คำพิพากษาศาลจังหวัดอุดรธานี ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2566
คดีความระหว่าง เด็กชาย A โดยนางสาว C ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม ที่ 1 เด็กชาย B โดยนางสาว C ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม ที่ 2 นางสาว C ที่ 3 โจทก์ กับ บริษัท XYZ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ 1 บริษัท EFG ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ 2 จำเลย
เรื่อง ประกันภัย
โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัยภาคบังคับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน XX 4112 กรุงเทพมหานคร ไว้จากโจทก์ที่ 3 จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยภาคบังคับและภาคสมัครใจของของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2564 อยู่ในระหว่างเวลาตามสัญญาประกันภัยของจำเลยทั้งสอง ขณะที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 กำลังโดยสารรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน XX 4112 กรุงเทพมหานคร โดยมีนาย D เป็นผู้ขับซึ่งได้รับความยินยอมจากโจทก์ที่ 3 แล้ว ขับรถยนต์คันดังกล่าวมาตามถนนบ้านดุง-บ้านม่วง จังหวัดอุดรธานี เมื่อถึงที่เกิดเหตุรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร โดยมีนาย E เป็นผู้ขับ ซึ่งนาย E ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะวิสัยเช่นนั้นจะต้องมีวิสัยและพฤติการณ์ในการขับ แต่หาได้ใช้ความระมัดระวังดังกล่าวไม่ คือ นาย E ขับรถยนต์คันดังกล่าวล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถคันที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยสารมาเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันและทำให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้รับบาดเจ็บและรถยนต์ของโจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลในอนาคต 200,000 บาท ค่าสูญเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคต 300,000 บาท ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน 300,000 บาท รับผิดต่อโจทก์ที่ 2 ได้แก่ค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลในอนาคต 200,000 บาท ค่าสูญเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคต 300,000 บาท ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน 300,000 บาท และรับผิดต่อโจทก์ที่ 3 ได้แก่ ค่ารถยนต์ 120,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ตั้งแต่วันเกิดเหตุ จนถึงวันฟ้อง วันละ 800 บาท เป็นเวลา 138 วัน คิดเป็นเงิน 110,400 บาท และค่าเสียหายในส่วนนี้จนกว่ารถยนต์ของโจทก์ที่ 3 จะซ่อมแซมเสร็จ วันละ 800 บาท โจทก์ทั้งสามได้ติดตามทวงถามให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,800,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จสิ้น ชำระเงิน 900,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว จนกว่าจะเลยทั้งสองจะชำระเสร็จสิ้น ชำระเงิน 230,400 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 3 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว จนกว่าจะเลยทั้งสองจะชำระเสร็จสิ้น และให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเชิงลงโทษ
โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565
ระหว่างพิจารณาคดี ศาลส่งสำนวนให้ประธานศาลอุทธรณ์เพื่อวินิจฉัยว่าคดีนี้เป็นคดีผู้บริโภคหรือไม่ ประธานศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีนี้เป็นคดีผู้บริโภค
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสามเคลือบคลุม เพราะโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่า นายE กับผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันหมายทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร มีนิติสัมพันธ์กันอย่างไร และผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายอย่างไร ในส่วนของโจทก์ที่ 3 นั้น ค่าขาดประโยชน์นั้นสูงเกินไป เนื่องจากเป็นความบกพร่อมของโจทก์ที่ 3 ที่ติดต่อซ่อมแซมรถยนต์กับอู่ซ่อมรถยนต์เอง จำเลยที่ 2ไม่เกี่ยวข้อง ทำให้การซ่อมแซมใช้ระยะเวลานาน อีกทั้งตามกรมธรรม์นั้น กำหนดให้ชำระไม่เกินวันละ 500 บาท ต่อวัน ในส่วนของจำเลยที่ 1 นั้น ค่ารักษาพยาบาลนั้น จำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระในฐานะผู้รับประกันภัยภาคบังคับแล้ว 80,000 บาท โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ชำระค่ารักษาพยาบาล ค่ารักษาพยาบาลในอนาคตนั้น โจทก์ที่ 1 และที่ 2 รักษาหายสนิทใน 1 เดือน และ 2 สัปดาห์ ตามลำดับ และไม่ได้มีการรักษาต่ออีก โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้รับความเสียหาย ค่าสูญเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคตและสินไหมทดแทนอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินนั้น หลังจากที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 รักษาพยาบาลแล้วก็ไม่ได้เข้ารับการรักษาต่ออีก โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงยังสามารถประกอบอาชีพได้ อีกทั้งโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ยังอยู่ระหว่างการศึกษา ค่าเสียหายในส่วนนี้ จึงไม่แน่นอนและไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์
พิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การ พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 2 แล้ว ข้อเท็จจริที่เป็นที่ยุติรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัยภาคบังคับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน XX 4112 กรุงเทพมหานคร ไว้จากโจทก์ที่ 3 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2564 ซึ่งอยู่ในระหว่างเวลาตามสัญญาประกันภัยของจำเลยทั้งสอง ขณะที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 กำลังโดยสารรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน XX 4112 กรุงเทพมหานคร โดยมีนาย D เป็นผู้ขับ ซึ่งได้รับความยินยอมจากโจทก์ที่ 3 แล้ว ขับรถยนต์คันดังกล่าวมาตามถนนบ้านดุง-บ้านม่วง จังหวัดอุดรธานี เมื่อถึงที่เกิดเหตุมีรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร โดยมีนาย E เป็นผู้ขับขี่ แล้วนาย E ขับรถยนต์โดยประมาท ล้ำเข้ามาในช่องทาฃเดินรถคันที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยสารมาเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันและทำให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้รับบาดเจ็บและรถยนต์ของโจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหาย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประเด็นแรกว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสามเคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า คำฟ้องโจทก์ทั้งสามไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามไม่ได้บรรยายถึงรายละเอียดว่านาย E กับผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร มีนิติสัมพันธ์กันอย่างไรและผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายอย่างไร เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามบรรยายว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยภาคบังคับและภาคสมัครใจรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร โดยที่จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ให้ประเด็นว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าวงเงินความคุ้มครองที่ระบุไว้กรมธรรม์ที่จำเลยที่ 2 ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าโจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะใด ซึ่งเพียงพอให้จำเลยที่ 2 เข้าใจคำฟ้องของโจทก์ว่ามีนิติสัมพันธ์ใดกับผู้เอารประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร และย่อมต้องเข้าใจถึงสภาพแห่งข้อหาโจทก์ทั้งสองและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา172 แม้โจทก์จะไม่ได้บรรยายฟ้องถึงรายละเอียดของนิติสัมพันธ์ดังกล่าวหรือความสัมพันธ์ระหว่างนาย E กับผู้เอาประกันภัยเป็นอย่างไร แต่จากคำให้การก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เข้าใจถึงคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามแล้ว ฟ้องโจทก์ทั้งสามจึงไม่เคลือบคลุม คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามสำเนากรมธรรม์ระบุว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนของรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร จากบริษัท คาร์เร้นท์แอนด์ลีส จำกัด (มหาชน) สิ้นสุดความคุ้มครองในวันที่ 14 กรกฎาคม 2565 ซึ่งเหตุเกิดในวันที่ 24 ตุลาคม 2564 สัญญาประกันภัยค้ำจุนจึงยังมีผลในวันเกิดเหตุ อีกทั้งจเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การไว้ในประเด็นนี้ จึงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุน และเมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่านาย E เป็นผู้ขับขี่รถยนต์ที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัย แล้วนาย E ขับรถยนต์โดยประมาท ล้ำเส้นเข้ามาในช่องทางเดินรถคันที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยสารมา เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันและทำให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้รับบาดเจ็บและรถยนต์ของโจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหาย เมื่อกรมธรรม์ระบุว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก อีกทั้งตามรูปภาพและหนังสือชี้ประมาทระบุว่านาย E รับว่าตนเป็นฝ่ายประมาท ดังนั้นจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยประเด็นสุดท้ายคือ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสามเพียงใด ในส่วนของโจทก์ที่ 3 นั้น โจทก์ทั้งสามมีโจทก์ที่ 3 อ้างตนเองเป็นพยาน เบิกความว่า รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน XX 4112 กรุงเทพมหานคร ได้รับความเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาใช้ดังเดิมได้ โดยประเมินความเสียหายประมาณ 65,000 บาท แต่ความเสียหายจริงเป็นเงิน 120,00 บาท ตามบันทึกการตรวจสภาพรถยนต์และภาพถ่าย และค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ที่ 3 ไม่สามารถใช้รถยนต์ได้เป็นเงิน 800 บาท ต่อวัน เป็นเวลา 138 วัน ส่วนจำเลยที่ 2 มีนาย O พนักงานจำเลยที่ 2 เบิกความว่า ความเสียหายเกี่ยวกับรถยนต์เป็นเงิน 120,000 บาท นั้น สูงเกินไป เนื่องจากโจทก์ทั้งสามไม่ได้ระบุรายละเอียดว่ารถยนต์เสียหายอย่างไร และค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถเป็นเวลา 138 วัน เนื่องจากเป็นความบกพร่องของโจทก์ที่ 3 ที่ติดต่อซ่อมแซมรถยนต์กับอู่ซ่อมรถยนต์เอง จำเลยที่ 2 ไม่เกี่ยวข้อง ทำให้การซ่อมแซมใช้ระยะเวลานาน อีกทั้งตามกรมธรรม์นั้นกำหนดให้ชำระไม่เกินวันละ 500 บาท ต่อวัน เห็นว่า เมื่อพิจารณาจากเอกสารแล้ว จะเห็นได้ว่ารถยนต์ของโจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหายค่อนข้างรุนแรง และค่าเสียหายที่เกิดขึ้นประมาณ 65,000 บาท แม้โจทก์ที่ 3 จะเบิกความว่ารถยนต์ไม่สามารถซ่อมแซมจนกลับมาใช้งานได้อีก แต่โจทก์ทั้งสามก็มิได้มีพยานหลักฐานใดว่าจะเป็นจริงดังที่อ้าง อีกทั้งโจทก์ที่ 3 ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่ารถยนต์คันดังกล่าวยังไม่ได้ซ่อมแซมจนกลับมาใช้งานได้อีก แต่โจทก์ทั้งสามก็มิได้มีพยานหลักฐานใดว่าจะเป็นจริงดังที่อ้าง อีกทั้งโจทก์ที่ 3 ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่ารถยนต์คันดังกล่าวยังไม่ได้ซ่อมแซมจึงไม่อาจรับฟังได้ว่ารถยนต์ไม่สามารถซ่อมแซมจนกลับมาใช้งานได้ จึงสมควรกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 65,000 บาท และในส่วนค่าขาดประโยชน์นั้น แม้ในทางนำสืบของโจทก์ทั้งสามไม่ปรากฏว่าจะใช้เวลาซ่อมแซมนานเท่าใด อีกทั้งหากโจทก์ทั้งสามนำรถยนต์เข้าซ่อมแซมในทันทีก็อาจไม่ต้องใช้ระยะเวลาถึง 138 วัน ตามที่กล่าวอ้าง แต่อย่างไรก็ตามการที่รถยนต์ของโจทก์ที่ 3 ได้รับความเสียหายย่อมต้องใช้ระยะเวลาในการซ่อมแซมอยู่ดี จึงเห็นสมควรคกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 500 บาท ต่อวัน เป็นเวลา 60 วัน คิดเป็นเงิน 30,000 บาท รวมค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 95,000 บาท
ในส่วนของโจทก์ที่ 3 นั้น โจทก์ทั้งสามมีโจทก์ที่ 3 อ้างตนเองเป็นพยาน เบิกความว่า โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บ ได้แก่ กระดูกมือขวาหัก 2 ท่อน มีบาดแผลถลอกที่คาง หลังมือซ้าย ไหปลาร้าด้านขวา มือขวาบวม มีแผลฟกช้ำ ต้องรักษาโดยการใส่เฝือกอ่อน ใช้เวลารักษาตัวเป็นระยะเวลา 1 เดือน และโจทก์ที่ 1 ยังต้องพักรักษาตัวต่อไปอีกมากกว่าที่กำหนดไว้ในใบรับรองแพทย์ อีกทั้งอุบัติเหตุดังกล่าวยังทำให้ศีรษะของโจทก์ที่ 1 ตรงบริเวณขมับด้านขวายุบ ภาพถ่ายอาการบาดเจ็บ สำเนาฟิล์มเอกซเรย์ สำเนาใบรับรองแพทย์ สำเนาประวัติการรักษา สำเนาใบนำส่งผู้บาดเจ็บ มีค่ารักษาพยาบาลก่อนฟ้องเป็นเงิน 1,250 บาท ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวเนื่องกับค่ารักษาพยาบาล โดยหลังจากเกิดอุบัติเหตุโจทก์ที่ 1 จึงดื่มนมตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ คิดเป็นเงิน 4,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลในอนาคตและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาลในอนาคตนั้น โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บเป็นเหตุให้ศีรษะของโจทก์ที่ 1 ตรงบริเวณขมับด้านขวายุบลงจนเห็นได้ชัด จึงต้องทำการรักษาในอนาคต คิดเป็นเงิน 95,990 บาท ในส่วนของค่าสูญเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคต โจทก์ที่ 1 ประสงค์ที่จะประกอบอาชีพตำรวจในอนาคต แต่เมื่อศีรษะของโจทก์ที่ 1 ตรงบริเวณขมับด้านขวายุบลง ทำให้โจทก์ที่ 1 ไม่อาจจะประกอบอาชีพดังกล่าวได้ คิดค่าเสียหายเป็นเงิน 300,000 บาท และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินนั้น โจทก์ที่ 1 ใช้เวลารักษาพยาบาล 1 เดือน ยังไม่สามารถใช้มือขวาได้ดีดังเดิม และมีภาวะหวาดกลัวในขณะที่ต้องโดยสารรถยนต์ คิดเป็นเงิน 300,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 มีนาย O พนักงานจำเลยที่ 2 เบิกความได้ความว่า จำเลยที่ 1 ชำระค่ารักษาพยาบาลในฐานะผู้รับประกันภัยภาคบังคับของรถยนต์ของโจทก์ที่ 3 แล้ว โดยมีวงเงิน 80,000 บาท โจทก์ที่ 3 จึงไม่เสียหายในส่วนนี้ ส่วนค่าเสียหายอื่น ๆ นั้น โจทก์ที่ 1 ใช้เวลารักษาพยาบาลเพียง 1 เดือน และไม่ปรากฏว่าต้องรักษาพยาบาลอีก จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด เห็ฯว่าระบุว่า “ชำระเงินเอง(ผู้ประสบภัยจากรถ)” และโจทก์ที่ 3 ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่า จำเลยที่ 1 ชำระค่ารักษาพยาบาลส่วนหนึ่ง แต่ก็มาเบิกความว่าพยานเป็นผู้ชำระเงินเอง อันเป็รการขัดแย้งกันในตัวเอง แต่เมื่อพิจารณาจากวงเงินที่จำเลยที่ 1 ให้ความคุ้มครองนั้น เป็นวงเงิน 80,000 บาท และโจทก์ที่ 3 ก็รับว่าเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 เต็มวงเงิน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์ที่ 3 ชำระค่ารักษาพยาบาล แต่เป็นจำเลยที่ 1 ที่ชำระ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในส่วนนี้ ส่วนค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาล การที่โจทก์ที่ 3 จะให้โจทก์ที่ 1 ดื่มนมเพื่อรักษาอาการกระดูกมอืขวาหักนั้น แม้จะเป็นการทำตามที่แพทย์แนะนำดังที่โจทก์ที่ 3 เบิกความ แต่โจทก์ทั้งสามไม่ได้มีหลักฐานว่าได้ซื้อนมดังกล่าวที่อ้างหรือไม่ อีกทั้งโจทก์ที่ 1 ยังเป็นเด็ก การที่โจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ที่ 1 ให้โจทก์ที่ 1 ดื่มนมย่อมเป็นเรื่องปกติในการดูแลบุตรของมารดา จึงไม่กำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ ส่วนค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาลในอนาคตและค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินนั้น ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลศีรษะยุบลง แต่ระบุเพียงว่ามีบาดแผลที่คางฉีกขาดที่คาง 0.1 x 0.5 เซนติเมตร และแพทย์ให้ความเห็นว่ารักษาหายใน 1 เดือน ดังนั้น แม้โจทก์ทั้งสามจะอ้างว่าโจทก์ที่ 1 ต้องทำการรักษาที่ศีรษะหรือไม่สามารถประกอบอาชีพตำรวจได้ แต่การที่ศีรษะของโจทก์ที่ 1 ตรงบริเวณขมับด้านขวายุบลงจึงไม่ใช่ผลโดยตรงจากอุบัติเหตุ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายส่วนนี้ และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินนั้น โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บกระดูกมือขวาหักต้องใช้เวลารักษาเป็นเวลา 1 เดือน และเมื่อพิจารณาจากความรุนแรงของอุบัติเหตุ ย่อมทำให้โจทก์ที่ 1 ได้รับความทุกข์ทรมานและเกิดการหวาดระแวงอยู่บ้าง แต่ค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้องมานั้นสูงเกินไป จึงกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 50,000 บาท
ในส่วนของโจทก์ที่ 2 โจทก์ทั้งสามมีโจทก์ที่ 3 อ้างตนเองเป็นพยาน เบิกความว่า โจทก์ที่ 2 ได้รับบาดเจ็บ ได้แก่ กระดูกขาหัก 2 ข้าง ต้องเข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัดดามเหล็กต้องใส่เหล็กดามตรงต้นขาทั้งสองข้างและใส่เหล็กดามตรงกระดูกหน้าแข้งของขาข้างซ้าย มีบาดแผลฉีกขาดที่ขาขวาและใต้ตาซ้าย ใช้เวลารักษาตัวเป็นระยะเวลา 60 วัน และโจทก์ที่ 2 ยังต้องพักรักษาตัวต่อไปอีกมากกว่าที่กำหนดในใบรับรองแพทย์ ตามสำเนาใบส่งตัวผู้บาดเจ็บ สำเนาภาพถ่ายอาการบาดเจ็บ สำเนาฟิล์มเอกซเรย์ สำเนาใบรับรองแพทย์ สำเนาประวัติการรักษา และสำเนาใบนัดผู้ป่วย มีค่ารักษาพยาบาลจากการผ่าตัด 3 ครั้ง เป็นเงิน 238,368 บาท และเข้ารักษาในโรงพยาบาลวันละ 200 บาท เป็นเวลา 1,800 บาท รวเป็นเงิน 241,968 บาท ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาล โดยโจทก์ที่ 2 ต้องเดินทางจากจังหวัดสกลนครไปรักษาที่โรงพยาบาลอุดรธานี 4 ครั้ง คิดเป็นเงิน 8,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลในอนาคตและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาลในอนาคตนั้น โจทก์ที่ 2 ได้รับบาดเจ็บกระดูกต้นขาหักสองข้าง จึงต้องผ่าตัดนำเหล็กออกจากกระดูกที่ดามไว้ คิดเป็นเงิน 160,000 บาท ค่ากายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกาย คิดเป็นเงิน 10,000 บาท และมีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัด จึงซื้อยาทาบริเวณรอยแผลเป็นและต้องทำการรักษาในอนาคต คิดเป็นเงินจำนวน 4,920 บาท และ 21,000 บาท และโจทก์ที่ 2 ดื่มนมตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ คิดเป็นเงิน 8,000 บาท ในส่วนของค่าสูญเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคต โจทก์ที่ 2 ประสงค์จะประกอบอาชีพตำรวจในอนาคต แต่เมื่อโจทก์ที่ 2 เดินกะเผลก แขนขายาวไม่เท่ากันอย่างชัดเจน ทำให้โจทก์ที่ 2 ไม่อาจจะประกอบอาชีพดังกล่าวได้ คิดค่าเสียหายเป็นเงิน 300,000 บาท และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินนั้น โจทก์ที่ 2 ต้องรับการรักษาโดยการผ่าตัด 3 ครั้ง ระหว่างนั้นโจทก์ที่ 2 ไม่สามารถเดินและช่วยเหลือตัวเองได้ และมีภาวะหวาดกลัวในขณะที่ต้องโดยสารรถยนต์ คิดเป็นเงิน 300,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 มีนาย O พนักงานจำเลยที่ 2 เบิกความได้ความว่า จำเลยที่ 1 ชำระค่ารักษาพยาบาลในฐานะผู้รับประกันภัยภาคบังคับของรถยนต์ของโจทก์ที่ 3 แล้ว โดยมีวงเงิน 80,000 บาท โจทก์ที่ 3 จึงไม่เสียหายในส่วนนี้ ส่วนค่าเสียหายอื่น ๆ นั้น โจทก์ที่ 2 ใช้เวลารักษาพยาบาลเพียง 2 สัปดาห์ และไม่ปรากฏว่าต้องรักษาพยาบาลอีก จำเลยที 2 จึงไม่ต้องรับผิด เห็นว่าตามเอกสารระบุว่ามีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เป็นเงิน 119,000 บาท, 52,500 บาท และ 66,330 บาท ตามลำดับ ซึ่งแม้โจทก์ที่ 3 จะเบิกความจะเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่า ใช้สิทธิบัตรทองในการชำระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม แม้โจทก์ที่ 2 จะได้รับตามโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าของรัฐ ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกร้องจากจำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องระงับไป เพราะเป็นสิทธิของโจทก์ที่ 2 ตามที่กฎหมายบัญญัติ อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่ารักษาพยาบาลของโจทก์ที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยภาคสมัครใจของรถยนต์ของโจทก์ที่ 3 จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในส่วนนี้เป็นเงิน 238,368 บาท ส่วนค่าชดเชยรายวันนั้น ไม่ปรากฏว่าในทางนำสืบว่าโจทก์ที่ 2 จะได้รับชดเชยในส่วนนี้อย่างไร อันเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ จึงไม่กำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ ส่วนค่าเดินทางมารักษาพยาบาลนั้น โจทก์ที่ 2 ต้องเดินทางจากจังหวัดสกลนครมาที่โรงพยาบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี 4 ครั้ง ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ จึงกำหนดให้ตามขอ เป็นเงิน 8,000 บาท ส่วนค่ารักษาพยาบาลในอนาคต โจทก์ที่ 2 ที่มีอายุ 10 ปี ย่อมมีการเจริญเติบโตไปตามวัยและจำต้องเอาเหล็กดามกระดูกออกเพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นค่าใช้จ่ายอนาคตแต่เมื่อเทียบเคียงจากค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดที่ผ่านมาของโจทก์ที่ 2 และแบบประเมินค่าทำหัตถการแล้ว เห็นควรกำหนดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นเงิน 100,000 บาท ส่วนค่ากายภาพบำบัดในการรักษาด้วย ที่โจทก์ที่ 2 ขอค่าเสียหายมาในส่วนนี้เหมาะสมแล้ว จึงกำหนดให้ตามขอ เป็นเงิน 10,000 บาท ส่วนค่ารักษารอยแผลเป็นนั้น ตามรูปถ่ายจะเห็นได้ว่าโจทก์ที่ 2 มีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดหลายจุด แต่การรักษาทั้งใช้ยาทาหรือทำเลเซอร์ตามที่โจทก์ที่ 3 เบิกความนั้นไม่ใช่การรักษาบาดแผลที่ได้รับจากอุบัติเหตุ แต่เป็นเรื่องของการตบแต่งบาดแผล ยกคำขอในส่วนนี้ ส่วนค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาล การที่โจทก์ที่ 3 จะให้โจทก์ที่ 2 ดื่มนมเพื่อรักษาอาการกระดูกต้นขาหักนั้นต่างกับโจทก์ที่ 1 เนื่องจากอาการกระดูกต้นขาหักเป็นอาการบาดเจ็บที่รุนแรง นอกจากจะต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือทำกายภาพบำบัด จะต้องดื่มนมที่มีโปรตีนและแคลเซียมประกอบด้วยจึงจะทำให้กระดูกสมานกันดังเดิม เมื่อโจทก์ที่ 2 ต้องดื่มนมวันละ 2 กล่อง อันเป็นปริมาณที่เหมาะสม จึงกำหนดให้ตามขอเป็นเงิน 8,000 บาท ส่วนค่าสูญเสียความสามารถในการประกอบการงานในอนาคตและค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินนั้น เมื่อพิจารณาจากคลิปวิดีโอและความรุนแรงของบาดแผลที่โจทก์ที่ 2 ได้รับแล้ว การที่โจทก์ที่ 2 ได้รับบาดเจ็บกระดูกต้นขาหักทั้งสองข้างจึงส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต โดยใช้เวลาตั้งแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันที่ผ่าตัดครั้งสุดท้ายเป็นเวลา 2 เดือนและยังต้องทำกายภาพบำบัดอีก แม้โจทก์ที่ 2 จะกลับมาเดินได้ แต่ก็ยังมีอาการเดินกะเผลกและไม่แน่ว่าจะรักษาให้หายขาดได้หรือไม่ ซึ่งอาจประสบปัญหาในการประกอบอาชีพต่อไป แต่อย่างไรก็ดี ที่โจทก์ที่ 3 อ้างว่าโจทก์ที่ 2 อยากประกอบอาชีพเจ้าพนักงานตำรวจก็เป็นเพียงการคาดคะเนของโจทก์ที่ 3 เอง โจทก์ที่ 2 อาจประกอบอาชีพอื่นที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนก็ได้ จึงกำหนดค่าเสียหายในส่วนค่าสูญเสียความสามารถในการประกอบการงานในอนาคตเป็นเงิน 250,000 บาท และเมื่อพิจารณาจากความรุนแรงของอุบัติเหตุตามภาพถ่ายอาการบาดเจ็บ และการเดินของโจทก์ที่ 2 ตามเอกสารแล้ว นอกจากย่อมทำให้โจทก์ที่ 2 ได้รับความทุกข์ทรมานระหว่างการรักษาแล้ว โจทก์ที่ 2 อาจไม่สามารถเดินหรือวิ่งได้เหมือนคนปกติ และยังมีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดและเกิดการหวาดระแวงในการโดยสารรถยนต์ แต่ค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสามเรียกร้องมานั้นสูงเกินไป จึงกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นเงิน 250,000 บาท รวมค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 ต้องชำระให้แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 856,368 บาท
ในส่วนดอกเบี้ยนั้นปรากฏตามทางนำสืบของโจทก์ทั้งสามโดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ปฏิเสธว่าตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย หมวดเงื่อนไขทั่วไปข้อ 5 ระบุว่าหากศาลพิพากษาให้บริษัทแพ้คดี บริษัทจะต้องรับผิดต่อผู้เอาประกันภัยหรือผู้เสียหายนั้น โดยชดใช้ค่าเสียหายตามอัตราดังกล่าว สำหรับค่าเสียหายเชิงลงโทษนั้นเห้ฯว่าโจทก์มีนายศุภสิทธิ์ ศิริ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ทั้งสามและทนายโจทก์ เบิกความว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยภาคบังคับและภาคสมัครใจของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 2XX 1016 กรุงเทพมหานคร จึงมีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อบุคคลภายนอกเมื่อเกิดวินาศภัย ภายหลังเกิดเหตุ โจทก์ทั้งสามทวงถามให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วแต่เพิกเฉย ทั้งที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน แต่กลับไม่ดำเนินการพิจารณาและชดใช้เงินหรือค่าสินไหมทดแทนภายใน 15 วัน และไม่ระบุข้อเท็จจริงและเหตุผลของการปฏิเสธไม่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ส่วนจำเลยที่ 2 มีนาย O เบิกความว่าพยานเคยเจรจากับโจทก์ที่ 3 แล้วแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ เนื่องจากพยานเสนอชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่เกินคนละ 50,000 บาท แต่โจทก์ที่ 3 เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเต็มวงเงินตามกรมธรรม์ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 จะเคยเจรจาค่าสินไหมทดแทนกับโจทก์ที่ 3 แล้ว แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งไม่ปรากฏว่าก่อนฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 2 ได้พิจารณาทบทวนการจ่ายยค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสามหรือชี้แจงข้อเท็จจริงและเหตุผลของการปฏิเสธไม่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน อันเป็นการขัดต่อคำสั่งนายทะเบียนที่ 66/2563 และคู่มือตีความกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ คู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์คู่มือตีความกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์แบบคุ้มครองเฉพาะภัย แม้โจทก์ทั้งสามจะไม่ใช่ผู้เอาประกันภัยกับจำเลยที่ 2 แต่โจทก์ทั้งสามเป็นผู้เสียหายจากรถยนต์ที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัย เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนที่ 66/2563 ในการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสาม การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพและธุรกิจอันเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษให้แก่โจทก์ทั้งสามเป็นเงินคนละ 50,000 บาท ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 12 ประกอบมาตรา 42
พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 50,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14 มีนาคม 2565) เป็นต้น ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 864,368 บาท ให้โจทก์ที่ 2 พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 864,368 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระเงิน 75,000 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 3 พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 75,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษแก่โจทก์ทั้งสามคนละ 5,000 บาท กับให้จำเลยที่ 2 ชดใช่ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยส่วนที่โจทก์ทั้งสามได้รับยกเว้นนั้น ให้จำเลยที่ 2 นำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ทั้งสาม เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ชำระตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสามชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท คำขออื่นให้ยก/