เบื้องหลังหน้าฉาก: ด้านมืดของเงินลงทุนจีนในไทย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนและทำธุรกิจ โดยเฉพาะคนจีนที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลายด้าน ทั้งการค้าขาย การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และการพัฒนาธุรกิจดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของธุรกิจจากชาวจีนในไทยไม่ได้นำมาซึ่งแค่โอกาสทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดช่องให้ขบวนการฟอกเงินที่เชื่อมโยงกับกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ เช่น “จีนเทา” (Chinese Mafia) ได้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการฟอกเงินและซุกซ่อนทรัพย์สินผิดกฎหมาย

จีนเทา: ขบวนการฟอกเงินข้ามชาติ

“จีนเทา” หมายถึง กลุ่มอาชญากรจีนที่มีเครือข่ายข้ามชาติ และดำเนินการในหลากหลายกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น คอลเซ็นเตอร์หลอกลวงประชาชน ฟอกเงิน และการค้ายาเสพติด กลุ่มนี้มีการจัดตั้งธุรกิจต่างๆ เช่น ร้านอาหาร, บริษัทรับแลกเงินดิจิทัล, หรือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยมีการใช้คนไทยเป็นนอมินีในการถือครองทรัพย์สิน เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่

วิธีการฟอกเงินหลักของกลุ่มจีนเทาคือการใช้ สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) หรือการทำธุรกรรมที่ซับซ้อนผ่านแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัล ก่อนจะนำไปแลกเป็นเงินสดและโอนให้กับผู้ต้องการ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลในประเทศจีนที่ต้องการเงินสดในไทยเพื่อการทำธุรกิจ หรือปกปิดแหล่งที่มาของเงินที่ผิดกฎหมาย

วิธีการทำธุรกิจในไทยของคนจีน

ธุรกิจของคนจีนที่เข้ามาลงทุนในไทยมีหลากหลายประเภท ทั้งในภาคการค้า, การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และการทำธุรกิจออนไลน์ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจบางประเภทอาจมีลักษณะการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใส เช่น การใช้บัญชีม้า (Shell Companies) หรือการตั้งบริษัทที่ไม่มีการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจจริง แต่มีไว้เพื่อหลบเลี่ยงภาษี หรือการฟอกเงิน

นอกจากนี้ การนำเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) เข้ามาใช้ในการทำธุรกรรม ยังช่วยให้ขบวนการฟอกเงินทำงานได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องผ่านช่องทางการเงินแบบเดิม ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจยากต่อการตรวจสอบและควบคุม

การฟอกเงินและการลักลอบทำธุรกิจผิดกฎหมาย

การฟอกเงินเป็นอาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ โดยขบวนการฟอกเงินจะพยายามซุกซ่อนแหล่งที่มาของเงินผิดกฎหมายที่ได้มาจากการฉ้อโกง หรือการค้ายาเสพติด ผ่านธุรกิจที่ดูเหมือนถูกต้อง เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การตั้งบริษัท หรือแม้กระทั่งการทำธุรกิจออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล

เจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศไทยได้เริ่มตรวจสอบขบวนการเหล่านี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะการใช้ บัญชีม้า และ บริษัทนอมินี ซึ่งเป็นวิธีการที่กลุ่มอาชญากรนิยมใช้ในการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากหน่วยงานของรัฐ โดย บัญชีม้า หมายถึง บัญชีธนาคารที่เปิดโดยใช้ชื่อบุคคลอื่น ซึ่งอาจจะเป็นญาติ คนรู้จัก หรือแม้แต่บุคคลทั่วไปที่ถูกจ้างหรือหลอกให้เปิดบัญชี เพื่อนำไปใช้ในการรับหรือโอนเงินจากกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การพนันออนไลน์ การฉ้อโกง หรือฟอกเงิน โดยเจ้าของตัวจริงจะไม่ปรากฏในธุรกรรมใด ๆ ทำให้ยากต่อการติดตามตัวในขณะที่ บริษัทนอมินี หรือ Nominee Company คือบริษัทที่ตั้งขึ้นโดยมี “ตัวแทน” ถือหุ้นหรือดำเนินกิจการในนามของผู้อื่น โดยแท้จริงแล้วผู้ที่อยู่เบื้องหลังหรือเป็นเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริงอาจเป็นบุคคลที่ต้องการซ่อนตัวจากการตรวจสอบ เช่น ชาวต่างชาติที่ต้องการถือครองที่ดินหรือดำเนินธุรกิจในประเทศไทยโดยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมาย วิธีการเหล่านี้จึงกลายเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพใช้ในการอำพรางความเชื่อมโยงกับธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย ทำให้การติดตามเส้นทางการเงินและการดำเนินคดีเป็นไปอย่างซับซ้อนและใช้เวลา

กฎหมายและการควบคุม

ในประเทศไทย, การฟอกเงินและการกระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจไม่โปร่งใสมีโทษตามกฎหมายที่รุนแรง โดยการฟอกเงินถือเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมถึงมาตรการอื่นๆ ที่มีเป้าหมายในการปราบปรามการฟอกเงินข้ามชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินการตรวจสอบและสืบสวนขบวนการฟอกเงินและธุรกิจที่ผิดกฎหมาย โดยมุ่งเน้นการป้องกันไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งฟอกเงินหรือที่หลบซ่อนทรัพย์สินผิดกฎหมาย

การดำเนินธุรกิจของคนจีนในไทยมีทั้งด้านบวกและลบ แม้ธุรกิจหลายประเภทจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ แต่การใช้ช่องโหว่ของกฎหมายและการดำเนินการที่ไม่โปร่งใสโดยบางกลุ่มผู้ประกอบการจีนอาจกลายเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางการเงินของประเทศ โดยเฉพาะการฟอกเงินที่เกิดจากการทำธุรกิจผิดกฎหมาย หากไม่ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด อาจสร้างผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว

สำหรับผู้ที่สงสัยว่าอาจตกเป็นเหยื่อของการฟอกเงิน หรือถูกหลอกลวงจากการลงทุนผิดกฎหมาย สามารถติดต่อเรา เพื่อรับข้อมูลและคำแนะนำที่ถูกต้องในการดำเนินการทางกฎหมาย

เขียนโดย :กรรณิการ์ เจริญวีระวงศ์ (นักศึกษาฝึกประสบการณ์ สาขาภาษาจีน)