ในวงการธุรกิจ กรณีการขโมยทรัพย์สินหรือการฉ้อโกงมักเกิดขึ้นโดยเฉพาะภายในองค์กร และเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่กรรมการหรือบุคลากรแอบถอนเงินจากบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาต สิ่งที่ต้องพิจารณาคือการกระทำนั้นเข้าข่าย “ยักยอก” หรือ “ลักทรัพย์” ซึ่งทั้งสองการกระทำนี้มีความแตกต่างกันทั้งในด้านการกระทำและโทษทางกฎหมาย วันนี้สำนักงานกฎหมายวงศกรณ์จะมาไขข้อข้องใจนี้กัน
ความหมายของการยักยอกและลักทรัพย์
1. ยักยอก
การยักยอกทรัพย์ คือการที่บุคคลที่มีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ก่อน เช่น ผู้ดูแลทรัพย์สิน กรรมการบริษัท หรือลูกจ้าง แอบนำทรัพย์ของบริษัทไปใช้เป็นของตนเองโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ว่าในเบื้องต้นบุคคลนั้นจะได้รับความไว้วางใจในการจัดการหรือครอบครองทรัพย์สินอยู่แล้ว แต่การกระทำนี้ยังถือว่ามีเจตนาทุจริตและผิดกฎหมาย
2. ลักทรัพย์
การลักทรัพย์ คือการแอบขโมยหรือแอบนำทรัพย์สินของบุคคลอื่นไปโดยที่ไม่มีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่ก่อน เช่น การลักขโมยของที่อยู่ในร้านค้า หรือนำสิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตน การลักทรัพย์มักเกิดจากการแอบเข้าไปในพื้นที่โดยไม่มีสิทธิ์และไม่ได้รับความไว้วางใจในการครอบครองทรัพย์นั้น ๆ
ความแตกต่างระหว่าง “ยักยอก” กับ “ลักทรัพย์”
-สถานการณ์ครอบครองทรัพย์สิน : ในการยักยอก ผู้กระทำมีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินอยู่ก่อน แต่แอบนำไปเป็นของตนโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่การลักทรัพย์ ผู้กระทำไม่มีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินนั้นเลย
-การกระทำ : การยักยอกเกิดจากความไว้วางใจแต่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ส่วนการลักทรัพย์เป็นการขโมยที่ไม่เกี่ยวกับการได้รับความไว้วางใจแต่อย่างใด
โทษทางกฎหมายของการยักยอกและลักทรัพย์
1. โทษของการยักยอก
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 การยักยอกมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากเป็นการยักยอกทรัพย์ที่ได้รับไว้ตามหน้าที่หรืออาชีพ เช่น กรรมการบริษัท ผู้จัดการ หรือผู้ดูแลทรัพย์สิน โทษจะรุนแรงขึ้นตามมาตรา 353 คือจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. โทษของการลักทรัพย์
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 การลักทรัพย์มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากการลักทรัพย์เกิดขึ้นในสถานการณ์หรือสถานที่พิเศษ เช่น ในเวลากลางคืนหรือในบ้านเรือน จะมีการเพิ่มโทษตามมาตรา 335 ซึ่งโทษสูงสุดอาจเพิ่มขึ้นได้ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
กรณีมีคนแอบถอนเงินบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาตจะมีผลทางกฎหมายอย่างไร?
เมื่อเกิดกรณีที่หนึ่งในกรรมการบริษัทซึ่งมีสิทธิ์จัดการทรัพย์สินของบริษัทแอบถอนเงินออกมาโดยที่บริษัทไม่ได้รับทราบและไม่ได้อนุญาต การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการ ยักยอกทรัพย์ มากกว่าลักทรัพย์ เนื่องจากกรรมการมีสิทธิ์ในการจัดการทรัพย์สินของบริษัทอยู่ก่อนแล้ว แต่เจตนาในการนำเงินออกมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและแสดงเจตนาทุจริต
การกระทำเช่นนี้ถือว่ามีความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 เพราะกรรมการบริษัทมีหน้าที่รับผิดชอบต่อทรัพย์สินของบริษัทอยู่แล้ว การที่นำทรัพย์สินออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัทหรือเจ้าของผู้ถือหุ้นอื่นๆ จึงถือเป็นการกระทำทุจริต ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลให้กรรมการถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งเพิ่มเติมได้อีกด้วย
วิธีป้องกันปัญหาการยักยอกหรือการทุจริตในองค์กร
1. การกำหนดระบบตรวจสอบภายในที่เข้มงวด : การมีระบบตรวจสอบภายในที่เข้มงวดช่วยลดโอกาสที่พนักงานหรือกรรมการบริษัทจะทุจริตได้ การกำหนดขั้นตอนอนุมัติการเบิกถอนเงินอย่างละเอียดจะช่วยให้บริษัททราบการเคลื่อนไหวของทรัพย์สินได้ตลอดเวลา
2. การกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงทรัพย์สินให้ชัดเจน : การกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงบัญชีและทรัพย์สินให้ชัดเจน เช่น การกำหนดให้ต้องมีการอนุมัติจากคณะกรรมการหรือตัวแทนทางกฎหมายก่อนการถอนเงินจะช่วยลดความเสี่ยงในการยักยอก
3. การตรวจสอบและติดตามการใช้ทรัพย์สินของบริษัท : การติดตามการใช้งานทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง การจัดทำรายงานการใช้ทรัพย์สินเป็นประจำจะทำให้ทราบการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติได้ทันที
4. การตรวจสอบบัญชีและรายงานทางการเงินโดยบริษัทภายนอก : การใช้บริการตรวจสอบบัญชีจากบริษัทภายนอกช่วยให้เกิดความโปร่งใสและเพิ่มความน่าเชื่อถือแก่ข้อมูลทางการเงินของบริษัท
สรุปแล้วการกระทำทุจริตในองค์กรเป็นสิ่งที่ทุกบริษัทควรให้ความสำคัญ การเข้าใจความแตกต่างระหว่างการยักยอกและลักทรัพย์จะช่วยให้สามารถระบุลักษณะความผิดได้ชัดเจนและดำเนินคดีได้อย่างถูกต้อง กรณีที่กรรมการบริษัทถอนเงินออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นถือเป็นการยักยอก ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
การป้องกันการทุจริตในองค์กรสามารถทำได้ผ่านการกำหนดนโยบายการตรวจสอบและการจัดการทรัพย์สินอย่างเข้มงวด หากเกิดกรณีทุจริต การดำเนินคดีและการเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งจึงเป็นแนวทางสำคัญในการปกป้องสิทธิ์ขององค์กร หากสงสัยว่ากำลังมีผู้ไม่หวังดีกำลังทุจริตองค์กรอยู่ควรมีทนายที่ปรึกษาดีที่สุด >>ติดต่อเรา<<