ค่าจ้างทนายความกับความโปร่งใสที่ลูกความต้องระวัง!

ในสังคมปัจจุบัน การหาทนายความเพื่อให้บริการทางกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจข้อกฎหมายหรือขั้นตอนต่าง ๆ แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่คาดคิด คือการถูก “ทนายเหลี่ยม” ใส่ หรือเรียกว่าเอาเปรียบผ่านการคิดค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรม
หนึ่งในกรณีที่เกิดขึ้นจริง และได้รับการเล่าต่อโดยลูกความของ ทนายอาร์ม คือการที่ลูกความรายนี้เคยจ้างทนายความคนหนึ่ง ซึ่งแจ้งว่า จะเรียกเก็บค่าจ้างจนกว่าคดีจะถึงที่สุดในชั้นอัยการ ฟังดูเหมือนสมเหตุสมผล แต่เมื่อพิจารณาให้ดี จะพบว่าเป็นประโยคที่มีเล่ห์เหลี่ยมแฝงอยู่
ค่าจ้างทนายแบบ “ถึงที่สุด” หมายความว่าอย่างไร?

ตามปกติ การว่าจ้างทนายความในการดำเนินคดีจะมีการกำหนดขอบเขตค่าจ้างที่ชัดเจน เช่น
- ค่าจ้างสำหรับการให้คำปรึกษา
- ค่าจ้างในการดำเนินคดีในชั้นตำรวจ
- ค่าจ้างในชั้นอัยการ
- ค่าจ้างในการว่าความในชั้นศาล
แต่กรณีของลูกความรายนี้ ทนายความกลับใช้คำว่า “เรียกเก็บค่าจ้างจนกว่าคดีจะถึงที่สุดในชั้นอัยการ” ซึ่งดูเผิน ๆ อาจหมายถึง จนกว่าคดีจะสิ้นสุด แต่ในความเป็นจริง คดี 90% มักไปจบที่ศาล ไม่ใช่ที่อัยการ ดังนั้น หากลูกความไม่เข้าใจเรื่องกระบวนการยุติธรรม อาจเข้าใจผิดและคิดว่าการว่าจ้างครอบคลุมถึงขั้นตอนสุดท้ายของคดีแล้ว
แต่เมื่อคดีเข้าสู่ศาล ทนายความอาจใช้ข้ออ้างว่า “ค่าจ้างที่เรียกเก็บไปนั้น ครอบคลุมแค่ชั้นอัยการเท่านั้น” และเรียกเก็บเพิ่มสำหรับการดำเนินการในชั้นศาลอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการไม่บริสุทธิ์ใจกับลูกความ
มรรยาททนายความกับสิ่งที่ทนายที่ดีต้องปฏิบัติ

ตามหลักจรรยาบรรณ ทนายความต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตและปฏิบัติต่อลูกความอย่างเป็นธรรม ซึ่งหมายความว่าทนายความที่ดี ต้องไม่ใช้กลโกงหรือเล่ห์เหลี่ยม เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรม
ตามพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2528 และข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติของทนายความไว้ ดังนี้
✅ ห้ามเรียกค่าตอบแทนเกินสมควร – ทนายต้องไม่เรียกเก็บค่าจ้างโดยใช้ถ้อยคำคลุมเครือ หรือแฝงเร้นให้ลูกความเข้าใจผิด
✅ ต้องซื่อสัตย์และไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยม – การใช้ภาษากำกวมเพื่อให้ลูกความเข้าใจผิดและต้องจ่ายเงินเพิ่มภายหลัง ถือเป็นพฤติกรรมที่ผิดมรรยาททนายความ
✅ ต้องแจ้งข้อมูลแก่ลูกความอย่างตรงไปตรงมา – ทนายมีหน้าที่ต้องอธิบายขอบเขตงานและค่าจ้างให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น
✅ ต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนโดยมิชอบ – การใช้ความไม่รู้ของลูกความเพื่อสร้างกำไรให้ตนเองถือเป็นการเอาเปรียบ และอาจถูกดำเนินการทางวินัยทนายความที่ฝ่าฝืนหลักมรรยาทเหล่านี้ อาจถูกลงโทษทางวินัยโดยสภาทนายความ ซึ่งอาจรวมถึง การภาคทัณฑ์ การพักใช้ใบอนุญาต หรือการเพิกถอนใบอนุญาตทนายความ ได้เลยทีเดียว
การตั้งราคาค่าจ้างที่โปร่งใสควรเป็นอย่างไร?
ทนายความที่มีจรรยาบรรณจะต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับ ค่าจ้างและขอบเขตของการทำงานให้ชัดเจน ตั้งแต่แรก ไม่ควรใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือเพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ลูกความ ดังนั้น ค่าจ้างทนายความที่เป็นธรรมควรมีลักษณะดังนี้
1.มีการตกลงค่าจ้างอย่างชัดเจน – ต้องระบุว่าค่าจ้างครอบคลุมถึงขั้นตอนไหน เช่น ชั้นตำรวจ ชั้นอัยการ หรือชั้นศาล
2.แจ้งลูกความเกี่ยวกับขั้นตอนทางกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา – ลูกความต้องรู้ว่าคดีของตนเองมีโอกาสไปถึงศาลหรือไม่
3.ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง – ทนายไม่ควรใช้ภาษาที่กำกวมเพื่อลวงให้ลูกความเข้าใจผิดว่าค่าจ้างที่จ่ายไปแล้วครอบคลุมทุกอย่าง
สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ ผู้ให้บริการทางกฎหมายชัดเจนอย่างมืออาชีพ

เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของทนายเหลี่ยม สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เป็นสำนักงานกฎหมายที่ให้บริการอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และมุ่งเน้นความซื่อสัตย์ต่อลูกความ โดยเรามีมาตรฐานในการให้บริการดังนี้
✅ แจ้งเรื่องค่าจ้างอย่างชัดเจน
✅ ให้คำปรึกษาที่เข้าใจง่าย อธิบายกระบวนการกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา
✅ ทีมทนายความมีประสบการณ์สูง สามารถให้บริการทางกฎหมายกับลูกความได้อย่างมืออาชีพ
✅ ปฏิบัติตามจรรยาบรรณทนายความอย่างเคร่งครัด
เรามุ่งมั่นที่จะให้บริการทางกฎหมายกับผู้ที่ต้องการความเป็นธรรมทางกฎหมาย โดยไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมใด ๆ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากลูกความ
เรื่องของค่าจ้างทนายเป็นสิ่งสำคัญที่ลูกความต้องใส่ใจ และเลือกทนายความที่โปร่งใส ไม่ใช้ภาษาคลุมเครือเพื่อเรียกเก็บค่าจ้างเพิ่มเติม “ทนายเหลี่ยมเรียกค่าจ้างถึงที่สุด” เป็นตัวอย่างของพฤติกรรมที่ลูกความต้องระวัง และควรเลือกใช้บริการจากทนายที่มีจรรยาบรรณหากคุณต้องการที่ปรึกษาทางกฎหมายที่ไว้ใจได้ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ พร้อมให้บริการอย่างมืออาชีพ ปรึกษาเราได้ทันที >>ติดต่อเรา<<