อย่างที่ทราบกันดีในโลกยุคดิจิทัลที่ข้อมูลถูกเผยแพร่และแชร์ออกไปอย่างรวดเร็ว การแสดงความคิดเห็นหรือการเผยแพร่ข่าวสารที่ผิดพลาดอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายโดยไม่รู้ตัว คำว่า “หมิ่นประมาท” และ “ไขข่าว” เป็นสองคำที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือคล้ายกัน แต่ในทางกฎหมายแล้ว ทั้งสองคำนี้มีความหมายและความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของเจตนา เนื้อหาของการกระทำ และโทษที่เกี่ยวข้อง
วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะมาอธิบายให้เห็นความแตกต่างระหว่างการหมิ่นประมาทและการไขข่าว พร้อมทั้งเจาะลึกถึงโทษทางกฎหมายที่ทั้งสองกรณีนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้กระทำผิดกัน
ความหมายของ “หมิ่นประมาท”
หมิ่นประมาท หมายถึง การแสดงความคิดเห็น การกล่าวหา หรือการเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง หรือถูกลดความน่าเชื่อถือในสังคม การหมิ่นประมาทนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเท็จเสมอไป หากเป็นความจริงแต่ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ก็อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาทได้เช่นกัน
ในประมวลกฎหมายอาญาของไทย หมิ่นประมาทถูกกำหนดใน มาตรา 326 ซึ่งระบุว่า :
> “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท”
หมิ่นประมาทสามารถเกิดขึ้นได้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น การพูด การเขียน การโพสต์บนโซเชียลมีเดีย การส่งข้อความ รวมไปถึงการแชร์หรือเผยแพร่เนื้อหาที่เป็นการใส่ความบุคคลอื่น
ความหมายของ “ไขข่าว”
ไขข่าว หรือบางครั้งเรียกว่า “เผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง” หมายถึง การเผยแพร่ข่าวสารหรือข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้อมูลนั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคล แต่ในกรณีของการไขข่าว ความแตกต่างหลักคือผู้กระทำอาจไม่ได้มีเจตนาให้เกิดความเสียหาย หรืออาจเป็นการเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ
ไขข่าวอาจเกิดจากการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง การไม่ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนเผยแพร่ หรือการนำเสนอข่าวสารที่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง เมื่อมีการเผยแพร่ข้อมูลผิดพลาดออกไปในวงกว้าง อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม และสร้างความเสียหายให้กับบุคคลที่ถูกกล่าวถึง
ความแตกต่างระหว่างหมิ่นประมาทและไขข่าว
1. เนื้อหาของการกระทำ
– หมิ่นประมาท : การกระทำที่มีเจตนาทำให้บุคคลเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เช่น การใส่ความ การวิจารณ์ในลักษณะที่ทำให้บุคคลนั้นเสื่อมเสีย
– ไขข่าว: การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือบิดเบือนความจริง ซึ่งอาจไม่ได้มีเจตนาทำให้บุคคลเสียหาย แต่ส่งผลกระทบทางลบต่อบุคคลหรือสังคมโดยรวม
2. เจตนา
– หมิ่นประมาท : มักเกิดจากการกระทำที่มีเจตนาชัดเจนเพื่อทำให้บุคคลที่ถูกกล่าวถึงเสียหาย การกระทำนี้จงใจทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน
– ไขข่าว : อาจเกิดขึ้นจากความไม่รู้ ความผิดพลาด หรือการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องโดยไม่ตั้งใจ อาจไม่มีเจตนาให้เกิดความเสียหายโดยตรง
3. ผลกระทบ
– หมิ่นประมาท : มีผลกระทบโดยตรงต่อบุคคลที่ถูกกล่าวถึง ทำให้บุคคลนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง หรือถูกลดทอนความน่าเชื่อถือ
– ไขข่าว : ผลกระทบอาจกว้างขึ้น โดยส่งผลกระทบต่อสังคม หรือกลุ่มบุคคลอื่นที่ได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด หรือก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องสำคัญ
โทษทางกฎหมายของหมิ่นประมาท
การหมิ่นประมาทนั้นมีบทลงโทษที่ชัดเจนตามประมวลกฎหมายอาญาไทย โดยโทษจะแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะของการกระทำ
– มาตรา 326 : หมิ่นประมาทโดยทั่วไป จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
– มาตรา 328 : หากเป็นการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาผ่านสื่อ เช่น หนังสือพิมพ์ โซเชียลมีเดีย หรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โทษทางกฎหมายของไขข่าว
สำหรับการไขข่าวที่ส่งผลกระทบต่อบุคคลหรือสังคมโดยรวม อาจถูกพิจารณาว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดทางอาญา หรือความผิดทางแพ่งได้ หากพิสูจน์ได้ว่าผู้กระทำมีเจตนาหรือความประมาทเลินเล่อในการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง การไขข่าวที่สร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญอาจนำไปสู่การฟ้องร้องในคดีหมิ่นประมาท หรือความผิดฐานเผยแพร่ข้อมูลเท็จตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ได้เช่นกัน
ตัวอย่าง
1. กรณีหมิ่นประมาท : บุคคลที่โพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดียกล่าวหาผู้อื่นว่าโกงเงิน โดยไม่มีหลักฐานชัดเจน การกระทำนี้มีเจตนาเพื่อทำให้บุคคลนั้นเสียชื่อเสียง และผู้ถูกกล่าวหาสามารถฟ้องร้องได้
2. กรณีไขข่าว : สื่อหรือบุคคลที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือบุคคลอื่นโดยไม่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม หากข้อมูลนั้นก่อให้เกิดความเสียหาย ผู้ถูกกระทบสามารถฟ้องร้องได้ในฐานะที่เป็นผู้ถูกเผยแพร่ข้อมูลเท็จ
การป้องกันตนเองจากการถูกฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาท
1. ตรวจสอบข้อมูลก่อนเผยแพร่ : การตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ หากไม่แน่ใจในความถูกต้องของข้อมูล ควรหลีกเลี่ยงการเผยแพร่
2. ระมัดระวังการแสดงความคิดเห็น : การแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายควรหลีกเลี่ยง ควรใช้คำพูดที่เป็นกลางและไม่โจมตีบุคคล3. ปรึกษาทนายความ : หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็นหรือการเผยแพร่ข้อมูล ควรปรึกษาทนายความเพื่อความมั่นใจว่าการกระทำของตนไม่เข้าข่ายผิดกฎหมาย
แม้ว่า “หมิ่นประมาท” และ “ไขข่าว” จะดูคล้ายกันในแง่ของการกระทำที่ส่งผลให้เกิดความเสียหาย แต่ทั้งสองคำนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในเรื่องของเจตนาและผลกระทบ หมิ่นประมาทมีเจตนาทำให้บุคคลเสียชื่อเสียงโดยตรง ขณะที่ไขข่าวเป็นการเผยแพร่ข้อมูลผิดพลาดที่อาจเกิดจากความไม่รู้หรือความประมาท โทษทางกฎหมายของทั้งสองกรณีนี้ก็มีความแตกต่างกัน การระมัดระวังและการตรวจสอบข้อมูลก่อนเผยแพร่จึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันตนเองจากการถูกฟ้องร้อง