เซ็นสัญญาเพราะความไม่รู้ ถึงเวลาขึ้นศาลจะอ้างว่าเซ็นเพราะไม่มีความรู้ได้ไหม?

การเซ็นสัญญาถือเป็นเรื่องสำคัญทางกฎหมาย เพราะเมื่อบุคคลตกลงและลงลายมือชื่อในสัญญาแล้ว กฎหมายย่อมถือว่าบุคคลนั้นมีความตั้งใจที่จะผูกพันตนเองตามข้อกำหนดในสัญญานั้น แต่ในบางกรณี คู่สัญญาอาจเซ็นเอกสารไปโดยที่ ไม่มีความเข้าใจในรายละเอียดของสัญญา และเมื่อเกิดข้อพิพาทจึงต้องการอ้างว่า ตนเองเซ็นไปเพราะไม่รู้ หรือไม่ได้ศึกษาข้อมูลให้ดีพอ คำถามคือ การอ้างเช่นนี้จะสามารถใช้เป็นเหตุผลต่อสู้ในชั้นศาลได้หรือไม่?

บทความนี้จากเราจะอธิบายถึงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว พร้อมแนวทางที่ศาลพิจารณาเมื่อมีการอ้างว่าเซ็นสัญญาเพราะไม่มีความรู้

1.หลักกฎหมายเกี่ยวกับการทำสัญญา

การทำสัญญาในประเทศไทยอยู่ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งมีหลักการสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้

1.1 การแสดงเจตนาและความสมบูรณ์ของสัญญา

ตาม มาตรา 354 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

“นิติกรรมใดเป็นไปโดยสมัครใจของคู่กรณี ถือว่าสมบูรณ์ตามกฎหมาย”

หมายความว่า เมื่อบุคคลได้ลงนามในสัญญา ศาลจะถือว่าบุคคลนั้นได้แสดงเจตนาโดยสมัครใจ เว้นแต่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุที่ทำให้การแสดงเจตนาไม่สมบูรณ์ เช่น ถูกข่มขู่ ถูกหลอกลวง หรือมีข้อผิดพลาดสำคัญ

1.2 การเข้าใจผิดเกี่ยวกับสัญญา

ในบางกรณี อาจมีการอ้างว่าเซ็นสัญญาโดยที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับสาระสำคัญของข้อตกลง ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ใน มาตรา 156 ว่า

“นิติกรรมใดเกิดขึ้นโดยความเข้าใจผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรมนั้น นิติกรรมเป็นโมฆียะ”

หมายความว่า หากเป็นการเข้าใจผิดเกี่ยวกับเนื้อหาสำคัญของสัญญา เช่น เข้าใจว่าเซ็นสัญญาเช่าบ้าน แต่แท้จริงแล้วเป็นการเซ็นโอนกรรมสิทธิ์บ้านให้ผู้อื่น บุคคลนั้นสามารถฟ้องศาลให้เพิกถอนสัญญาได้

อย่างไรก็ตาม การอ้างว่า “ไม่มีความรู้ทางกฎหมาย” หรือ “ไม่ได้อ่านสัญญาให้ละเอียด” จะไม่ใช่เหตุที่ทำให้สัญญาเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะมีพฤติการณ์ที่ทำให้เห็นได้ว่ามีการหลอกลวงหรือบิดเบือนข้อเท็จจริงจากอีกฝ่าย

2. ศาลพิจารณาอย่างไร หากอ้างว่าเซ็นเพราะไม่มีความรู้?

ศาลมักพิจารณาเรื่องนี้โดยยึดหลักว่า ผู้ที่เซ็นสัญญามีหน้าที่ต้องศึกษาข้อมูลก่อนลงลายมือชื่อ และในทางปฏิบัติ หากบุคคลใดเซ็นเอกสารไปโดยไม่อ่านหรือไม่เข้าใจ ศาลมักจะไม่รับฟังข้ออ้างว่า “ไม่รู้กฎหมาย” หรือ “ไม่เข้าใจข้อตกลง”

มีคำพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับที่ชี้ให้เห็นว่า การอ้างว่าเซ็นสัญญาเพราะไม่มีความรู้ ไม่สามารถใช้เป็นเหตุเพิกถอนสัญญาได้ ตัวอย่างเช่น

🔹 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3886/2536

ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าไม่ได้อ่านสัญญาก่อนลงนาม ศาลวินิจฉัยว่าเป็นหน้าที่ของคู่สัญญาที่จะต้องอ่านและตรวจสอบข้อตกลงให้ถี่ถ้วน ก่อนลงลายมือชื่อในเอกสาร

3. กรณีที่สามารถเพิกถอนสัญญาได้

แม้ว่าโดยทั่วไป การอ้างว่า “ไม่มีความรู้” จะไม่สามารถใช้เป็นเหตุยกเลิกสัญญาได้ แต่ในบางกรณี ศาลอาจพิจารณาให้เพิกถอนสัญญาได้ หากมีเหตุผลดังต่อไปนี้

1. ถูกข่มขู่หรือบังคับ
ตาม มาตรา 157 หากมีการข่มขู่หรือบีบบังคับให้เซ็นสัญญา สัญญานั้นอาจถูกเพิกถอนได้

2. ถูกหลอกลวง (Fraud)
ตาม มาตรา 159 หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้ข้อมูลเท็จหรือปกปิดข้อมูลสำคัญจนทำให้คู่สัญญาตกลงเซ็นสัญญาไปโดยเข้าใจผิด สัญญานั้นอาจถูกเพิกถอนได้

3. มีข้อผิดพลาดสำคัญเกี่ยวกับสาระสำคัญของสัญญา
ตาม มาตรา 156 หากคู่สัญญาเข้าใจผิดเกี่ยวกับสาระสำคัญของสัญญา เช่น เข้าใจผิดว่าเป็นสัญญากู้เงิน แต่แท้จริงแล้วเป็นสัญญาโอนทรัพย์สิน ก็สามารถเพิกถอนสัญญาได้

4. คำแนะนำเพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมาย

อ่านสัญญาให้ครบทุกข้อก่อนเซ็น – อย่าเซ็นเอกสารใด ๆ โดยไม่เข้าใจเนื้อหา
ปรึกษาทนายความหากไม่มั่นใจ – หากสัญญามีความซับซ้อน ควรให้ทนายความช่วยตรวจสอบ
ขอให้ผู้ร่างสัญญาอธิบายรายละเอียด – หากไม่เข้าใจข้อใด ควรถามจนกว่าจะเข้าใจ
หลีกเลี่ยงการเซ็นเอกสารภายใต้แรงกดดัน – หากมีคนเร่งรัดให้รีบเซ็น ควรระมัดระวัง

ระวังอย่าเซ็นสัญญาเพราะความไม่รู้ ปรึกษาทนายดีที่สุด

โดยหลักการแล้ว การอ้างว่าเซ็นสัญญาเพราะไม่มีความรู้ ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างเพิกถอนสัญญาได้ ศาลถือว่าผู้เซ็นสัญญามีหน้าที่ต้องตรวจสอบเนื้อหาให้เข้าใจเสียก่อน เว้นแต่จะมีพฤติการณ์พิเศษ เช่น ถูกข่มขู่ ถูกหลอกลวง หรือมีข้อผิดพลาดสำคัญเกี่ยวกับเนื้อหาของสัญญา

ดังนั้น ก่อนเซ็นสัญญาใด ๆ ควรตรวจสอบรายละเอียดอย่างรอบคอบ และหากไม่มั่นใจ ควรปรึกษาทนายความ เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต