คดีเมาแล้วขับ ถูกบริษัทประกันภัยใช้มุก “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” สุดท้ายศาลพิพากษาให้บริษัทประกันภัยชดใช้จนเกือบเต็มจำนวนที่เรียกไป

คดีเมาแล้วขับ ถูกบริษัทประกันภัยใช้มุก นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง

          เป็นเรื่องราวของผู้เสียหายท่านหนึ่งที่ได้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วถูกบริษัทประกันภัยปฏิเสธไม่รับผิดชอบ และได้ใช้ข้ออ้างยอดฮิตคือ “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ซึ่งนับว่าเป็นกลยุทธ์หลัก กลยุทธ์เด็ดของบริษัทประกันภัยที่ตีคู่มาพร้อมกับมุก “รักษาตัวให้หายดีก่อน” ก็ว่าได้ สำหรับคดีเมาแล้วขับนี้ ผู้เสียหายได้เคยว่าจ้างทนายความท่านอื่นดำเนินคดีมาก่อนแล้ว แต่ไม่เป็นผล จนมาเจอเข้ากับ สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ โดยทนายอาร์ม ศุภสิทธิ์  ศิริ ดำเนินคดีความให้

          คดีเมาแล้วขับ แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากถูกข้อหานี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าบริษัทประกันภัยคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะไม่ว่าผู้เสียหายท่านใดที่ประสบอุบัติเหตุขณะขับขี่รถยนต์ ก็มักจะนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลังต่อผู้ขับขี่เพื่อมาปฏิเสธไม่รับผิดชอบและหรือชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ เลย อีกทั้งยังกล่าวหาว่าผู้เสียหายเมาแล้วขับแม้ว่าเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์แล้วก็ไม่เกิน 50 Mg.% เหมือนอย่างกรณีของผู้เสียหายต่อไปนี้ที่ได้ไว้วางใจให้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์ของเราดำเนินคดีให้และได้รับความเป็นธรรมในที่สุด

บริษัทฯ ตีความใจแคบเอาเปรียบ อ้างปฏิเสธ “เมาแล้วขับ” แม้ปริมาณแอลฯ ไม่ถึง 50 Mg.%

บริษัทฯ ตีความใจแคบเอาเปรียบ อ้างปฏิเสธ “เมาแล้วขับ”

          เคสนี้คดีเมาแล้วขับ ผู้เสียหายได้ขับขี่รถยนต์ไปเฉี่ยวชนเข้ากับรถยนต์คู่กรณีเหตุเนื่องมาจากเบรกรถไม่ทัน จึงทำให้เฉี่ยวชนเข้ากับรถของคู่กรณีและรถของคู่กรณีก็ได้เฉี่ยวชนรถคันข้างหน้าอีกทีหนึ่ง โดยหลังจากเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวผู้เสียหายจึงได้เรียกร้องให้บริษัทประกันภัยของตนชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ถูกบริษัทประกันภัยปฏิเสธที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีเมาแล้วขับอีกทั้งยังปฏิเสธที่จะนำรถยนต์ของผู้เสียหายท่านนี้ไปจัดซ่อมอีกด้วย

          คดีเมาแล้วขับ ซึ่งเหตุผลที่บริษัทประกันภัยนำมาอ้างนั้น ก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นคือ เหตุผลข้ออ้างยอดฮิตอย่างการนับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง บอกว่าผู้เสียหายมีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดบริษัทฯ จึงไม่คุ้มครองในส่วนนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วขณะเกิดเหตุนั้นไม่สามารถตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ได้ทันที การที่บริษัทฯ นำมาอ้างเพื่อปฏิเสธการรับผิชอบต่อผู้เสียหายท่านนี้ถือว่าเป็นการตีความเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภคได้หรือไม่ ?

สุดท้ายหลังจากดำเนินคดีศาลพิพากษาให้บริษัทฯ ชดใช้ต่อผู้เสียหายอย่างเป็นธรรม

          หลังจากที่ผู้เสียหายถูกบริษัทประกันภัยจอมเจ้าเล่ห์ใช้กลยุทธ์มาเอาเปรียบอยู่นาน และหลังจากที่สำนักงานทนายของเราได้ดำเนินคดีความ คดีเมาแล้วขับสุดท้ายศาลได้มีคำพิพากษาให้บริษัทฯ ชดใช้ในประเด็นหลัก ๆ ดังนี้

-ค่าซ่อมรถของผู้เสียหาย

          ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นโดยตรงจากการที่บริษัทฯ ปฏิเสธการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อผู้เสียหายได้เอารถออกจากอู่ยังพบข้อบกพร่องและปัญหาอยู่ ศาลจึงกำหนดค่าซ่อมตามความเหมาะสม จำนวน 445,620 บาท

-ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ

          คดีเมาแล้วขับตามข้อเท็จจริงบริษัทฯ ต้องจัดซ่อมรถยนต์ของผู้เสียหายภายใน 15 วัน  ซึ่งบริษัทฯ ได้ประวิงการซ่อมและอ้างปฏิเสธ ซึ่งเป็นการจงใจฝ่าฝืนข้อตกลง ซึ่งตามคำสั่งนายทะเบียนฯ ได้กำหนดค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถขั้นต่ำจำนวน 500/วัน ศาลจึงกำหนดค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถให้เป็นเวลา 120 วัน ในอัตรา วันละ 500 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 60,000 บาท

          โดยสรุปแล้วคดีเมาแล้วขับ คดีนี้ศาลได้พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 511,120 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 451,120 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหาย โดยให้บริษัทฯ ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้เสียหาย โดยกำหนดค่าทนายความจำนวน 10,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่ผู้เสียหายได้รับยกเว้นให้บริษัทฯ นำมาชำระต่อศาลในนามของผู้เสียหายเฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ผู้เสียหายชนะคดี

          สำหรับคดีเมาแล้วขับ หากใครขับขี่ยานพาหนะแล้วเกิดประสบอุบัติเหตุ และต่อมาได้ถูกบริษัทประกันภัยใช้กลยุทธ์หัวหมอ “นับผลแอลกอฮอล์ย้อนหลัง” ว่าเราเมาแล้วขับ หากเจอพฤติกรรมของบริษัทประกันภัยแบบนี้ อย่ายอมให้บริษัทประกันภัยเอาเปรียบ อย่าหลงเชื่อคำของบริษัทประกันภัย เพราะนอกจากคุณจะถูกกล่าวหาเป็นคดีเมาแล้วขับแล้ว ยังจะต้องได้รับความเดือดร้อนในอนาคตอีกด้วย ซึ่งหากคุณหลงเชื่อประกันภัยไปแล้ว ยืนยันว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอย่างเป็นธรรมแน่นอน ย้ำอีกครึ่งหลังเกิดอุบัติเหตุคดีเมาแล้วขับควรมีทนายความทันที อย่ารอให้ถูกบริษัทฯ เอาเปรียบคุณ