ถูกดูดเงินหมดบัญชี ปรึกษาทนายความทันที !!

มิจฉาชีพดูดเงินหมดบัญชี ปัญหาที่ถูกพบมากเป็นอันดับต้นๆในขณะนี้ อย่างที่เคยกล่าวไปในหลายๆบทความของเรา ไม่ว่าจะเป็น ถูกดูดเงินหมดบัญชี ปรึกษาทนายฟ้องธนาคารได้ ไม่ต้องรอให้เสียเวลา ! หรือ ปรึกษาทนายด่วนอย่ายอม !! หาเงินแทบตาย สุดท้ายถูกแอปดูดเงินหมดบัญชีและบทความอื่นๆที่เกี่ยวกับการดูดเงินของมิจฉาชีพ ในยุคดิจิทัลที่ธุรกรรมทางการเงินออนไลน์เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ปัญหาการถูกมิจฉาชีพหลอกลวงทางการเงินและการสูญเสียเงินในบัญชีธนาคารก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายคนพบว่าตัวเองกลายเป็นเหยื่อของการหลอกลวงทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการถูกล้วงข้อมูลบัญชีผ่านฟิชชิ่ง (Phishing) การปลอมตัวเป็นบุคคลสำคัญ หรือการใช้โปรแกรมสอดแนมข้อมูล (Spyware) ที่อาจดูดเงินจากบัญชีโดยไม่รู้ตัว

เหตุการณ์เช่นนี้อาจสร้างความตกใจและทำให้ผู้เสียหายไม่รู้จะทำอย่างไรดี ดังนั้น การรีบปรึกษาทนายความเพื่อขอความช่วยเหลือและคำแนะนำทางกฎหมายเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อเพิ่มโอกาสในการจัดการกับปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพและได้รับการคุ้มครองตามสิทธิ์ที่ควรจะได้รับ

รูปแบบการหลอกลวงทางการเงินที่พบบ่อย

1. ฟิชชิ่ง (Phishing)

   ฟิชชิ่งเป็นการหลอกลวงที่ใช้วิธีส่งอีเมล ข้อความ หรือการโทรปลอมตัวเป็นธนาคารหรือองค์กรที่เชื่อถือได้ เพื่อหลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร รหัสผ่าน หรือรหัส OTP จากนั้นมิจฉาชีพจะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้เข้าถึงบัญชีและดูดเงินออกจากบัญชีอย่างรวดเร็ว

2. มัลแวร์และสปายแวร์ (Malware & Spyware)

   มิจฉาชีพอาจใช้โปรแกรมมัลแวร์หรือสปายแวร์ที่ถูกฝังในอุปกรณ์ของผู้ใช้โดยไม่รู้ตัว โปรแกรมเหล่านี้จะคอยเก็บข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน ข้อมูลบัญชีธนาคาร และรหัส OTP เพื่อให้มิจฉาชีพสามารถเข้าถึงบัญชีของเหยื่อและทำธุรกรรมการเงินได้

3. การปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือหน่วยงานรัฐ

   มิจฉาชีพมักจะโทรศัพท์มาหลอกลวงเหยื่อ โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากธนาคาร หน่วยงานรัฐ หรือบริษัทบัตรเครดิต เพื่อแจ้งเตือนเกี่ยวกับการทำธุรกรรมที่ผิดปกติ และขอข้อมูลสำคัญจากเหยื่อ เช่น หมายเลขบัตรประชาชนหรือรหัสผ่าน

4. การหลอกให้ลงทุนปลอม

   มิจฉาชีพบางกลุ่มจะใช้วิธีการชักชวนให้เหยื่อลงทุนในธุรกิจหรือโปรแกรมการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยใช้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ แต่แท้จริงแล้วเมื่อเหยื่อโอนเงินเพื่อการลงทุน เงินจะถูกดูดออกจากบัญชีทันทีและไม่สามารถติดตามได้

ทำไมการปรึกษาทนายความจึงสำคัญ?

1. ปกป้องสิทธิ์ตามกฎหมาย

   การถูกมิจฉาชีพดูดเงินออกจากบัญชีธนาคารเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและทรัพย์สิน การปรึกษาทนายความจะช่วยให้ผู้เสียหายเข้าใจถึงสิทธิ์ของตนเอง รวมถึงแนวทางในการเรียกร้องความเสียหายจากธนาคารหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

2. การติดตามและดำเนินคดี

   ทนายความสามารถช่วยในการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีที่ถูกโจมตีและดำเนินการทางกฎหมายต่อมิจฉาชีพ การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการถูกหลอกลวงทางการเงินนั้นจำเป็นต้องมีการจัดการที่ซับซ้อน ซึ่งการมีทนายความที่มีความเชี่ยวชาญจะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดตามเงินคืนหรือเรียกร้องค่าเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. การประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ

   เมื่อคุณพบว่าบัญชีธนาคารถูกดูดเงิน ทนายความสามารถประสานงานกับธนาคารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเร่งรัดการสืบสวนและติดตามมิจฉาชีพ นอกจากนี้ ทนายความยังสามารถช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำได้ในอนาคต

4. การให้คำปรึกษาและการวางแผนในการดำเนินคดี

   ทนายความจะช่วยให้คุณวางแผนการดำเนินคดีและรวบรวมหลักฐานที่จำเป็นในการฟ้องร้อง โดยจะมีการแนะนำเรื่องเอกสารที่ต้องเตรียม การติดตามบัญชีทางการเงิน และวิธีป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่ออีกในอนาคต

วิธีป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพออนไลน์

-อย่าคลิกลิงก์จากแหล่งที่ไม่รู้จักหรือไม่ควรคลิกที่ลิงก์ที่ได้รับทางอีเมล ข้อความ หรือสื่อสังคมออนไลน์ หากไม่แน่ใจว่าเป็นแหล่งที่มาจากธนาคารหรือหน่วยงานที่เชื่อถือได้

-ตั้งค่าการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด ใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและไม่ใช้รหัสผ่านเดียวกันสำหรับทุกบัญชี นอกจากนี้ ควรเปิดใช้การยืนยันตัวตนสองชั้น (Two-Factor Authentication) เพื่อเพิ่มความปลอดภัย

-ตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมการเงินอย่างสม่ำเสมอ หมั่นตรวจสอบยอดเงินและธุรกรรมที่เกิดขึ้นในบัญชีธนาคารอย่างสม่ำเสมอ และแจ้งธนาคารทันทีหากพบความผิดปกติ

ดูดเงินหมดบัญชี มีทนายได้ทันทีไม่ต้องรอ

เมื่อคุณเผชิญกับเหตุการณ์ที่มิจฉาชีพดูดเงินหมดบัญชี ควรรีบปรึกษาทนายความโดยเร็วที่สุด ทนายความจะช่วยคุณปกป้องสิทธิ์ ติดตามคดี และเรียกร้องความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การได้รับความช่วยเหลือจากทนายความจะเพิ่มโอกาสในการแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้คุณตกเป็นเหยื่ออีกครั้ง

หากคุณตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงทางการเงินและต้องการคำปรึกษา สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์พร้อมให้บริการและให้คำแนะนำทางกฎหมายอย่างครบวงจร โดยทนายความมืออาชีพ 

ตามให้ทันมุกใหม่!! แก๊งคอลเซ็นเตอร์

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ มิจฉาชีพออนไลน์ตัวร้ายในยุค 2024 ที่เทคโนโลยีและการสื่อสารยิ่งมีความก้าวหน้า การหลอกลวงผ่านทางโทรศัพท์หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมไทย แก๊งคอลเซ็นเตอร์มักจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงและวิธีการที่ซับซ้อนขึ้น เพื่อหลอกให้ผู้เสียหายเชื่อถือและให้ข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ เช่น ข้อมูลทางการเงิน ซึ่งทำให้หลายคนตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพาให้คุณเข้าใจมุกใหม่ๆ ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมนำวิธีป้องกันและรับมือหากคุณถูกหลอกโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาฝากกัน

รูปแบบใหม่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ในปัจจุบันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่เพียงแต่หลอกด้วยวิธีเดิมๆ ที่ใช้การข่มขู่ผ่านโทรศัพท์เท่านั้น คาดว่าเพราะคนไทยรู้ทันมุกต่างๆของแก๊งคอลเซ็นเตอร์นี้อยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่วาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้พัฒนาวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้เหยื่อเชื่อถือมากขึ้น วันนี้เรามาดูมุกรูปแบบที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์มักใช้ในปัจจุบันกัน

1. แกล้งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือหน่วยงานทางกฎหมาย

หนึ่งในมุกใหม่ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้คือการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศาล หรือหน่วยงานรัฐ โดยจะข่มขู่ว่าผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน คดียาเสพติด หรือคดีอาญาร้ายแรง หากไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เช่น การโอนเงินเพื่อปิดคดีหรือจ่ายค่าปรับ อาจถูกจับกุมหรือถูกดำเนินคดี นอกจากนี้ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังมักสร้างหลักฐานปลอม เช่น หมายจับหรือเอกสารทางกฎหมายเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือด้วย

2. แกล้งเป็นพนักงานธนาคารหรือบริษัทการเงิน

แก๊งคอลเซ็นเตอร์มักจะอ้างว่ามาจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน แจ้งเตือนว่าบัญชีธนาคารของผู้เสียหายถูกแฮกหรือมีการทำธุรกรรมที่ผิดปกติ โดยขอให้ผู้เสียหายยืนยันตัวตนผ่านการบอกรหัส OTP หรือข้อมูลสำคัญอื่นๆ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้มิจฉาชีพสามารถเข้าถึงบัญชีหรือข้อมูลทางการเงินได้

3. การหลอกว่าได้รับรางวัลใหญ่

อีกหนึ่งมุกยอดฮิตคือการโทรแจ้งว่าผู้เสียหายถูกรางวัลจากบริษัทใหญ่ หรือได้รับของรางวัลมีมูลค่าสูง เช่น รถยนต์ เงินสด หรือโทรศัพท์มือถือ โดยขอให้ผู้เสียหายโอนเงินค่าภาษีหรือค่าดำเนินการเพื่อรับรางวัล การหลอกลวงในรูปแบบนี้ทำให้หลายคนเสียเงินโดยที่ไม่เคยได้รับรางวัลตามที่อ้าง

4. หลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์

นอกจากมุกที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังได้ขยายการทำงานไปยังสื่อสังคมออนไลน์ โดยสร้างโปรไฟล์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น แอบอ้างเป็นพนักงานธนาคาร เจ้าหน้าที่รัฐ หรือบริษัทใหญ่ๆ จากนั้นจะติดต่อผู้เสียหายเพื่อให้ตกหลุมพราง โอนเงิน หรือให้ข้อมูลสำคัญส่วนตัวนั่นเอง

วิธีป้องกันและรับมือกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์

1. ตั้งสติและอย่ารีบเชื่อทันที

หากคุณได้รับโทรศัพท์จากหมายเลขแปลกหรือมีคนแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ ควรตั้งสติและอย่าเพิ่งเชื่อข้อมูลที่ได้รับทันที ไม่ควรทำตามคำสั่งหรือให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น บัตรประชาชน รหัส OTP หรือเลขบัญชีธนาคาร เพราะเจ้าหน้าที่จริงๆ จะไม่มีการขอข้อมูลเหล่านี้ทางโทรศัพท์

2. ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล

หากคุณสงสัยว่าข้อมูลที่ได้รับเป็นความจริงหรือไม่ ควรตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง อย่าติดต่อไปยังหมายเลขที่คนโทรเข้ามาให้ เพราะอาจเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อให้คุณหลงเชื่อ

3. ไม่โอนเงินตามคำขู่

การข่มขู่ให้โอนเงินเพื่อปิดคดีหรือหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมเป็นเรื่องที่ผิดปกติ หากมีกรณีเกี่ยวกับกฎหมายจริงๆ เจ้าหน้าที่จะมีการดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายอย่างชัดเจน และจะไม่มีการขอให้โอนเงินเพื่อยุติคดีทางโทรศัพท์

4. บล็อกและรายงานหมายเลขโทรศัพท์ต้องสงสัย

หากคุณได้รับโทรศัพท์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ควรบล็อกหมายเลขดังกล่าว และรายงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือธนาคารที่ถูกแอบอ้าง เพื่อให้สามารถติดตามและดำเนินคดีกับมิจฉาชีพได้

5. ใช้แอปพลิเคชันป้องกันการหลอกลวงทางโทรศัพท์

   ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่สามารถตรวจสอบและบล็อกหมายเลขที่น่าสงสัยได้ เช่น Truecaller หรือ Whoscall แอปเหล่านี้จะช่วยกรองสายโทรเข้าที่มีความเสี่ยง และแจ้งเตือนเมื่อคุณได้รับสายจากมิจฉาชีพ

หากถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก รีบปรึกษาทนายความด่วน

อย่างที่ทราบกันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงเป็นภัยคุกคามที่ไม่ควรมองข้าม แต่ด้วยการป้องกันและรับมือที่ถูกต้อง คุณสามารถหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้ อย่าลืมตั้งสติทุกครั้งเมื่อได้รับโทรศัพท์จากหมายเลขที่ไม่รู้จัก และหมั่นตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจทำสิ่งใด หากคุณสงสัยว่าคุณตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบและป้องกันความเสียหายต่อไป แตสำหรับเหยื่อหรือผู้เสียหายที่ถูกหลอกโดยมิจฉาชีพอย่างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปแล้วเราขอแนะนำให้ปรึกษาทนายความเพื่อการเดินเรื่องที่รวดเร็วดีที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาไปเดินเรื่องเอง เพราะในปัจจุบันมีผู้เสียหายที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเป็นจำนวนมาก การเดินเรื่องจากหน่วยงานต่างๆ อาจล่าช้าไปตามกัน การปรึกษาทนายความเพื่อการเดินเรื่องที่รวดเร็วและนำมาซึ่งได้ได้รับเงินที่ถูกหลอกไปคืนคือทางออกที่ดีที่สุดปรึกษาทนาย >>ติดต่อเรา<<

หรือหากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับมือกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือการจัดการกรณีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่นๆ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์พร้อมให้บริการ ให้คำปรึกษา และยินดีให้บริการทางกฎหมายกับคุณในทุกสถานการณ์

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยโดนมิจฉาชีพหลอกเรื่องอะไรมากที่สุด

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง บทความนี้จะพามาเจาะลึกในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างที่ทุกท่านทราบกันดี แต่ในขณะเดียวกันภัยออนไลน์กลายเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และภัยออนไลน์มีอะไรบ้างส่งผลกระทบอย่างไรทวีความรุนแรงต่อผู้ใช้งานในประเทศไทยมากเพียงใด มิจฉาชีพในโลกออนไลน์มักจะหาวิธีใหม่ ๆ ในการล่อลวงและหลอกลวงผู้คนอย่างไร บทความนี้จากสำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะพาคุณไปรู้จักกันว่าภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง และภัยออนไลน์ที่พบมากที่สุด รวมถึงเรื่องที่คนไทยมักจะถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมากที่สุดมีเรื่องอะไรบ้างมาติดตามกันได้ในบทความนี้จากเรา

ประเภทของภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง

1. ฟิชชิง (Phishing) : ฟิชชิงเป็นรูปแบบการหลอกลวงที่มิจฉาชีพจะส่งอีเมลหรือข้อความที่ดูเหมือนมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ อาทิ ธนาคาร, บริษัทบัตรเครดิต, หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิต เมื่อผู้ใช้กรอกข้อมูลเหล่านี้ มิจฉาชีพจะนำข้อมูลไปใช้ในการขโมยเงินหรือการทำธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตได้

2. แรนซัมแวร์ (Ransomware): แรนซัมแวร์เป็นมัลแวร์ที่มิจฉาชีพใช้ในการเข้ารหัสข้อมูลของเหยื่อ ทำให้เหยื่อไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของตนได้ และมิจฉาชีพจะเรียกค่าไถ่เพื่อแลกกับการปลดล็อกข้อมูล โดยไม่รับประกันว่าเหยื่อจะได้รับกุญแจถอดรหัสแม้ว่าจะชำระเงินแล้วก็ตาม

3. สแปมและมัลแวร์ (Spam and Malware): สแปมคืออีเมลหรือข้อความที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งถูกส่งมาเป็นจำนวนมาก บางครั้งสแปมเหล่านี้อาจแฝงมัลแวร์ที่สามารถติดตั้งบนคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนของเหยื่อโดยไม่รู้ตัว เมื่อมัลแวร์ติดตั้งแล้ว อาจใช้เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงิน

4. การหลอกลวงทางการเงิน (Financial Fraud): มิจฉาชีพมักใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อหลอกลวงผู้คนให้โอนเงินหรือทำธุรกรรมที่ไม่ถูกต้อง เช่น การหลอกลวงทางโทรศัพท์ (Vishing) หรือการหลอกให้ลงทุนในโครงการที่ไม่มีอยู่จริง5. การขโมยข้อมูลส่วนตัว (Identity Theft): มิจฉาชีพสามารถใช้ข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อ เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลทางการเงิน เพื่อแอบอ้างและทำธุรกรรมรวมไปถึงการสมัครสินเชื่อในชื่อของเหยื่อ ทำให้เหยื่อต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินและกฎหมายในเวลาต่อมา

มิจฉาชีพหลอกคนไทยเรื่องอะไรมากที่สุด

ในประเทศไทยมีหลายวิธีที่มิจฉาชีพออนไลน์ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อ และภัยออนไลน์มีอะไรบ้างคงทราบกันแล้ว แต่หนึ่งในเรื่องที่คนไทยโดนภัยออนไลน์หลอกมากที่สุดคือ การหลอกให้โอนเงินผ่านการแอบอ้างตัวตน ได้แก่

1. การหลอกลวงผ่านการแอบอ้างเป็นหน่วยงานราชการหรือบริษัทใหญ่ ๆ: มิจฉาชีพมักจะแอบอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการ เช่น กรมสรรพากร หรือเจ้าหน้าที่จากธนาคาร เพื่อล่อลวงให้เหยื่อเชื่อว่ามีปัญหาทางกฎหมายหรือทางการเงิน เช่น การเรียกร้องภาษีย้อนหลังหรือบอกว่ามีเงินโอนผิดบัญชี และขอให้เหยื่อโอนเงินเพื่อแก้ไขปัญหา

2. การหลอกให้ลงทุนในธุรกิจที่ไม่น่าเชื่อถือ: การลงทุนในธุรกิจหรือโครงการที่ดูเหมือนให้ผลตอบแทนสูงแต่ไม่มีความเป็นจริง หรือที่เรียกกันว่า “แชร์ลูกโซ่” เป็นวิธีการที่คนไทยจำนวนมากถูกหลอกลวง มิจฉาชีพจะนำเสนอโอกาสการลงทุนที่ดูน่าดึงดูด และใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับเหยื่อ เช่น การนำเสนอข้อมูลปลอมเกี่ยวกับผลกำไร หรือการสร้างความเร่งด่วนในการตัดสินใจ

3. การหลอกให้ซื้อสินค้าหรือบริการออนไลน์ที่ไม่มีอยู่จริง: การช้อปปิ้งออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในประเทศไทย แต่มิจฉาชีพก็ใช้ช่องทางนี้ในการหลอกลวงเช่นกัน หลายครั้งหลายคราวที่เหยื่อถูกหลอกให้ชำระเงินสำหรับสินค้าหรือบริการที่ไม่มีอยู่จริง หรือได้รับสินค้าที่ไม่ตรงกับที่โฆษณา

4. การหลอกลวงด้วยความรัก (Romance Scam): มิจฉาชีพสร้างโปรไฟล์ปลอมบนแอปพลิเคชันหาคู่หรือโซเชียลมีเดียต่าง ๆ  และสร้างความสัมพันธ์กับเหยื่อก่อนจะขอความช่วยเหลือทางการเงิน เช่น อ้างว่าต้องการเงินเพื่อเดินทางมาหาเหยื่อ หรือเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาฉุกเฉิน เป็นต้น

วิธีป้องกันและคำแนะนำเพื่อให้ปลอดภัยจากภัยออนไลน์

เพื่อป้องกันตัวเองจากภัยออนไลน์เหล่านี้หลังจากที่ทราบกันไปแล้วว่าภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยควรมีความระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

– ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลทางการเงินในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ไม่น่าเชื่อถือ

– ไม่ตอบสนองต่ออีเมลหรือข้อความที่ดูน่าสงสัยหรือมาจากแหล่งที่ไม่รู้จัก

– ใช้รหัสผ่านที่แข็งแรงและเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นระยะๆ อยู่เสมอ

– ระมัดระวังในการลงทุน และตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ

ภัยออนไลน์มีอะไรบ้างหลายท่านคงจะทราบกันไปแล้วจากบทความข้างต้น และภัยออนไลน์เป็นเรื่องที่ทุกคนควรตระหนักถึงและมีการป้องกันตนเองอย่างเหมาะสม เพราะไม่เพียงแต่จะสูญเสียทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและความปลอดภัยในชีวิตประจำวันด้วย บทความภัยออนไลน์มีอะไรบ้าง คนไทยโดนมิจฉาชีพหลอกเรื่องอะไรมากที่สุด เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเนื้อหาในบทความนี้จะสามารถเตือนภัยทุกท่านได้ และหากคุณตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ สิ่งสำคัญที่ควรทำคือการปรึกษาทนายความทันทีเพื่อหาหนทางแก้ไข เพราะทนายความสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องตามกฎหมาย ให้บริการในการรวบรวมหลักฐานที่จำเป็น และดำเนินการทางกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิของคุณ นอกจากนี้การปรึกษาทนายความยังช่วยให้คุณทราบถึงขั้นตอนในการเรียกร้องความเสียหายและฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับความยุติธรรมและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นในอนาคต หากต้องการปรึกษาทนายสามารถทักมาปรึกษาได้ที่ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์