การแสดงความคิดเห็นหรือวิจารณ์บนโซเชียลมีเดียกลายเป็นเรื่องปกติในยุคนี้ แต่ ! การใช้คำพูดอาจกลายเป็นคดีหมิ่นประมาทได้หากเกินขอบเขตที่กฎหมายกำหนด ซึ่งคำถามที่หลายคนสงสัยคือ “ด่าหรือวิจารณ์แค่ไหนจึงเข้าข่ายหมิ่นประมาท” บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับข้อกฎหมายและแนวทางการพูดโดยไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องคดี
หมิ่นประมาทตามกฎหมายคืออะไร?
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 หมิ่นประมาท คือ การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามในลักษณะที่ทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เช่น การกล่าวอ้างที่ไม่เป็นความจริงเพื่อทำให้บุคคลหนึ่งถูกมองในแง่ลบ รวมถึงการใช้ภาษาที่หยาบคายเกินควร โดยไม่จำเป็นต้องพูดคำหยาบเท่านั้น คำพูดธรรมดาที่มีเนื้อหาโจมตีหรือกล่าวให้บุคคลอื่นเสียหายก็ถือเป็นการหมิ่นประมาทได้เช่นกัน
อะไรคือจุดต่างระหว่าง “การวิจารณ์” และ “การหมิ่นประมาท”?
การวิจารณ์ที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายถือว่าเป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละบุคคล แต่หากคำวิจารณ์นั้นเป็นไปในลักษณะที่ดูหมิ่น หรือสร้างความเสื่อมเสียจนเกินควร ก็อาจจะถือเป็นการหมิ่นประมาทได้ จุดสำคัญอยู่ที่เจตนาของผู้พูดและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ถูกกล่าวถึง โดยการวิจารณ์อย่างสุจริตและไม่เจาะจงไปในทางที่ทำให้เสียหายเป็นการกระทำที่ยังอยู่ในขอบเขตที่ไม่ผิดกฎหมาย
ตัวอย่างของการวิจารณ์ที่ถือว่าไม่เป็นหมิ่นประมาท เช่น การวิจารณ์การทำงานของบุคคลสาธารณะหรือหน่วยงานราชการ แต่หากการวิจารณ์นั้นพาดพิงถึงบุคคลในลักษณะเสียหายโดยเจาะจง เช่น อ้างถึงพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ก็อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาท
“ด่า” แค่ไหนเข้าข่ายหมิ่นประมาท?
1. เจตนาทำลายชื่อเสียง : หากการด่าหรือวิจารณ์มีเจตนาทำลายชื่อเสียงหรือใส่ร้ายให้บุคคลนั้นถูกดูหมิ่นต่อสาธารณะ เช่น การใช้ถ้อยคำรุนแรงหรือกล่าวหาให้ผู้อื่นเข้าใจผิด ก็อาจถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้
2. การกล่าวหาที่ไม่เป็นความจริง : การพูดหรือเผยแพร่เรื่องที่ไม่เป็นความจริง โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าเป็นเท็จ และมีผลให้บุคคลถูกเกลียดชังหรือตกอยู่ในสภาวะที่ถูกมองในแง่ลบ เช่น กล่าวหาว่ามีประวัติทางอาญาทั้งที่ไม่เป็นความจริง
3. การใช้ถ้อยคำล่วงเกินเกินขอบเขต : การใช้ภาษาที่ไม่สุภาพ มีลักษณะเหยียดหยาม เช่น การล้อเลียนรูปลักษณ์ หรือความสามารถ รวมถึงการใช้ถ้อยคำที่มีเจตนาทำลายศักดิ์ศรี
โทษของการหมิ่นประมาท
โทษของการหมิ่นประมาทตามกฎหมายไทย แบ่งออกเป็น 2 ระดับหลักๆ คือ
1. หมิ่นประมาททั่วไป (มาตรา 326) มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา (มาตรา 328) เช่น การโพสต์ในโซเชียลมีเดีย หรือการออกสื่อสาธารณะ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งการโฆษณานี้หมายถึงการใช้สื่อออนไลน์หรือสื่อใดๆ ก็ตามที่มีผู้เข้าถึงได้มากและง่าย
หลักการป้องกันไม่ให้เกิดการหมิ่นประมาท
1. ใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง : ก่อนจะโพสต์หรือแสดงความคิดเห็น ควรตรวจสอบว่าข้อมูลที่แชร์เป็นความจริงหรือไม่ และพิจารณาคำพูดว่าเกินขอบเขตการวิจารณ์ที่สุจริตหรือไม่
2. หลีกเลี่ยงการกล่าวหาหรืออ้างถึงผู้อื่นในลักษณะเสียหาย : หากต้องการพูดถึงพฤติกรรมของบุคคล ควรเลือกใช้คำที่เป็นกลาง และไม่ชี้นำไปในทางที่สร้างความเสียหาย
3. หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลที่ไม่ตรวจสอบ : การแชร์ข้อมูลที่ไม่ตรวจสอบอาจทำให้ตนเองเป็นผู้ร่วมเผยแพร่ข้อมูลหมิ่นประมาทและถูกฟ้องได้
4. ปรึกษาทนายความ : หากรู้สึกว่าอาจได้รับความเสียหายจากการถูกหมิ่นประมาท หรือไม่แน่ใจว่าขอบเขตของการวิจารณ์ตนเองจะเข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือไม่ การปรึกษาทนายถือเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมาย
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
กรณีหนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยบนโซเชียลมีเดียคือ การกล่าวถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งในลักษณะเสียหาย เช่น “เขาคนนั้นเคยขโมยเงินบริษัทมาก่อน” หรือ “คนนี้ไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่นในที่ทำงาน” คำกล่าวเหล่านี้ถือเป็นการเปิดเผยข้อมูลเชิงเสียหายต่อบุคคลและอาจทำให้บุคคลนั้นได้รับความเสียหายทางชื่อเสียง ซึ่งหากไม่เป็นความจริง อาจเป็นเหตุให้บุคคลนั้นสามารถฟ้องคดีหมิ่นประมาทได้
ปรึกษาทนายความทันที หากรู้สึกว่าได้รับความเสียหายจากการถูกหมิ่นประมาท
สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ เรามีทีมทนายผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาในกรณีหมิ่นประมาท ไม่ว่าจะเป็นการหมิ่นประมาทผ่านการพูดคุยส่วนตัวหรือการเผยแพร่ในสื่อสาธารณะ ทีมทนายของเราจะแนะนำและวางแนวทางการแก้ไขให้คุณอย่างดีที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้คุณได้รับความเป็นธรรมและปกป้องสิทธิตนเองอย่างเต็มที่ ปรึกทนายความ