ลูกจ้างลาออกแล้วลบอีเมลบริษัท ผิดกฎหมายหรือไม่? แล้วนายจ้างควรทำอย่างไรดี?

ในยุคที่ธุรกิจส่วนใหญ่ดำเนินการผ่านระบบดิจิทัล ข้อมูลที่เก็บอยู่ในอีเมลของบริษัทถือเป็นทรัพย์สินทางธุรกิจที่สำคัญอย่างมาก ปัญหาที่พบได้บ่อยคือ เมื่อพนักงานลาออกแล้วลบอีเมลหรือไฟล์ข้อมูลของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า คู่ค้า หรือโครงการสำคัญ ซึ่งอาจทำให้นายจ้างสูญเสียประโยชน์ทางธุรกิจ

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “การกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายหรือไม่?” และ “นายจ้างควรดำเนินการอย่างไรภายใต้กรอบกฎหมาย?”

การลบอีเมลบริษัทเกี่ยวข้องกับกฎหมายใดบ้าง?

1.      กฎหมายแรงงาน
หากลูกจ้างลบข้อมูลขณะยังเป็นพนักงานอยู่ การกระทำดังกล่าวอาจถือเป็นความผิดร้ายแรงตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 ที่ระบุว่า นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย หากลูกจ้างจงใจทำให้นายจ้างเสียหายอย่างร้ายแรง

แต่ถ้าลูกจ้างทำหลังพ้นสภาพการเป็นพนักงานแล้ว จะไม่ถือเป็นความผิดตามกฎหมายแรงงานโดยตรง เพราะไม่อยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างอีกต่อไป

2.      กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การลบข้อมูลบริษัทที่ก่อให้เกิดความเสียหาย เช่น สูญเสียสัญญากับลูกค้า อาจเข้าข่ายการ “ละเมิด” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ซึ่งกำหนดให้ผู้ทำละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหาย

3.      กฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
หากอดีตลูกจ้างเข้าไปในระบบอีเมลบริษัทแล้วลบข้อมูลโดยมิชอบ อาจผิด พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 9 ซึ่งกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ตัวอย่างกรณีศึกษาและคำพิพากษาศาล

1.      คำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
มีคดีหนึ่งที่ลูกจ้างลบข้อมูลการขายและรายชื่อลูกค้าก่อนลาออก ศาลแรงงานเห็นว่าเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อนายจ้าง จึงพิพากษาว่านายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน

2.      คดีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ในอีกกรณีหนึ่ง อดีตพนักงานแอบใช้รหัสผ่านเข้าไปในอีเมลบริษัทหลังลาออก แล้วลบไฟล์เอกสารโครงการที่กำลังจะเซ็นสัญญากับลูกค้า ศาลอาญาพิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี แต่ให้รอลงอาญา และปรับ 50,000 บาท เพราะถือว่าเป็นการเข้าถึงระบบและทำให้ข้อมูลเสียหายโดยมิชอบตามกฎหมายอาญา

นายจ้างจะทำอย่างไรได้บ้างภายใต้กฎหมาย?

เมื่อนายจ้างพบว่าลูกจ้างที่ลาออกไปได้ลบอีเมลหรือไฟล์สำคัญของบริษัท ควรดำเนินการตามขั้นตอนภายใต้กฎหมายอย่างระมัดระวัง

1.      เก็บหลักฐาน
สิ่งสำคัญที่สุดคือการเก็บข้อมูลและหลักฐานการกระทำ เช่น Log การเข้าใช้งานอีเมล, วันที่และเวลาที่ข้อมูลถูกลบ, ข้อความอีเมลที่ถูกทำลาย หลักฐานเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการใช้สิทธิทางกฎหมายทั้งทางแพ่งและอาญา

2.      ตรวจสอบสัญญาจ้างและข้อตกลงภายใน
หากบริษัทมีข้อตกลงการใช้ระบบไอทีหรือข้อห้ามเกี่ยวกับข้อมูลลับ ควรตรวจสอบว่า การกระทำของลูกจ้างเข้าข่ายผิดข้อตกลงดังกล่าวหรือไม่ เพื่อประกอบการดำเนินการทางกฎหมาย

3.      ใช้สิทธิตามกฎหมายแพ่ง
หากการลบอีเมลก่อให้เกิดความเสียหายจริง นายจ้างสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากอดีตลูกจ้างได้ โดยต้องแสดงหลักฐานว่ามีการละเมิดและมีความเสียหายเกิดขึ้นจริง

4.      ใช้สิทธิตามกฎหมายอาญา
หากเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นายจ้างสามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดีอาญากับอดีตลูกจ้างได้

แนวทางปฏิบัติสำหรับนายจ้าง

เพื่อป้องกันและรับมือกับปัญหานี้ นายจ้างควรดำเนินการดังต่อไปนี้

1.      จัดทำข้อตกลงการใช้ระบบสารสนเทศ
บริษัทควรกำหนดนโยบายหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้อีเมลและข้อมูล เช่น ห้ามลบอีเมลหรือไฟล์งานที่เกี่ยวข้องกับบริษัท เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากเกิดกรณีพิพาท

2.      จัดการระบบเข้าถึงข้อมูล
เมื่อลูกจ้างยื่นใบลาออก ควรมีขั้นตอนการระงับสิทธิ์การเข้าถึงระบบไอทีอย่างเป็นทางการทันทีเมื่อพ้นสภาพ เพื่อป้องกันการเข้ามาลบข้อมูลภายหลัง

3.      เก็บบันทึกการใช้งาน (Log file)
บริษัทควรเก็บ Log การใช้งานระบบคอมพิวเตอร์และอีเมลไว้เป็นหลักฐานทางกฎหมาย หากต้องฟ้องร้องในอนาคต

4.      ใช้สิทธิตามกฎหมายอย่างถูกต้อง

o    หากยังเป็นลูกจ้าง → ใช้สิทธิตาม กฎหมายแรงงาน เลิกจ้างด้วยเหตุร้ายแรง

o    หากพ้นจากการเป็นลูกจ้างแล้ว → ฟ้องเรียกค่าเสียหายตาม กฎหมายแพ่ง และ/หรือ แจ้งความตาม กฎหมายอาญาและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

5.      ปรึกษาทนายความก่อนดำเนินการ
การฟ้องร้องคดีที่เกี่ยวข้องกับหลายกฎหมายอาจซับซ้อน นายจ้างไม่ควรจัดการเองโดยปราศจากความรู้ เพราะอาจเสี่ยงทำผิดกฎหมายเสียเอง การมีทนายความช่วยตรวจสอบหลักฐานและวางกลยุทธ์จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด

ทำไมนายจ้างควรปรึกษาทนายความในเรื่องนี้?

ในกรณีซับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับทั้งกฎหมายแรงงาน กฎหมายแพ่ง และกฎหมายอาญา การตัดสินใจผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้นายจ้างเสียเปรียบหรือเสี่ยงผิดกฎหมายเสียเอง การปรึกษาทนายความจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด เพราะ

  • ทนายความสามารถประเมินว่าควรใช้กฎหมายใดในการดำเนินการ
  • ช่วยตรวจสอบหลักฐานให้ครบถ้วน ลดความเสี่ยงการฟ้องร้องไม่สำเร็จ
  • วางกลยุทธ์ที่รัดกุมและป้องกันการละเมิดสิทธิแรงงานหรือสิทธิส่วนบุคคล

อย่างที่กล่าวไป แม้ว่านายจ้างมีสิทธิ์ตามกฎหมาย แต่การดำเนินการโดยไม่เข้าใจรายละเอียดของกฎหมายอาจสร้างความเสี่ยง เช่น

  • อาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูกจ้างโดยไม่ตั้งใจ เช่น การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • อาจใช้สิทธิไม่ถูกต้อง เช่น การฟ้องร้องโดยไม่มีหลักฐานเพียงพอ ซึ่งอาจทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น
  • อาจมีผลกระทบด้านแรงงานสัมพันธ์ หากมีลูกจ้างคนอื่นมองว่านายจ้างใช้อำนาจเกินขอบเขตกฎหมาย

ปรึกษาทนายความ ทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดของนายจ้าง

กรณีลูกจ้างลาออกแล้วลบอีเมลบริษัท แม้จะไม่ผิดตาม กฎหมายแรงงาน หากกระทำหลังพ้นสภาพลูกจ้าง แต่ยังอาจผิดกฎหมายอื่น เช่น กฎหมายแพ่ง และ กฎหมายอาญา โดยเฉพาะ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่มีบทลงโทษชัดเจน

นายจ้างควรมีมาตรการป้องกัน เช่น การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล และการกำหนดข้อตกลงการใช้อีเมลของบริษัท หากเกิดเหตุขึ้นจริง ควรเก็บหลักฐานและใช้สิทธิทางกฎหมายให้ถูกต้อง และเหนือสิ่งอื่นใด การปรึกษาทนายความถือเป็นทางเลือกที่รอบคอบที่สุด เพราะจะช่วยให้นายจ้างใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงที่จะพลาดพลั้งจนทำผิดกฎหมายเสียเอง และขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในกระบวนการเกี่ยวกับเรื่องนี้คือการปรึกษาทนายความเพื่อการดำเนินการทางกฎหมายที่เหมาะสมและถูกต้องที่สุดสำหรับนายจ้าง คลิก >>ติดต่อเรา<<