ในปัจจุบัน โซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนยุคใหม่ การแชร์ประสบการณ์หรือเรื่องราวส่วนตัวบนแพลตฟอร์มโซเชียลต่างๆ เป็นเรื่องธรรมดา แต่การโพสต์หรือแสดงความคิดเห็นในทางที่ไม่ถูกต้องสามารถนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายได้ โดยเฉพาะกรณีที่เข้าข่าย “หมิ่นประมาท“ หรือการคุกคามทางออนไลน์ เรื่องราวที่เราจะนำมาเตือนในวันนี้เป็นตัวอย่างที่ดีในการตระหนักถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการแสดงความคิดเห็นอย่างไม่ระมัดระวังบนโซเชียลมีเดีย
กรณีตัวอย่าง : จุดเริ่มต้นของดราม่าบนโลกออนไลน์
ผู้เสียหายในกรณีนี้เป็นลูกความของเรา ซึ่งเป็นแฟนคลับตัวยงของศิลปินชื่อดังคนหนึ่ง วันหนึ่งเขาได้โพสต์รูปของตนเองลงบนแพลตฟอร์ม X พร้อมบอกว่าเขาได้มีโอกาสวิดีโอคอล (คอลไซน์) กับศิลปินที่เขาชื่นชอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและยินดีสำหรับเขา แต่การโพสต์นี้กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของดราม่าใหญ่ เมื่อมี “เกรียนคีย์บอร์ด” จากกลุ่มแฟนคลับเดียวกันมารีโพสต์รูปของผู้เสียหายพร้อมกับแสดงความคิดเห็นในเชิงลบ
ในคอมเมนต์นั้น เกรียนคีย์บอร์ดได้กล่าวหาว่าผู้เสียหายเคยไปสร้างความรำคาญในคอนเสิร์ต โดยบอกว่าผู้เสียหายเป็นคนเสียงดังและทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สบายใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริง หลังจากนั้น เกรียนคีย์บอร์ดยังได้โพสต์ในลักษณะที่เป็นการโจมตีผู้เสียหายอย่างต่อเนื่อง โดยใช้คำพูดที่เป็นการดูหมิ่นและส่งเสริมให้ผู้อื่นเข้ามาด่าทอหรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้เสียหายในทางที่เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีอย่างไม่ยุติธรรมในโลกออนไลน์
การข่มขู่และการโพสต์คุกคามอย่างต่อเนื่อง
นอกจากการโพสต์แขวนผู้เสียหายในเชิงเสียหายหลายครั้งแล้ว เกรียนคีย์บอร์ดและกลุ่มแฟนคลับที่เข้ามาแสดงความเห็นร่วมกัน ยังเริ่มขยายการโจมตีไปถึงขั้นที่พูดถึงการข่มขู่ทำร้ายร่างกาย เช่น การบอกว่าจะจับตาดูผู้เสียหายในคอนเสิร์ตที่กำลังจะมาถึง และแสดงท่าทีข่มขู่ในเชิงสนุกปาก ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะไปเข้าร่วมคอนเสิร์ตนั้น ความกลัวนี้ทำให้ผู้เสียหายต้องพลาดโอกาสสำคัญที่เขารอคอยมานาน
นอกจากความกลัวที่จะเกิดขึ้นจากการข่มขู่ทำร้ายร่างกายแล้ว การพูดถึงในทางที่เสียหายยังส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของผู้เสียหายอย่างมาก เขาต้องปิดล็อกโปรไฟล์ในโซเชียลเพื่อปกป้องตัวเองจากการถูกคุกคามเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เกรียนคีย์บอร์ดก็ยังไม่หยุดการโจมตี ยังคงนำเรื่องราวของผู้เสียหายไปแขวนต่อในเชิงลบ ทำให้เขาต้องเผชิญกับความกดดันและความเครียดที่รุนแรงขึ้น
ผู้เสียหายสุดทน ขอใช้สิทธิตามกฎหมายเป็นทางออก
หลังจากที่ผู้เสียหายพยายามหลีกเลี่ยงการถูกคุกคามทางโซเชียลแล้ว แต่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีได้ เขาจึงตัดสินใจเข้าปรึกษาทนายความ เพื่อให้ความเป็นธรรมและแก้ไขสถานการณ์ตามกฎหมาย
กรณีนี้เข้าข่ายการหมิ่นประมาทและการคุกคามทางออนไลน์ ซึ่งตามกฎหมายไทย การหมิ่นประมาทหรือการเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้บุคคลอื่นเสียหาย ถือเป็นความผิดที่สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ การพูดถึงหรือโพสต์ข้อมูลในทางที่ทำให้บุคคลอื่นเสียชื่อเสียงโดยไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งตามกฎหมายอาญา มาตรา 326 ระบุว่า “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
นอกจากความผิดฐานหมิ่นประมาทแล้ว การข่มขู่ที่จะทำร้ายร่างกายบุคคลอื่นผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียยังถือเป็นความผิดทางอาญาฐานข่มขู่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392 โดยผู้กระทำผิดจะต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน
ในกรณีของผู้เสียหาย การฟ้องร้องและการดำเนินคดีอาจไม่ใช่เพียงแค่การแก้ไขปัญหาส่วนตัว แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณเตือนให้สังคมออนไลน์ระมัดระวังการแสดงความคิดเห็นหรือการกระทำที่อาจเข้าข่ายความผิดทางกฎหมาย
บทเรียนสำคัญสำหรับผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย
การแสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์ แม้จะดูเป็นเรื่องง่ายและไม่มีผลกระทบในทันที แต่การโพสต์หรือคอมเมนต์ในทางที่ไม่ระมัดระวังสามารถนำไปสู่การถูกฟ้องร้องได้ นี่เป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกคนในการใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์และไม่ละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น การที่มีทนายความคอยให้คำปรึกษาเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหรือการถูกละเมิดสิทธิ์ในอนาคต
หากคุณตกเป็นเหยื่อของการหมิ่นประมาทหรือการคุกคามในโลกออนไลน์ อย่าลังเลที่จะปรึกษาทนายความเพื่อปกป้องสิทธิ์ของคุณ
สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ พร้อมให้คำปรึกษาและให้บริการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทและการคุกคามทางโซเชียลมีเดีย เพื่อความยุติธรรมและความเป็นธรรมสำหรับผู้เสียหายทุกคน >> ติดต่อเรา <<