อาชีพโฮสต์หรือ PR ในสถานบันเทิงมักเกี่ยวข้องกับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งบางครั้งอาจนำไปสู่การให้ของขวัญหรือเงินโดยสมัครใจจากลูกค้า อย่างไรก็ตาม หากความสัมพันธ์เปลี่ยนไป เช่น กรณีที่ลูกค้าทำให้โฮสต์เสียหายทางชื่อเสียง หรือเกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับเงินที่ได้รับ การดำเนินการทางกฎหมายก็อาจเกิดขึ้นได้
ในกรณีที่ลูกค้าให้เงินจำนวน 240,000 บาท แก่โฮสต์โดยสมัครใจ และมีหลักฐานว่าการให้เงินดังกล่าวเป็นการช่วยเหลือหรือมาจากความชอบพอโดยไม่มีเงื่อนไขว่าต้องคืนเงิน แต่เมื่อความสัมพันธ์เปลี่ยนไป ลูกค้ากลับมาทวงเงินคืน และมีพฤติกรรมละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของโฮสต์ เช่น การโพสต์รูปห้องนอนของโฮสต์ลงโซเชียลมีเดีย ซึ่งส่งผลเสียหายต่อโฮสต์ คำถามสำคัญคือ โฮสต์ต้องคืนเงินหรือไม่ และสามารถดำเนินคดีกับลูกค้าได้หรือไม่?
พิจารณาประเด็นทางกฎหมายเกี่ยวกับการรับเงินในกรณีนี้

1. เงินจำนวน 240,000 บาท ถือเป็นการให้โดยเสน่หา (ให้เปล่า) หรือไม่?
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 521 ระบุว่า “การให้ หมายถึงสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งให้หรือสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินแก่บุคคลอีกคนหนึ่งโดยไม่คิดค่าตอบแทน และอีกฝ่ายหนึ่งยอมรับ”
หากสามารถพิสูจน์ได้ว่า ลูกค้าให้เงินโดยสมัครใจ ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขว่าจะต้องคืนในอนาคต และมีหลักฐาน เช่น ข้อความแชทที่แสดงว่าลูกค้าต้องการช่วยเหลือหรือให้เพราะความชอบพอ เงินจำนวนนั้นถือเป็นการให้โดยเสน่หา โฮสต์ไม่มีหน้าที่ต้องคืนเงิน
แต่หากลูกค้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าเงินที่ให้เป็นเงินที่มอบให้เพื่อจุดประสงค์เฉพาะ เช่น ให้เพื่อเป็นค่าบริการ หรือมีข้อตกลงล่วงหน้าว่าจะต้องคืน ก็อาจมีผลทางกฎหมายที่แตกต่างกัน
2. หากขึ้นศาล โฮสต์ต้องคืนเงินหรือไม่?
- กรณีที่มีหลักฐานว่าเงินเป็นการให้เปล่า
- โฮสต์ ไม่มีภาระต้องคืนเงิน เพราะเงินดังกล่าวถือเป็นของขวัญหรือการให้โดยเสน่หา
- ลูกค้าไม่สามารถเรียกร้องคืนได้ เว้นแต่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าเงินดังกล่าวมีเงื่อนไขที่ต้องคืน
- กรณีที่ลูกค้าสามารถพิสูจน์ว่าเงินดังกล่าวให้โดยมีเงื่อนไขต้องคืน
โฮสต์ อาจต้องคืนเงิน ทั้งหมดหรือบางส่วน ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและข้อตกลงที่เคยมี
กรณีลูกค้าละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของโฮสต์โดยโพสต์รูปห้องนอน
1. การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และผลทางกฎหมาย
การที่ลูกค้านำ รูปห้องนอนของโฮสต์ ไปเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจเข้าข่าย การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและสิทธิในความเป็นส่วนตัว ซึ่งมีผลทางกฎหมายในหลายด้าน ได้แก่
- ความผิดฐานละเมิดสิทธิส่วนบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
- ลูกค้าต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่น ความเสียหายต่อชื่อเสียง หรือส่งผลกระทบต่ออาชีพของโฮสต์
- โฮสต์สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายได้
- ความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 16
- การนำภาพของผู้อื่นไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต และส่งผลกระทบต่อบุคคลนั้น อาจเข้าข่าย การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์
- ผู้กระทำผิดอาจถูกปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี
2. โฮสต์สามารถดำเนินคดีทางกฎหมายกับลูกค้าได้หรือไม่?
โฮสต์สามารถ แจ้งความดำเนินคดีอาญาและฟ้องร้องทางแพ่ง ได้ โดยสามารถดำเนินการดังนี้
- แจ้งความที่สถานีตำรวจ เพื่อให้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์
- ยื่นฟ้องคดีแพ่ง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
ข้อแนะนำในการดำเนินการทางกฎหมาย

1.รวบรวมหลักฐานให้ครบถ้วน
o แชทที่ลูกค้าแสดงเจตนาให้เงินโดยเสน่หา
o หลักฐานการโอนเงินหรือเอกสารทางการเงิน
o ภาพหน้าจอโพสต์ของลูกค้าที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของโฮสต์
2.ปรึกษาทนายความ
o หากโฮสต์ถูกฟ้องเรียกเงินคืน ควรมีทนายความเดินเรื่องเตรียมเอกสารและแนวทางการต่อสู้คดี
o หากต้องการดำเนินคดีเรื่องการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ควรให้ทนายช่วยยื่นฟ้องคดีแพ่งและอาญา
3.อย่าโต้ตอบทางโซเชียลมีเดีย
o การตอบโต้กันทางโซเชียลอาจส่งผลเสียในภายหลัง ควรดำเนินการตามกฎหมายเท่านั้น
ในกรณีที่ลูกค้าให้เงิน 240,000 บาท โดยสมัครใจและไม่มีเงื่อนไข โฮสต์ ไม่มีหน้าที่ต้องคืนเงิน ตามกฎหมายว่าด้วยการให้โดยเสน่หา อย่างไรก็ตาม หากลูกค้าสามารถพิสูจน์ได้ว่าเงินดังกล่าวมีเงื่อนไข โฮสต์อาจต้องคืนเงินบางส่วนหรือทั้งหมด
นอกจากนี้ การที่ลูกค้า โพสต์ภาพห้องนอนของโฮสต์ โดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็น การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งอาจมีความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา โฮสต์สามารถดำเนินคดีเรียกร้องค่าเสียหายและเอาผิดทางกฎหมายได้
หากโฮสต์ต้องการปกป้องสิทธิของตนเอง ควรปรึกษาทนายความ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายอย่างถูกต้อง และลดความเสี่ยงในการถูกเรียกร้องเงินคืนโดยไม่มีเหตุผลทางกฎหมายรองรับ