การทำธุรกิจร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ ห้างหุ้นส่วน หรือ บริษัทจำกัด มีโอกาสเกิดปัญหาด้านการเงินและความไม่โปร่งใสได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการ โกงเงินกันเองภายในองค์กร เช่น หุ้นส่วนโกงเงินบริษัท ผู้บริหารยักยอกเงิน หรือการใช้ตำแหน่งภายในบริษัทแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวโดยมิชอบ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อกิจการอย่างรุนแรง
แต่ในกรณีที่เกิดการโกงกันขึ้น คำถามที่หลายคนสงสัยคือ จำเป็นต้องแจ้งความดำเนินคดีหรือไม่? และ สามารถดำเนินคดีข้อหาอะไรได้บ้าง? บทความนี้จะอธิบายแนวทางทางกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เข้าใจกัน
หุ้นส่วนหรือบริษัทโกงเงินกันเอง แจ้งความได้หรือไม่?

คำตอบคือ “ได้” เพราะหากมีหลักฐานว่า มีการยักยอกทรัพย์ ทุจริต หรือฉ้อโกงภายในองค์กร สามารถแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินคดีอาญาได้ นอกจากนี้ยังสามารถดำเนินคดีทางแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายและบังคับให้มีการคืนเงินที่ถูกโกงไปได้อีกด้วย
การแจ้งความมีข้อดี คือ เป็นการใช้กฎหมายกดดันผู้กระทำผิด ทำให้เกิดการไกล่เกลี่ยหรือตกลงคืนเงินก่อนที่จะดำเนินคดีต่อไป แต่หากไม่แจ้งความ อาจทำให้ผู้กระทำผิดลอยนวลและก่อความเสียหายมากขึ้น
หุ้นส่วนโกงเงิน หรือบริษัทโกงเงินกันเอง เข้าข่ายความผิดอะไรบ้าง?

เมื่อเกิดปัญหาการโกงเงินกันภายในบริษัท สามารถดำเนินคดีได้ภายใต้หลายข้อหาทางกฎหมาย ได้แก่
ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (มาตรา 352 ประมวลกฎหมายอาญา)
หากหุ้นส่วนหรือกรรมการบริษัทมีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินของบริษัท แต่กลับ นำเงินไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือว่าเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตัวอย่าง
- หุ้นส่วนที่มีหน้าที่ดูแลบัญชีของบริษัท ถอนเงินออกจากบัญชีบริษัทไปใช้ส่วนตัว
- กรรมการบริษัทโอนเงินจากบัญชีบริษัทไปเข้าบัญชีตัวเองโดยไม่มีเหตุผลทางธุรกิจ
ความผิดฐานฉ้อโกง (มาตรา 341 ประมวลกฎหมายอาญา)
หากมีการใช้ กลอุบาย หลอกลวง หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อให้หุ้นส่วนหรือบริษัทโอนเงินให้โดยทุจริต ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตัวอย่าง
- ผู้บริหารปลอมเอกสารบัญชีเพื่อเบิกเงินบริษัทโดยมิชอบ
- หุ้นส่วนหลอกให้โอนเงินลงทุน โดยอ้างว่าจะนำไปใช้ในธุรกิจ แต่กลับนำไปใช้ส่วนตัว
หากมีการฉ้อโกงต่อประชาชน เช่น หลอกให้บุคคลภายนอกมาร่วมลงทุนกับบริษัท แต่ไม่มีเจตนาทำธุรกิจจริง โทษจะเพิ่มขึ้นเป็นจำคุกไม่เกิน 5 ปี
ความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร (มาตรา 264 ประมวลกฎหมายอาญา)
หากมีการ ปลอมแปลงเอกสารทางบัญชีหรือเอกสารบริษัท เช่น การปลอมใบเสร็จ หรือเอกสารการเงิน เพื่อเบิกเงินออกจากบริษัท อาจเข้าข่ายความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตัวอย่าง
- ผู้บริหารเซ็นเช็คของบริษัทเองโดยไม่ได้รับอนุญาต
- ปลอมลายเซ็นของกรรมการอีกคนเพื่อโอนเงินออกจากบัญชี
ความผิดฐานความผิดเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ในบริษัท (มาตรา 307-315 ประมวลกฎหมายอาญา)
หากเป็นกรณีที่ กรรมการบริษัท หรือผู้บริหารที่มีอำนาจหน้าที่ ทุจริตเงินของบริษัท อาจเข้าข่ายความผิดเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ เช่น
- มาตรา 307: เจ้าพนักงาน (รวมถึงกรรมการบริษัท) ใช้อำนาจโดยมิชอบ
- มาตรา 308: เจ้าพนักงานเบียดบังเงินขององค์กรที่ตนดูแล
ตัวอย่าง
- กรรมการบริษัทรู้เห็นเป็นใจให้มีการโกงเงิน
- ผู้บริหารใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
ควรดำเนินการอย่างไรหากถูกโกงเงินในบริษัท?
หากพบว่ามีการโกงเงินกันภายในบริษัท ควรดำเนินการดังนี้
✅ 1. รวบรวมหลักฐาน – เอกสารบัญชี, หลักฐานการโอนเงิน, ข้อความสนทนา, สัญญาต่างๆ
✅ 2. แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ – เพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำผิด
✅ 3. ฟ้องคดีแพ่ง – เรียกร้องค่าเสียหาย และบังคับให้คืนเงินที่ถูกโกง
✅ 4. แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง – หากเป็นบริษัทจำกัด ควรแจ้งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของกรรมการ
✅ 5. ปรึกษาทนายความ – เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ
อย่าละเลยที่จะดำเนินการทางกฎหมาย ปรึกษาทนายความมืออาชีพเป็นทางออก

หากเกิดปัญหาการโกงเงินกันภายในบริษัท การแจ้งความดำเนินคดีเป็นทางเลือกที่จำเป็น เพื่อป้องกันไม่ให้มีการโกงเงินเพิ่มเติม และเพื่อให้ได้รับความยุติธรรมทางกฎหมาย โดยสามารถดำเนินคดีได้หลายข้อหา เช่น ยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกง ปลอมแปลงเอกสาร หรือใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ
ดังนั้น หากพบว่ามีหุ้นส่วนหรือผู้บริหารในบริษัทโกงเงินกันเอง อย่าละเลยที่จะดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อปกป้องสิทธิของตนเองและรักษาความเป็นธรรมให้กับองค์กร
หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินคดี สามารถปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายและป้องกันปัญหาทางธุรกิจในอนาคตดีที่สุด