เหตุหย่าตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516 (4/2)
การฟ้องหย่าในประเทศไทยมีเงื่อนไขและองค์ประกอบทางกฎหมายที่ชัดเจน ซึ่งระบุไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) โดยมาตรานี้กำหนดว่าการแยกกันอยู่เกินกว่า 3 ปี ถือเป็นเหตุหย่าได้ แต่การแยกกันอยู่ตามระยะเวลาที่กำหนดนั้น ยังต้องประกอบด้วยเหตุผลที่ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุข มิใช่เพียงการแยกกันอยู่อย่างสมัครใจเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 451/2567 : ความชัดเจนในองค์ประกอบของเหตุหย่า

จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 451/2567 มีการวินิจฉัยถึง เงื่อนไขของการแยกกันอยู่ ในกรณีที่โจทก์ฟ้องหย่าจำเลย โดยโจทก์อ้างว่าได้แยกกันอยู่กับจำเลยมาเป็นเวลากว่า 3 ปี ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 1516 (4/2) อย่างไรก็ตาม ศาลพิจารณาแล้วว่า การแยกกันอยู่ดังกล่าวไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของจำเลย แต่เป็นเพราะโจทก์มีพฤติกรรมที่ทำให้ชีวิตคู่ไม่สามารถดำเนินไปได้โดยปกติสุข
ประเด็นที่น่าสนใจในคำพิพากษานี้ ได้แก่
1.การแยกกันอยู่เกิน 3 ปีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ
แม้จะมีระยะเวลาที่แยกกันอยู่นานพอสมควร แต่ศาลพิจารณาว่าการแยกกันอยู่นั้นไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย แต่เกิดจากพฤติกรรมของโจทก์ที่นอกใจและมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับบุคคลอื่น
2.องค์ประกอบของเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (4/2)
นอกจากการแยกกันอยู่เกินกว่า 3 ปี การฟ้องหย่าจะต้องแสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างปกติสุข ซึ่งในกรณีนี้ ศาลชี้ว่าความไม่ปกติสุขดังกล่าวไม่ได้มาจากพฤติกรรมของจำเลย แต่เกิดจากโจทก์เองที่ละเลยหน้าที่และประพฤติตนไม่เหมาะสม
3.การวินิจฉัยของศาลในข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นและศาลฎีกาได้พิจารณาข้อเท็จจริงที่อยู่ในคำฟ้องของโจทก์ และตีความว่าเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (4/2) ไม่ครบองค์ประกอบ เพราะการแยกกันอยู่เป็นไปโดยลำพังความสมัครใจของโจทก์ฝ่ายเดียว
หน้าที่ของสามีและภริยาในชีวิตสมรส
จากกรณีนี้ สะท้อนให้เห็นว่า หน้าที่ของสามีและภริยาตามกฎหมาย เป็นปัจจัยสำคัญที่ศาลใช้พิจารณาในคดีหย่า ทั้งสองฝ่ายมีหน้าที่ดูแลและปฏิบัติต่อกันด้วยความซื่อสัตย์และความรักใคร่ หากฝ่ายใดละเลยหน้าที่ของตน เช่น การนอกใจหรือไม่ให้ความสำคัญกับครอบครัว ฝ่ายนั้นย่อมเสียเปรียบในกระบวนการฟ้องหย่า
เหตุใดการแยกกันอยู่จึงไม่เพียงพอสำหรับการหย่า?
การแยกกันอยู่ระหว่างสามีภริยาอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ปัญหาครอบครัว เงื่อนไขทางสุขภาพ หรือภาระหน้าที่อื่น ๆ อย่างไรก็ตาม การแยกกันอยู่นั้นจะเป็นเหตุหย่าได้ก็ต่อเมื่อ
1.เป็นการแยกกันอยู่โดยสมัครใจของทั้งสองฝ่าย
2.การแยกกันอยู่นั้นมีระยะเวลานานกว่า 3 ปี
3.มีเหตุผลที่ทำให้ชีวิตคู่ไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างปกติสุข
ในกรณีนี้ ศาลชี้ว่าการแยกกันอยู่ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของจำเลย แต่เป็นผลมาจากพฤติกรรมของโจทก์ที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม เช่น การนอกใจและยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา
บทเรียนจากคำพิพากษา: การใช้สิทธิฟ้องหย่าควรมีความรอบคอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 451/2567 สอนให้เห็นถึงความสำคัญของการ ใช้สิทธิฟ้องหย่าอย่างรอบคอบ โดยผู้ฟ้องต้องมีเหตุผลและหลักฐานที่ครบถ้วนเพื่อพิสูจน์ว่าเหตุหย่าของตนเป็นไปตามเงื่อนไขทางกฎหมาย
1.การเตรียมเอกสารและพยานหลักฐาน
ผู้ฟ้องควรรวบรวมหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเงื่อนไขการแยกกันอยู่ครบองค์ประกอบ เช่น หลักฐานการแยกกันอยู่อย่างต่อเนื่อง และเหตุผลที่ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุข
2.การแสดงความบริสุทธิ์ใจในพฤติกรรมของตนเอง
ผู้ฟ้องควรแสดงให้ศาลเห็นว่าตนเองไม่ได้เป็นฝ่ายกระทำผิดหรือทำให้ชีวิตสมรสต้องล้มเหลว เช่น การหลีกเลี่ยงการประพฤติตนไม่เหมาะสมหรือการนอกใจ
3.การขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย
การฟ้องหย่ามีความซับซ้อนในแง่ของข้อกฎหมายและการตีความ การปรึกษาทนายความที่มีประสบการณ์จึงช่วยให้การฟ้องหย่าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการพิจารณาคดี
การฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (4/2) ไม่ได้พิจารณาเพียงแค่ระยะเวลาที่แยกกันอยู่เกินกว่า 3 ปี แต่ต้องรวมถึงเงื่อนไขที่ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข ดังนั้น ผู้ที่ต้องการฟ้องหย่าควรพิจารณาและเตรียมความพร้อมทั้งในด้านข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้รอบคอบ เพื่อป้องกันความผิดพลาดหรือการเสียเปรียบในกระบวนการยุติธรรม
การปรึกษาทนายความ ก้าวแรกที่สำคัญในการฟ้องหย่า

การฟ้องหย่าไม่ใช่เพียงแค่การตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่ยังเกี่ยวพันกับกระบวนการทางกฎหมายที่ซับซ้อน การปรึกษาทนายความที่มีประสบการณ์ตั้งแต่แรกเริ่มจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทนายความสามารถให้คำแนะนำในหลายแง่มุม เช่น
1.การวิเคราะห์ความเหมาะสมของเหตุหย่า
ทนายความจะช่วยวิเคราะห์ว่าเหตุผลที่ต้องการฟ้องหย่าเข้าข่ายตามเงื่อนไขของกฎหมายหรือไม่ เพื่อป้องกันการเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในกรณีที่ไม่มีเหตุหย่าตามกฎหมายรองรับ
2.การจัดเตรียมหลักฐาน
ทนายความสามารถแนะนำวิธีการรวบรวมหลักฐานและพยานที่จำเป็น เช่น หลักฐานการแยกกันอยู่ การกระทำผิดของอีกฝ่าย หรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือในคดี
3.การป้องกันข้อโต้แย้งจากคู่ความ
ในกรณีที่อีกฝ่ายไม่ยินยอมให้หย่า ทนายความสามารถวางแผนการโต้แย้งหรือจัดการข้อพิพาทในชั้นศาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.การประเมินผลกระทบทางกฎหมายและการเงิน
ทนายความช่วยวางแผนและคาดการณ์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น การแบ่งทรัพย์สิน สิทธิในการเลี้ยงดูบุตร หรือการเรียกค่าทดแทน เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ
5.การดำเนินคดีอย่างถูกต้องและรวดเร็ว
การฟ้องหย่าอาจมีรายละเอียดในเอกสารและกระบวนการทางกฎหมายที่ซับซ้อน ทนายความจะช่วยให้ทุกขั้นตอนดำเนินไปอย่างถูกต้อง ลดความเสี่ยงในการถูกปฏิเสธคำฟ้องหรือความล่าช้า
ดังนั้น หากคุณมีความประสงค์จะฟ้องหย่า การปรึกษาทนายความตั้งแต่ต้นเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทั้งในด้านเวลา ค่าใช้จ่าย และความสำเร็จในกระบวนการยุติธรรม เพราะทนายความจะช่วยให้คุณสามารถปกป้องสิทธิของตนเองและดำเนินคดีได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากที่สุด >>ติดต่อเรา<<