การบรรทุกน้ำหนักเกินเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในวงการขนส่งและโลจิสติกส์ที่มีผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และกฎหมายในหลายด้าน ไม่เพียงแต่ทำให้โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและสะพานเสียหาย แต่ยังส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนทั่วไป กฎหมายไทยได้กำหนดมาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมปัญหานี้ รวมถึงการริบรถบรรทุกที่กระทำผิดเป็นของกลาง อย่างไรก็ตาม หากเจ้าของรถบรรทุกมองว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ก็สามารถยื่นคำร้องขอคืนรถบรรทุกได้
บทความนี้จะพาไปสำรวจปัญหาการบรรทุกน้ำหนักเกินในประเทศไทย พร้อมอธิบายขั้นตอนและหลักเกณฑ์การขอคืนรถบรรทุกที่ถูกริบ รวมถึงตัวอย่างคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เจ้าของธุรกิจขนส่งและผู้ที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้น
ปัญหาการบรรทุกน้ำหนักเกิน

ผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ
การบรรทุกน้ำหนักเกินทำให้โครงสร้างถนนและสะพานเกิดความเสียหายเร็วกว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้ภาครัฐต้องใช้เงินภาษีจำนวนมหาศาลในการซ่อมแซม นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน เนื่องจากรถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกินอาจทำให้เบรกหรือระบบขับเคลื่อนไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ปัญหาดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานที่ชำรุดบ่อยครั้งสร้างภาระต่อการเงินของชาติ รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงในการขนส่งสินค้าที่สำคัญ เช่น อาหารหรือวัตถุดิบทางอุตสาหกรรม
บทลงโทษทางกฎหมาย
กฎหมายจราจรทางบกและกฎหมายเกี่ยวกับการขนส่งในประเทศไทยกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่บรรทุกน้ำหนักเกินไว้อย่างชัดเจน ซึ่งรวมถึงการริบรถบรรทุกที่กระทำผิดเป็นของกลาง การบังคับใช้กฎหมายนี้มุ่งเน้นที่การสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการขนส่งที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อโครงสร้างพื้นฐาน
การขอคืนรถบรรทุกที่ถูกริบ

หลักเกณฑ์การขอคืน
เมื่อรถบรรทุกถูกยึดหรือริบเนื่องจากการบรรทุกน้ำหนักเกิน เจ้าของรถสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอคืนรถได้ โดยต้องพิสูจน์ว่า
1. เจ้าของรถไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือยินยอมให้เกิดการกระทำความผิด
2. เจ้าของรถได้ดำเนินการควบคุมหรือกำกับดูแลอย่างเพียงพอ แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของลูกจ้างหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตาม การขอคืนรถบรรทุกที่ถูกริบไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะศาลจะพิจารณาถึงผลกระทบต่อสาธารณะเป็นสำคัญ
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับการขอคืนรถบรรทุก
🔹 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6260/2562
ในกรณีนี้ เจ้าของรถบรรทุกยื่นคำร้องขอคืนรถที่ถูกริบ เนื่องจากลูกจ้างของเขาบรรทุกน้ำหนักเกินถึง 800 กิโลกรัม เจ้าของรถให้เหตุผลว่าได้กำชับลูกจ้างไม่ให้กระทำผิดกฎหมายแล้ว แต่ศาลพิจารณาว่า การกำชับดังกล่าวเป็นเพียงวิธีการควบคุมเบื้องต้น เจ้าของรถยังมีหน้าที่ตรวจสอบเพิ่มเติม เช่น การเลือกสถานที่ชั่งน้ำหนักที่ได้มาตรฐานจากทางราชการ
การที่เจ้าของรถให้ลูกจ้างไปชั่งน้ำหนักที่สถานที่เอกชน ซึ่งมาตรฐานอาจแตกต่างจากทางราชการ ถือเป็นการปล่อยปละละเลย ดังนั้น ศาลจึงมีคำสั่ง ยกคำร้อง และไม่คืนรถบรรทุกให้เจ้าของ
🔹 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4870/2533
กรณีนี้เป็นการบรรทุกดินที่มีน้ำหนักรวมเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดถึง 8,300 กิโลกรัม ศาลเห็นว่าการบรรทุกน้ำหนักเกินในลักษณะนี้ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางหลวงและเศรษฐกิจของชาติ จึงถือว่ารถบรรทุกดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด และสมควรถูกริบเป็นของกลาง
ข้อแนะนำสำหรับเจ้าของรถบรรทุก
ป้องกันปัญหาการบรรทุกน้ำหนักเกิน
- อบรมพนักงาน: ควรมีการอบรมพนักงานขับรถเกี่ยวกับกฎหมายและข้อกำหนดด้านน้ำหนักบรรทุกอย่างชัดเจน
- ใช้มาตรการควบคุมน้ำหนัก: เลือกสถานที่ชั่งน้ำหนักที่ได้มาตรฐานและตรวจสอบน้ำหนักบรรทุกทุกครั้งก่อนออกเดินทาง
- กำกับดูแลอย่างเคร่งครัด: เจ้าของรถควรตรวจสอบการปฏิบัติงานของลูกจ้างอย่างใกล้ชิด และไม่ควรพึ่งพาแค่การกำชับด้วยวาจา
กรณีถูกริบรถบรรทุก
หากรถบรรทุกถูกริบ เจ้าของรถควรรวบรวมหลักฐาน เช่น บันทึกคำสั่งกำชับพนักงานหรือเอกสารแสดงมาตรการควบคุมน้ำหนัก เพื่อนำไปยื่นต่อศาลในการขอคืนรถ
ทำไมต้องปรึกษาทนายตั้งแต่แรกในเรื่องการบรรทุกน้ำหนักเกิน?

การบรรทุกน้ำหนักเกินเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสังคม เศรษฐกิจ และเจ้าของรถบรรทุกเอง การริบรถบรรทุกเป็นของกลางถือเป็นบทลงโทษที่รุนแรง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อป้องปรามการกระทำผิดและสร้างความตระหนักถึงผลกระทบของการบรรทุกน้ำหนักเกิน
เจ้าของรถที่ต้องการขอคืนรถบรรทุกจำเป็นต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือยินยอมให้เกิดการกระทำผิด และได้ใช้มาตรการป้องกันอย่างเพียงพอ การเข้าใจในหลักเกณฑ์และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงปัญหาและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
ดังนั้น การมีทนายมืออาชีพช่วยดำเนินการทางกฎหมายและให้คำแนะนำในแต่ละขั้นตอน เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการขอคืนรถบรรทุกได้สำเร็จ พร้อมทั้งป้องกันปัญหาทางกฎหมายในอนาคต การปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ต้นจะช่วยลดความเสี่ยงและรักษาความมั่นคงในธุรกิจของคุณ >>ติดต่อเรา<<