ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าและการสื่อสารออนไลน์แพร่หลาย ปัญหาการถูกข่มขู่ว่าจะเปิดเผยภาพหรือข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรณีการแบล็กเมล์ (Blackmail) หรือการข่มขู่ให้โอนเงินเพื่อแลกกับการไม่เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “การข่มขู่เช่นนี้ผิดกฎหมายหรือไม่?” และ “เราควรดำเนินการอย่างไรหากตกเป็นเหยื่อ?” บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และแนวทางปฏิบัติเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้
การข่มขู่เปิดเผยภาพลับผิดกฎหมายหรือไม่?

การข่มขู่ผู้อื่นว่าจะเปิดเผยภาพลับหรือข้อมูลส่วนตัวของเขาเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งสามารถพิจารณาได้ภายใต้กฎหมายหลายมาตรา เช่น
1.มาตรา 392 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
“ผู้ใดทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
หมายความว่า หากบุคคลใดข่มขู่ให้เกิดความกลัวโดยไม่มีเงื่อนไขทางทรัพย์สิน ก็ถือว่ามีความผิดแล้ว ถึงแม้โทษอาจจะไม่รุนแรงมาก แต่ก็ถือเป็นความผิดอาญาที่สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้
2.มาตรา 338 แห่งประมวลกฎหมายอาญา (ความผิดฐานรีดเอาทรัพย์)
“ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท”
หมายความว่า หากมีการเรียกร้องเงิน หรือผลประโยชน์อื่น ๆ แลกกับการไม่เปิดเผยภาพลับ การกระทำนั้นถือเป็นความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ ซึ่งมีโทษหนักกว่าการข่มขู่ธรรมดา
แนวทางปฏิบัติเมื่อถูกข่มขู่เปิดเผยภาพลับ

หากคุณตกเป็นเหยื่อของการข่มขู่ในลักษณะนี้ ควรดำเนินการตามแนวทางต่อไปนี้เพื่อปกป้องตัวเองและนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
1. อย่าตอบโต้ หรือโอนเงินให้ผู้ข่มขู่
ผู้ที่ใช้วิธีข่มขู่มักต้องการให้เหยื่อตื่นตระหนกและยอมทำตามที่ร้องขอ หากคุณโอนเงินไปแล้ว อาจมีการเรียกร้องมากขึ้น ดังนั้น ควรมีสติและหลีกเลี่ยงการเจรจากับผู้ข่มขู่โดยตรง
2. รวบรวมหลักฐานทุกอย่าง
หากมีการส่งข้อความ ข้อความเสียง หรือหลักฐานอื่น ๆ ที่แสดงว่ามีการข่มขู่เกิดขึ้น ควรเก็บรวบรวมไว้ทั้งหมด เช่น
- ข้อความแชท หรืออีเมลที่ผู้ข่มขู่ส่งมา
- หมายเลขโทรศัพท์ หรือบัญชีโซเชียลมีเดียของผู้ข่มขู่
- บันทึกเสียงหรือภาพหน้าจอ ที่สามารถใช้เป็นหลักฐานในคดีความ
3. แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
คุณสามารถนำหลักฐานทั้งหมดไปแจ้งความต่อสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุด โดยแจ้งว่า ถูกข่มขู่หรือแบล็กเมล์เพื่อให้ดำเนินคดีทางอาญา
4. ขอคำปรึกษาทางกฎหมาย
หากกรณีมีความซับซ้อน หรือคุณรู้สึกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของคดี ควรปรึกษาทนายความเพื่อขอคำแนะนำทางกฎหมาย
5. แจ้งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย (หากถูกข่มขู่ผ่านช่องทางออนไลน์)
หากการข่มขู่เกิดขึ้นผ่านแพลตฟอร์มเช่น Facebook, Instagram, หรือ LINE คุณสามารถแจ้งแพลตฟอร์มเพื่อขอให้ดำเนินการปิดบัญชีของผู้กระทำผิด
ทำอย่างไรไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการข่มขู่ภาพลับ?

เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการข่มขู่ในอนาคต ควรระมัดระวังการใช้สื่อออนไลน์และรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว โดยทำตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
1. หลีกเลี่ยงการส่งภาพหรือข้อมูลส่วนตัวที่อ่อนไหว ผ่านทางโซเชียลมีเดียหรือแอปพลิเคชันแชท
2. ค่าความเป็นส่วนตัวในโซเชียลมีเดีย ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวให้กับคนที่ไม่รู้จัก
3. หมั่นตรวจสอบและอัปเดตรหัสผ่าน อย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการถูกแฮ็กบัญชี
4. อย่าตอบกลับข้อความจากบุคคลที่ไม่รู้จัก ที่พยายามขอข้อมูลหรือภาพส่วนตัวของคุณ
5. หากพบพฤติกรรมที่น่าสงสัย ควรแจ้งเตือนและขอความช่วยเหลือทันที
การข่มขู่เปิดเผยภาพลับเป็นความผิดทางอาญาที่มีโทษตามกฎหมายไทย หากมีการเรียกร้องเงินหรือผลประโยชน์อื่น ๆ ยิ่งเข้าข่ายความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 10 ปี หากคุณตกเป็นเหยื่อของการข่มขู่ ควรตั้งสติ รวบรวมหลักฐาน และแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเร็ว รวมถึงปรึกษาทนายความเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย