นักท่องเที่ยวจีนจมน้ำเสียชีวิตขณะดำน้ำตื้นที่ภูเก็ต ครอบครัวตั้งข้อสงสัยเรื่องการช่วยเหลือ
ช่วงวันหยุดตรุษจีนที่ผ่านมา นาง钟 (จง) เดินทางไปท่องเที่ยวที่เกาะภูเก็ต ประเทศไทย พร้อมกับลูกสาววัย 5 ขวบ และน้องสาววัย 31 ปี โดยได้จองแพ็กเกจทัวร์ดำน้ำตื้นที่เกาะไข่ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 แต่การเดินทางครั้งนี้กลับกลายเป็นเหตุการณ์เศร้าที่ทำให้เธอต้องสูญเสียน้องสาวไปตลอดกาล
อุบัติเหตุระหว่างดำน้ำตื้น: การช่วยเหลือล่าช้า?
เช้าวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 นาง钟พร้อมน้องสาวและลูกสาวเดินทางตามแผนไปยังเกาะไข่ โดยมีนักท่องเที่ยวร่วมทริปประมาณ 20-30 คน ลูกเรือส่วนใหญ่เป็นชาวไทย และมีไกด์ที่สามารถพูดภาษาจีนได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรมท่องเที่ยว รวมถึงคำแนะนำด้านความปลอดภัย เช่น การสวมเสื้อชูชีพระหว่างดำน้ำตื้น และการหลีกเลี่ยงพื้นที่น้ำลึก
อย่างไรก็ตาม นาง钟เล่าว่า เสื้อชูชีพถูกนำออกมาหลังจากไกด์ให้ข้อมูลเสร็จแล้ว และให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการใช้หยิบไปเอง ขณะที่นักท่องเที่ยวหลายคนเริ่มลงน้ำ นาง钟ซึ่งต้องดูแลลูกสาวที่ชายหาดจึงไม่ได้สังเกตว่าน้องสาวของเธอสวมเสื้อชูชีพหรือไม่
เวลาประมาณ 12.30 น. นาง钟สังเกตเห็นเรือเร็วแล่นเข้ามาที่ชายฝั่งด้วยความเร็วสูง เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงรีบวิ่งไปดู และพบว่าน้องสาวของเธอหมดสติอยู่บนเรือ ลูกเรือกำลังทำ CPR (ปั๊มหัวใจ) – น้องสาวของเธอจมน้ำ!
พยานในเหตุการณ์เล่าว่า ในบริเวณดังกล่าวมีทั้งกิจกรรมดำน้ำตื้นและเจ็ตสกี แม้จะมีทุ่นแบ่งเขตไว้ แต่ก็พบว่าเจ็ตสกีบางลำแล่นเข้ามาใกล้เขตดำน้ำตื้น สองนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันและชาวไทยที่ขับเจ็ตสกีเป็นผู้พบร่างของน้องสาวนาง钟 และช่วยกันนำขึ้นจากน้ำ ก่อนที่ลูกเรือจะทำ CPR และนำตัวส่งโรงพยาบาลบนเกาะภูเก็ต

เสียชีวิตหลังสมองตาย 16 วัน ครอบครัวตั้งข้อสงสัยเรื่องการช่วยเหลือ
นาง钟กล่าวว่า ในขณะที่เจ้าหน้าที่นำตัวน้องสาวของเธอส่งโรงพยาบาล เธอได้ขอเดินทางไปด้วยแต่ถูกปฏิเสธ เธอไปถึงโรงพยาบาลในเวลาประมาณ 14.30 น. และได้รับแจ้งว่าน้องสาวของเธอมีภาวะสมองตาย (Brain Death)
หลังจากนั้น ครอบครัวพยายามหาทางย้ายโรงพยาบาล รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ในการส่งตัวกลับไปรักษาที่ประเทศจีน แต่สุดท้ายหลังจากต่อสู้กับความเป็นความตายมา 16 วัน น้องสาวของเธอก็เสียชีวิตในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568
ครอบครัวของนาง钟เชื่อว่าการหยุดทำ CPR ระหว่างการเคลื่อนย้ายสองครั้ง อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้พลาดโอกาสในการช่วยชีวิต อีกทั้งยังตั้งคำถามถึงมาตรการด้านความปลอดภัยของบริษัททัวร์ โดยมองว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้การฝึกอบรมดำน้ำตื้นอย่างเหมาะสมก่อนลงน้ำ
ข้อพิพาทเรื่องค่าชดเชย: ครอบครัวปฏิเสธข้อเสนอของบริษัททัวร์
หลังเหตุการณ์สะเทือนใจ นาง钟พยายามเจรจากับบริษัทนำเที่ยวเพื่อขอค่าชดเชยที่เป็นธรรม และเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบมาตรการด้านความปลอดภัย เช่น การจัดหาอุปกรณ์ช่วยชีวิตเพิ่มเติม และการฝึกอบรมการปฐมพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริษัททัวร์เสนอค่าชดเชยจากทางฝั่งไทย 1,000,000 บาท (ประมาณ 20,000 หยวน หรือ 200,000 บาทจีน) และจากทางฝั่งจีน 200,000 หยวน (ประมาณ 1,000,000 บาทไทย) รวมเป็นประมาณ 1,200,000 บาทไทย ซึ่งน้อยกว่าจำนวน 1,500,000 หยวน (ประมาณ 7,500,000 บาทไทย) ที่ครอบครัวเรียกร้อง
บริษัททัวร์ระบุว่า ได้ทำหน้าที่แจ้งเตือนความปลอดภัยตามที่กำหนด และมองว่า การไม่สวมเสื้อชูชีพ เป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุ พร้อมแนะนำให้ครอบครัวศึกษากฎหมายของไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในขณะที่ครอบครัวยังไม่ได้แต่งตั้งทนายความเพื่อดำเนินคดี ทำให้การดำเนินการในเรื่องนี้ล่าช้า ซึ่งหากปล่อยเวลาไปนานเกินไป อาจส่งผลต่อรูปคดีในอนาคต การมีทนายความที่มีความเชี่ยวชาญจะช่วยให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เสียหายได้อย่างเต็มที่ โดยนาง钟ยืนยันว่า เธอจะดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับน้องสาวของเธอ และขอความช่วยเหลือจากนักท่องเที่ยวชาวจีนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เกิดเหตุ ก่อนที่น้องสาวของเธอจะจมน้ำ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการทำคดีและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้สูญเสีย

การฟ้องร้องและการพิสูจน์ความผิดพลาดของผู้ให้บริการทัวร์ (ผู้ควบคุมดูแลในการดำน้ำ) ที่ทำให้เกิดความเสียหาย
เรื่องการเรียกร้องค่าชดเชยจากเหตุการณ์อุบัติเหตุในครั้งนี้สามารถดำเนินการได้ภายใต้หลักกฎหมายและสิทธิ์ของผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการละเมิดที่เกิดจากการกระทำของผู้อื่น รวมถึงการกระทำที่มีความผิดพลาดจากผู้ให้บริการทัวร์หรือผู้ควบคุมดูแลการดำน้ำตื้น หากมีการละเมิดภาระหน้าที่หรือความประมาทที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรืออันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและการจัดการอุปกรณ์ช่วยชีวิตต่าง ๆ ที่ ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ได้มีการเตรียมการอย่างเพียงพอ
ตามกฎหมายไทย ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องได้ทั้งในทางแพ่งและทางอาญา หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ให้บริการทัวร์หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้กระทำความผิดจากการละเลยในหน้าที่หรือจากความผิดพลาดในการจัดการความปลอดภัย การไม่จัดเตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่เพียงพอ หรือการไม่ทำ CPR อย่างทันท่วงที ซึ่งถือเป็นการละเมิดภาระหน้าที่ที่มีผลกระทบต่อชีวิตของนักท่องเที่ยว
ในกรณีที่มีการเสนอค่าชดเชยจากบริษัททัวร์ที่ไม่เป็นที่พอใจ เช่น จำนวนเงินที่ไม่เพียงพอต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้น ผู้เสียหายสามารถดำเนินการฟ้องร้องในศาลเพื่อขอค่าชดเชยที่เหมาะสมได้ โดยศาลจะพิจารณาจากหลักฐานและข้อเท็จจริงในการคำนวณจำนวนเงินชดเชยที่เหมาะสมกับความเสียหายที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ การเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัททัวร์สามารถดำเนินการได้ผ่านทางการเจรจาต่อรองหรือฟ้องร้องในศาล หากฝ่ายผู้เสียหายไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอการชดเชยที่บริษัททัวร์เสนอ (ในกรณีนี้คือการเสนอเงินจำนวน 1,200,000 บาท) ซึ่งอาจเห็นว่าจำนวนเงินนั้นไม่เพียงพอต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นและการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของครอบครัว โดยที่ศาลจะพิจารณาจากหลักฐานและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะกำหนดจำนวนเงินชดเชยที่เหมาะสมให้กับผู้เสียหาย
สรุปคือ ครอบครัวของนาง钟สามารถใช้สิทธิ์ในการเรียกร้องค่าเสียหายจากการกระทำที่ละเมิดจากผู้ให้บริการทัวร์และผู้ควบคุมกิจกรรมดำน้ำตื้นได้ หากมีการพิสูจน์ว่าเจ้าหน้าดูแลควบคุมการดำน้ำที่หรือบริษัททัวร์ไม่ได้ทำหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยอย่างเหมาะสม หรือมีการละเลยหรือจงใจในขั้นตอนที่สำคัญในการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุ รวมทั้งการขาดความชัดเจนในการฝึกอบรมและการใช้อุปกรณ์ช่วยชีวิตที่ถูกต้อง
อ้างอิงจากเว็บไซต์ :https://mp.weixin.qq.com/s/PCKqYV4Wfo3J2rXN6Kn5DA
เขียนโดย :วรารัตน์ วงโพธิสาร (นักศึกษาฝึกประสบการณ์ภาษาจีน)