : ฟิชชิงเป็นรูปแบบการหลอกลวงที่มิจฉาชีพจะส่งอีเมลหรือข้อความที่ดูเหมือนมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ อาทิ ธนาคาร, บริษัทบัตรเครดิต, หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิต เมื่อผู้ใช้กรอกข้อมูลเหล่านี้ มิจฉาชีพจะนำข้อมูลไปใช้ในการขโมยเงินหรือการทำธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตได้

2. แรนซัมแวร์ (Ransomware): แรนซัมแวร์เป็นมัลแวร์ที่มิจฉาชีพใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลของเหยื่อ ทำให้เหยื่อไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของตนได้ และมิจฉาชีพจะเรียกค่าไถ่เพื่อแลกกับการปลดล็อกข้อมูล โดยไม่รับประกันว่าเหยื่อจะได้รับกุญแจถอดรหัสแม้ว่าจะชำระเงินแล้วก็ตาม

3. สแปมและมัลแวร์ (Spam and Malware): สแปมคืออีเมลหรือข้อความที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งถูกส่งมาเป็นจำนวนมาก บางครั้งสแปมเหล่านี้อาจแฝงมัลแวร์ที่สามารถติดตั้งบนคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนของเหยื่อโดยไม่รู้ตัว เมื่อมัลแวร์ติดตั้งแล้ว อาจใช้เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงิน

4. การหลอกลวงทางการเงิน (Financial Fraud): มิจฉาชีพมักใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อหลอกลวงผู้คนให้โอนเงินหรือทำธุรกรรมที่ไม่ถูกต้อง เช่น การหลอกลวงทางโทรศัพท์ (Vishing) หรือการหลอกให้ลงทุนในโครงการที่ไม่มีอยู่จริง5. การขโมยข้อมูลส่วนตัว (Identity Theft): มิจฉาชีพสามารถใช้ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อ เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลทางการเงิน เพื่อแอบอ้างและทำธุรกรรมรวมไปถึงการสมัครสินเชื่อในชื่อของเหยื่อ ทำให้เหยื่อต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินและกฎหมายในเวลาต่อมา

มิจฉาชีพหลอกคนไทยเรื่องอะไรมากที่สุด

ในประเทศไทยมีหลายวิธีที่มิจฉาชีพออนไลน์ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อ และภัยออนไลน์มีอะไรบ้างคงทราบกันแล้ว แต่หนึ่งในเรื่องที่คนไทยโดนภัยออนไลน์หลอกมากที่สุดคือ การหลอกให้โอนเงินผ่านการแอบอ้างตัวตน ได้แก่

1. การหลอกลวงผ่านการแอบอ้างเป็นหน่วยงานราชการหรือบริษัทใหญ่ ๆ: มิจฉาชีพมักจะแอบอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการ เช่น กรมสรรพากร หรือเจ้าหน้าที่จากธนาคาร เพื่อล่อลวงให้เหยื่อเชื่อว่ามีปัญหาทางกฎหมายหรือทางการเงิน เช่น การเรียกร้องภาษีย้อนหลังหรือบอกว่ามีเงินโอนผิดบัญชี และขอให้เหยื่อโอนเงินเพื่อแก้ไขปัญหา

2. การหลอกให้ลงทุนในธุรกิจที่ไม่น่าเชื่อถือ: การลงทุนในธุรกิจหรือโครงการที่ดูเหมือนให้ผลตอบแทนสูงแต่ไม่มีความเป็นจริง หรือที่เรียกกันว่า “แชร์ลูกโซ่” เป็นวิธีการที่คนไทยจำนวนมากถูกหลอกลวง มิจฉาชีพจะนำเสนอโอกาสการลงทุนที่ดูน่าดึงดูด และใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับเหยื่อ เช่น การนำเสนอข้อมูลปลอมเกี่ยวกับผลกำไร หรือการสร้างความเร่งด่วนในการตัดสินใจ

3. การหลอกให้ซื้อสินค้าหรือบริการออนไลน์ที่ไม่มีอยู่จริง: การช้อปปิ้งออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในประเทศไทย แต่มิจฉาชีพก็ใช้ช่องทางนี้ในการหลอกลวงเช่นกัน หลายครั้งหลายคราวที่เหยื่อถูกหลอกให้ชำระเงินสำหรับสินค้าหรือบริการที่ไม่มีอยู่จริง หรือได้รับสินค้าที่ไม่ตรงกับที่โฆษณา

4. การหลอกลวงด้วยความรัก (Romance Scam): มิจฉาชีพสร้างโปรไฟล์ปลอมบนแอปพลิเคชันหาคู่หรือโซเชียลมีเดียต่าง ๆ  และสร้างความสัมพันธ์กับเหยื่อก่อนจะขอความช่วยเหลือทางการเงิน เช่น อ้างว่าต้องการเงินเพื่อเดินทางมาหาเหยื่อ หรือเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาฉุกเฉิน เป็นต้น

วิธีป้องกันและคำแนะนำเพื่อให้ปลอดภัยจากภัยออนไลน์

เพื่อป้องกันตัวเองจากภัยออนไลน์เหล่านี้หลังจากที่ทราบกันไปแล้วว่าภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยควรมีความระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

– ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ไม่น่าเชื่อถือ

– ไม่ตอบสนองต่ออีเมลหรือข้อความที่ดูน่าสงสัยหรือมาจากแหล่งที่ไม่รู้จัก

– ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นระยะๆ อยู่เสมอ

– ระมัดระวังในการลงทุน และตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้างหลายท่านคงจะทราบกันไปแล้วจากบทความข้างต้น และภัยออนไลน์เป็นเรื่องที่ทุกคนควรตระหนักถึงและมีการป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม เพราะไม่เพียงแต่จะสูญเสียทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและความปลอดภัยในชีวิตประจำวันด้วย บทความภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยโดนมิจฉาชีพหลอกเรื่องอะไรมากที่สุด เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเนื้อหาในบทความนี้จะสามารถเตือนภัยทุกท่านได้ และหากคุณตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ สิ่งสำคัญที่ควรทำคือการปรึกษาทนายความทันทีเพื่อหาหนทางแก้ไข เพราะทนายความสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้บริการในการรวบรวมหลักฐานที่จำเป็น และดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิของคุณ นอกจากนี้การปรึกษาทนายความยังช่วยให้คุณทราบถึงขั้นตอนในการเรียกร้องความเสียหายและฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับความยุติธรรมและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นในอนาคต หากต้องการปรึกษาทนายสามารถทักมาปรึกษาได้ที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

บริการคัดถ่ายสำนวนหรือเอกสารของศาลเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล สะดวก รวดเร็ว มืออาชีพ

การดำเนินคดีในศาลนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เอกสารจำนวนมาก ซึ่งบางครั้งการเข้าถึงเอกสารเหล่านี้อาจเป็นเรื่องยุ่งยาก โดยเฉพาะสำหรับทนายความหรือคู่ความที่อยู่นอกเขตกรุงเทพฯ และหรือปริมณฑล หรือไม่สะดวกที่จะสามารถเดินทางมาคัดถ่ายเอกสารที่ศาลด้วยตนเอง ดังนั้น สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จึงมีบริการคัดถ่ายสำนวน/เอกสารของศาลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่ต้องการใช้บริการนี้

บริการคัดถ่ายสำนวนหรือเอกสารของศาลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจากเราดีอย่างไร?

บริการคัดถ่ายสำนวนของศาลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลของสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ของเราครอบคลุมทุกประเภทของเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีความของศาล แต่ที่สำคัญคือคุณต้องเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับคดีความนั้น ๆ เช่น มีสถานะเป็นโจทก์และหรือเป็นจำเลย โดยเราสามารถคัดถ่ายเอกสารได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนวนของศาลด้วย เช่น บันทึกคำพยาน, รายงานการตรวจสอบ, และหลักฐานอื่น ๆ ที่ใช้ในการพิจารณาคดี

ทำไมต้องเลือกใช้บริการคัดถ่ายสำนวนหรือเอกสารจากเรา?

การเลือกใช้บริการคัดถ่ายสำนวนของศาลจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์นั้นมีข้อดีหลายประการ ได้แก่

1. ความสะดวกสบาย

   – คุณไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังศาลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลด้วยตนเอง เรามีทีมงานมืออาชีพที่พร้อมให้บริการแทนคุณ

2. ความรวดเร็ว

   – ทีมงานของเรามีประสบการณ์และความชำนาญในการดำเนินการคัดถ่ายเอกสารจากศาล ทำให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

3. ความครบครัน

   – สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์มีบริการที่ครอบคลุมทุกประเภทของเอกสารที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นคำฟ้อง, คำให้การจำเลย, หรือเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

4. ความเป็นมืออาชีพ

   – ทีมงานของเรามีความรู้และความเข้าใจในกระบวนการทางกฎหมายเป็นอย่างดี ทำให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องและเป็นไปตามข้อกำหนดของศาล

วิธีการใช้บริการคัดถ่ายสำนวนของศาล

การใช้บริการคัดถ่ายสำนวนของศาลจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์นั้นง่ายและสะดวกมาก คุณสามารถทำตามขั้นตอนดังนี้

1. ติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

   – คุณสามารถติดต่อเราได้ผ่านทาง Line Add : @Wongsakorn เพื่อแจ้งความต้องการในการคัดถ่ายเอกสาร

   หลังจากนั้นมีการเซ็นเอกสารเพื่อให้ทีมงานของเราดำเนินการขอคัดถ่ายเอกสารจากศาลแทนคุณ

2. ดำเนินการคัดถ่ายเอกสาร

   – ทีมงานมืออาชีพของเราจะดำเนินการคัดถ่ายเอกสารจากศาลและตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของเอกสาร

3. ส่งมอบเอกสารให้คุณ

   – เราจะจัดส่งเอกสารที่คัดถ่ายให้คุณผ่านทางช่องทางที่คุณสะดวก ไม่ว่าจะเป็นทางไปรษณีย์หรืออีเมล

บริการคัดถ่ายสำนวนหรือเอกสารที่ครอบคลุมและครบวงจรต้องที่สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ยินดีให้บริการคัดถ่ายสำนวนของศาลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ครอบคลุมและครบวงจร สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกเดินทางมาด้วยตนเองในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทีมงานมืออาชีพของเราพร้อมให้บริการคัดถ่ายเอกสารทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับคดีความในศาล ไม่ว่าจะเป็นคำฟ้อง คำให้การจำเลย คำร้อง คำแถลง และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ด้วยความชำนาญและความรวดเร็ว เพื่อให้คุณได้รับความสะดวกสบายสูงสุด

และบริการคัดถ่ายสำนวนศาลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามุ่งเน้นการให้ความสะดวก รวดเร็ว และถูกต้องแก่ผู้มาใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นทนายความ คู่ความที่อยู่ต่างจังหวัด หรือผู้ที่ไม่สะดวกเดินทาง การใช้บริการคัดถ่ายสำนวนของศาลจากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เป็นทางเลือกที่สะดวก รวดเร็ว และมืออาชีพ ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังศาลด้วยตนเอง และยังมั่นใจได้ว่าเอกสารที่ได้รับนั้นถูกต้องและครบถ้วน หากคุณต้องการรับบริการคัดถ่ายสำนวนและหรือเอกสารของศาลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สามารถติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ได้ทุกเมื่อ เพราะทีมงานของเรามีความเชี่ยวชาญในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ขั้นตอนแรก ไปจนถึงการส่งมอบเอกสารให้คุณ ดังนั้น หากคุณต้องการใช้บริการทางกฎหมายจากเราในการคัดถ่ายเอกสารจากศาลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สามารถติดต่อสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ได้ทุกเวลา 

ถูกรถบรรทุกพ่วงชนขาหัก แผลลึกถึงกระดูก บริษัทประกันภัยตีมึนชดใช้ค่าเสียหายหลักหมื่น!

ถูกรถพ่วงชนขาหัก copy

ในทุกวันจะมีคดีอุบัติเหตุทางจราจรเกิดขึ้นทุกวัน แต่ยังมีผู้บาดเจ็บจากคดีเกี่ยวกับจราจรอีกหลายคนที่ไม่ทราบถึงสิทธิ์ของตนเองเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น เนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับการประกันภัย จึงทำให้บางท่านเสียสิทธิ์ที่จะเรียกร้องค่าเสียหายที่ตนเองควรจะได้รับจาก พ.ร.บ. หรือ เฉกเช่นกรณีนี้ที่ผู้เสียหายท่านนี้ต้องประสบอุบัติเหตุถูกรถบรรทุกพ่วงเฉี่ยวชนจน ขาหัก เรื่องราวจะเป็นอย่างไรมาติดตามกันเลยค่ะ 

ขี่รถมาอยู่ดีๆ ก็ถูกรถบรรทุกพ่วงชนเข้าอย่างจัง

เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่ผู้บาดเจ็บกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์มาตามเส้นทางปกติ แต่ได้ถูกรถบรรทุกหัวลากพ่วงคัน ซึ่งขับขี่มาเฉี่ยวชนเข้ากับรถจักรยานยนต์ของผู้บาดเจ็บ เป็นเหตุให้ผู้บาดเจ็บได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส มีบาดแผลฉีกขาดขนาดใหญ่และลึกบริเวณขาขวา ลึกชนิดที่ว่าเห็นกระดูก และขาขวายังหักอีกด้วย รวมทั้งยังมีบาดแผลและรอยฟกช้ำทั่วร่างกายอีกหลายแห่ง รวมทั้งมีทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ ซึ่งอุบัติเหตุในครั้งนี้เกิดจากความไม่ระมัดระวังของผู้ขับขี่รถบรรทุกพ่วงคันดังกล่าว และรถบรรทุกพ่วงหัวลากคันดังกล่าวได้ทำประกันภัยภาคในส่วนภาคบังคับ และภาคสมัครใจ ผู้ขับขี่รถบรรทุกได้ลงลายมือยอมรับความผิดนั้นต่อหน้าเจ้าพนักงานสวนแล้ว โดยปกติแล้วการทำประกันภัยรถบรรทุกที่มีส่วนต่อพ่วงอย่างรถบรรทุกหัวลากกับหางพ่วงการทำประกันภัยนั้นจะแยกคนละส่วนกัน ดังนั้นการเรียกค่าเสียหายจากประกันภัยรถบรรทุกพ่วงจะสามารถเรียกได้มากกว่า 2 ฉบับ

ถูกรถพ่วงชนขาหัก copy

ถูกรถบรรทุกพ่วงชนขาหัก แผลลึกจนเห็นถึงกระดูก!

จากเหตุการณ์อุบัติเหตุร้ายแรงในครั้งนี้ ทำให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บกระดูกขาขวาหัก และมีบาดแผลฉีกขาดที่บริเวณขาขวาขนาดใหญ่มาก ลึกจนเห็นถึงกระดูกสร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นอย่างมาก ผู้บาดเจ็บต้องทำการพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เป็นเวลากว่า 43 วันเพื่อรักษาบาดแผล ที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และยังต้องเดินทางไปล้างแผลที่โรงพยาบาลอยู่เป็นประจำทุกวัน จากบาดแผลของผู้บาดเจ็บที่มีขนาดใหญ่และลึกจนเห็นถึงกระดูก ทำให้ผู้บาดเจ็บต้องพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน แล้วยังต้องทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ช่วงที่ต้องพักรักษาตัวผู้บาดเจ็บต้องสูญเสียรายได้ไป เพราะไม่สามารถดำเนินชีวิตได้เฉกเช่นปกติ โดยผู้บาดเจ็บประกอบอาชีพทำนาเกลือเมื่อได้รับบาดเจ็บจึงส่งผลกระทบต่อการหารายได้สร้างความลำบากให้แก่ผู้บาดเจ็บและครอบครัวเป็นอย่างมาก ทั้งคนในครอบครัวยังต้องผลัดเปลี่ยนกันมาพาผู้บาดเจ็บไปพบแพทย์อย่างต่อเนื่องในการรักษา

บริษัทประกันภัยหัวใสโยกโย้ด้วยการบอกเอกสารไม่ครบ

บริษัทประกันภัยภาคบังคับได้มีการโยกโย้ด้วยการทำหนังสือจะจ่ายค่าสินไหมทดแทน แต่ไม่ยอมระบุจำนวนเงินที่จะชดใช้ลงมาในเอกสาร ซึ่งถือว่าเป็นการไม่จริงใจที่จะชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แถมยังกล่าวอ้างยกเหตุขึ้นมาว่าผู้บาดเจ็บนั้นส่งเอกสารยื่นขอพิจารณาค่าสินไหมไม่ครบ แต่ทางบริษัทประกันภัยเองกลับไม่ยอมแจ้งเป็นหนังสือว่าทางบริษัทประกันภัยนั้นต้องการเอกสารใดจากผู้บาดเจ็บ นับว่าเป็นอีกลูกเล่นที่นำมาใช้เพื่อถ่วงเวลาการจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้น

ในส่วนของบริษัทประกันภัยภาคสมัครใจ ถึงแม้ว่าจะมีอีเมลแจ้งผลการพิจารณาค่าเสียหายในส่วนของค่าซ่อมแซมรถจักรยานยนต์ของผู้บาดเจ็บ แต่ค่าเสียหายนั้นช่างต่ำกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงต่อผู้บาดเจ็บ ทั้งยังไม่ยอมมีหนังสือแจ้งการชดใช้ค่าเสียหายต่อร่างกายและทรัพย์สินของผู้บาดเจ็บ ตามหลักเกณฑ์และกรอบเงื่อนไขระยะของการประกอบธุรกิจประกันภัย ถือว่าเป็นการประวิงเวลาในการชดใช้ค่าเสียหายต่อผู้บาดเจ็บ และปัจจุบันผู้บาดเจ็บก็ยังไม่ได้รับเงินชดใช้ค่าเสียหายทั้งต่อร่างกายและทรัพย์สินที่เหมาะสม สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้แก่ผู้บาดเจ็บเป็นอย่างมาก

ถูกรถพ่วงชนขาหัก2 copy

เมื่อถูกเอาเปรียบจากบริษัทประกันรีบปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญดีที่สุด

ผู้บาดเจ็บรู้สึกมืดแปดด้านไม่รู้จะต้องทำอย่างไร จึงได้เข้ามาปรึกษา สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ และมอบอำนาจให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์เป็นผู้ดำเนินการเรียกค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยทั้ง 2 บริษัทเพิ่มเติม โดยบริษัทภาคบังคับยินยอมจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นแล้วเป็นเงินจำนวน 138,000 บาท แต่บริษัทประกันภัยที่ 2 เสนอจำนวนเงินไม่คุ้มค่าต่อความเสียหายที่ผู้บาดเจ็บควรจะได้รับ ทีมทนายที่มีประสบการณ์ของสำนักงานวงศกรณ์จึงได้ใช้สิทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมโดยการยื่นขอคำเสนอต่ออนุญาโตตุลาการ เพื่อให้บริษัทประกันภัยภาคสมัครใจทำการจ่ายค่าเสียหายตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์เป็นจำนวนเงิน 500,000 บาทแก่ผู้เสียหาย เพื่อความยุติธรรมต่อผู้เสียหายที่ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส และยังไม่ทราบว่าจะหายกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติหรือไม่

เห็นไหมคะว่าการมีทนายความผู้เชี่ยวชาญไว้คอยให้ความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาทางด้านกฎหมายเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่เริ่มมีปัญหาด้านกฎหมาย เพราะความไม่รู้กฎหมายอาจทำให้บริษัทประกันภัยฉวยโอกาสใช้ตรงนี้เพื่อเอาเปรียบในสิทธิ์ที่คุณควรจะได้รับ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามีทีมนักกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญและมากด้วยประสบการณ์ไว้คอยบริการทุกปัญหากฎหมายของคุณ หากคุณกำลังมีปัญหาในเรื่องของกฎหมาย ติดต่อเรา

ประกันภัยภาคสมัครใจคืออะไร แล้วทำไมควรต้องมี?

ประกันภัยภาคสมัครใจคืออะไร

โดยปกติแล้วผู้ขับขี่รถยนต์ทุกประเภทจะต้องทำประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 หรือที่บริษัทประกันภัยเรียกกันว่า “ประกันภัยภาคบังคับ” ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต ร่างกาย และอนามัยของผู้ประสบภัยจากรถเนื่องมาจากอุบัติเหตุทางรถเท่านั้น แต่เราสามารถซื้อประกันภัยเพิ่มเติมเพื่อให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายของทรัพย์สินได้ ซึ่งประกันภัยประเภทนี้เรียกว่า “ประกันภัยภาคสมัครใจ” ผู้ขับขี่สามารถทำเพิ่มเติมนอกจาก พ.ร.บ. ปกติได้ เพราะเป็นประกันภัยที่กฎหมายไม่ได้ระบุว่าต้องทำ

ประกันภัยภาคสมัครใจคืออะไร

ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ เป็นการทำประกันภัยรถยนต์โดยที่กฎหมายไม่ได้บังคับ แต่เจ้าของรถยนต์เลือกที่จะทำเอง โดยที่ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจนี้จะมีแผนประกันให้เลือก ทั้งแบบประกันชั้น 1 ที่คุ้มครองความเสียหาย และการเกิดอุบัติเหตุทุกกรณี และประกันชั้น 2+, 2, 3+ และ 3 ซึ่งจะให้การคุ้มครองที่ลดหลั่นกันลงมา ทำให้มีราคาแตกต่างกันไป นอกจากนั้น ยี่ห้อ รุ่น และอายุของรถยนต์ที่เอาประกันก็ยังมีผลต่อค่างวดประกันด้วยเช่นกัน การมีประกันรถยนต์ภาคสมัครใจจะช่วยให้ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ มากกว่าประกันภาคบังคับหรือ พ.ร.บ. ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองค่าเสียหายของรถคู่กรณี รถตนเอง หรือค่ารักษาพยาบาลคู่กรณี และผู้ขับ นอกจากนั้นประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจอาจให้สิทธิประโยชน์อื่น ๆ เช่น บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. บริการรถยกและลากจูง หรือบริการรถทดแทนขณะซ่อมรถที่เกิดอุบัติเหตุด้วย

ประกันภัยภาคสมัครใจคุ้มครองอะไรบ้าง 2

ประกันภาคสมัครใจคุ้มครองอะไรบ้าง?

ประกันรถยนต์จะให้ความคุ้มครองทางการเงินของผู้เอาประกันภัยที่ระบุบนกรมธรรม์ หากเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุไม่คาดฝันอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้บนท้องถนน โดยทั่วไป ความคุ้มครองพื้นฐานของประกันรถยนต์ คือ คุ้มครองคุณในกรณีเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ นอกจากนี้ยังอาจคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน ค่าประกันตัว และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ทางกฎหมาย ความคุ้มครองการชน หรือการคุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก คุ้มครองคุณในกรณีที่เกิดการชน โดยให้ทุนประกันสำหรับการซ่อมและเปลี่ยนอะไหล่รถของคุณ ความคุ้มครองการชนอาจคุ้มครองคุณในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุโดยไม่มีคู่กรณี เช่น ชนต้นไม้หรือชนอาคาร ประกันรถยนต์ให้ความคุ้มครองทางการเงินทั้งในกรณีที่ความเสียหายเกิดจากการชนและกรณีอื่น ๆ โดยขึ้นอยู่เงื่อนไขตามหน้ากรมธรรม์ ซึ่งความคุ้มครองนี้อาจรวมถึงรถยนต์ถูกโจรกรรม สภาพอากาศ การก่อกวน ความเสี่ยงต่าง ๆ และภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่น ๆ เป็นต้น

ข้อดีของการทำประกันภัยภาคสมัครใจ 3

ข้อดีของการทำประกันภัยภาคสมัครใจ

  • แบ่งเบาภาระค่าซ่อม 

ทั้งรถผู้เอาประกันและคู่กรณี หนึ่งในประโยชน์ของการประกันภัยภาคสมัครใจก็คือ การช่วยแบ่งเบาภาระค่าซ่อมบำรุงรถคู่กรณี และรถผู้เอาประกันกรณีเกิดอุบัติเหตุได้นั่นเอง เนื่องจากค่าซ่อมแซมรถ ค่าอะไหล่ต่าง ๆ มักมีราคาที่สูง ดังนั้นการมีประกันรถยนต์ภาคสมัครใจจะช่วยให้ไม่ต้องควักเงินก้อนใหญ่เพื่อซ่อมรถด้วยตัวเอง จึงหมดกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถได้ 

  • ไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล 

นอกจากจะคุ้มครองความเสียหายต่อรถของผู้เอาประกัน และรถของคู่กรณีแล้ว ประกันภัยรถยนต์บางแผนยังให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในกรณีบาดเจ็บด้วย ทำให้คุณไม่จำเป็นต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเอง และคู่กรณี เพราะค่ารักษาพยาบาลโดยเฉพาะเมื่อบาดเจ็บหนักนั้น ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงไม่แพ้ค่าซ่อมรถยนต์เลยทีเดียว 

  • มีตัวแทนประกันช่วยเจรจาให้ 

มีเจ้าหน้าที่มาช่วยเคลียร์ให้ เมื่อมีประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ หากเกิดอุบัติเหตุแบบมีคู่กรณีจะช่วยลดการปะทะระหว่างเจ้าของรถได้ เนื่องจากจะมีเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันรถยนต์มาช่วยเจรจา ไกล่เกลี่ย และดำเนินการเรื่องความคุ้มครองต่าง ๆ ให้ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการปะทะด้วยวาจา หรือการทะเลาะวิวาทกันเกิดขึ้น 

  • รถหายก็ได้รับความคุ้มครอง 

หากเลือกทำประภัยรถยนต์ภาคสมัครใจชั้น 1 ซึ่งเป็นแผนที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด จะได้รับความคุ้มครองในกรณีที่รถหาย หรือถูกโจรกรรมด้วย โดยวงเงินที่คุ้มครองจะขึ้นอยู่กับแผนประกันที่เลือก ซึ่งถือเป็นประโยชน์ของการประกันภัยภาคสมัครใจที่ไม่ควรพลาด 

  • น้ำท่วม ไฟไหม้ 

หากเลือกทำประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจชั้น 1 รถของผู้เอาประกันจะได้รับความคุ้มครองในกรณีที่ไม่มีคู่กรณี อย่างการชนต้นไม้ ต้นไม้หล่นทับ ถอยหลังชนกำแพง รวมถึงกรณีน้ำท่วม ไฟไหม้ และภัยธรรมชาติต่าง ๆ ด้วย ทำให้วางใจในเรื่องค่าใช้จ่ายซ่อมแซมรถได้ 

  • มีบริการให้ความช่วยตลอด 24 ชั่วโมง 

การมีประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ จะช่วยให้คุณสามารถรับความช่วยเหลือ และเรียกใช้บริการบริษัทประกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้วางใจได้ไม่ว่าจะใช้รถใช้ถนนในเวลาใดก็ตาม

เคล็ดลับในการเลือกซื้อประกันภัยภาคสมัครใจ 4

เคล็ดลับในการเลือกซื้อประกันภัยภาคสมัครใจ

การเลือกซื้อประกันภัยรถเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่า หรือตรงกับความคุ้มครองที่เราต้องการ เพราะแต่ละบริษัทย่อมมีออฟชั่นหรือราคาเบี้ยประกันที่ต่างกัน ตลอดจนเงื่อนไขในการคุ้มครอง ดังนั้นการจะเลือกซื้อประกันภัยกับบริษัทไหนควรศึกษาเงื่อนไขของกรมธรรม์และความคุ้มครองให้ดี เพื่อให้ได้ความคุ้มครองที่ดีที่สุด เคล็ดลับการเลือกซื้อกรมธรรม์มีดังนี้

  • เปรียบเทียบราคาจากบริษัทประกันภัยหลายๆ แห่ง แล้วค่อยตัดสินใจเลือกบริษัทประกันภัยที่ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุด
  • ก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อประกันภัย ควรดูชื่อเสียงของบริษัทประกันภัยที่น่าเชื่อถือ ดูฟีดแบคจากลูกค้า ดูวิธีการและขั้นตอนการเคลม
  • การจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกเพิ่มเติม หมายถึงคุณจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้ง เพื่อรักษาเบี้ยประกันในราคาต่ำ
  • รักษาประวัติการขับขี่ปลอดภัย ขับขี่รถให้ถูกกฎจราจรหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ เพื่อนำประวัติตรงส่วนนี้ไปขอลดเบี้ยประกันในปีถัดไปได้
  • เลือกซื้อกรมธรรม์แบบแพ็คเกจ เพราะบริษัทประกันภัยบางบริษัทจะมีส่วนลดเพิ่มเติมหากซื้อประกันภัยอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย
  • เลือกเฉพาะความคุ้มครองที่จำเป็น หรือเหมาะสำหรับคุณ พิจารณาเลือกซื้อประกันภัยให้เหมาะกับการขับขี่ของคุณ และหากรถของคุณมีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยสูง จะส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันภัยลดลง

จะเห็นว่าการมีประกันภาคสมัครใจไว้เพื่อคุ้มครองความเสียหายเพิ่มเติมเป็นเรื่องดีเพราะประกันภัยภาคสมัครใจนั้นให้ความคุ้มครองในส่วนของทรัพย์สินด้วย ถือว่าช่วยลดภาระ ลดความเสียหายต่อตัวผู้เอาประกันภัยไปได้ส่วนหนึ่ง ดังนั้นถ้าหากอยากเลือกทำประกันภัยเพิ่มเติมแนะนำว่าควรเลือกบริษัทประกันภัยที่เชื่อถือได้ และควรดูกรมธรรม์ให้ละเอียดว่าตอบโจทย์ความต้องการของเราหรือไม่ค่ะ

ทนายความรับรองลายมือชื่อ (Notary Public) คืออะไร มีความสำคัญอย่างไรในด้านกฎหมาย

ทนายความรับรองลายมือชื่อ

ทนายความรับรองลายมือชื่อ (Notary Public) คือทนายความที่ได้รับอนุญาตจากสภาทนายความแห่งประเทศไทยให้ทำหน้าที่รับรองลายมือชื่อที่มีการลงชื่อต่อหน้าในเอกสารนั้นๆ หรือรับรองสำเนาเอกสารนั้นว่าเป็นเอกสารที่ถูกต้องแท้จริงจากต้นฉบับ หรือทำคำรับรองประเภทอื่นๆ รวมทั้งการลงชื่อในฐานะเป็นพยานในเอกสาร ซึ่งในการลงลายมือชื่อในเอกสารนั้นจะต้องทำการลงต่อหน้าทนายความเท่านั้น ทั้งนี้โดยส่วนมากแล้วจะนำเอกสารเหล่านั้นไปใช้ในต่างประเทศ หรือใช้สำหรับเดินเรื่องในสถานฑูตต่างประเทศที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเอกสารบางอย่างต้องการการรับรองจากทนายความผู้ได้รับการอนุญาต การรับรองเอกสารในลักษณะนี้จะต้องดำเนินโดยทนายความที่ได้รับการฝึกอบรมและได้รับใบอนุญาตจากสภาทนายความ เรียกว่า ทนายความรับรองเอกสาร ทนายความรับรองลายเซ็น หรือทนายความรับรองลายมือชื่อ (Notarial services Attorney) เพื่อให้สามารถนำเอกสารดังกล่าวไปใช้ในต่างประเทศได้ ซึ่งเอกสารทั่วไปจะเป็นการรับรองลายเซ็น รับรองลายมือชื่อบุคคล รับรองสภาพบุคคล รับรองความเป็นอยู่ รับรองลายมือชื่อพยาน รับรองบุคคล เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นการรับรองเอกสารเพื่อการทำนิติกรรมในต่างประเทศ การรับรองสำเนาถูกต้องเพื่อศึกษาต่อในต่างประเทศ การรับรองสำเนาเอกสารหน่วยงานต่างๆ เพื่อทำกิจการการส่งออก เป็นต้น 

ทนายรับรองลายมือชื่อ2

ความสำคัญของทนายความรับรองลายมือชื่อ (Notary Public)

ทนายความรับรองลายมือชื่อ (Notary Public) มีความสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือและป้องกันการทุจริตในเอกสารทางกฎหมายและธุรกรรมต่าง ๆ เช่นการปลอมแปลงเอกสารในกระบวนการทางกฎหมาย การได้รับการแต่งตั้งเป็น ทนายความรับรองลายมือชื่อนั้นต้องมีคุณสมบัติและการฝึกอบรมที่เหมาะสมตามข้อกำหนดของสภาทนายความ ความสำคัญของทนายความรับรองลายมือชื่อ ได้แก่

ความน่าเชื่อถือและความถูกต้องของเอกสาร: ช่วยยืนยันว่าลายเซ็นในเอกสารเป็นของบุคคลที่ระบุไว้ และเอกสารมีความถูกต้อง น่าเชื่อถือ ลดโอกาสการปลอมแปลงเอกสาร

การป้องกันการฉ้อโกง: โดยการตรวจสอบตัวตนของผู้ลงนามและการรับรองความถูกต้องของเอกสาร ทนายความรับรองลายมือชื่อมีบทบาทสำคัญในการป้องกันการฉ้อโกงและการทุจริต

ความปลอดภัยทางกฎหมาย: เอกสารที่ได้รับการรับรองจากทนายความรับรองลายมือชื่อ จะมีสถานะทางกฎหมายที่มั่นคง และสามารถใช้เป็นหลักฐานในศาลหรือกระบวนการทางกฎหมายอื่น ๆ

การอำนวยความสะดวกในธุรกรรมระหว่างประเทศ: ในบางกรณีเอกสารที่ต้องใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เช่น สัญญาซื้อขายที่ดิน สัญญาจ้างงานระหว่างประเทศ ต้องได้รับการรับรองจากทนายความรับรองลายมือชื่อเพื่อให้ได้รับการยอมรับและเป็นที่น่าเชื่อถือ

การลดข้อพิพาททางกฎหมาย: เอกสารที่ได้รับการรับรองจากทนายความรับรองลายมือชื่อมีหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับการลงนามและความถูกต้อง ทำให้สามารถลดข้อพิพาททางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้

การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรม: ช่วยให้การทำธุรกรรมทางกฎหมายที่ซับซ้อน เช่น การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ การทำสัญญาทางธุรกิจ เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ลักษณะงานของทนายความรับรองลายมือชื่อ (Notary Public) คือ

1. รับรองลายเซ็นในเอกสารเพื่อยืนยันว่าลายเซ็นนั้นเป็นของผู้ที่กล่าวอ้างว่าลงนาม

2. รับรองสำเนาถูกต้องของเอกสาร

3. รับรองคำปฏิญาณตนและคำให้การเป็นพยาน

4. ตรวจสอบและรับรองเอกสารทางกฎหมายต่างๆ เช่น สัญญา พินัยกรรม ฯลฯ

ทนายรับรองลายมือชื่อ3

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ให้บริการด้วยทีมทนายที่มีประสบการณ์

สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ให้บริการรับรองลายมือชื่อโดยทนายความที่มีใบอนุญาตและมีความเชี่ยวชาญในด้านกฎหมาย ทนายความของเราพร้อมที่จะให้บริการรับรองลายมือชื่อในเอกสารต่าง ๆ อย่างถูกต้องตามมาตรฐานทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเอกสารสัญญา จดหมายข้อตกลง หรือเอกสารทางธุรกิจอื่น ๆ นอกจากนี้ เรายังให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมเอกสารและขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าเอกสารของคุณจะถูกต้องและครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด

ขั้นตอนการให้บริการ

1. การปรึกษาเบื้องต้น: ลูกค้าสามารถนัดหมายเพื่อปรึกษากับทนายความของเราเกี่ยวกับเอกสารที่ต้องการรับรองลายมือชื่อได้

2. การตรวจสอบเอกสาร: ทนายความจะทำการตรวจสอบเอกสารและลายมือชื่อเพื่อยืนยันความถูกต้อง

 3. การรับรองลายมือชื่อ: เมื่อเอกสารและลายมือชื่อได้รับการตรวจสอบแล้ว ทนายความจะทำการลงลายมือชื่อรับรองในเอกสาร

4. การส่งมอบเอกสาร: หลังจากที่ทนายความลงลายมือชื่อรับรองแล้ว ลูกค้าจะได้รับเอกสารที่ผ่านการรับรองแล้วกลับคืนไป

ด้วยบริการของ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ คุณสามารถมั่นใจได้ว่าเอกสารของคุณจะมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือในเชิงกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินธุรกิจ หรือการไปเรียนต่อต่างประเทศ ตลอดจนการดำเนินการเอกสารสำคัญที่ต้องการการรับรองต่างๆ ภายในประเทศ สำนักงานของเราสามารถให้บริการครอบคลุมในทุกด้านที่คุณต้องการอย่างเชี่ยวชาญด้วยทีมทนายความที่มีประสบการณ์ หากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมหรือมีคำถามเกี่ยวกับบริการของเรา สามารถติดต่อขอรับทราบข้อมูลผ่านช่องทางที่สะดวกได้ทุกเมื่อ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ยินดีพร้อมให้บริการ การรับรองลายมือชื่อเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในกระบวนการทางกฎหมายหรือการทำธุรกรรมต่างๆ การเลือกใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์จะช่วยให้คุณได้รับความมั่นใจและป้องกันปัญหาด้านกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ติดต่อเรา

หากถูกโจมตีทางไซเบอร์แบบ DDoS ปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมออนไลน์

Cover หากถูกโจมตีทางไซเบอร์

ในโลกของยุค 4G ที่เทคโนโลยีได้ถูกพัฒนาไปในอีกระดับเพื่อตอบสนองความสะดวกสบายให้แก่ผู้คน แน่นอนว่าความเจริญทางเทคโนโลยีย่อมมาพร้อมกับความอันตรายทางด้านข้อมูลที่อาจถูกโจมตีได้ทุกเมื่อ ยิ่งในระดับองค์กรใหญ่ที่มีฐานข้อมูลอยู่เป็นจำนวนมาก ยิ่งตกเป็นเป้าหมาย การโจมตีทางไซเบอร์ แบบ DDoS และแบบ DoS ของเหล่าแฮกเกอร์ที่จ้องจะโจมตีระบบให้ล่มจนไม่สามารถใช้งานได้ เป้าหมายเพื่อเรียกเงินค่าไถ่ เพราะยิ่งถ้าล่มนานเท่าไหร่ ความเสียหายก็ยิ่งเกิดขึ้นมากไปด้วย ดังนั้นจึงควรเตรียมแผนรับมือการโจมตีทางไซเบอร์จากเหล่าแฮกเกอร์ไว้ให้ดีอย่างน้อยก็สามารถป้องกันความเสียหายได้ในระดับหนึ่ง

การโจมตีทางไซเบอร์ 1

การโจมตีแบบ DDoS คืออะไร

การโจมตีแบบ DDoS (Distributed Denial of Service) คือการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ระบบเครือข่ายหรือบริการออนไลน์ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ การโจมตีนี้จะทำโดยการส่งคำขอจำนวนมากจากหลาย ๆ แหล่ง (มักจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ถูกควบคุมโดยมัลแวร์หรือบอทเน็ต) ไปยังเซิร์ฟเวอร์หรือบริการเป้าหมายพร้อม ๆ กัน ซึ่งจะทำให้ระบบเครือข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์รับภาระมากเกินไป จนไม่สามารถตอบสนองคำขอที่ถูกต้องจากผู้ใช้จริงได้

การโจมตีแบบ DDoS มีความพิเศษแตกต่างจากการโจมตีด้านไซเบอร์รูปแบบอื่น ๆ ตรงที่มันไม่ได้พยายามละเมิดความปลอดภัยของเซิร์ฟเวอร์ หรือหาทางเจาะช่องโหว่แต่อย่างใด แต่เป้าหมายของ DDoS ต้องการทำให้เว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ไม่สามารถให้บริการได้ตามปกติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ที่เข้าใช้งานโดยตรง อย่างไรก็ตามบางครั้ง DDoS ยังถูกใช้ในการโจมตีเพื่ออำพรางเป้าหมายอื่นที่มุ่งร้ายต่อความปลอดภัยของเซิร์ฟเวอร์ 

นอกจากนี้แล้วการโจมตีแบบ DDoS ยังสามารถโจมตีเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ หรือกระหน่ำยิงซ้ำอย่างต่อเนื่องได้อีกด้วย แต่ไม่ว่าจะทางไหนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์หรือเซิร์ฟเวอร์ ที่กว่าจะสามารถกู้ระบบกลับมาได้อาจจะใช้เวลานานหลายชั่วโมงจนถึงเป็นวัน บางทีอาจใช้เวลาเป็นเดือน ซึ่งส่งผลเสียต่อเจ้าของเว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรายได้, ความเชื่อใจที่ลูกค้ามีให้ และทำให้เจ้าของธุรกิจต้องลงทุนเพิ่มเพื่อกอบกู้ชื่อเสียง ความไว้วางใจกลับมา 

การโจมตีทางไซเบอร์ 2

การโจมตีแบบ DDoS และ DoS แตกต่างกันอย่างไร ?

การโจมตีแบบ DoS เป็นการโจมตีเซิร์ฟเวอร์ด้วยการส่งคำขอเข้าไปเป็นจำนวนมากจากคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว เพื่อให้การจราจรของเว็บไซต์หนาแน่นจนติดขัดไม่สามารถตอบสนองได้ ส่วนการโจมตีแบบ DDoS ลักษณะเหมือนกับการโจมตีแบบ DoS เพียงแต่ใช้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์จำนวนมากส่งคำขอทีละมาก ๆ เข้าไปยังเซิร์ฟเวอร์เพื่อขัดขวางการให้บริการ เมื่อเซิร์ฟเวอร์ได้รับแพ็คเกจเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่เซิร์ฟเวอร์จะสามารถประมวลผลได้ไหว ก็จะทำให้ระบบล่มและหยุดทำงานไปในที่สุด ความจริงแล้วหลักการโจมตีของ DoS และ DDoS นั้นเหมือนกันเพียงแค่การโจมตีแบบ DoS จะเหมือนการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ส่วนการโจมตีแบบ DDoS จะเป็นการต่อสู้แบบทีละมากๆ อย่างไรก็ตามการโจมตีทั้ง 2 แบบมีความแตกต่างกันในลักษณะของการทำงาน ดังนี้ 

  • การตรวจจับ/รับมือ

เนื่องจากการโจมตีแบบ DoS มีแหล่งที่มาของการโจมตีเพียงแห่งเดียว มันจึงง่ายต่อการตรวจจับค้นหาช่องทางที่ผู้โจมตีใช้เชื่อมต่อเข้ามายังเซิร์ฟเวอร์ได้ง่าย ๆ ในความเป็นจริงใช้แค่ Firewall คุณภาพสูงก็แทบจะป้องกันได้แล้ว ในขณะที่การโจมตีแบบ DDoS เป็นการโจมตีเข้ามาจากอุปกรณ์จำนวนมากที่ต่างสถานที่กัน ทำให้ยากที่จะหาต้นตอการโจมตีได้ยากกว่ามาก 

  • ความเร็วในการโจมตี

เนื่องจากการโจมตีแบบ DDoS เป็นการโจมตีจากหลายแห่งพร้อม ๆ กัน มันจึงสามารถระดมยิงได้เร็วกว่า การโจมตีแบบ DoS หลายเท่า เรียกได้ว่าเร็วจนระบบตรวจจับทำงานไม่ทัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าจะมีความเสียหายเกิดขึ้นมากกว่าด้วย 

  • ปริมาณการจราจร

การโจมตีแบบ DoS ใช้อุปกรณ์จำนวนมากในการโจมตีจากระยะไกล ทำให้สร้างจำนวนข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแห่งส่งเข้าไปปั่นป่วนการจราจรของเว็บไซต์ให้โอเวอร์โหลดอย่างรวดเร็ว และยากต่อการตรวจสอบ 

  • วิธีโจมตี

การโจมตีแบบ DDoS จะประสานพลังจากอุปกรณ์ที่มีมัลแวร์ชนิดบอทเน็ต ที่แฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมาก รอรับคำสั่งจากเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์ ในขณะที่การโจมตีแบบ DoS ก็มักจะใช้แค่เครื่องมือหรือสคริปต์เพื่อเริ่มโจมตีจากอุปกรณ์เครื่องเดียว 

  • ตามล่าต้นทางที่โจมตี

การโจมตีแบบ DDoS ใช้มัลแวร์ชนิดบอทเน็ตในการโจมตี ทำให้ยากต่อการตามล่าหาตัวการแฮกเกอร์ได้ยากกว่าการตามหาแหล่งที่มาของการโจมตีแบบ DoS มาก

การโจมตีทางไซเบอร์ 3

การโจมตีแบบ DDoS มีกี่ประเภท

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าการโจมตีแบบ DDoS เป้าหมายคือการทำให้เว็บไซต์หรือเซิร์ฟเวอร์ของเป้าหมายล่มจนไม่สามารถใช้งานได้ หรืออาจอำพรางการโจมตีรูปแบบอื่น ซึ่งตามปกติแล้ว DDoS Attack จะมีการโจมตีอยู่ 3 รูปแบบ คือ

  • การโจมตีชั่นแอปพลิเคชั่น

การโจมตีชั้นแอปพลิเคชั่นนั้นเป็นรูปแบบการโจมตี DDoS ที่ง่ายที่สุด วิธีการคือสร้างคำขอเซิร์ฟเวอร์ธรรมดามาก ๆ เรียกได้ว่าคอมพิวเตอร์หรือเครื่องที่มีบอทเน็ตจะแย่งกันเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์หรือเว็บไซต์เหมือนกับที่ผู้ใช้ปกติทำ แต่การโจมตีแบบ DDoS จะมีความรุนแรงกว่า เพราะปริมาณคำขอนั้นมีมากเกินกว่าที่เซิร์ฟเวอร์จะรองรับไหว จึงทำให้เว็บไซต์เกิดการล่มนั่นเอง

  • การโจมตีโปรโตคอล

การโจมตีแบบโปรโตคอลนั้นจะอาศัยหาผลประโยชน์จากวิธีการที่เซิร์ฟเวอร์ประมวลข้อมูล เพื่อทำให้เป้าหมายทำงานหนักเกินไป ในการโจมตีแบบโปรโตคอลบางรูปแบบบอทเน็ตจะส่งแพ็คเกจข้อมูลให้เซิร์ฟเวอร์รวบรวม จากนั้นเซิร์ฟเวอร์ก็จะรอเพื่อรับข้อมูลยันยันจากที่อยู่ IP ที่มาซึ่งไม่มีวันได้รับ แต่โปรโตคอลจะยังได้รับข้อมูลที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ล้มเหลว ในรูปแบบอื่นๆ มักจะส่งข้อมูลที่ไม่สามารถเก็บรวบรวมได้ ซึ่งทำให้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์ทำงานหนักเกินไป

  • การโจมตีด้วยขนาด

การโจมตีด้วยขนาดนั้นคล้ายกับการโจมตีแบบแอปพลิเคชั่น ต่างกันเล็กน้อยตรงที่การโจมตีในรูปแบบ DDoS แบบนี้ แบนด์วิชท์ที่ใช้งานได้ทั้งหมดของเซิร์ฟเวอร์จะถูกกัดกินโดยคำขอบอทเน็ตที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น บางครั้งบอทเน็ตสามารถหลอกเซิร์ฟเวอร์ให้ส่งข้อมูลจำนวนมากให้กับตัวเอง ซึ่งหมายความว่าเซิร์ฟเวอร์ต้องประมวลผลรับ รวบรวม ส่งและรับข้อมูลอีกครั้ง

การโจมตีทางไซเบอร์ 4

ใครมีความเสี่ยงจะถูกโจมตีด้วย DDoS มากที่สุด

โดยปกติแล้ว DDoS จะไม่พุ่งเป้ามาที่บุคคลทั่วไป แต่มีเป้าหมายไปที่องค์กรขนาดใหญ่เป็นเป้าหมายหลัก เพราะองค์กรขนาดใหญ่สามารถจ่ายเงินจำนวนมากได้ เพื่อแลกกับการถูกโจมตีจนเว็บล่ม แต่องค์กรขนาดเล็กก็มีโอกาสได้รับความเสียหายแบบนี้ได้เช่นกัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องพร้อมรับมือสำหรับองค์กรที่มีเว็บไซต์ออนไลน์ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่อาจถูกโจมตี เราไม่สามารถป้องกันการโจมตีจาก DDoS ที่โจมตีมายังเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราสามารถเตรียมรับมือก่อนที่จะรับมือกับการโหลดข้อมูลนั้นได้ โดยมีวิธีการป้องกันเบื้องต้นได้ดังนี้ คือ  

  • ตรวจพบก่อนโดยการตรวจสอบการเข้าชม

ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่าแบบไหนเรียกว่าเข้าชมแบบปกติ เข้ามาจำนวนน้อยหรือมาก เพื่อคาดการณ์ได้ว่าเมื่อไหร่ที่การเข้าชมนั้นเกินขีดจำกัด เราสามารถเพิ่มอัตราจำกัดขึ้นให้เท่ากับขีดจำกัดในระดับนั้นได้ นั่นแปลว่าเซิร์ฟเวอร์ของคุณจะสามารถรับคำขอให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะรับได้เท่านั้น การเตรียมความพร้อมในเรื่องของการคาดาการณ์แนวโน้มของผู้เข้าชมเว็บของคุณจะช่วยให้จัดการปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นควรเตรียมพร้อมสำหรับช่วงแคมเปญการตลาดที่อาจมีผู้เข้าชมจำนวนมาก หากไม่เตรียมพร้อมรับมืออาจส่งผลให้ระบบเว็บล่ม และการที่เว็บล่มเป็นเวลานานอาจส่งผลเสียหายต่อองค์กรอีกด้วย

  • หาแบนด์วิดท์เพิ่ม

เมื่อคุณสามารถคาดการณ์แนวโน้มของผู้เข้าชมได้แล้ว สิ่งต่อมาที่ควรต้องทำคือการหาแบนด์วิดท์เพิ่มเพื่อเพิ่มพื้นที่เซิร์ฟเวอร์ให้มากกว่าที่คุณต้องการใช้เรียกว่า “การกันพื้นที่” สิ่งนี้จะช่วยซื้อเวลาได้กรณีหากถูกโจมตี DDoS เกิดขึ้นเว็บไซต์ของคุณจะไม่ล่มในทันที

  • ใช้ระบบเครือข่ายของเซิร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาลที่กระจายตัวอยู่ทั่วภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก

เป้าหมายของการโจมตี DDoS คือการทำให้เซิร์ฟเวอร์โฮสติ้งของคุณทำงานหนักจนล่ม ดังนั้นวิธีแก้คือคุณต้องเก็บข้อมูลของคุณไว้บนเซิร์ฟเวอร์ต่าง ๆ ทั่วโลก นั่นคือสิ่งที่ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ของเครื่องเซิร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาลทำได้ ยิ่งคุณมีการกระจายข้อมูลไปในแต่ละเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์เท่ากับช่องโหว่ในการถูกโจมตีจะน้อยลง หากเซิร์ฟเวอร์ที่คุณใช้ทำงานหนักเกินไปก็สามารถเปลี่ยนไปใช้เซิร์ฟเวอร์อื่นแทนได้

การโจมตีทางไซเบอร์ 5

หากต้องตกเป็นเหยื่อการโจมตี DDoS ควรทำอย่างไร  

ในปัจจุบันนี้การโจมตีทางเครือข่ายมีจำนวนมากขึ้น และการโจมตีแบบ DDoS นับวันจะมีความซับซ้อนและทรงพลังมากยิ่งขึ้น การที่เราจะแก้ไขการโจมตีนี้ด้วยตนเองนั้นบางทีดูจะเป็นเรื่องยากเกินไป ดังนั้นการป้องกันการโจมตีตั้งแต่แรกจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ สิ่งที่ควรทำหากถูกโจมตีทำได้ดังนี้

  • หามาตรการป้องกันอย่างรวดเร็ว

หากคุณสามารถรู้ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณนั้นเป็นอย่างไร คุณสามารถคาดการณ์ได้ว่าคุณกำลังตกเป็นเป้าการโจมตี DDoS อยู่หรือไม่ เมื่อคุณสังเกตเห็นความผิดปกติจากคำขอการเข้าชมในปริมาณมากจากแหล่งที่มาที่น่าสงสัย ให้รีบดำเนินการตั้งอัตราขีดจำกัดและรีบล้างบันทึกเซิร์ฟเวอร์เพื่อเพิ่มพื้นที่ว่าง

  • ติดต่อผู้ให้บริการโฮสติ้ง

ผู้ให้บริการโฮสติ้งของคุณอาจสร้างหลุมดำเพื่อจัดการปริมาณคำขอเข้าเว็บไซต์ของคุณ จนกว่าการโจมตีนั้นจะลดลง เพื่อป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ของลูกค้าที่ผู้ให้บริการโอสติ้งดูแลอยู่นั้นเกิดการล่มไปด้วย ซึ่งผู้บริการโฮสติ้งอาจทำการเปลี่ยนเส้นทางการเข้าชมโดยผ่านตัวกรองเพื่อคัดแยกคำขอที่ผิดปกติ ส่วนคำขอที่ปกติจะสามารถผ่านเข้าไปได้

  • โทรติดต่อผู้เชี่ยวชาญ

หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์ถูกโจมตี DDoS แบบเป็นจำนวนมาก หรือไม่สามารถรับสถานการณ์ได้เป็นระยะเวลานานให้รีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้าน DDoS ให้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา โดยผู้เชี่ยวชาญสามารถเบี่ยงเบนปริมาณผู้เข้าชมของคุณไปยังเซิร์ฟเวอร์ใหญ่ของเขาที่สามารถรองรับการเข้ามาในปริมาณมาก ๆ ได้

ปัจจุบันการโจมตีทางไซเบอร์นั้นปรับเปลี่ยนรูปแบบการโจรกรรมข้อมูลอยู่ตลอดเวลา เป้าหมายเพื่อโจมตีองค์กรขนาดใหญ่เพื่อเรียกร้องเงินซึ่งบางครั้งก็เป็นจำนวนมาก เพื่อแลกกับระบบการออนไลน์ที่ใช้งานได้อย่างปกติ ดังนั้นควรเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์การถูกโจมตีเครือข่ายซึ่งอาจเกิดได้ไม่ว่าตอนไหน คุณจำเป็นต้องเตรียมการล่วงหน้าเพื่อพร้อมรับมืออยู่ตลอดเวลา